ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก
นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า
“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”
“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ
“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย
“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”
“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว
“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไงดิฉันรับรองว่าตาปรัชญ์มาทันฤกษ์แน่นอนค่ะ”
แม่เลี้ยงลักษิกาได้แต่ออกตัวและปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่ในใจร้อนรนไม่น้อย เพราะเกรงว่าลูกชายคนเล็กจะมาไม่ทันเมื่อนึกถึงท่าทางเอื่อยเฉื่อยของเขา
“น่าภูมิใจแทนพี่ปภพกับแม่เลี้ยงจังเลยนะคะที่มีลูกชายเก่งทั้งคู่ แต่ดิฉันกับคุณพี่นี่สิคะมีลูกสาวคนเดียว แถมลูกนัสก็ไม่ได้เก่งอะไรอีกต่างหาก”
“เรื่องเก่งน่ะไม่เถียงค่ะ แต่เรื่องความว่าง่ายนี่สิคะต่างกันลิบลับ ตาปราณต์น่ะเป็นคนว่าง่ายเหมือนผ้าที่รีดยังไงก็เรียบ แต่ตาปรัชญ์นี่ยิ่งรีดก็ยิ่งยับค่ะ แถมยังชอบกวนอารมณ์ให้โมโหเล่นอีกต่างหาก คุณนิภาต้องทำใจนิดหนึ่งนะคะ”
“ดีซะอีกค่ะ ยัยนัสเป็นคนพูดไม่เก่งออกจะเงียบด้วยซ้ำๆ ต้องอยู่กับคนแบบตาปรัชญ์นี่แหละ ชีวิตจะได้มีสีสัน”
“กำลังพูดถึงผมอยู่เหรอครับ”
เสียงที่แทรกขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองคนมาใหม่เป็นตาเดียวกัน ปรัชญ์ยกมือขึ้นไหว้บิดามารดาของนัสรินอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะหันไปทักทายว่าที่คู่หมั้นของตน ท่ามกลางความโล่งอกกึ่งแปลกใจกึ่งไม่พอใจของคนเป็นแม่ โล่งอกที่ลูกชายไม่หนีงานหมั้น แปลกใจที่เขามาเร็วกว่าที่คิด ตอนแรกแม่เลี้ยงลักษิกาคิดว่าปรัชญ์จะมาทันฤกษ์อย่างเฉียดฉิวเหมือนที่ตนเคยชินเสียอีก และไม่พอใจที่เห็นว่าใบหน้าคมคร้ามนั้นยังคงเต็มไปด้วยไรหนวดไรเครารกทึบทั้งๆ ที่ตนย้ำก่อนจะออกจากบ้านแล้วว่าให้โกนให้เรียบร้อย
“แม่บอกให้โกนหนวดให้เรียบร้อยไม่ใช่เหรอตาปรัชญ์” แม่เลี้ยงทำเสียงดุๆ ใส่ลูกชายที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของตน
“เอาไว้วันแต่งจะโกนให้เรียบร้อยครับแม่เลี้ยง แต่วันหมั้นผมขอเป็นตัวของตัวเองสักวัน” ปรัชญ์พูดกับคนเป็นแม่ยิ้มๆ แถมน้ำเสียงยังอ่อนโยนขี้อ้อนผิดกับยามปกติลิบลับ สร้างความแปลกใจให้แม่เลี้ยงลักษิกาและคนอื่นๆ ที่เห็นพฤติกรรมกวนโมโหของเขาจนเจนตาอย่างปราณต์กับธรินดาเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่เลี้ยง ผมชอบคนเป็นตัวของตัวเอง”
พลตรีชยุตพ่อของนัสรินพูดขึ้นอย่างรู้สึกชอบใจในบุคลิกของปรัชญ์ที่เหมือนจะดื้อแต่ถอดแบบความเด็ดขาดและการเป็นตัวของตัวเองมาจากคนเป็นพ่อไม่มีผิด
“ถ้าคุณชยุตกับคุณนิภาไม่ถือสาดิฉันก็โล่งใจค่ะ ถ้าอย่างนั้นในระหว่างรอฤกษ์ เราให้เด็กๆ คุยกันไปก่อนนะคะ ส่วนพวกเราไปนั่งพักรอดีกว่าค่ะ ยืนนานๆ เดี๋ยวจะเมื่อยกันเสียก่อน”
แม่เลี้ยงลักษิกาเดินนำพลตรีชยุตกับคุณนิภาไปยังโซฟาที่จัดไว้ ส่วนปราณต์ก็พาธรินดาไปดื่มน้ำที่พนักงานของโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ ทำให้ปรัชญ์กับนัสรินถูกทิ้งให้ยืนกันอยู่ตามลำพังอย่างเป็นอัตโนมัติ
ขณะที่นั่งดื่มน้ำส้มอยู่กับพี่ชายอีกคน ธรินดาก็มองสำรวจไปรอบๆ ห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามนั้นอีกครา ทว่าหัวใจกลับเกิดอาการกระตุกไหวเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่ เมื่อสายตาปะทะกับภาพที่ปรัชญ์กำลังยืนคุยกับนัสรินด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส ใบหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและมีเสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ซึ่งดูแล้วไม่ใช่อาการของคนที่ถูกบังคับให้หมั้นเลยแม้แต่นิด กลับเป็นเธอที่เงียบไปและสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะปราณต์เรียกตั้งหลายหนเธอก็ไม่ขาน จนเขาต้องยื่นมือมาเขย่าที่แขนเบาๆ
“น้องเล็กๆ”
“คะ...” เสียงหวานขานรับและกะพริบตาถี่ๆ คล้ายคนที่เพิ่งจะตื่นจากภวังค์
“ใจลอยไปถึงไหน พี่เรียกตั้งหลายหนกว่าจะขาน”
“เปล่าค่ะ เล็กแค่คิดอะไรเพลินๆ ว่าแต่พี่ปราณต์เรียกเล็กทำไมคะ” ธรินดารีบปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้ปราณต์ผิดสังเกตไปมากกว่านั้น เธอเองไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเงียบไปนานขนาดนั้นได้อย่างไรเพียงแค่เห็นปรัชญ์คุยกับว่าที่คู่หมั้นของเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย
“พี่ว่าจะชวนเล็กไปสมทบกับคนอื่นๆ น่าจะใกล้เวลาแล้ว”
“ค่ะพี่ปราณต์”
รับคำเสร็จร่างบางก็เดินตามพี่ชายไปยังบริเวณที่จัดพิธี จากนั้นไม่นานพิธีสวมแหวนหมั้นระหว่างปรัชญ์กับนัสรินก็เริ่มขึ้นตามฤกษ์ยามที่ได้กำหนดเอาไว้
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก
บทที่ 23ธรินดาหันขวับมาเหมือนครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเขา แต่ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่เพราะใบหน้าของปรัชญ์อยู่ห่างจากใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงนิ้ว ทำให้ปากอิ่มเกือบจะชนเข้ากับปากของคนที่ชอบพูดจาหาเรื่อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะคุณปรัชญ์” ธรินดารีบเอ่ยห้ามเสียงขุ่นโดยไม่กล้าเสียงดังนัก เพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาคนบนเครื่อง “บ้าตรงไหนแค่หอมแก้มกับไซ้คอ” “แต่นี่มันบนเครื่องบิน” “งั้นที่ไหนล่ะ ที่ฉันจะหอมแก้มและไซ้คอเธอได้ ตอนที่เธอนั่งบนตักฉัน ตอนที่เธอขึ้นเตียงกับฉัน หรือว่าตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น” “คุณปรัชญ์!” “หือ...ได้หมดอย่างที่ฉันว่ามาใช่ไหม ยกเว้นตอนนี้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและทำหน้าตายคล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธออายและโกรธระคนกัน “เลิกหาเรื่องเล็กซะทีเถอะค่ะ เล็กอยากนั่งเงียบๆ” ธรินดาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อยุติการปะทะคารมครั้งนี้เสียที “โอเค...นั่งเงียบๆ ก็นั่งเงียบๆ” ปรัชญ์ยอมขยับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย ทำให้ธรินดาแอบถอนหายใจออกม
บทที่ 24ปรัชญ์โบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี เขาเปิดประตูหลังดันร่างบางเข้าไปก่อน จากนั้นก็พาตัวเองก้าวตามขึ้นไปและบอกจุดหมายกับคนขับ“ไปคอนโดฯ...” เขาบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ในย่านเพลินจิต ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางที่จะไปหอพักของธรินดาเลย“คุณปรัชญ์จะพาเล็กไปไหนคะ เล็กจะกลับหอพักนะคะ ถ้าคุณปรัชญ์มีธุระทำไมไม่ปล่อยให้เล็กกลับคนเดียว” หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาพร้อมกับเอ่ยปากต่อว่า“เงียบเถอะน่า...ถ้าเธอไม่เงียบฉันจะจูบเธอบนแท็กซี่นี่ละ”เขาขู่เหมือนกับที่ขู่เธอตอนนั่งอยู่บนเครื่องแต่ไม่ได้ออมเสียงแม้แต่น้อย คำพูดนั้นดังไปกระทบหูคนฟังอย่างจังทำให้คนขับรถแท็กซี่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าอมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไร คนขับยังคงทำหน้าที่ของตน และปล่อยให้ผู้โดยสารของตัวเองมีความเป็นส่วนตัวต่อไป“คุณปรัชญ์ก็ดีแต่ขู่นั่นแหละ” เสียงหวานพูดออกไปด้วยความอึดอัดที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนชอบขู่อยู่ร่ำไป“ไม่ได้ดีแต่ขู่ ฉันพูดจริงทำจริงเสมอ หรืออยากจะลอง”ไม่พูดเปล่าแต่ปรัชญ์ยังยื่นหน้ามาใกล้ๆ จนเกือบชิด ทำให้ธรินดาต้องรีบเอนตัวหนี พลางเอ่ยห้ามโดยไม่กล้าเสียงดังนัก“อย่านะคะ!”แค่ห้ามเขาธรินดาก็ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์ จึง
บทที่ 25พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นวงกลมสีแดงขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงลาลับขอบฟ้าในบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายจนลืมไปว่าที่แห่งนี้อยู่ในย่านใจกลางเมืองหลวง ปรัชญ์ยังอาบน้ำไม่เสร็จทั้งๆ ที่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ธรินดาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสนั้นหนีกลับไปหอพักตัวเองไปเสีย อาจเป็นเพราะคำขู่ของเขากระมังที่ทำให้เธอไม่กล้าเสี่ยง เพราะรู้ดีว่าคนอย่างปรัชญ์พูดจริงทำจริงและคาดเดาได้ยากเสมอความมืดของรัตติกาลสยายปีกแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บัดนี้เบื้องล่างนั้นมืดสนิทแล้วและมีแสงสว่างจากไฟตามอาคารบ้านเรือน ท้องถนน และสะพานเข้ามาแทนที่ หญิงสาวจึงพาตัวเองออกห่างจากกระจกบานใหญ่แล้วไปนั่งลงบนโซฟาสีดำซึ่งวางอยู่กลางห้องโถงประตูห้องน้ำเปิดพร้อมกับที่เจ้าของร่างใหญ่สูง 185 เซนติเมตรก้าวออกมาจากข้างใน ตาคู่สวยเหลือบไปมองก็เห็นว่าตอนนี้ปรัชญ์อยู่ในสภาพของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ผมยาวของเขาเปียกลู่ คงเป็นเพราะสระผมถึงได้อาบน้ำนานเช่นนั้น หยดน้ำเม็ดกลมๆ เกาะอยู่ตามร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าอวดให้เห็นหัวไหล่หนา
บทที่ 26เป็นอีกครั้งที่ธรินดาอึ้งกับคำถามของคนที่ตัวเองกำลังเช็ดผมให้อยู่ มือเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบในสิ่งที่ปรัชญ์ตั้งคำถาม“คุณปรัชญ์ไม่ชอบหน้าเล็ก ชอบรังแกเล็ก ชอบพูดจาเสียดสีเล็ก”“เธอตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้วนะ” เขาดักคอและยิ้มยั่วผ่านกระจก“ตรงที่สุดแล้วค่ะ” ธรินดาไม่อาจทนการยั่วเย้าที่แฝงไว้ด้วยการรู้เท่าทันและจับพิรุธเช่นนั้นได้ จึงวางผ้าขนหนูลงและทำท่าจะเดินหนี แต่ปรัชญ์ไวกว่า ร่างสูงใหญ่หมุนตัวกลับมาแล้วรวบเอวเล็กให้นั่งลงไปบนตักของเขา จากนั้นก็ตวัดแขนกอดไว้แน่น“ปล่อยนะคะคุณปรัชญ์”ร่างบางที่ถูกกอดรัดอยู่ดิ้นขลุกขลักพร้อมทั้งเอ่ยขอร้องให้เขาปล่อย“กอดทีไรก็บอกให้ปล่อยทุกที เธอเป็นอะไรหือธรินดา เธอไม่ชอบที่ฉันกอดหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม อ้อมกอดยังแน่นแบบไม่คิดจะยอมคลาย เพราะยังไม่อยากให้เธอเป็นอิสระในตอนนี้สิ่งที่เขาถามและน้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ธรินดาหยุดดิ้น มองหน้าเขาตรงๆ และบอกในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกอยู่ตลอดมา“เล็กไม่ชอบให้คุณปรัชญ์กอดค่ะ และเล็กก็เป็นคนที่คุณปรัชญ์ไม่มีสิทธิ์กอดตามอำเภอใจด้วย”“ทำไมจะไม่มี เราเป็นอะไรกันแล้วเธอก็รู้”“เราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ เล็กเป็น