พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ
“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”
ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้น
คุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลม
ปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน
“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”
“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”
“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”
“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับค่ะแม่เลี้ยง เมื่อวานยัยนัสทานข้าวยังกะแมวดม แถมเมื่อคืนก็นอนดึกและตื่นแต่เช้าอีก” คุณนิภาบอกถึงสาเหตุการเป็นลมครั้งนี้ของลูกสาวให้กับแม่เลี้ยงลักษิกาฟัง
“ก็คงเป็นธรรมดาของผู้หญิงเราค่ะ จะหมั้นจะแต่งก็ตื่นเต้นทั้งนั้น แต่วันแต่งตื่นเต้นกว่านี้อีกนะหนูนัส ถือซะว่าวันนี้เป็นการซ้อมก็แล้วกันนะ” พูดกับคนเป็นแม่เสร็จแม่เลี้ยงลักษิกาก็หันมาบอกว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะคุณแม่” นัสรินเรียกแม่เลี้ยงลักษิกาตามที่แม่เลี้ยงอยากให้เรียกอย่างเด็กว่าง่าย นั่นยิ่งทำให้แม่เลี้ยงเอ็นดูหญิงสาวมากกว่าเดิม
“น่ารักจริง งั้นเราก็ควรพาหนูนัสไปทานอาหารนะคะ” แม่เลี้ยงลักษิกาชวนพลตรีชยุตกับคุณนิภา จากนั้นก็เดินนำทุกคนไปโต๊ะอาหารในห้องอาหารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้
สองครอบครัวทานข้าวร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่ยังไม่ทันจะทานข้าวอิ่มดี ปราณต์ก็ถูกตามตัวด่วนจากโรงพยาบาล เพราะมีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นทำให้หมอเวรรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคนเดียวไม่ทัน
หลังจากปราณต์ไปแล้ว ธรินดาก็เหมือนไม่มีเพื่อนคุยไปโดยปริยาย เพราะแม่เลี้ยงลักษิกาคุยกับพ่อแม่ของนัสริน ส่วนปรัชญ์กับนัสรินก็คุยกันตามประสาคู่หมั้น ธรินดาจึงรวบช้อนและกระซิบขอตัวกับแม่ใหญ่เพื่อไปเดินเล่นที่สระน้ำของโรงแรม
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่ก็เป็นช่วงโลว์ซีซัน แขกจึงเข้าพักในโรงแรมค่อนข้างน้อย และในตอนที่ธรินดาออกไปเดินเล่น ก็ไม่มีแขกมาใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงแรมเลย จึงกลายเป็นว่าตอนนี้เธออยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสงบและเย็นสบายของสถานที่แห่งนั้นคนเดียว
ร่างบางเดินเอื่อยๆ ไปตามขอบสระ และไปหยุดยืนกอดอกทอดสายตามองความใสแจ๋วของน้ำ หวังให้สายน้ำดูดดึงเอาความร้อนรุ่มบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ข้างในให้จางออกไปจากหัวใจดวงน้อยของตน
“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังจะคิดสั้น”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ธรินดาสะดุ้งน้อยๆ พร้อมกับมองไปยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปากอิ่มก็อุทานชื่อเขาออกมาอย่างเป็นอัตโนมัติ
“คุณปรัชญ์!” ธรินดาเตรียมจะเดินหนี เมื่อร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใช่...เขากับเธออยู่ใกล้แค่เอื้อมกันตลอดมา และเขาก็คือคนที่ทำให้เธอต้องหนีอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน”
ต้นแขนกลมกลึงถูกมือแกร่งคว้าหมับเอาไว้ และดึงเธอให้หันมาเผชิญหน้ากันทันทีที่ธรินดาเดินผ่านหน้าเขาไปในลักษณะของคนที่กำลังหนีหน้า
“ปล่อยเล็กนะคะคุณปรัชญ์!” เสียงหวานร้องอุทธรณ์ และพยายามจะบิดแขนตัวเองออกจากพันธนาการของมือแกร่งทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าปรัชญ์ไม่มีทางปล่อยง่ายๆ
“ไม่ปล่อย จนกว่าเธอจะตอบคำถามฉัน”
“คำถามอะไร?”
“ก็ที่ฉันถามว่าเมื่อกี้เธอคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า”
“ทำไมเล็กจะต้องทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นด้วยคะ” ธรินดาย้อนถามคนที่กำลังหาเรื่องรังแกตัวเอง
“ก็เธอเสียใจที่ฉันหมั้นไงล่ะ แถมเมื่อกี้ฉันยังอุ้มคู่หมั้นของฉันต่อหน้าเธออีก”
“ทำไมเล็กจะต้องเสียใจ”
“ก็ลองถามใจตัวเองดูสิว่าทำไม”
“เล็กไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียวค่ะ พอใจหรือยังคะ ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อยเล็กเสียที เล็กจะไปหาแม่ใหญ่”
“เธอรู้ดีธรินดาว่าเธอเสียใจแค่ไหน ใจเย็นๆ ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ฉันแค่หมั้นยังไม่ได้แต่งซะหน่อย”
“คุณปรัชญ์จะหมั้นจะแต่งมันก็ไม่เกี่ยวกับเล็กค่ะ เล็กไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น” ธรินดาบอกเขาเสียงขุ่น พร้อมกับตวัดตามองคนพูดเพื่อยืนยันว่าเธอเองไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่เขากล่าวหา
“งั้นก็พิสูจน์สิว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่ปากว่า” ไม่ใช่แค่ปากแต่คิ้วเข้มยังเลิกขึ้นพร้อมกับใช้ตาคมจ้องมองหน้าหวานๆ นั้นอย่างท้าทาย
“ก็ได้ค่ะ เล็กจะพิสูจน์ให้คุณปรัชญ์ดู”
“พิสูจน์ยังไง”
“แบบนี้ไงคะ”
แบบนี้ที่ว่าก็คือการยกมือเล็กขึ้นผลักอกเขาเต็มแรง ทำให้ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้สระน้ำเสียหลักหงายลงไปในนั้น แต่เขาไม่ได้หล่นลงไปแค่คนเดียว ปรัชญ์ยังคว้าเอามือเล็กของเธอไปด้วย จึงกลายเป็นว่าธรินดาตกน้ำไปพร้อมเขา
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก
บทที่ 23ธรินดาหันขวับมาเหมือนครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเขา แต่ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่เพราะใบหน้าของปรัชญ์อยู่ห่างจากใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงนิ้ว ทำให้ปากอิ่มเกือบจะชนเข้ากับปากของคนที่ชอบพูดจาหาเรื่อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะคุณปรัชญ์” ธรินดารีบเอ่ยห้ามเสียงขุ่นโดยไม่กล้าเสียงดังนัก เพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาคนบนเครื่อง “บ้าตรงไหนแค่หอมแก้มกับไซ้คอ” “แต่นี่มันบนเครื่องบิน” “งั้นที่ไหนล่ะ ที่ฉันจะหอมแก้มและไซ้คอเธอได้ ตอนที่เธอนั่งบนตักฉัน ตอนที่เธอขึ้นเตียงกับฉัน หรือว่าตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น” “คุณปรัชญ์!” “หือ...ได้หมดอย่างที่ฉันว่ามาใช่ไหม ยกเว้นตอนนี้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและทำหน้าตายคล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธออายและโกรธระคนกัน “เลิกหาเรื่องเล็กซะทีเถอะค่ะ เล็กอยากนั่งเงียบๆ” ธรินดาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อยุติการปะทะคารมครั้งนี้เสียที “โอเค...นั่งเงียบๆ ก็นั่งเงียบๆ” ปรัชญ์ยอมขยับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย ทำให้ธรินดาแอบถอนหายใจออกม
บทที่ 24ปรัชญ์โบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี เขาเปิดประตูหลังดันร่างบางเข้าไปก่อน จากนั้นก็พาตัวเองก้าวตามขึ้นไปและบอกจุดหมายกับคนขับ“ไปคอนโดฯ...” เขาบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ในย่านเพลินจิต ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางที่จะไปหอพักของธรินดาเลย“คุณปรัชญ์จะพาเล็กไปไหนคะ เล็กจะกลับหอพักนะคะ ถ้าคุณปรัชญ์มีธุระทำไมไม่ปล่อยให้เล็กกลับคนเดียว” หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาพร้อมกับเอ่ยปากต่อว่า“เงียบเถอะน่า...ถ้าเธอไม่เงียบฉันจะจูบเธอบนแท็กซี่นี่ละ”เขาขู่เหมือนกับที่ขู่เธอตอนนั่งอยู่บนเครื่องแต่ไม่ได้ออมเสียงแม้แต่น้อย คำพูดนั้นดังไปกระทบหูคนฟังอย่างจังทำให้คนขับรถแท็กซี่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าอมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไร คนขับยังคงทำหน้าที่ของตน และปล่อยให้ผู้โดยสารของตัวเองมีความเป็นส่วนตัวต่อไป“คุณปรัชญ์ก็ดีแต่ขู่นั่นแหละ” เสียงหวานพูดออกไปด้วยความอึดอัดที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนชอบขู่อยู่ร่ำไป“ไม่ได้ดีแต่ขู่ ฉันพูดจริงทำจริงเสมอ หรืออยากจะลอง”ไม่พูดเปล่าแต่ปรัชญ์ยังยื่นหน้ามาใกล้ๆ จนเกือบชิด ทำให้ธรินดาต้องรีบเอนตัวหนี พลางเอ่ยห้ามโดยไม่กล้าเสียงดังนัก“อย่านะคะ!”แค่ห้ามเขาธรินดาก็ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์ จึง
บทที่ 25พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นวงกลมสีแดงขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงลาลับขอบฟ้าในบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายจนลืมไปว่าที่แห่งนี้อยู่ในย่านใจกลางเมืองหลวง ปรัชญ์ยังอาบน้ำไม่เสร็จทั้งๆ ที่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ธรินดาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสนั้นหนีกลับไปหอพักตัวเองไปเสีย อาจเป็นเพราะคำขู่ของเขากระมังที่ทำให้เธอไม่กล้าเสี่ยง เพราะรู้ดีว่าคนอย่างปรัชญ์พูดจริงทำจริงและคาดเดาได้ยากเสมอความมืดของรัตติกาลสยายปีกแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บัดนี้เบื้องล่างนั้นมืดสนิทแล้วและมีแสงสว่างจากไฟตามอาคารบ้านเรือน ท้องถนน และสะพานเข้ามาแทนที่ หญิงสาวจึงพาตัวเองออกห่างจากกระจกบานใหญ่แล้วไปนั่งลงบนโซฟาสีดำซึ่งวางอยู่กลางห้องโถงประตูห้องน้ำเปิดพร้อมกับที่เจ้าของร่างใหญ่สูง 185 เซนติเมตรก้าวออกมาจากข้างใน ตาคู่สวยเหลือบไปมองก็เห็นว่าตอนนี้ปรัชญ์อยู่ในสภาพของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ผมยาวของเขาเปียกลู่ คงเป็นเพราะสระผมถึงได้อาบน้ำนานเช่นนั้น หยดน้ำเม็ดกลมๆ เกาะอยู่ตามร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าอวดให้เห็นหัวไหล่หนา
บทที่ 26เป็นอีกครั้งที่ธรินดาอึ้งกับคำถามของคนที่ตัวเองกำลังเช็ดผมให้อยู่ มือเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบในสิ่งที่ปรัชญ์ตั้งคำถาม“คุณปรัชญ์ไม่ชอบหน้าเล็ก ชอบรังแกเล็ก ชอบพูดจาเสียดสีเล็ก”“เธอตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้วนะ” เขาดักคอและยิ้มยั่วผ่านกระจก“ตรงที่สุดแล้วค่ะ” ธรินดาไม่อาจทนการยั่วเย้าที่แฝงไว้ด้วยการรู้เท่าทันและจับพิรุธเช่นนั้นได้ จึงวางผ้าขนหนูลงและทำท่าจะเดินหนี แต่ปรัชญ์ไวกว่า ร่างสูงใหญ่หมุนตัวกลับมาแล้วรวบเอวเล็กให้นั่งลงไปบนตักของเขา จากนั้นก็ตวัดแขนกอดไว้แน่น“ปล่อยนะคะคุณปรัชญ์”ร่างบางที่ถูกกอดรัดอยู่ดิ้นขลุกขลักพร้อมทั้งเอ่ยขอร้องให้เขาปล่อย“กอดทีไรก็บอกให้ปล่อยทุกที เธอเป็นอะไรหือธรินดา เธอไม่ชอบที่ฉันกอดหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม อ้อมกอดยังแน่นแบบไม่คิดจะยอมคลาย เพราะยังไม่อยากให้เธอเป็นอิสระในตอนนี้สิ่งที่เขาถามและน้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ธรินดาหยุดดิ้น มองหน้าเขาตรงๆ และบอกในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกอยู่ตลอดมา“เล็กไม่ชอบให้คุณปรัชญ์กอดค่ะ และเล็กก็เป็นคนที่คุณปรัชญ์ไม่มีสิทธิ์กอดตามอำเภอใจด้วย”“ทำไมจะไม่มี เราเป็นอะไรกันแล้วเธอก็รู้”“เราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ เล็กเป็น
บทที่ 27พูดจบปากและจมูกโด่งก็กดหนักๆ ลงที่พวงแก้มใสด้านซ้ายที่ตอนนี้เห่อร้อนจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อๆ“คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทาน มองเขาตาเขียวขุ่น พลางยกมือขึ้นกุมที่แก้มตัวเองตรงที่โดนเขาจูบเมื่อครู่นี้“จูบเมื่อกี้เป็นจูบแบบพี่ชายกับน้องสาว ส่วนจูบนี้เป็นจูบแบบผู้ชายกับผู้หญิง”พูดเสร็จปรัชญ์ก็จูบอีก คราวนี้ไม่ได้จูบที่แก้ม แต่ปากหยักสวยได้รูปกดลงประกบบนเรียวปากอิ่ม ธรินดายังไม่หายจากอาการตกใจดีด้วยซ้ำก็โดนจู่โจมอีกรอบ ร่างบางยืนตัวแข็งทื่อ เม้มปากจนแน่นสนิทและเบี่ยงหน้าหนีเป็นพัลวัน เมื่อปรัชญ์พยายามจะแทรกลิ้นเข้าไปข้างใน เขาจึงใช้สองมือแนบประคองหน้าหวานใสเอาไว้เพื่อให้เธอหลบเลี่ยงไปไหนไม่ได้ ส่วนปากเพิ่มแรงบดคลึงและดูดเม้ม ไม่นานเรียวปากอิ่มก็เผยอเพื่อจะร้องห้ามเขา แต่นั่นเท่ากับเป็นการเปิดทางให้ลิ้นหนาแทรกเข้ามาในโพรงปากนุ่มชื้น พร้อมกับที่เรียวลิ้นอ่อนประสบการณ์ถูกเกี่ยวกระหวัดโลมเลียดูดซับเอาความหวามหวานอย่างดูดดื่มเร่าร้อนปากถูกจูบแต่ความเสียวซ่านรัญจวนกลับก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงในท้องน้อย แล้วแผ่ลุกลามแทรกซึมไปในเลือดที่ไหลเวียนไปทั่วกายสาว ธรินดาพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่จะไม