บทที่ 11
วันนี้หน้าคุ้มลักษิกาที่เคยมีโต๊ะใส่บาตรตั้งอยู่เป็นประจำ ปราศจากภาพอันคุ้นเคยตา เมื่อแม่เลี้ยงเจ้าของคุ้มไปปฏิบัติธรรมและลูกสาวคนเล็กก็ของดเว้นการทำบุญหนึ่งวัน
ร่างบางปั่นจักรยานมาจอดข้างๆ ถังขยะใบใหญ่ ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ขณะที่มือเล็กหย่อนห่อฟอยล์ที่พันด้วยกระดาษทิชชูอย่างแน่นหนาลงไปในนั้น
จักรยานคันเดิมถูกปั่นกลับเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำกำลังแล่นออกมาจากโรงรถ แม้จะมองเห็นแต่ไกล ก็รู้ว่าเป็นรถของปรัชญ์ ปรัชญ์ใช้รถกระบะเพราะช่วงนี้เขาต้องไปคุมไซต์งานโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มก่อสร้าง แม้จะอยู่บนถนนคนละเลน แต่ธรินดาก็ไม่อยากจะปั่นจักรยานสวนกับเขาเลย หญิงสาวมองตรงอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไปยังถนนอีกเลนตอนที่รถของปรัชญ์แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเสียงหวานก็ต้องร้องวี้ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ขับรถกระบะหักพวงมาลัยข้ามเลนมาจนเกือบชนกับรถจักรยานของเธอ สัญชาตญาณทำให้ธรินดารีบหักหลบเข้าข้างทางที่เป็นสนามหญ้า จักรยานของเธอเสียหลักจนเกือบล้มแต่ดีว่าเบรกทัน
ปรัชญ์หยุดรถแล้วเปิดกระจกด้านข้างออกมามองคนที่กำลังประคองจักรยานอย่างทุลักทุเล ก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำเอาคนฟังร้อนรน
“ตื่นแต่เช้า มาทำลายหลักฐานเหรอ”
“คนเลว” ธรินดาพึมพำเบาๆ แต่ปรัชญ์ก็ยังได้ยิน
“งั้นเหรอ แล้วเวลาที่คนเลวผสมพันธุ์กับคนดีมันจะเกิดเป็นคนอะไร?” คนถามถามอย่างยียวนและอารมณ์ดี ขณะที่คนถูกถามหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
“เล็กเกลียดคุณ!”
ธรินดาพ่นผรุสวาทใส่เขา ก่อนจะรีบปั่นจักรยานหนีไปให้พ้นหน้าคนใจร้ายและปากเสีย โดยมีเสียงหัวเราะของปรัชญ์แว่วตามหลังมา
“โห...วันนี้ฝนต้องตกหนักแน่ๆ เลยค่ะ คุณปรัชญ์กลับบ้านตั้งแต่หัววัน”
บัวคำอุทานขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นปรัชญ์เดินเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหารก่อนใครในเย็นวันนั้น กลับเป็นปราณต์เสียอีกที่ยังไม่กลับเนื่องจากมีเคสผ่าตัดด่วน จึงต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ แม้จะเลยเวลาเลิกงานแล้ว ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกานั้นก็ยังอยู่ในช่วงไปปฏิบัติธรรม
“ทำไมบ้านเงียบจัง” ปรัชญ์ถามขึ้นเสียงขรึมๆ เมื่อห้องรับประทานอาหารมีเพียงบัวคำกับสาวใช้อีกคนอยู่กันเพียงลำพัง
“แม่เลี้ยงยังไม่กลับจากปฏิบัติธรรมค่ะ ส่วนคุณหมอปราณต์มีผ่าตัดด่วน”
“แล้วคุณหนูเล็กของเธอหายไปไหน ทำไมไม่ลงมากินข้าว” ปรัชญ์ถามคนของตนต่อ เมื่อบัวคำตอบถึงคนในบ้านไม่ครบอย่างที่เขาต้องการอยากได้ยิน
“วันนี้คุณหนูเล็กบอกว่าไม่ทานข้าวเย็นค่ะ เห็นบอกว่าไม่สบายค่ะ”
“เป็นอะไร” เสียงถามนั้นห้วนแต่เจือไว้ด้วยความร้อนใจโดยที่คนฟังไม่ทันได้จับพิรุธ และคนถามเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“คงปวดหัวหรือเป็นไข้หวัดมั้งคะ บัวคำหายาให้ก็ไม่ยอมกินยา บอกว่านอนพักแล้วก็คงดีขึ้นเอง”
“เธอตามใจคุณหนูเล็กของเธอแบบนี้เป็นประจำเหรอ ไม่สบายแล้วไม่กินยาจะหายได้ยังไง”
“เปล่านะคะ ปกติคุณหนูเล็กไม่เคยดื้อ แต่วันนี้เธอทำท่าแปลกๆ และสีหน้าไม่ดีตั้งแต่เช้า บัวคำก็เลยไม่อยากเซ้าซี้เธอน่ะค่ะ ว่าแต่คุณปรัชญ์จะทานข้าวเลยไหมคะ”
“อือ...”
ปรัชญ์พยักหน้าแล้วนั่งลง บัวคำจึงพยักหน้าให้สาวใช้อีกคนตักข้าวให้ แล้วยืนดูเจ้านายทานอาหารอยู่เงียบๆ ไม่กล้าชวนคุย เพราะเหมือนปรัชญ์เองจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ว่าใครหรืออะไรทำให้หงุดหงิด คนในบ้านต่างก็รู้ว่าถ้าคุณปรัชญ์อารมณ์ไม่ดี อย่าพยายามเข้าใกล้หรือไปตอแย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกเล่นงานเอาได้ง่ายๆ
น้ำหนักเตียงที่ยุบยวบยาบลงทำให้คนซึ่งนอนตะแคงหันหลังอยู่ต้องพึมพำออกมาเบาๆ เพราะเข้าใจว่ามีคนขึ้นมาตามให้ลงไปกินข้าวเย็นทั้งๆ ที่เธอบอกเอาไว้แล้วว่าไม่หิว
“พี่บัวคำเหรอคะ เล็กบอกแล้วไงคะว่าวันนี้เล็กไม่ทานข้าวเย็น”
“ถึงกับนอนซมเลยเหรอ เมื่อคืนฉันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรกับเธอนี่”
น้ำเสียงและคำพูดที่แข็งกระด้างซึ่งห่างไกลจากลักษณะของบัวคำลิบลับทำให้ธรินดาต้องรีบพลิกตัวกลับมา ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง พลางกระชับผ้าห่มเข้าหาตัว และมองคนเข้ามาใหม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวและระแวดระวัง ราวกับกวางน้อยเจอกับราชสีห์ที่กำลังจะมาขย้ำตัวเองอีกหน
“คุณปรัชญ์!”
“ใช่ฉันเอง ที่นอนซมสำออยแบบนี้อยากให้หมอปราณต์มาตรวจดูอาการหรือไง แล้วถ้าหมอปราณต์มาตรวจจะรู้หรือเปล่าที่เธอไม่สบายก็เพราะ...”
“หยุดนะคะคุณปรัชญ์!” ธรินดารีบร้องห้ามก่อนที่เขาจะพูดอะไรให้ได้อาย
“หยุดอะไร”
“หยุดพูดถึงเรื่องบ้าๆ ที่คุณปรัชญ์ทำกับเล็กเสียที” หญิงสาวพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาเหมือนจะเอ่อขึ้นมาคลอรอบดวงตา แต่คนมองไม่สน เขายังคงยิ้มยั่ว คิ้วเข้มเลิกขึ้น และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนธรินดาลืมความเศร้าหมองของตัวเองชั่วขณะและรีบเบือนหน้าออกห่าง
“ฉันก็แค่จะบอกว่า เหตุผลที่เธอไม่สบายก็เพราะเธอไม่ได้นอนแทบทั้งคืน”
“เจตนาคุณปรัชญ์ไม่ใช่แบบนั้นหรอก คนเล่นลิ้น”
“ใช่...ฉันชอบเล่นลิ้น แล้วเมื่อคืนฉันกับเธอก็เล่นลิ้นกันทั้งคืน เสียวดีออกเธอว่ามั้ย”
คราวนี้คนเสียใจเปลี่ยนอารมณ์เป็นโกรธจัดจนลืมตัวและถลาเข้าไปใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบตีเขารัวๆ ปรัชญ์จับมือเล็กนั้นไว้ พร้อมกับรวบร่างบางมากอดไว้แน่น ตาจ้องมองใบหน้าหวานใสที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างไม่วางตา ทำให้ธรินดารู้ว่าเสียท่าเขาเข้าให้อีกแล้ว
บทที่ 12“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนชอบหาเรื่อง“เธอโผเข้ามาให้ฉันกอดเองนะ ช่วยไม่ได้”“คนกักขฬะ ออกไปจากห้องเล็กนะคะคุณปรัชญ์ ไม่งั้นแม่ใหญ่กลับมาเล็กจะฟ้องแม่ใหญ่” ธรินดาไม่รู้จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่หยิบยกเอาคนที่คิดว่าปรัชญ์จะเกรงใจที่สุดมาอ้าง“ฟ้องว่าไง” คิ้วหนาดกดำเป็นปื้นเลิกขึ้นขณะถามอย่างยียวนแกมท้าทาย“ฟ้องว่าคุณปรัชญ์เข้ามารังแกเล็ก”“รังแกยังไง” ปรัชญ์ถามต่ออีก“เล็กจะบอกแม่ใหญ่ว่าคุณปรัชญ์ขืนใจเล็ก” เธอขู่เขาไปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอคงไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับใคร“ขืนใจงั้นเหรอ แน่ใจนะธรินดา เมื่อคืนฉันบอกเธอแล้วนี่ ว่าถ้าไม่เต็มใจให้บอกฉันให้หยุด แต่ฉันจำได้ว่าไม่ได้ยินเธอพูดคำว่าหยุดสักคำนะ มีแต่บอกว่า อย่าค่ะ...อื้อ...คุณปรัชญ์ขาเล็กเสียว...” ปรัชญ์ยกคำพูดของเธอมาล้อเลียนแบบหน้าตาย ทำเอาธรินดาร้อนวาบไปทั้งหน้า“คนบ้า! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! เล็กไม่ได้พูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เล็กจะฟ้องแม่ใหญ่! เล็กเกลียดคุณ!”“แม่ใหญ่ของเธอรู้อยู่แล้วมั้งว่าเธอเกลียดฉัน คงไม่ต้องบอกซ้ำหรอก”แม่ใหญ่น่ะเหรอที่รู้...วันนั้
บทที่ 13แม่เลี้ยงลักษิกากลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของลูกสาวบุญธรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะธรินดาเก็บงำทุกอย่างไว้เป็นความลับและพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดยามอยู่ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งช่วงนี้ปรัชญ์เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ พักหลังๆ ธรินดาจึงสบายใจและเข้มแข็งขึ้นมากพระอาทิตย์เริ่มจะเคลื่อนคล้อยลงต่ำ หญิงสาวหยิบเอาตะกร้าหวายเพื่อจะไปตัดกุหลาบที่ปลูกอยู่ในแปลงบนเนินเขาหลังบ้านมาจัดแจกันในห้องพระและห้องรับแขก แต่วันนี้จักรยานที่เคยจอดอยู่ในโรงรถหายไป ธรินดาจึงเดินถือตะกร้าไปยังแปลงกุหลาบแทนร่างบางย่อตัวลงตัดกุหลาบใส่ในตะกร้า ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเลือกตัดสีขาวเพื่อใส่ในห้องพระและสีชมพูสำหรับห้องรับแขก กระทั่งได้กุหลาบสวยๆ จนเกือบเต็มตะกร้า หญิงสาวจึงนั่งลงและทอดสายตาไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอดตัวลงลับเหลี่ยมเขา ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะหมดลงในที่สุดความมืดคืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กับไอหมอกสีขาวจางๆ ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว ธรินดาถอนหายใจเล็กน้อยที่ความงดงามของธรรมชาติยามเย็นเลือนหายไปอีกวัน ร่างบางลุกขึ้นแล้ว
บทที่ 14วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคยปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย“ไปเดินเล่นครับ”ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้นปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจา
บทที่ 15“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า” “เพื่ออะไร?” “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว” “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”
บทที่ 16เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน “สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป “แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก” “จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย “ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน “ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เ
บทที่ 17รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนธรินดา” “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่ “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน” “ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเข
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั