วันนี้เป็นวันพระใหญ่ตรงกับแรมสิบห้าค่ำพอดี ธรินดาลุกขึ้นมาแต่เช้าทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรช่วยบัวคำ เสร็จแล้วปั่นจักรยานไปตัดดอกกุหลาบสีขาวที่แปลงบนเนินหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปใส่บาตรหน้าบ้านที่ตอนนี้สาวใช้ตั้งโต๊ะไว้รอเรียบร้อยแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีขาวทั้งชุดลงมาพอดี เมื่อธรินดาเจอแม่บุญธรรมในชุดเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มหู
“แม่ใหญ่จะไปวัดเหรอคะ”
“ใช่จ้ะหนูเล็ก แม่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสักสามสี่วัน พอดีแม่เลี้ยงแสงหล้าโทร.มาชวนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนแรกแม่กะจะชวนหนูเล็กไปด้วย แต่เห็นว่าเพิ่งจะปิดเทอมก็เลยอยากให้พักผ่อนก่อน เอาไว้รอบหน้าค่อยไปด้วยกันนะลูก”
“ค่ะแม่ใหญ่”
“อ้อ...แม่ลืมบอก เมื่อวานนี้แม่ไปหาหลวงตาที่วัดมาแล้วนะ ได้ฤกษ์หมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสรินแล้ว วันที่สิบเดือนหน้าเลย เร็วทันใจแม่จริงๆ แม่โทร.ปรึกษากับทางโน้นแล้วว่างานหมั้นจะจัดเล็กๆ ส่วนงานแต่งค่อยจัดแบบงานช้าง ว่าแต่ตอนงานหมั้นของตาปรัชญ์หนูเล็กเปิดเทอมหรือยัง”
“เปิดแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กปิดเทอมแค่สองอาทิตย์เองค่ะ”
“งั้นหนูเล็กก็อยู่กรุงเทพฯ พอดี หนูเล็กต้องมางานหมั้นตาปรัชญ์กับหนูนัสให้ได้นะ แม่อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว เดี๋ยวแม่ใหญ่จะให้นายสอนไปรับที่หอพัก”
“ค่ะแม่ใหญ่”
ธรินดารับคำอย่างเด็กว่าง่ายเช่นเคย จากนั้นร่างบางจึงเดินตามแม่ใหญ่ออกไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน กลับมาทานข้าวเช้าพร้อมกันสองคน เพราะปราณต์ออกไปทำงานแต่เช้า ส่วนปรัชญ์ไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว
แม่บุญธรรมกับลูกสาวบุญธรรมคุยกันพลางทานข้าวไปพลาง พออิ่มธรินดาก็เดินออกมาส่งแม่เลี้ยงลักษิกาขึ้นรถเพื่อออกไปปฏิบัติธรรมตามที่บอกไว้แต่เช้า โดยมีอินแปงเป็นคนขับรถไปให้เช่นเคย
คุ้มลักษิกาอันกว้างใหญ่นั้นเงียบเหงาไปถนัดตาเมื่อสมาชิกในบ้านต่างพร้อมใจกันออกไปข้างนอกกันหมด เหลือเพียงธรินดา บัวคำกับสาวใช้อีกสี่คนและคนสวนเท่านั้น หญิงสาวจึงฆ่าเวลาโดยการไปปั่นจักรยานที่เนินเขาหลังบ้าน ตัดดอกกุหลาบสีขาวมาเพิ่ม แล้วเอาเข้าไปจัดแจกันในห้องพระเสียใหม่ จากนั้นก็นั่งสมาธิให้จิตใจสงบอยู่พักใหญ่ จึงค่อยออกไปนั่งเล่นที่สวนหย่อมมุมโปรดของตน
ร่างบางมุ่นคิ้วเรียวเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำแล้วเห็นว่าที่โต๊ะอาหารมีกับข้าวและจานเปล่าวางบนที่นั่งประจำของตนเพียงที่เดียว ส่วนที่อื่นๆ ว่างทั้งหมด แม่ใหญ่นั้นเธอรู้อยู่แล้วว่าท่านไม่อยู่เพราะไปปฏิบัติธรรม ส่วนปรัชญ์ก็คงไม่กลับอีกเช่นเคย ทว่าพี่ชายคนโตอย่างปราณต์นี่สิ ทำไมเขาถึงยังไม่ลงมา
บัวคำยิ้มให้พร้อมกับขยับไปหยิบเอาโถข้าวเพื่อจะตักให้ เมื่อเห็นว่าลูกสาวบุญธรรมของเจ้านายเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารแล้ว
“คุณหนูเล็กหิวหรือยังคะ”
“หิวแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ปราณต์ยังอาบน้ำไม่เสร็จเหรอคะพี่บัวคำ ทำไมไม่เห็นลงมาเสียทีล่ะ” หญิงสาวถามถึงพี่ชายคนโตซึ่งปกติจะกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน ไม่เหมือนปรัชญ์ที่แทบจะไม่กลับจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“อ๋อ...วันนี้คุณหมอปราณต์เข้าเวรค่ะคุณหนูเล็ก”
“วันนี้พี่ปราณต์เข้าเวรหรอกเหรอคะพี่บัวคำ ถึงว่าไม่ได้ยินเสียงรถของพี่ปราณต์เลย สงสัยเมื่อเช้าแม่ใหญ่จะลืมบอกเล็ก” ประโยคหลังเจ้าของเสียงหวานนุ่มคล้ายจะรำพึงกับตัวเองมากกว่า พอรู้ว่าวันนี้ตัวเองต้องกินข้าวคนเดียว ธรินดาจึงให้บัวคำตักข้าวแค่ครึ่งทัพพี เพราะเธอคงกินได้ไม่เยอะเท่าใดนัก
แม้จะไม่อบอุ่นเหมือนทุกวัน แต่มือเล็กก็จับช้อนและค่อยๆ ตักข้าวใส่ปากทีละคำจนหมดเกลี้ยงจาน จึงค่อยรวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม ธรินดาเป็นเช่นนี้เสมอ รู้ตัวว่าจะกินมากน้อยเท่าไหร่ก็ตักเท่านั้น และข้าวในจานจะถูกตักกินทุกเม็ดเสมอ แม้เธอจะไม่เคยทำนา แต่ก็รู้ดีว่ากว่าที่ชาวนาจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ดนั้นต้องเหนื่อยยากเพียงใด
ปกติหลังจากกินข้าวเย็นอิ่มแล้ว ธรินดาจะนั่งคุยกับแม่เลี้ยงลักษิกาก่อน แต่วันนี้แม่ใหญ่ของเธอไม่อยู่หญิงสาวจึงตรงขึ้นห้องตัวเองเลย
มือเล็กหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดดูเพื่อรอเวลานอน วันนี้อากาศค่อนข้างจะร้อนอบอ้าว ธรินดานึกอยากออกไปรับลมด้านล่างอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากพาตัวเองลงไปเสี่ยงเพราะถึงแม้หลายวันมานี้ปรัชญ์จะไม่กลับบ้าน แต่เขาอาจจะกลับมาคืนนี้ก็ได้ ตั้งแต่ที่เจอปรัชญ์ในสวนคืนนั้น เธอก็ไม่กล้าลงไปเดินเล่นตอนกลางคืนอีก เพราะกลัวว่าจะปะทะกับปรัชญ์ ซึ่งเธอยอมรับกับตัวเองว่ากลัวการเผชิญหน้ากับคนร้ายกาจอย่างปรัชญ์มาก
เวลาผ่านไปจนกระทั่งสี่ทุ่ม ตาคู่สวยที่ประดับด้วยแพขนตางอนยาวก็เริ่มปรือปรอยลง มือเรียวเล็กจึงหยิบรีโมตที่วางอยู่ข้างๆ ตัวมาปิดหน้าจอโทรทัศน์ ลุกไปถอดปลั๊ก ปิดไฟในห้องจนมืดสนิท แล้วจึงกลับมานอนที่เตียงหนานุ่มขนาดหกฟุตซึ่งนอนมาหลายปีตั้งแต่เริ่มโตเป็นสาว
คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมที่พระจันทร์มืดดับ แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่ไร้ซึ่งแสงดาว ธรรมชาติยังทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องขับขานในยามค่ำคืนท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ ขับกล่อมให้คนในคุ้มลักษิการวมทั้งธรินดาหลับไปอย่างง่ายดาย
บทที่ 8ปัง! ปัง! ปัง!เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นกลางดึกทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ธรินดาลุกขึ้นนั่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เมื่อไม่แน่ใจหญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง เอาหูแนบประตูจึงรู้ว่าเสียงเคาะที่ดังแบบไม่เกรงใจนั้นมาจากหน้าห้องของตนนี่เอง“ใครคะ” เสียงหวานถามออกไปโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูตามสัญชาตญาณระมัดระวังตัวยามอยู่คนเดียว“ฉันเอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้ธรินดา” เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ได้แค่ตอบแต่ยังออกคำสั่งไปพร้อมกันด้วยธรินดาตกใจมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ที่บ่งบอกความเอาแต่ใจนั้นอย่างชัดเจน เธอจำได้ดีทีเดียวว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ปรัชญ์กลับมาบ้านคืนนี้ แถมมาเคาะห้องเธอดึกๆ แบบนี้ ไม่แคล้วคงจะมาหาเรื่องเธออีกเป็นแน่“คุณปรัชญ์มีอะไรคะ” ธรินดาถามกลับไป แต่ยังไม่คิดจะเปิดประตูให้ตามคำสั่งของคนข้างนอกง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าคนคนนั้นชอบระรานตัวเองแค่ไหน“นี่เธอจะไม่เปิดใช่ไหม”“ถ้าคุณปรัชญ์มีอะไรจะให้เล็กช่วยก็บอกมาสิคะ หรือถ้ามีเรื่องอยากคุยกับเล็กเอาไว้คุยพรุ่งนี้เถอะค่ะ”หลังจากธรินดาบอกเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าปรัชญ์เงียบไป และคล้ายกับจะได้ย
บทที่ 9แสงไฟจากหัวเตียงสาดส่องลงมายังสองร่างที่ฝ่ายหนึ่งนอนหงายอยู่เบื้องล่างโดยมีร่างกำยำนอนเกยทับอยู่ ธรินดามองหน้าปรัชญ์ได้ชัดกว่าตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตู เช่นเดียวกับที่สายตาคมของเขาเองก็จ้องมองลงมาที่ใบหน้าเนียนละเอียดของเธอเช่นกัน ประกายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนก ไม่คิดว่าแค่ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ตัวเองจะมานอนอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธออยากจะวิ่งหนีเขามากที่สุดชายหนุ่มเพ่งมองเจ้าของเตียงที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็กๆ ยังพยายามบิดเพื่อให้พ้นจากมือเขา เช่นเดียวกับที่เรือนกายแสนนุ่มนิ่มก็ยังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีสั่นระริก สายตาฟ้องชัดว่าตื่นกลัวกับการมีเขาทาบทับอยู่บนร่างเล็กๆ และรวบมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้แค่ไหน...ให้ตายเถอะธรินดา เธอไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุ ให้เขาอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...“อย่ารังแกเล็กเลยนะคะ...” เสียงหวานร้องห้ามปรามเขาออกมา ทั้งๆ ที่ความหวังของตัวเองช่างน้อยนิด เพราะเธอรู้ดีว่าหากปรัชญ์คิดจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ“ถ้าเธอไม่คิดถึงฉันจริงๆ
บทที่ 10ธรินดาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเดียวกับทุกเช้า ทว่าเช้านี้หญิงสาวไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นเหมือนเช่นเคย ความรู้สึกผิดและความเศร้าหมองเกาะกินหัวใจจนปวดร้าว ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ กับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปอย่างไม่อาจเรียกร้องกลับคืน ครั้นจะให้โทษว่าเธอถูกปรัชญ์ข่มเหงรังแกก็พูดได้ไม่เต็มปากเลยสักนิด เพราะเขาบอกแล้วว่าหากเธอปฏิเสธเขาก็พร้อมจะหยุด ธรินดาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด ทำไมสมองถึงไม่สั่งการ ทำไมร่างกายมันถึงได้มีปฏิกิริยาสวนทางกับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ทำไมไม่ต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด ทำไมเมื่อคืนนี้ตัวเองถึงได้เหมือนกับเนยเหลวโดนอังไฟ ปรัชญ์กลับห้องนอนของเขาหลังจากที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วายจูบแก้มซึ่งนองด้วยน้ำตาของเธอหนักๆ ก่อนจะลุกจากเตียงออกไปอย่างเฉยชา เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ธรินดาอยากจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน หากร่างกายที่ยังคงปวดแปลบอย่างชัดเจนในบางส่วนก็ฟ้องชัดว่า...นับแต่นี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว!ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะอาบน้ำชำระล้างราคีออกไปจากใจและกาย ทว่าดวงตาที่ฝ้าฟางไปด้วยม่านน้ำ
บทที่ 11วันนี้หน้าคุ้มลักษิกาที่เคยมีโต๊ะใส่บาตรตั้งอยู่เป็นประจำ ปราศจากภาพอันคุ้นเคยตา เมื่อแม่เลี้ยงเจ้าของคุ้มไปปฏิบัติธรรมและลูกสาวคนเล็กก็ของดเว้นการทำบุญหนึ่งวันร่างบางปั่นจักรยานมาจอดข้างๆ ถังขยะใบใหญ่ ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ขณะที่มือเล็กหย่อนห่อฟอยล์ที่พันด้วยกระดาษทิชชูอย่างแน่นหนาลงไปในนั้นจักรยานคันเดิมถูกปั่นกลับเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำกำลังแล่นออกมาจากโรงรถ แม้จะมองเห็นแต่ไกล ก็รู้ว่าเป็นรถของปรัชญ์ ปรัชญ์ใช้รถกระบะเพราะช่วงนี้เขาต้องไปคุมไซต์งานโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มก่อสร้าง แม้จะอยู่บนถนนคนละเลน แต่ธรินดาก็ไม่อยากจะปั่นจักรยานสวนกับเขาเลย หญิงสาวมองตรงอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไปยังถนนอีกเลนตอนที่รถของปรัชญ์แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเสียงหวานก็ต้องร้องวี้ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ขับรถกระบะหักพวงมาลัยข้ามเลนมาจนเกือบชนกับรถจักรยานของเธอ สัญชาตญาณทำให้ธรินดารีบหักหลบเข้าข้างทางที่เป็นสนามหญ้า จักรยานของเธอเสียหลักจนเกือบล้มแต่ดีว่าเบรกทันปรัชญ์หยุดรถแล้วเปิดกระจกด้านข้างออกมามองคนที่กำลังประคองจักรยานอย่างทุลักทุเล
บทที่ 12“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนชอบหาเรื่อง“เธอโผเข้ามาให้ฉันกอดเองนะ ช่วยไม่ได้”“คนกักขฬะ ออกไปจากห้องเล็กนะคะคุณปรัชญ์ ไม่งั้นแม่ใหญ่กลับมาเล็กจะฟ้องแม่ใหญ่” ธรินดาไม่รู้จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่หยิบยกเอาคนที่คิดว่าปรัชญ์จะเกรงใจที่สุดมาอ้าง“ฟ้องว่าไง” คิ้วหนาดกดำเป็นปื้นเลิกขึ้นขณะถามอย่างยียวนแกมท้าทาย“ฟ้องว่าคุณปรัชญ์เข้ามารังแกเล็ก”“รังแกยังไง” ปรัชญ์ถามต่ออีก“เล็กจะบอกแม่ใหญ่ว่าคุณปรัชญ์ขืนใจเล็ก” เธอขู่เขาไปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอคงไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับใคร“ขืนใจงั้นเหรอ แน่ใจนะธรินดา เมื่อคืนฉันบอกเธอแล้วนี่ ว่าถ้าไม่เต็มใจให้บอกฉันให้หยุด แต่ฉันจำได้ว่าไม่ได้ยินเธอพูดคำว่าหยุดสักคำนะ มีแต่บอกว่า อย่าค่ะ...อื้อ...คุณปรัชญ์ขาเล็กเสียว...” ปรัชญ์ยกคำพูดของเธอมาล้อเลียนแบบหน้าตาย ทำเอาธรินดาร้อนวาบไปทั้งหน้า“คนบ้า! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! เล็กไม่ได้พูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เล็กจะฟ้องแม่ใหญ่! เล็กเกลียดคุณ!”“แม่ใหญ่ของเธอรู้อยู่แล้วมั้งว่าเธอเกลียดฉัน คงไม่ต้องบอกซ้ำหรอก”แม่ใหญ่น่ะเหรอที่รู้...วันนั้
บทที่ 13แม่เลี้ยงลักษิกากลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของลูกสาวบุญธรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะธรินดาเก็บงำทุกอย่างไว้เป็นความลับและพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดยามอยู่ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งช่วงนี้ปรัชญ์เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ พักหลังๆ ธรินดาจึงสบายใจและเข้มแข็งขึ้นมากพระอาทิตย์เริ่มจะเคลื่อนคล้อยลงต่ำ หญิงสาวหยิบเอาตะกร้าหวายเพื่อจะไปตัดกุหลาบที่ปลูกอยู่ในแปลงบนเนินเขาหลังบ้านมาจัดแจกันในห้องพระและห้องรับแขก แต่วันนี้จักรยานที่เคยจอดอยู่ในโรงรถหายไป ธรินดาจึงเดินถือตะกร้าไปยังแปลงกุหลาบแทนร่างบางย่อตัวลงตัดกุหลาบใส่ในตะกร้า ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเลือกตัดสีขาวเพื่อใส่ในห้องพระและสีชมพูสำหรับห้องรับแขก กระทั่งได้กุหลาบสวยๆ จนเกือบเต็มตะกร้า หญิงสาวจึงนั่งลงและทอดสายตาไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอดตัวลงลับเหลี่ยมเขา ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะหมดลงในที่สุดความมืดคืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กับไอหมอกสีขาวจางๆ ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว ธรินดาถอนหายใจเล็กน้อยที่ความงดงามของธรรมชาติยามเย็นเลือนหายไปอีกวัน ร่างบางลุกขึ้นแล้ว
บทที่ 14วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคยปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย“ไปเดินเล่นครับ”ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้นปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจา
บทที่ 15“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า” “เพื่ออะไร?” “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว” “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”