บทที่ 4
รถคันนั้นจอดยังลานหน้าบ้าน ก่อนที่คนขับจะเปิดประตูลงมา ตาที่ยังพร่ามัวอยู่นิดๆ เพ่งมองไปยังคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถ และเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นใคร เธอก็รีบขยับไปหลบฉากที่หลังพุ่มกระดุมทองอย่างตกใจ แต่ทว่าก็ยังไม่ไวเท่ากับสายตาของเขา ร่างสูงสาวเท้ายาวๆ ตามมาทันทีพร้อมกับเอ่ยเสียงดุๆ ขึ้น
“นั่นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น”
“...”
เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ ธรินดายอมรับว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงโครมครามไปหมดเพราะกลัวเสียงดุๆ นั้นจนไม่กล้าตอบ อีกทั้งไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะได้เจอปรัชญ์ในเวลานี้
“ฉันถามว่าใคร ออกมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปลากตัวออกมาเอง”
ปรัชญ์ไม่แค่ขู่แต่ยังขยับเข้าไปใกล้หลังพุ่มไม้เล็กๆ ที่ร่างบางหลบซ่อนอยู่ ทำให้ธรินดาต้องค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากที่กำบังของตัวเองและเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก
“สวัสดีค่ะคุณปรัชญ์”
มือเล็กยกขึ้นไหว้พร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ขณะมองคนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าอย่างเผลอสำรวจโดยไม่รู้ตัว
ไม่ได้เจอกันหลายปี ปรัชญ์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หุ่นที่เคยเก้งก้างสมัยวัยรุ่นตอนนี้บึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้าม โดยเฉพาะช่วงหน้าอกและลำขาของเขา แม้จะซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าเธอก็เห็นความเป็นผู้ชายหุ่นดีเหล่านั้นโดดเด่นออกมา ผมหยักศกนิดๆ ที่เจ้าตัวปล่อยให้ยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ใบหน้าที่คมคร้ามสะอาดสะอ้านกลับเต็มไปด้วยไรหนวดไรเครา ทำให้เขาดูเซอร์แต่หล่อเข้มมากกว่าเดิม ทว่าไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปแค่ไหนแต่สไตล์การแต่งตัวของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าใดนัก ปรัชญ์ยังคงใส่เสื้อยืดแม้จะตัวค่อนข้างใหญ่แต่ก็เห็นซิกซ์แพ็กที่อวดตัวอยู่ใต้เสื้อตัวนั้น ช่วงล่างเป็นกางเกงยีนสีซีด รองเท้าผ้าใบเก่าๆ แต่เป็นยี่ห้อแบรนด์เนมราคาแพง และแม้ว่าเขาจะอยู่ในมาดเซอร์ๆ และแต่งตัวธรรมดาๆ เช่นนี้ ธรินดาก็รู้ดีว่าปรัชญ์ต้องมีผู้หญิงมาติดพันเป็นสิบเป็นร้อยเหมือนเดิมอย่างแน่นอน
“อ้อ...นึกว่าใคร ที่แท้ก็ลูกสาวคนโปรดของแม่เลี้ยงลักษิกานี่เอง ฉันอุตส่าห์กลับมาซะดึกนึกว่าจะไม่ได้เจอ ก็ยังต้องมาเจอหน้าจืดๆ น่าเบื่อๆ ของเธอจนได้”
น้ำเสียงของปรัชญ์ฟังดูระรานและไม่เป็นมิตรเช่นเคย แถมยังทำเหมือนกับหงุดหงิดที่เจอหน้าเธอ ธรินดาจึงก้มหน้าและขยับตัวเพื่อกลับเข้าบ้าน เขาจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเธอให้ต้องหงุดหงิดไปมากกว่านั้น
“นั่นเธอจะไปไหน” เสียงดุๆ ดังขึ้นทันทีที่ธรินดาจะเดินผ่านหน้าเขาไป
“เล็กจะเข้าบ้านค่ะ”
“แล้วไม่คิดจะบอกกล่าวกันก่อนเหรอ หรือว่าไม่เห็นว่าฉันยืนหัวโด่อยู่นี่ ถึงคิดจะเดินหนีก็เดินไปดื้อๆ”
“เปล่านี่ค่ะ เมื่อกี้คุณปรัชญ์บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าจืดๆ ของเล็ก เล็กก็เลยจะรีบไปให้พ้นๆ หน้า คุณปรัชญ์จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเล็ก”
“นี่เธอประชดฉันเหรอธรินดา ไม่เจอกันตั้งนาน ดูเหมือนจะปากเก่งขึ้นนะ”
“เล็กเปล่านะคะ เล็กก็แค่ไม่อยากอยู่ให้คุณปรัชญ์รำคาญ” ธรินดารีบแก้ความเข้าใจผิดของเขาเสียใหม่ แต่ปรัชญ์ก็คือปรัชญ์ที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลกับเธอเสมอ ลองให้เขาอยากหาเรื่อง ยังไงเธอก็ไม่มีทางหนีพ้น
“ถ้าไม่อยากให้ฉันรำคาญแล้วลงมาเดินดึกๆ ดื่นๆ ทำไมป่านนี้ หรือว่าเธอลงมาดักรอฉัน”
“หลงตัวเอง ทำไมเล็กจะต้องมาดักรอคุณปรัชญ์ด้วยคะ” ธรินดาเผลอตอบโต้ไปด้วยเสียงห้วน เมื่อถูกกล่าวหาจากคนหลงตัวเองและไร้เหตุผลเช่นนั้น
“เธออาจจะคิดถึงฉันมั้ง ไม่ได้เจอกันเสียหลายปีนี่ เลยอยากมาดูว่าฉันหล่อขึ้นแค่ไหน”
“เล็กไม่ได้อยากเห็น และเล็กก็ไม่ได้คิดถึงคุณปรัชญ์ด้วย”
“สาบานสิว่าเธอไม่เคยคิดถึงฉันแม้แต่นิด” ปรัชญ์ท้าแถมยังขยับเข้ามาใกล้ ถือวิสาสะยื่นมือมาจับคางมน และบีบบังคับให้เธอเงยขึ้นสบตากับเขาพร้อมกับจ้องหน้าเนียนใสนั้นเขม็งอย่างคนต้องการจับผิด
“ปล่อยค่ะคุณปรัชญ์เล็กเจ็บ คุณปรัชญ์กำลังรังแกเล็กนะคะ” เสียงหวานร้องอุทธรณ์เพราะแรงมือของเขาทำให้เธอเจ็บร้าวไปหมด
“ฉันรังแกเธอแล้วไง เธอจะร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่ใหญ่ของเธอว่าถูกฉันรังแกเหรอ” ปรัชญ์ถามเยาะๆ เหมือนกับสนุกนักหนาที่ได้กลั่นแกล้งเธอให้เดือดร้อนใจเล่นแบบนั้น
“เล็กไม่ใช่เด็กขี้ฟ้อง”
“ใช่เธอไม่เด็กแล้ว โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วนี่” ปรัชญ์กวาดสายตามองไปทั่วร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงใจ
“เล็กขอร้องละค่ะคุณปรัชญ์ ปล่อยเล็กเถอะนะคะ เล็กจะได้เข้าบ้าน” เสียงหวานเอ่ยขอร้องอีกครั้ง เพราะอยากหนีให้พ้นหน้าคนดิบเถื่อนไวๆ ธรินดารู้ว่ายิ่งปะทะกับปรัญช์นานเท่าไหร่คนที่เสียเปรียบก็คือเธอ
“สาบานกับฉันมาก่อนสิ แล้วฉันจะปล่อยเธอ”
“จะให้เล็กสาบานว่าอะไร”
“ก็สาบานว่าตั้งแต่ที่ฉันไปอยู่เมืองนอก เธอไม่เคยคิดถึงฉันเลยสักครั้ง”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณปรัชญ์อยากให้เล็กสาบานเล็กก็จะสาบาน”
“ว่าไปสิ ฉันรอฟังอยู่” เขาออกคำสั่งโดยที่มือแข็งแรงนั้นยังบีบกระชับอยู่ที่ปลายคางเล็กของเธอไม่ยอมคลาย เช่นเดียวกับสายตาที่จ้องอย่างดุดัน
“เล็กขอสาบานว่าเล็กไม่เคยคิดถึงคุณปรัชญ์เลย”
“แล้วถ้าคำสาบานของเธอไม่จริงล่ะ”
“ถ้าไม่จริงขอให้เล็กเป็นอะไรก็ได้”
“ถ้าไม่จริงขอให้เธอตกเป็นเมียฉันภายในสามวันเจ็ดวัน”
ปรัชญ์เป็นคนตั้งเงื่อนไขคำสาบานของธรินดาให้เอง ซึ่งเป็นเงื่อนไขอันสุดหยาบคายจนทำให้ธรินดาต้องอุทานออกมา
“คุณปรัชญ์!”
“ทำไม...กลัวเหรอ หรือว่าสาบานแล้วกลัวคำสาบานจะย้อนเล่นงานตัวเอง”
“เล็กไม่กลัวหรอกค่ะ”
“ก็ดี งั้นเรามารอดูกัน สามวันเจ็ดวันไม่นานเกินรอหรอกจริงมั้ย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น เรียวปากหยักลึกได้รูปยิ้มอย่างเย้ยหยันนิดๆ อย่างคนที่ได้เปรียบทุกทาง ทำให้ธรินดานึกเคืองขุ่นจึงปัดมือเขาออกจากปลายคางตัวเอง ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งเข้าบ้าน โดยมีเสียงหัวเราะของปรัชญ์ดังตามหลังมา
บทที่ 5วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ธรินดากลับมาอยู่บ้านในช่วงการปิดเทอม แต่กลับเป็นวันแรกที่ลูกชายคนเล็กของแม่เลี้ยงลักษิกายอมกลับบ้านมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับครอบครัว คนซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านพอใจจนยิ้มแก้มแทบปริ แม้ว่ากว่าจะตามปรัชญ์ให้กลับบ้านได้จะเหนื่อยในการโทร.จิกอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม“คลินิกทำไปถึงไหนแล้วตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะหันไปถามลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของตน โดยปรัชญ์นั่งอยู่ถัดจากพี่ชาย ส่วนธรินดานั่งทานอาหารเงียบๆ อยู่ด้านซ้าย“เกือบเสร็จแล้วครับแม่ เดือนหน้าก็น่าจะเปิดได้”“จะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอลูก ไหนจะต้องทำงานที่โรงพยาบาล ไหนจะต้องมาดูแลคลินิกอีก ตรวจโอพีดีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”“อีกสองเดือนผมก็ไม่ต้องตรวจโอพีดีแล้วละครับ ตอนนี้มีหมอมาบรรจุใหม่หลายคน ทางโรงพยาบาลจะให้หมอใหม่ตรวจโอพีดีแทน ส่วนผมก็ตรวจคนไข้ใน น่าจะพอมีเวลาดูคลินิกครับ แต่คงไม่ได้ทำคนเดียว คงหาผู้ช่วย ไม่งั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน”“ความจริงไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อยเลย ทำงานที่โรงพยาบาลอย่างเดียวก็พอ เย็นก็กลับมาพักผ่อน เงินทองบ้านเราก็พอมีไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำไมไม่เอาเวลามาพักผ
บทที่ 6หลังจากกลับเข้าบ้าน ตั้งใจจะขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอนเลย แต่หญิงสาวรู้สึกอยากจะดื่มอะไรเย็นๆ จึงแวะเข้าครัวก่อน เสียงกรุ๊งกริ๊งของช้อนที่กระทบกับแก้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอแว่วมาพร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมฉุย ธรินดาคลี่ยิ้มออกมานิดๆ เพราะชอบดมกลิ่นหอมๆ ของมัน แม้ว่าปกติจะเป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ตาม เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าคนที่กำลังชงกาแฟคือบัวคำนั่นเอง“พี่บัวคำนี่เองนึกว่าใคร” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทักทายขณะเดินตรงไปยังตู้เย็นและหยิบน้ำออกมารินใส่แก้ว“คุณหนูเล็ก...ยังไม่ขึ้นบ้านอีกเหรอคะ”“ยังค่ะ พอดีเล็กออกไปเดินเล่นมาน่ะค่ะ หิวน้ำก็เลยแวะมาดื่มน้ำก่อน ว่าแต่พี่บัวคำจะดื่มกาแฟเหรอคะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลานอนแล้วระวังจะนอนไม่หลับเอานะ”“พี่ไม่ได้ชงดื่มเองหรอกค่ะ แต่จะชงให้คุณปรัชญ์ เธอสั่งไว้เมื่อกี้นี่เอง อุ๊ย!” บัวคำซี้ดปากในตอนท้ายพร้อมทั้งทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมท้องตัวเอง“เป็นอะไรไปคะพี่บัวคำ” ธรินดารีบถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของบัวคำ“พี่บัวคำปวดท้องค่ะ ท้องเสียตั้งแต่ตอนบ่ายๆ แล้ว ตอนนี้เหมือนจะต้องรีบเข้าห้องน้ำอีกแล้ว พี่บัวคำวานคุณหนูเล็กเอ
บทที่ 7วันนี้เป็นวันพระใหญ่ตรงกับแรมสิบห้าค่ำพอดี ธรินดาลุกขึ้นมาแต่เช้าทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรช่วยบัวคำ เสร็จแล้วปั่นจักรยานไปตัดดอกกุหลาบสีขาวที่แปลงบนเนินหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปใส่บาตรหน้าบ้านที่ตอนนี้สาวใช้ตั้งโต๊ะไว้รอเรียบร้อยแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีขาวทั้งชุดลงมาพอดี เมื่อธรินดาเจอแม่บุญธรรมในชุดเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มหู“แม่ใหญ่จะไปวัดเหรอคะ”“ใช่จ้ะหนูเล็ก แม่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสักสามสี่วัน พอดีแม่เลี้ยงแสงหล้าโทร.มาชวนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนแรกแม่กะจะชวนหนูเล็กไปด้วย แต่เห็นว่าเพิ่งจะปิดเทอมก็เลยอยากให้พักผ่อนก่อน เอาไว้รอบหน้าค่อยไปด้วยกันนะลูก”“ค่ะแม่ใหญ่”“อ้อ...แม่ลืมบอก เมื่อวานนี้แม่ไปหาหลวงตาที่วัดมาแล้วนะ ได้ฤกษ์หมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสรินแล้ว วันที่สิบเดือนหน้าเลย เร็วทันใจแม่จริงๆ แม่โทร.ปรึกษากับทางโน้นแล้วว่างานหมั้นจะจัดเล็กๆ ส่วนงานแต่งค่อยจัดแบบงานช้าง ว่าแต่ตอนงานหมั้นของตาปรัชญ์หนูเล็กเปิดเทอมหรือยัง”“เปิดแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กปิดเทอมแค่สองอาทิตย์เองค่ะ”“งั้นหนูเล็กก็อยู่กรุงเทพฯ พอดี หนู
บทที่ 8ปัง! ปัง! ปัง!เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นกลางดึกทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ธรินดาลุกขึ้นนั่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เมื่อไม่แน่ใจหญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง เอาหูแนบประตูจึงรู้ว่าเสียงเคาะที่ดังแบบไม่เกรงใจนั้นมาจากหน้าห้องของตนนี่เอง“ใครคะ” เสียงหวานถามออกไปโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูตามสัญชาตญาณระมัดระวังตัวยามอยู่คนเดียว“ฉันเอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้ธรินดา” เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ได้แค่ตอบแต่ยังออกคำสั่งไปพร้อมกันด้วยธรินดาตกใจมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ที่บ่งบอกความเอาแต่ใจนั้นอย่างชัดเจน เธอจำได้ดีทีเดียวว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ปรัชญ์กลับมาบ้านคืนนี้ แถมมาเคาะห้องเธอดึกๆ แบบนี้ ไม่แคล้วคงจะมาหาเรื่องเธออีกเป็นแน่“คุณปรัชญ์มีอะไรคะ” ธรินดาถามกลับไป แต่ยังไม่คิดจะเปิดประตูให้ตามคำสั่งของคนข้างนอกง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าคนคนนั้นชอบระรานตัวเองแค่ไหน“นี่เธอจะไม่เปิดใช่ไหม”“ถ้าคุณปรัชญ์มีอะไรจะให้เล็กช่วยก็บอกมาสิคะ หรือถ้ามีเรื่องอยากคุยกับเล็กเอาไว้คุยพรุ่งนี้เถอะค่ะ”หลังจากธรินดาบอกเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าปรัชญ์เงียบไป และคล้ายกับจะได้ย
บทที่ 9แสงไฟจากหัวเตียงสาดส่องลงมายังสองร่างที่ฝ่ายหนึ่งนอนหงายอยู่เบื้องล่างโดยมีร่างกำยำนอนเกยทับอยู่ ธรินดามองหน้าปรัชญ์ได้ชัดกว่าตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตู เช่นเดียวกับที่สายตาคมของเขาเองก็จ้องมองลงมาที่ใบหน้าเนียนละเอียดของเธอเช่นกัน ประกายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนก ไม่คิดว่าแค่ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ตัวเองจะมานอนอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธออยากจะวิ่งหนีเขามากที่สุดชายหนุ่มเพ่งมองเจ้าของเตียงที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็กๆ ยังพยายามบิดเพื่อให้พ้นจากมือเขา เช่นเดียวกับที่เรือนกายแสนนุ่มนิ่มก็ยังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีสั่นระริก สายตาฟ้องชัดว่าตื่นกลัวกับการมีเขาทาบทับอยู่บนร่างเล็กๆ และรวบมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้แค่ไหน...ให้ตายเถอะธรินดา เธอไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุ ให้เขาอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...“อย่ารังแกเล็กเลยนะคะ...” เสียงหวานร้องห้ามปรามเขาออกมา ทั้งๆ ที่ความหวังของตัวเองช่างน้อยนิด เพราะเธอรู้ดีว่าหากปรัชญ์คิดจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ“ถ้าเธอไม่คิดถึงฉันจริงๆ
บทที่ 10ธรินดาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเดียวกับทุกเช้า ทว่าเช้านี้หญิงสาวไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นเหมือนเช่นเคย ความรู้สึกผิดและความเศร้าหมองเกาะกินหัวใจจนปวดร้าว ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ กับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปอย่างไม่อาจเรียกร้องกลับคืน ครั้นจะให้โทษว่าเธอถูกปรัชญ์ข่มเหงรังแกก็พูดได้ไม่เต็มปากเลยสักนิด เพราะเขาบอกแล้วว่าหากเธอปฏิเสธเขาก็พร้อมจะหยุด ธรินดาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด ทำไมสมองถึงไม่สั่งการ ทำไมร่างกายมันถึงได้มีปฏิกิริยาสวนทางกับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ทำไมไม่ต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด ทำไมเมื่อคืนนี้ตัวเองถึงได้เหมือนกับเนยเหลวโดนอังไฟ ปรัชญ์กลับห้องนอนของเขาหลังจากที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วายจูบแก้มซึ่งนองด้วยน้ำตาของเธอหนักๆ ก่อนจะลุกจากเตียงออกไปอย่างเฉยชา เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ธรินดาอยากจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน หากร่างกายที่ยังคงปวดแปลบอย่างชัดเจนในบางส่วนก็ฟ้องชัดว่า...นับแต่นี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว!ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะอาบน้ำชำระล้างราคีออกไปจากใจและกาย ทว่าดวงตาที่ฝ้าฟางไปด้วยม่านน้ำ
บทที่ 11วันนี้หน้าคุ้มลักษิกาที่เคยมีโต๊ะใส่บาตรตั้งอยู่เป็นประจำ ปราศจากภาพอันคุ้นเคยตา เมื่อแม่เลี้ยงเจ้าของคุ้มไปปฏิบัติธรรมและลูกสาวคนเล็กก็ของดเว้นการทำบุญหนึ่งวันร่างบางปั่นจักรยานมาจอดข้างๆ ถังขยะใบใหญ่ ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ขณะที่มือเล็กหย่อนห่อฟอยล์ที่พันด้วยกระดาษทิชชูอย่างแน่นหนาลงไปในนั้นจักรยานคันเดิมถูกปั่นกลับเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำกำลังแล่นออกมาจากโรงรถ แม้จะมองเห็นแต่ไกล ก็รู้ว่าเป็นรถของปรัชญ์ ปรัชญ์ใช้รถกระบะเพราะช่วงนี้เขาต้องไปคุมไซต์งานโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มก่อสร้าง แม้จะอยู่บนถนนคนละเลน แต่ธรินดาก็ไม่อยากจะปั่นจักรยานสวนกับเขาเลย หญิงสาวมองตรงอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไปยังถนนอีกเลนตอนที่รถของปรัชญ์แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเสียงหวานก็ต้องร้องวี้ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ขับรถกระบะหักพวงมาลัยข้ามเลนมาจนเกือบชนกับรถจักรยานของเธอ สัญชาตญาณทำให้ธรินดารีบหักหลบเข้าข้างทางที่เป็นสนามหญ้า จักรยานของเธอเสียหลักจนเกือบล้มแต่ดีว่าเบรกทันปรัชญ์หยุดรถแล้วเปิดกระจกด้านข้างออกมามองคนที่กำลังประคองจักรยานอย่างทุลักทุเล
บทที่ 12“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนชอบหาเรื่อง“เธอโผเข้ามาให้ฉันกอดเองนะ ช่วยไม่ได้”“คนกักขฬะ ออกไปจากห้องเล็กนะคะคุณปรัชญ์ ไม่งั้นแม่ใหญ่กลับมาเล็กจะฟ้องแม่ใหญ่” ธรินดาไม่รู้จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่หยิบยกเอาคนที่คิดว่าปรัชญ์จะเกรงใจที่สุดมาอ้าง“ฟ้องว่าไง” คิ้วหนาดกดำเป็นปื้นเลิกขึ้นขณะถามอย่างยียวนแกมท้าทาย“ฟ้องว่าคุณปรัชญ์เข้ามารังแกเล็ก”“รังแกยังไง” ปรัชญ์ถามต่ออีก“เล็กจะบอกแม่ใหญ่ว่าคุณปรัชญ์ขืนใจเล็ก” เธอขู่เขาไปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอคงไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับใคร“ขืนใจงั้นเหรอ แน่ใจนะธรินดา เมื่อคืนฉันบอกเธอแล้วนี่ ว่าถ้าไม่เต็มใจให้บอกฉันให้หยุด แต่ฉันจำได้ว่าไม่ได้ยินเธอพูดคำว่าหยุดสักคำนะ มีแต่บอกว่า อย่าค่ะ...อื้อ...คุณปรัชญ์ขาเล็กเสียว...” ปรัชญ์ยกคำพูดของเธอมาล้อเลียนแบบหน้าตาย ทำเอาธรินดาร้อนวาบไปทั้งหน้า“คนบ้า! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! เล็กไม่ได้พูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เล็กจะฟ้องแม่ใหญ่! เล็กเกลียดคุณ!”“แม่ใหญ่ของเธอรู้อยู่แล้วมั้งว่าเธอเกลียดฉัน คงไม่ต้องบอกซ้ำหรอก”แม่ใหญ่น่ะเหรอที่รู้...วันนั้
บทที่ 98“ฉันไม่อยากดื่มนมอย่างอื่น ฉันเก็บปากของฉันไว้ดื่มนมอร่อยๆ จากเต้าของเธอก็พอแล้ว ว่าแล้วก็หิว เล็กจ๋า...ให้ฉันกินนะ” แววตาของคนที่ประท้วงอยู่เมื่อครู่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นวิบวับและเปล่งประกายความปรารถนาที่มีต่อเธอออกมาอย่างเปิดเผย “ไม่เอาค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาปฏิเสธเสียงเบา เพราะกลัวลูกสาวจะตื่นมาเห็น “แต่ฉันจะ ‘เอา’ นะเล็กจ๋า ตามใจผัวนะครับหนูเล็กคนดี” “โธ่...คุณปรัชญ์” “ไม่โธ่จ้ะที่รัก...ฉันหิว อยากดื่มนม” ปรัชญ์กระซิบบอกความต้องการของตัวเอง พร้อมกับที่ธรินดารับรู้ถึงความตื่นตัวของเขาที่ตอนนี้บดเบียดเธออยู่ไม่ห่าง “ถ้าอย่างนั้นเล็กไปดับไฟก่อนนะคะ” ธรินดาบอกอย่างอายๆ แต่คำตอบนั้นบ่งบอกชัดว่าเธอยอมตามใจเขาแล้ว ปรัชญ์จึงยอมปล่อยให้ร่างเล็กลุกจากตักไปปิดไฟ ส่วนตัวเองขยับขึ้นไปนอนรออยู่บนเตียง ห้องทั้งห้องมืดสนิทเมื่อธรินดายื่นมือไปกดสวิตช์ไฟให้ดับลง เธออาศัยความเคยชินเดินกลับมายังเตียง และค่อยๆ เอนกายลงนอนเคียงข้างสามี ปรัชญ์รีบขยับเข้ามาแนบชิดพร้อมกับกระซิบเรียกเสียงพร่า ท
บทที่ 97“ป๋าก็คิดถึงนิล คิดถึงแม่เล็กของนิลใจแทบขาด” ปรัชญ์ตอบลูกสาวและถือโอกาสอ้อนไปถึงแม่ของลูกด้วย เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้โทรศัพท์น่าจะเปิดลำโพงอยู่ “งั้นก็รีบกลับบ้านสิคะป๋า หมีพูกับแม่เล็กก็รอป๋าเหมือนกันค่ะ” ปรัชญ์ยิ้มออกมาอีกคราเมื่อลูกบอกว่าธรินดาเองก็รอเขาอยู่ ใบหน้าอันหวานซึ้งนั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้เขาจำต้องพับหน้าจอแล็ปท็อปลงพร้อมกับปิดแฟ้มเอกสารที่กางอยู่หลายอันบนโต๊ะ“โอเคครับคนดีของป๋า ป๋าจะกลับเดี๋ยวนี้ละ” “งั้นนิลจะรอจนกว่าป๋าจะมานะคะ นิลถึงจะนอน” “ครับ อีกยี่สิบนาทีเจอกันนะครับ” “ค่ะป๋า เย้ๆ” หลังจากวางสายจากลูกสาว ปรัชญ์ก็ไม่รอช้า รีบขับรถตรงดิ่งกลับบ้านอย่างปราศจากความลังเลใดๆ ทันที งานเอาไว้ก่อนตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือลูก เมีย แม่ และหมีพู ซึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่บ้านทันทีที่ร่างสูงเดินเข้าบ้าน หมีพูกับเด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูก็วิ่งมาหาพร้อมกับเรียกผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ โดยมีหมีพูวิ่งตามมาไม่ห่างพร้อมกับกระดิกหางไปมาอย่างดีใจเช่นกัน
บทที่ 96นัสรินเดินเข้าบ้านด้วยอาการของคนที่มีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจ ทำให้ไม่เห็นว่าพ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องโถงชั้นล่าง พลตรีชยุตกับคุณนิภาหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นคุณนิภาก็เป็นฝ่ายส่งเสียงทักลูกสาว“ไงยัยนัส ไปบ้านพี่ปรัชญ์มาโอเคหรือเปล่าลูก”“อ้าว...คุณพ่อคุณแม่ อยู่นี่เองเหรอคะ” นัสรินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าบิดามารดาของตนนั่งอยู่ตรงนั้น เธอมัวแต่คิดเรื่องที่ปรัชญ์เพิ่งคุยด้วย ทำให้ประสาทการรับรู้ต่างๆ รวนไปเสียหมด“เป็นอะไรไปลูก ทำไมดูหน้าเครียดๆ แบบนั้น ทะเลาะกับตาปรัชญ์มาเหรอ”“เปล่าค่ะคุณแม่ นัสแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะค่ะ” นัสรินตอบมารดาเสียงนุ่ม ก่อนจะขยับไปนั่งลงข้างๆ“มีอะไรเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้หรือเปล่า” พลตรีชยุตพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว เพราะปกตินัสรินไม่ค่อยมีท่าทีเหม่อลอยให้เห็นบ่อยนักนัสรินมองหน้าบุพการีทั้งสองอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจขอคำปรึกษาเพราะเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเธอคนเดียว มันเกี่ยวข้องกับบิดามารดาของเธอด้วย“เมื่อกี้นี้พี่ปรัชญ์เพิ่งจะบอกว่าพี่ปรัชญ์มีคนรักอยู่แล้ว และอยากให้นัสแต่งงานกับคุณปราณต์แทนค่ะ”“ว่าไงนะลูก!” คุณนิภาอุทา
บทที่ 95“แต่คุณปราณต์ไม่ได้ชอบนัสนะคะ อีกอย่างคุณปราณต์อาจจะมีคนรักอยู่แล้วเหมือนที่พี่ปรัชญ์มี” น่าแปลกที่คราวนี้เธอกลับแคร์ความรู้สึกของปราณต์ขึ้นมาเสียมากมาย เดือดเนื้อร้อนใจไปหมดกับความจริงที่ว่าเขาอาจมีคนรักอยู่แล้วก็ได้ ทั้งๆ ที่ตอนถูกพ่อแม่บังคับให้หมั้นกับปรัชญ์เธอกลับไม่ตระหนักเลยว่าปรัชญ์อาจจะมีคนรักอยู่แล้ว คิดแต่ว่าหากปรัชญ์ยอมหมั้นเธอก็ยอมหมั้นตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเท่านั้นก็พอ“พี่ปราณต์ยังไม่มีใครหรอก ถ้านัสอยากแต่งกับพี่ปราณต์พี่จัดการให้ได้” “แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมัดมือชกคุณปราณต์เลยนะคะพี่ปรัชญ์” “ก็เหมือนกับที่แม่บังคับพี่ให้แต่งงานกับนัสนั่นละ แม่ก็คิดแค่ว่าพี่ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน ที่พี่พูดอย่างนี้นัสอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีค่าหรือถูกโยนให้คนนั้นทีคนนี้ทีนะ แต่พี่ไม่อยากทรยศหัวใจตัวเองและไม่อยากให้ธรินดาต้องเจ็บปวดกับเรื่องนี้” “นัสเข้าใจค่ะและขอบคุณที่พี่ปรัชญ์บอกนัสตรงๆ แต่นัสขอถามอะไรตรงๆ บ้างได้มั้ยคะ” นัสรินยังหนักอึ้งในเรื่องที่ปรัชญ์เสนอมา แต่เธอก็ยังอยากจะรู้ความจริงจากใจเขาให้หมดเปลือกเสียก่อน“ได้ส
บทที่ 94 สี่เดือนก่อน... รถซีดานแบรนด์ยุโรปราคาสองล้านกว่าๆ แล่นออกจากอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ หลังจากที่ปรัชญ์บอกว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปส่ง นัสรินหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนขับที่เมื่อครู่นี้ยังพูดจากวนประสาทแม่ของเขาอย่างมีสีสันอยู่เลย ทว่าบัดนี้เขาอยู่ในอิริยาบถที่เงียบขรึมราวกับเป็นคนละคน แม้จะไม่ถึงกับทำให้อึดอัด แต่คนคุยไม่เก่งแบบเธอก็ไม่กล้าชวนคุย นี่เป็นครั้งที่สองที่เขากับเธอได้พบกัน หลังจากหมั้นเสร็จปรัชญ์ก็ไม่เคยติดต่อหรือมาเยี่ยมเยือนในฐานะคู่หมั้นเลยสักครั้ง นัสรินรู้ดีว่าปรัชญ์เองก็คงจะถูกบังคับให้หมั้นเช่นเดียวกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจหากเขาจะไม่ใส่ใจหรือทำตัวไม่เหมือนกับคู่หมั้นคู่อื่นๆ “นัสรีบกลับบ้านหรือเปล่า” ปรัชญ์หันมาถามเป็นประโยคแรกหลังจากที่รถแล่นออกมาพ้นอาณาเขตบ้านได้พักใหญ่ “เปล่าค่ะ นัสว่างทั้งวันค่ะพี่ปรัชญ์” “งั้นแวะดื่มกาแฟกับพี่ก่อนนะ ข้างหน้ามีร้านบรรยากาศดี กาแฟก็อร่อย” ปรัชญ์ชวนด้วยท่าทีเป็นกันเองทำให้นัสรินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น “ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำและยิ้มบางๆ
บทที่ 93“เปิดดูสิ เปิดตอนนี้เลยนะเล็ก” ปรัชญ์เชียร์ทั้งปาก ทั้งสายตา ทั้งสีหน้าที่เหมือนอยากจะให้เธอได้เห็นเหลือเกินว่าของที่อยู่ในกล่องคืออะไร ซึ่งตอนแรกธรินดากะว่าจะเก็บไว้เปิดพรุ่งนี้เช้า แต่เมื่อสามีคะยั้นคะยอเช่นนั้น เธอจึงต้องค่อยๆ แกะโบที่ผูกอย่างสวยงามนั้นออก ก่อนจะเปิดฝากล่องเป็นลำดับสุดท้าย และแล้วสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นก็ทำให้แก้มนวลแดงซ่าน เธอหยิบมันขึ้นมาดูสลับกับมองคนให้อย่างเขินอายสุดกำลัง“นี่มันอะไรกันคะคุณปรัชญ์”“ก็ชุดนอนไง มีหลายชุดด้วย ผ้าดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ” ปรัชญ์ตอบอย่างรื่นรมย์“แล้วทำไมมันโป๊แบบนี้ล่ะคะ” ธรินดาถามเพราะถึงแม้ว่าชุดนอนแต่ละชุดที่อยู่ในกล่องนั้นมันสวยและผ้านิ่มมากก็จริง แต่มันกลับเซ็กซี่สุดๆ ทุกตัวล้วนแต่คอเว้าลึกอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเวลาใส่จะต้องโชว์เนินอกแน่ๆ แถมยังสั้นเต่อจนเกือบถึงโคนขา บางชุดก็เป็นแบบสองชิ้น ชิ้นบนเป็นเสื้อสายเดี่ยวในลักษณะอวดโชว์เนินเนื้อ ชิ้นล่างเป็นแค่กางเกงชิ้นน้อย เหมือนกับออกแบบมาเพื่อขยี้ใจชายโดยเฉพาะ แล้วเธอจะกล้าใส่ได้อย่างไร“โป๊ที่ไหน เขาเรียกว่าเซ็กซี่ต่างหาก ฉันอยากเห็นเมียเซ็กซี่บ้างไม่ได้เหรอ”“ถ้าชอบผู้หญิงเซ็ก
บทที่ 92แม่เลี้ยงลักษิกายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับธรินดาหญิงสาวที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กและรักเหมือนลูก ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นลูกสะใภ้ของตนอย่างที่หวังไว้จริงๆ แล้ว แม้จะไม่ใช่กับลูกชายคนที่ตัวเองตั้งใจจะให้คู่ด้วยแต่แรกก็ตามที แต่ธรินดาก็ได้แต่งงานกับคนที่เธอรักซึ่งก็เป็นลูกชายของตนเหมือนกัน“แม่ให้เป็นของขวัญแต่งงานนะหนูเล็ก” ธรินดายกมือขึ้นไหว้และรับมาโดยที่ไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร“แล้วของผมล่ะครับ” ปรัชญ์ทวงอย่างไม่จริงจัง เขาไม่ได้ต้องการอะไรอยู่แล้ว เพราะเขาได้ของขวัญที่ดีและมีค่ามากที่สุดในชีวิตซึ่งก็คือผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้นั่นเอง เขาจึงไม่ต้องการอะไรอีก อีกทั้งนับจากนี้ของสิ่งใดที่เป็นของเขาก็จะเป็นของธรินดาด้วยอยู่แล้ว “ไม่มีย่ะ ฉันยกให้ลูกสะใภ้ฉันหมดแล้ว”“เอ...ชักอยากรู้แล้วสิว่าแม่ยกอะไรให้เมียผม”“ก็มรดกทุกอย่างที่เป็นส่วนของแกน่ะสิ”“โหแม่...นี่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกชายตัวเองอีกนะ” ปรัชญ์แกล้งโวยวายเล่นพอเป็นสีสัน“ย่ะ ฉันรักมากกว่ามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”“แล้วอย่างนี้ผมจะมีสมบัติอะไรเหลือไว้ให้เมียน้อยบ้างล่ะ” ปรัชญ์ยังมิวายกวนประสาทคนเป็นแม่แม้แต่ในช่วง
บทที่ 91ปรัชญ์พาธรินดาลงมาจากเวที หญิงสาวขอตัวกับเจ้าบ่าวเมื่อเหลือบไปเห็นสาวน้อยรุ่นน้องผู้ทำหน้าที่เล่นเปียโนให้ปรัชญ์ร้องเพลงเป็นของขวัญวันแต่งงานให้เธอเมื่อครู่นี้ ตอนนั้นจันทริกายืนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่คนเดียวที่มุมห้องคล้ายกับว่ากำลังรอใคร ธรินดาจึงตรงดิ่งเข้าไปหาทันที“จันทร์...”“พี่เล็ก...”“ทำไมมายืนอยู่คนเดียวตรงนี้ล่ะ”“จันทร์ไม่รู้จะคุยกับใครน่ะค่ะ จันทร์ไม่รู้จักใครเลย” สาวรุ่นน้องยิ้มแหยๆ แววตาดูอ้างว้างและตื่นๆ จนคนมองนึกสงสาร“อยากกลับบ้านเหรอ เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปส่งมั้ย” ธรินดาบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นใจดีแต่ก็ได้รับการปฏิเสธด้วยการส่ายหน้า“ไม่เป็นไรค่ะ จันทร์ยังกลับตอนนี้ไม่ได้ คุณตะวันสั่งไว้ว่าให้จันทร์รอ”“อ๋อ...จะกลับพร้อมพี่ตะวันใช่มั้ย”“ค่ะพี่เล็ก พี่เล็กไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ จันทร์อยู่ได้ค่ะ”“งั้นพี่ค่อยสบายใจหน่อย พี่ขอบใจจันทร์มากนะสำหรับทุกๆ อย่างในวันนี้”“จันทร์ยินดีค่ะ เสียดายนะคะพี่ขิมมาไม่ได้ ไม่งั้นจันทร์จะบอกให้พี่ขิมสีไวโอลินให้ด้วย เพลงของคุณปรัชญ์คงเพราะกว่านี้” จันทริกาเอ่ยถึงภัคธีมารุ่นพี่ที่เคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันซึ่งเป็นคนที่มีทักษะทางด้
บทที่ 90“ก็แล้วทำไมคุณปรัชญ์จะต้องล้อเล็กด้วยล่ะคะว่าเสียงครางเล็กเป็นยังไง” เสียงหวานเอ่ยต่อว่าเขาทั้งที่แก้มนวลแดงก่ำ แต่ก็แปลกใจตัวเองที่กล้าตอบโต้เขาแบบนั้น หรือว่าเธอจะซึมซับความเป็นเขาจนเคยชินเข้าแล้วจริงๆ“ล้อที่ไหน ฉันพูดความจริงต่างหาก นะเล็กจ๋านะ ฉันอยากได้ยินเสียงแบบนั้นอีก นี่กี่วันแล้วที่ฉันไม่ได้ยิน จะลงแดงตายอยู่แล้วนะที่รัก” ปรัชญ์ยังทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขี้อ้อนที่เรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ธรินดาแทบไปไม่เป็นเหมือนกัน จึงได้แต่ตอบเขาไปด้วยกลอนของวรรณคดีในเรื่องขุนช้างขุนแผน“อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา”“ฉันขอเถียงว่าไม่จริง”“อย่ามัวแต่เถียงกับเล็กอยู่เลยค่ะ มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำพักผ่อนได้แล้ว” หญิงสาวเอ่ยตัดบท เพราะยิ่งคุยกันนานก็ยิ่งดูเหมือนว่าเธอจะต้านทานลูกล่อลูกชนของเขาไม่ไหว“นี่ฉันกำลังถูกเมียสั่งอยู่ใช่มั้ย” ปรัชญ์เอ่ยสัพยอกอีกพลางลอบถอนหายใจเบาๆ“ไม่ได้สั่งค่ะ แค่เป็นห่วงอยากให้สบายตัว”“จริงเหรอ”“ค่ะ”“ถ้าอยากให้ฉันสบายตัวจริงๆ เธอก็ต้องไปด้วยกัน”ว่าแล้วปรัชญ์ก็ย่อตัวลงช้อนเอาร่างเล็กขึ้นอุ้มทันที“ปล่อยเล็กลงนะคะคุณปรัชญ์...ทำไมจ้องจะเอาเปรี