บทที่ 3
“ปรัชญ์ก็เก่งเหมือนกันละครับแม่ ไม่งั้นจะต่อโทจนจบและได้ทำงานในบริษัทชื่อดังของอเมริกาเหรอครับ เพียงแต่ตอนเรียนปรัชญ์ไม่เอาจริงเท่านั้นเอง แล้วนี่แม่ไม่ได้โทร.บอกปรัชญ์เหรอครับว่าหนูเล็กจะกลับมาวันนี้ ทำไมปรัชญ์ถึงยังไม่กลับบ้าน หรือว่าที่ไซต์งานยุ่ง”
“โทร.สิตาปราณต์ โทร.แต่เช้าแล้วรอบหนึ่ง เมื่อกี้ก็โทร.ไปย้ำอีกรอบ พูดไม่กี่คำก็ตัดสายแม่ทิ้ง ถามว่าอยู่ไหนก็ไม่บอก แต่ไม่ได้อยู่ที่ไซต์งานหรอก เพราะแม่โทร.เช็กกับหัวหน้าคนงานแล้ว เฮ้อ...ถ้าไม่อยู่กับผู้หญิงคนไหนสักคนก็คงอยู่บ้านตาตะวันนั่นละ ช่างเถอะอย่าไปสนใจเลยนะหนูเล็ก พ่อคนนี้ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปทางลูกสาวบุญธรรมซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ตน ธรินดาได้แต่เพียงยิ้มบางๆ เพราะไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าปรัชญ์จะต้องให้ความสำคัญกับการไปการมาของเธอ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยแสดงออกสักครั้งว่าเอ็นดูเธอ หนำซ้ำยังทำท่ารำคาญและตวาดใส่เวลาที่เธอพยายามจะเข้าไปทำดีด้วย เธอจึงไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ขณะเดียวกันตอนนี้คนที่ถูกพูดถึงกำลังนั่งดื่มอยู่กับเพื่อนสนิทที่บ้านของเขา ตะวันหรือรังสิมันต์เป็นทั้งญาติและเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก รังสิมันต์เพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อสี่เดือนก่อนและก็เกิดเรื่องร้ายเกิดขึ้น เพราะภรรยาของรังสิมันต์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ รังสิมันต์จึงอยู่ในภาวะของคนซึมเศร้าและโมโหร้าย ซึ่งคนที่คอยรองรับอารมณ์อันน่ากลัวของรังสิมันต์ตอนนี้ก็คือจันทริกาน้องเมียของรังสิมันต์นั่นเอง
ปรัชญ์ลุกไปรับโทรศัพท์ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมานั่งลงที่เดิม และรังสิมันต์ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่โทร.มาเป็นใคร เมื่อเห็นปรัชญ์มีสีหน้าเซ็งๆ ตอนที่เดินกลับมานั่ง
“ป้าลักษณ์โทร.มาเหรอ”
“อือ…โทร.มาตามให้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เมื่อเช้าก็โทร.ทีหนึ่งแล้ว นี่ก็โทร.มาอีก เห็นบอกว่าวันนี้ลูกสาวคนเล็กจะกลับมา อยากให้ฉันกลับไปกินข้าวเย็นด้วย” ปรัชญ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสีหน้า
“แล้วทำไมแกไม่กลับ ป้าคงอยากให้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“ไม่ละ ขาดฉันสักคนคงไม่ถึงกับกลืนข้าวกันไม่ลงละมั้ง”
“ไอ้บ้า! แกนี่มันก็ปากเสียไม่เลิกจริงๆ แขวะได้ไม่เว้นแม้กระทั่งกับแม่ตัวเอง” รังสิมันต์ส่ายหัวนิดๆ กับพฤติกรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนของปรัชญ์ในเรื่องชอบงัดข้อกับผู้ป็นแม่ แต่เขาก็ชินกับนิสัยแบบนี้ของเพื่อนสนิทเสียแล้ว เพราะปรัชญ์เป็นคนไม่ยอมคนและไม่ชอบกฎเกณฑ์ใดๆ มาตั้งแต่เด็ก จึงมักมีเรื่องชกต่อยและถูกเชิญผู้ปกครองไปที่โรงเรียนอยู่เป็นประจำ บางทีก็พ่วงเขาไปด้วย
“ทำไงได้ ขัดใจใครก็ไม่สนุกเท่ากับขัดใจแม่เลี้ยงลักษิกานี่หว่า”
“แกมันไอ้โรคจิต ชอบแกล้งแม่ตัวเอง”
“แล้วแกล่ะ ทำใจได้หรือยังเรื่องเมียแก”
สีหน้าและแววตาของรังสิมันต์เคร่งขรึมลงไปทันทีเมื่อถูกถามเช่นนั้น มือจับแก้วเหล้าสาดลงคอ ก่อนจะเค้นเสียงต่ำลอดไรฟันออกมาด้วยไฟแค้นที่ยังสุมอก ไม่ว่าเวลาจะค่อยๆ ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ตาม เขาก็ไม่มีวันลืมเหตุการณ์ร้ายๆ ในวันนั้นได้ง่ายๆ
“ไม่มีทางหรอกปรัชญ์ ฉันไม่ได้เสียแค่เมียแต่ยังเสียลูกด้วย และคนที่ทำให้ฉันสูญเสียก็ต้องเจ็บแบบตายทั้งเป็นพอกัน”
“แกใจเย็นๆ นะ เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
มือใหญ่แข็งแรงของปรัชญ์ตบลงบนบ่าของรังสิมันต์เบาๆ เป็นการปลอบใจที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานั้น เขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียเช่นกัน ตอนที่พ่อเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุเขาก็แทบจะคลั่ง เพราะพ่อคือคนที่เขารักมากที่สุด ในขณะที่กับแม่นั้นเขาไม่ค่อยจะลงรอยด้วยสักเท่าไหร่ เพราะแม่ชอบขีดเส้นให้เขาเดิน และเขาก็ต่อต้านด้วยการเดินออกจากเส้นที่แม่ขีดไว้ให้เสมอ
การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงบวกกับการต้องทำรายงานและทบทวนตำราเรียน ทำให้ธรินดานอนดึกเกือบเที่ยงคืนเป็นประจำ ดังนั้นพอกลับมาอยู่บ้านในวันแรกร่างกายจึงยังปรับตัวไม่ได้ เธอเลยต้องพาตัวเองออกมาเดินเล่นในสวนที่จัดตกแต่งได้อย่างสวยงามและกลมกลืนกับธรรมชาติที่อยู่ติดกับตัวบ้านเช่นนี้
แสงไฟนวลตาที่ลอดผ่านโคมสีขาวซึ่งตั้งประดับประดาอยู่ในสวนหย่อม ทำให้บรรยากาศในยามค่ำคืนของคุ้มลักษิกางดงามไม่น้อยไปกว่าตอนกลางวันแต่อย่างใด เท้าเล็กๆ ก้าวย่างไปตามพื้นหญ้าสีเขียวสุดนุ่มเท้า มือทั้งสองไพล่ประสานกันอยู่ด้านหลัง ตามองไปยังดอกลีลาวดีสีขาวที่ตอนนี้กำลังบานสะพรั่งเต็มต้น และส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาพร้อมกับดอกแก้วที่ปลูกอยู่ตามมุมต่างๆ ของสวน ทำให้ยิ่งอยากดื่มด่ำกับความสวยเย็นตาเย็นใจของธรรมชาตินั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าความรื่นรมย์ของอารมณ์ที่กำลังทอดไปนั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มเข้ามาพร้อมกับแสงไฟสว่างจ้าจากหน้ารถที่สาดเข้ามาปะทะยังเธอเต็มๆ ทำให้ร่างบางซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ต้องยกมือเล็กขึ้นป้องสายตาจากแสงอันเจิดจ้า ซึ่งมีผลกระทบทำให้ตาถึงกับพร่ามัวไปชั่วขณะ
บทที่ 4รถคันนั้นจอดยังลานหน้าบ้าน ก่อนที่คนขับจะเปิดประตูลงมา ตาที่ยังพร่ามัวอยู่นิดๆ เพ่งมองไปยังคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถ และเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นใคร เธอก็รีบขยับไปหลบฉากที่หลังพุ่มกระดุมทองอย่างตกใจ แต่ทว่าก็ยังไม่ไวเท่ากับสายตาของเขา ร่างสูงสาวเท้ายาวๆ ตามมาทันทีพร้อมกับเอ่ยเสียงดุๆ ขึ้น“นั่นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น”“...”เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ ธรินดายอมรับว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงโครมครามไปหมดเพราะกลัวเสียงดุๆ นั้นจนไม่กล้าตอบ อีกทั้งไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะได้เจอปรัชญ์ในเวลานี้“ฉันถามว่าใคร ออกมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปลากตัวออกมาเอง”ปรัชญ์ไม่แค่ขู่แต่ยังขยับเข้าไปใกล้หลังพุ่มไม้เล็กๆ ที่ร่างบางหลบซ่อนอยู่ ทำให้ธรินดาต้องค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากที่กำบังของตัวเองและเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก“สวัสดีค่ะคุณปรัชญ์”มือเล็กยกขึ้นไหว้พร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ขณะมองคนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าอย่างเผลอสำรวจโดยไม่รู้ตัวไม่ได้เจอกันหลายปี ปรัชญ์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หุ่นที่เคยเก้งก้างสมัยวัยรุ่นตอนนี้บึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้าม โดยเฉพาะช่วงหน้าอกและ
บทที่ 5วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ธรินดากลับมาอยู่บ้านในช่วงการปิดเทอม แต่กลับเป็นวันแรกที่ลูกชายคนเล็กของแม่เลี้ยงลักษิกายอมกลับบ้านมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับครอบครัว คนซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านพอใจจนยิ้มแก้มแทบปริ แม้ว่ากว่าจะตามปรัชญ์ให้กลับบ้านได้จะเหนื่อยในการโทร.จิกอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม“คลินิกทำไปถึงไหนแล้วตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะหันไปถามลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของตน โดยปรัชญ์นั่งอยู่ถัดจากพี่ชาย ส่วนธรินดานั่งทานอาหารเงียบๆ อยู่ด้านซ้าย“เกือบเสร็จแล้วครับแม่ เดือนหน้าก็น่าจะเปิดได้”“จะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอลูก ไหนจะต้องทำงานที่โรงพยาบาล ไหนจะต้องมาดูแลคลินิกอีก ตรวจโอพีดีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”“อีกสองเดือนผมก็ไม่ต้องตรวจโอพีดีแล้วละครับ ตอนนี้มีหมอมาบรรจุใหม่หลายคน ทางโรงพยาบาลจะให้หมอใหม่ตรวจโอพีดีแทน ส่วนผมก็ตรวจคนไข้ใน น่าจะพอมีเวลาดูคลินิกครับ แต่คงไม่ได้ทำคนเดียว คงหาผู้ช่วย ไม่งั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน”“ความจริงไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อยเลย ทำงานที่โรงพยาบาลอย่างเดียวก็พอ เย็นก็กลับมาพักผ่อน เงินทองบ้านเราก็พอมีไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำไมไม่เอาเวลามาพักผ
บทที่ 6หลังจากกลับเข้าบ้าน ตั้งใจจะขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอนเลย แต่หญิงสาวรู้สึกอยากจะดื่มอะไรเย็นๆ จึงแวะเข้าครัวก่อน เสียงกรุ๊งกริ๊งของช้อนที่กระทบกับแก้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอแว่วมาพร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมฉุย ธรินดาคลี่ยิ้มออกมานิดๆ เพราะชอบดมกลิ่นหอมๆ ของมัน แม้ว่าปกติจะเป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ตาม เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าคนที่กำลังชงกาแฟคือบัวคำนั่นเอง“พี่บัวคำนี่เองนึกว่าใคร” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทักทายขณะเดินตรงไปยังตู้เย็นและหยิบน้ำออกมารินใส่แก้ว“คุณหนูเล็ก...ยังไม่ขึ้นบ้านอีกเหรอคะ”“ยังค่ะ พอดีเล็กออกไปเดินเล่นมาน่ะค่ะ หิวน้ำก็เลยแวะมาดื่มน้ำก่อน ว่าแต่พี่บัวคำจะดื่มกาแฟเหรอคะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลานอนแล้วระวังจะนอนไม่หลับเอานะ”“พี่ไม่ได้ชงดื่มเองหรอกค่ะ แต่จะชงให้คุณปรัชญ์ เธอสั่งไว้เมื่อกี้นี่เอง อุ๊ย!” บัวคำซี้ดปากในตอนท้ายพร้อมทั้งทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมท้องตัวเอง“เป็นอะไรไปคะพี่บัวคำ” ธรินดารีบถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของบัวคำ“พี่บัวคำปวดท้องค่ะ ท้องเสียตั้งแต่ตอนบ่ายๆ แล้ว ตอนนี้เหมือนจะต้องรีบเข้าห้องน้ำอีกแล้ว พี่บัวคำวานคุณหนูเล็กเอ
บทที่ 7วันนี้เป็นวันพระใหญ่ตรงกับแรมสิบห้าค่ำพอดี ธรินดาลุกขึ้นมาแต่เช้าทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรช่วยบัวคำ เสร็จแล้วปั่นจักรยานไปตัดดอกกุหลาบสีขาวที่แปลงบนเนินหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปใส่บาตรหน้าบ้านที่ตอนนี้สาวใช้ตั้งโต๊ะไว้รอเรียบร้อยแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีขาวทั้งชุดลงมาพอดี เมื่อธรินดาเจอแม่บุญธรรมในชุดเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มหู“แม่ใหญ่จะไปวัดเหรอคะ”“ใช่จ้ะหนูเล็ก แม่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสักสามสี่วัน พอดีแม่เลี้ยงแสงหล้าโทร.มาชวนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนแรกแม่กะจะชวนหนูเล็กไปด้วย แต่เห็นว่าเพิ่งจะปิดเทอมก็เลยอยากให้พักผ่อนก่อน เอาไว้รอบหน้าค่อยไปด้วยกันนะลูก”“ค่ะแม่ใหญ่”“อ้อ...แม่ลืมบอก เมื่อวานนี้แม่ไปหาหลวงตาที่วัดมาแล้วนะ ได้ฤกษ์หมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสรินแล้ว วันที่สิบเดือนหน้าเลย เร็วทันใจแม่จริงๆ แม่โทร.ปรึกษากับทางโน้นแล้วว่างานหมั้นจะจัดเล็กๆ ส่วนงานแต่งค่อยจัดแบบงานช้าง ว่าแต่ตอนงานหมั้นของตาปรัชญ์หนูเล็กเปิดเทอมหรือยัง”“เปิดแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กปิดเทอมแค่สองอาทิตย์เองค่ะ”“งั้นหนูเล็กก็อยู่กรุงเทพฯ พอดี หนู
บทที่ 8ปัง! ปัง! ปัง!เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นกลางดึกทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ธรินดาลุกขึ้นนั่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เมื่อไม่แน่ใจหญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง เอาหูแนบประตูจึงรู้ว่าเสียงเคาะที่ดังแบบไม่เกรงใจนั้นมาจากหน้าห้องของตนนี่เอง“ใครคะ” เสียงหวานถามออกไปโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูตามสัญชาตญาณระมัดระวังตัวยามอยู่คนเดียว“ฉันเอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้ธรินดา” เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ได้แค่ตอบแต่ยังออกคำสั่งไปพร้อมกันด้วยธรินดาตกใจมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ที่บ่งบอกความเอาแต่ใจนั้นอย่างชัดเจน เธอจำได้ดีทีเดียวว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ปรัชญ์กลับมาบ้านคืนนี้ แถมมาเคาะห้องเธอดึกๆ แบบนี้ ไม่แคล้วคงจะมาหาเรื่องเธออีกเป็นแน่“คุณปรัชญ์มีอะไรคะ” ธรินดาถามกลับไป แต่ยังไม่คิดจะเปิดประตูให้ตามคำสั่งของคนข้างนอกง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าคนคนนั้นชอบระรานตัวเองแค่ไหน“นี่เธอจะไม่เปิดใช่ไหม”“ถ้าคุณปรัชญ์มีอะไรจะให้เล็กช่วยก็บอกมาสิคะ หรือถ้ามีเรื่องอยากคุยกับเล็กเอาไว้คุยพรุ่งนี้เถอะค่ะ”หลังจากธรินดาบอกเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าปรัชญ์เงียบไป และคล้ายกับจะได้ย
บทที่ 9แสงไฟจากหัวเตียงสาดส่องลงมายังสองร่างที่ฝ่ายหนึ่งนอนหงายอยู่เบื้องล่างโดยมีร่างกำยำนอนเกยทับอยู่ ธรินดามองหน้าปรัชญ์ได้ชัดกว่าตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตู เช่นเดียวกับที่สายตาคมของเขาเองก็จ้องมองลงมาที่ใบหน้าเนียนละเอียดของเธอเช่นกัน ประกายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนก ไม่คิดว่าแค่ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ตัวเองจะมานอนอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธออยากจะวิ่งหนีเขามากที่สุดชายหนุ่มเพ่งมองเจ้าของเตียงที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็กๆ ยังพยายามบิดเพื่อให้พ้นจากมือเขา เช่นเดียวกับที่เรือนกายแสนนุ่มนิ่มก็ยังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีสั่นระริก สายตาฟ้องชัดว่าตื่นกลัวกับการมีเขาทาบทับอยู่บนร่างเล็กๆ และรวบมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้แค่ไหน...ให้ตายเถอะธรินดา เธอไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุ ให้เขาอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...“อย่ารังแกเล็กเลยนะคะ...” เสียงหวานร้องห้ามปรามเขาออกมา ทั้งๆ ที่ความหวังของตัวเองช่างน้อยนิด เพราะเธอรู้ดีว่าหากปรัชญ์คิดจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ“ถ้าเธอไม่คิดถึงฉันจริงๆ
บทที่ 10ธรินดาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเดียวกับทุกเช้า ทว่าเช้านี้หญิงสาวไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นเหมือนเช่นเคย ความรู้สึกผิดและความเศร้าหมองเกาะกินหัวใจจนปวดร้าว ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ กับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปอย่างไม่อาจเรียกร้องกลับคืน ครั้นจะให้โทษว่าเธอถูกปรัชญ์ข่มเหงรังแกก็พูดได้ไม่เต็มปากเลยสักนิด เพราะเขาบอกแล้วว่าหากเธอปฏิเสธเขาก็พร้อมจะหยุด ธรินดาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด ทำไมสมองถึงไม่สั่งการ ทำไมร่างกายมันถึงได้มีปฏิกิริยาสวนทางกับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ทำไมไม่ต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด ทำไมเมื่อคืนนี้ตัวเองถึงได้เหมือนกับเนยเหลวโดนอังไฟ ปรัชญ์กลับห้องนอนของเขาหลังจากที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วายจูบแก้มซึ่งนองด้วยน้ำตาของเธอหนักๆ ก่อนจะลุกจากเตียงออกไปอย่างเฉยชา เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ธรินดาอยากจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน หากร่างกายที่ยังคงปวดแปลบอย่างชัดเจนในบางส่วนก็ฟ้องชัดว่า...นับแต่นี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว!ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะอาบน้ำชำระล้างราคีออกไปจากใจและกาย ทว่าดวงตาที่ฝ้าฟางไปด้วยม่านน้ำ
บทที่ 11วันนี้หน้าคุ้มลักษิกาที่เคยมีโต๊ะใส่บาตรตั้งอยู่เป็นประจำ ปราศจากภาพอันคุ้นเคยตา เมื่อแม่เลี้ยงเจ้าของคุ้มไปปฏิบัติธรรมและลูกสาวคนเล็กก็ของดเว้นการทำบุญหนึ่งวันร่างบางปั่นจักรยานมาจอดข้างๆ ถังขยะใบใหญ่ ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ขณะที่มือเล็กหย่อนห่อฟอยล์ที่พันด้วยกระดาษทิชชูอย่างแน่นหนาลงไปในนั้นจักรยานคันเดิมถูกปั่นกลับเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำกำลังแล่นออกมาจากโรงรถ แม้จะมองเห็นแต่ไกล ก็รู้ว่าเป็นรถของปรัชญ์ ปรัชญ์ใช้รถกระบะเพราะช่วงนี้เขาต้องไปคุมไซต์งานโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มก่อสร้าง แม้จะอยู่บนถนนคนละเลน แต่ธรินดาก็ไม่อยากจะปั่นจักรยานสวนกับเขาเลย หญิงสาวมองตรงอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไปยังถนนอีกเลนตอนที่รถของปรัชญ์แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเสียงหวานก็ต้องร้องวี้ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ขับรถกระบะหักพวงมาลัยข้ามเลนมาจนเกือบชนกับรถจักรยานของเธอ สัญชาตญาณทำให้ธรินดารีบหักหลบเข้าข้างทางที่เป็นสนามหญ้า จักรยานของเธอเสียหลักจนเกือบล้มแต่ดีว่าเบรกทันปรัชญ์หยุดรถแล้วเปิดกระจกด้านข้างออกมามองคนที่กำลังประคองจักรยานอย่างทุลักทุเล