สมองครุ่นคิด แล้วจอมภูใช้ไหวพริบตอบ
“อ๋อ สนามหลวงครับ เอ้อ ผมเพิ่งมาจากต่างจังหวัด แล้วก็ไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง นะฮะช่วยบอกหน่อย เผอิญผมมีธุระ ที่จะต้องไปหาญาติทางนั้น”
เขาพูดโกหกได้แนบเนียน
และหล่อนต้องหลงติดกับดักของเขา
ก็พอดีเลยกับรถเมล์คันหนึ่ง ที่แล่นโผล่หัวเข้ามาเป็นเส้นทาง ไปบ้านของหล่อนนั่นเอง
“เอ้อ ต้องขอโทษนะคะคุณ ฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบหล่อนรีบผละไปจากเขาทันที
และเขานั้นก็รีบตามหล่อนไปทันที ซึ่งมีคนรอขึ้นอีกสามคนและมณีรัชดาไม่ได้สนใจมองดูด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาเดินตามหลังมาเงียบ บนรถเมล์ที่นั่งว่างและค่อนข้างโล่ง แปลกใจเหมือนกัน
อาจจะเป็นเพราะก่อนนั้นคนที่นั่งมาลงป้ายสวนสาธารณะนี้มีทั้งหมดสิบกว่าคน
ที่นั่งจึงดูโล่ง สวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจคนกรุงเทพ
หากแต่มณีรัชดาไม่ทันสังเกต ขณะที่เธอทรุดนั่งเบาะสายตามองตรงแต่พอรถแล่นสักพัก ผู้ที่ทรุดนั่งเบาะหลังขยับตัว และยกมือขึ้นเปิดหน้าต่างกระจก
พอเขายกมือเปิดหน้าต่าง ข้างขอบอีกด้านหนึ่งอยู่ฝั่งของหล่อน มณีรัชดาจึงคิดยกมือช่วย เพราะหล่อนต้องการให้ลมพัดระบายไม่ให้ร้อนอ้าว ถ้าลมถ่ายเทได้สะดวก
“ดิฉันจะช่วยค่ะ”
เอ่ยโดยไม่เงยมองหน้าแต่ มณีรัชดา รู้สึกคุ้นหู
“ขอบคุณครับ” จึงเงยหน้ากลับไป
“อ้าว คุณ คุณนี่เองไม่ใช่สายนี้นะคะ ที่คุณจะไปสนามหลวงสายนี้ไปตลาดพลู ฝั่งธน ผ่านวงเวียนใหญ่ไปสุดที่บางแคค่ะ”
พยายามตอบเขาด้วยความรู้สึกดี แนะนำอีกฝ่ายที่ถูกต้องเพื่อให้คำตอบ
หากแต่ฝ่ายชายหนุ่มยังทำสีหน้าเซ่ออึกอักและตีสีหน้าแบบเหมือนไม่รู้อะไรสักนิดเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง และยิ้มให้หล่อน
“เอ้อ ไม่เป็นไรครับ นั่งไปก่อน พออยากลงผมจะลงเอง คุณช่วยบอกหน่อยก็ได้ครับว่าผมต้องไปต่อรถที่ไหนอีก นี่ผมก็ขึ้นตามคุณ”
อ้างถึงหล่อนอีกครั้ง อย่างส่งเดช
ทำให้มณีรัชดาขมวดคิ้ว และจะให้หล่อนตอบคำถามเขาหรือ เอนี่ชักไม่ได้เรื่องแล้ว และไม่น่าไว้ใจเสียด้วย ฉุกใจคิดแล้วพยายามระวังตัว
มณีรัชดาเงียบไปนานมาก
พอหล่อนเงียบเขาจึงเอ่ยเหมือนชวนคุย
“เอ้อ คุณครับ ที่คุณบอกว่าผ่านวงเวียนใหญ่ ไปถึงบางแคนี่ ผมขอลงที่บางแคด้วย”
“อ้าว แล้วคุณจะไปทำไมคะ”
มณีรัชดาเสียงเข้มทันที บวกกับรู้สึกไม่ไว้ใจแล้ว เสียงไม่ได้นุ่มอ่อนเหมือนทีแรก เพราะมีความรู้สึกว่าเขาเหมือนจงใจถามหล่อน
ฝ่ายจอมภู กำลังหาคำตอบให้หล่อนอยู่
“เอ้อ โทษทีผมลืมไปว่ามีญาติอยู่ที่บางแคอีกคน แล้วญาติคนนี้ก็น่าจะรู้ บ้านญาติของผมที่อยู่แถวสนามหลวง จะให้เขาช่วยหาจะง่ายกว่าถ้าผมไปเองคงมึนงงเหมือนเคยเพราะผมบอกแล้วว่า ผมไม่เคยเข้ามากรุงเทพเลย ผมไม่เคยจริง”
สีหน้าของเขานั้นพยายาม ให้มันแนบเนียนที่สุด
“ก็พอดี คุณพูดถึงแถวบางแค”
มณีรัชดาเงยหน้าจ้องเขาเหมือนไม่สนใจสักเท่าไหร่
“ก็ตามใจคุณค่ะ ฉันจะบอกคุณแค่บางแคเท่านั้นล่ะ ต่อจากนั้นคุณตามหาเอาเองก็แล้วกัน”
มณีรัชดาเอ่ยเหมือนตัดบท
อึดใจเดียวรถผ่านตลาดพลู แล้วก็วงเวียนใหญ่เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินในภาพทรงม้าเด่นเป็นสง่า มณีรัชดาอดไม่ได้ที่จะยกมือไหว้สักการะพระองค์ท่าน เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ที่ระลึกได้
ชายหนุ่มแปลกใจที่เห็นหล่อนยกมือไหว้ และเขาเลยยกมือไหว้ตาม ตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทย ไม่เคยยกมือไหว้อนุสาวรีย์แห่งนี้เลย เพราะไม่เคยผ่านแวะมาเส้นทางนี้ ครั้นพอถึงเส้นต้นถนนเพชรเกษม จอมภูใช้สายตาสลับมองสองฟากที่นี่มีบ้านเรือนของผู้คนสลับกับร้านค้าโรงงาน รวมทั้งมหาวิทยาลัย
ถึงตลาดบางแค มณีรัชดาไม่ลงที่ตลาด เขาแปลกใจ มีคนอื่นทยอยลงไป เมื่อหล่อนยังนั่งอยู่ เขาก็แอบลุกแต่ไม่ได้ลงตามคนอื่นพาตัวเองไปนั่งหลบหล่อนอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับหล่อน และบดบังสายตา
มณีรัชดาคงแน่ใจเหลือเกินว่าเขาได้ลงไปแล้ว
เห็นหล่อนชำเลืองสายตาไปทางด้านหลัง แต่ก็ไม่เห็นเขาที่อยู่อีกสี่แถวถัดไป เพราะก้มหลุบใบหน้าลงต่ำ
ซึ่งหล่อนตัดสินใจลงรถที่ป้ายรถเมล์ถัดมาเป็นทางแยกฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกขนาดใหญ่ดูเหมือนซอยนี้จะเป็นซอยขนาดใหญ่เพราะมีรถเข้าออกตลอดเวลามีไฟจราจร
เห็นมณีรัชดาลุกจากเบาะ พร้อมด้วยผู้โดยสารอีกห้าคนที่เตรียมตัว หล่อนก้าวลงแล้วเมื่อรถจอด
จอมภูแทบทะลึ่งตัวเองจากเบาะเดินแกมวิ่งเพื่อ เพื่อให้ตัวเองลงทัน ก่อนที่รถจะออก
รอดหวุดหวิดก้าวลงเป็นคนสุดท้าย พยายามสอดส่ายตามองหามณีรัชดา นั่นไงมองเห็นแล้ว
หล่อนกำลังเดินตรงไปที่วินมอเตอร์ไซค์ มีคิวที่ต่อสามคน ทำไงดี เอาล่ะ
รถแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่งรีบโบกให้หยุดทันที ตัดสินใจก้าวผลุบเคียงข้างคนขับโดยบอกแค่ว่า
“ขับไปเลยครับ ถึงเมื่อไหร่แล้วจะบอก”
คนขับเห็นว่าผู้โดยสารค่อนข้างมีฐานะ จึงออกรถและท่าทางไม่ได้เรื่องมาก พอรถกำลังขึ้นสะพาน จอมภูหันหน้ามองไปข้างหน้าและหลังตลอดเวลา เพื่อสังเกตหล่อนบอกกับคนขับว่า
“ช่วยชะลอรถลงหน่อยครับผมจะตามแฟนผมที่นั่งมอเตอร์ไซค์ ไม่รู้จะไปไหน ผมอยากรู้ แล้วลุงจะคิดค่าโดยสารเท่าไหร่ผมไม่ว่า”
หัวสมองแล่นปราดจอมภูพูดออกมาทันที แล้วรู้สึกสบายใจ เขาคิดว่ามณีรัชดาต้องนั่งรถมาแน่ และก็เห็นจริง หลังจากที่แท็กซี่หยุดจอด เขาก็บอกว่า
“นั่นไงครับ มอเตอร์ไซค์วินคันนี้ ตามมันไปให้ได้”
คนขับขับตามทันทีเห็นมอเตอร์ไซค์คันเป้าหมาย พยายามสังเกตตลอดเวลาผ่านซอยที่สอง-ห้า เห็นรถที่ซ้อนท้ายชะลอบริเวณสามแยก
ช่วงวินาทีนั้นจอมภูก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงลุ้นตาม พอสักพักถนนโล่ง มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวจึงแล่นพรวดเข้าไปทันที รถแท็กซี่มีรถเก๋งจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเช่นกัน กั้นหน้า แต่ก็ขับแล่นตามมาติด มองเห็นมอเตอร์ไซค์วินคันเดียว แล่นผ่านถนนในซอยชะลอหยุดที่ตรงลูกระนาด ในที่สุดตามมาทัน จอมภูพยายามเบี่ยงหลบเพื่อไม่ให้มณีรัชดามองเห็นร่างเขา ทีนี้เห็นชัดแล้ว เกือบท้ายซอยนี่เอง ที่หล่อนลงจากรถแล้วควักเงินจ่ายค่าโดยสาร หนุ่มมอเตอร์ไซค์ตีรถกลับ รถแท็กซี่ตามคำสั่งของชายหนุ่ม จอมภูกวาดสายตาเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านที่เป็นลักษณะทาวเฮาส์ ค่อนข้างเก่า มีรั้วอัลลอยด์แบบเก่า หล่อนก้าวเข้าไปในประตูเล็ก ทีนี้รู้แล้วอยู่บ้านหลังนี้นี่เอง จอมภูบันทึกภาพลงสมองคนขับเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าไงครับ คุณ จะลงตรงนี้หรือเปล่า” จอมภูสั่นหน้า “ไม่ครับ ผมแค่รู้ก็พอแล้ววันหลังจะตามมาที่นี่เองกลับเถอะไปส่งผมที่” จอมภูบอกเส้นทางกลับบ้านที่เป็นคฤหาสน์หลังงามแถวถนนศรีนครินทร์หัวหมาก แต่ลืมไปว่ารถคันหรูตัวเองก็เอามา ด้วยเช่นกันหากแต่เขาจอดหลบไว้ที่อาคารจอดรถของ บริษัท เพื่อนแถวสีลม
โดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด ภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา “วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล” ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง “นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา” เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิดเมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถามเขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล “ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน” เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแ
ยิ่งน่าคิดเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคาดเดาได้อย่างไร ว่าแฟนสาวของเขาคือใคร แน่นอนภูวพลไม่เคยเปิดปากบอกใครเรื่องนี้สักนิด จึงตั้งใจเป็นครั้งแรกด้วยความกล้าหาญแบบลูกผู้ชายคือต้องบอกกับบิดาและมารดาให้ทราบเสียก่อนว่าเขาจะมีแฟน แค่นี้ล่ะเหมือนเกริ่นบอก เขาคิดว่าพี่ชายคงไม่รวดเร็วที่จะชิงบอกในเรื่องนี้ มันเรื่องของเขาเองแท้พี่ชายก็ยุ่งไม่เข้าท่าภูวพลไม่ค่อยพอใจพี่ชายยิ่งนัก อารมณ์เขายังปั้นปึ่งอยู่ ยิ่งพูดถึงหน้าพี่จอมภู เขาไม่อยากนึกและเอ่ยถึงสั่นไหม? ยอมรับกับตัวเองเหมือนกันเมื่อกล้าเข้ามาหาบิดา และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดสักหน่อย เพื่อเรียกกำลังที่เข้มแข็งของตนเอง ก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อให้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อให้บิดารับรู้ นายภาสเงยสายตาขึ้นมองละสายตาจากหนังสือพิมพ์รอบเช้าในมือ ขาประจำก่อนเอ่ยถาม “อ้าว เจ้าพลนี่เอง มีอะไรจะคุยกับพ่อหรือยังไงแกถึงเดินมาที่นี่” เพราะปกตินั้นนอกจากภูวพลจะตื่นสายแล้วไม่ค่อยกรายย่างมาที่โซฟารับแขกสักเท่าไร เขามักจะเลี่ยงเข้าครัวเพื่อหาอะไรดื่มทานไปตามประสา พวกอาหารเสริมยามเช้าบ้าง นมอุ่นๆที่ค
เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว” ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้ “ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง” เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่ จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่
“สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียงวันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกัน มณีรัชดาไงแม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเ
“คุณเนี่ยนะ มาเดินเล่นที่สวนลุม” มณีรัชดาเริ่มสีหน้าไม่พอใจบ้างนี่มันเรื่องของหล่อน แล้วแววตาของหล่อนบึ้ง ทำไมล่ะเขามากักกันสิทธิ์ของหล่อนหรือยังไง จึงย้อนถาม “ทำไมคะผู้หญิงเข้ามาเดินสวนลุมเป็นยังไงหรือ ผิดด้วยหรือคะ” “มันดูไม่ดี เขาจะกล่าวหาว่ามาอ่อยเหยื่อล่อเอ้อ ดักผู้ชายแถวนี้ไงครับ”เขาต้องหนีบความสุภาพเอาไว้ก่อนวาจาร้ายแดกดันคอยเอาไว้ใช้เฉพาะยามที่ต้องการแค่นี้ ต้องการให้นางสมันน้อยตายใจก่อน มณีรัชดาแปลกใจกับผู้ชายคนนี้ เหมือนเขาประชดหล่อน หากแต่หล่อนไม่สนใจหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เผอิญมาพบเจอกันครั้งที่สอง “คุณคงทำงานอยู่แถวนี้ แต่มีเวลาเหลือเฟือมาเดินเล่นหรือคะ” “เป็นเพราะผมนัดลูกค้าเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลานัดครับ”เขาจำใจปดหล่อน มณีรัชดาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนักหรอก หากแต่ก็พยักหน้า “ค่ะคุณเลยมีเวลาว่างถมเถ” วาจาหล่อนย้อนเหน็บก็ไม่เบานี่ “แล้วคุณล่ะ ทำงานที่ไหนครับ” “เอ้อฉันตกงานอยู่ค่ะ”มณีรัชดาหันมาตอบเขา“ “ยังหางานทำไม่ได้”ตอบแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นชายหนุ่มทราบแต่เขาก็เอ่ย
เห็นเพื่อนสีหน้าตึงอย่างนี้ จตุทิศเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “งั้น ก็เท่ากับหล่อนจะกลายเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของนายล่ะสิ” เลยทำให้อีกฝ่ายกลับเหยียดริมฝีปากบิดเบ้ใต้กรอบดวงหน้าคมคายหล่อเหลา จนเพื่อนรับรู้เมื่อเขาย้อนคำเหยียด “เป็นน้องสะใภ้นะหรือ เฮอะ ฝันไปไกลแล้วมั้ง ไม่มีทาง ฉันนี่ละ จะกีดกันผู้หญิงคนนี้ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เข้าใกล้น้องชายฉัน” และจอมภูก็เผลอเสียงเข้มประกาศออกมาให้เพื่อนช่วยรับรู้ ครั้นเมื่อจตุทิศรู้ว่าอารมณ์ที่ฮึดฮัดของเพื่อนรักในยามนี้นั้นมันประจุด้วยไฟแค้นที่โชนลึกในดวงตายามแสดงออกมาแววตาเขาแดงก่ำและ ถมึงทึง “หล่อนชื่ออะไร” “มณีรัชดา” “ชื่อเพราะนี่”เพื่อนรักนึกชม “ชื่อเพราะ แต่จิตใจไม่เพราะเหมือนชื่อก็ได้..พอเห็นน้องชายฉันมีเงินก็เอาตัวเองมาหว่านเสน่ห์ใกล้ๆแต่นายรู้มั๊ยฉันมีแผนแล้ว” หันมาตอบเพื่อนแล้วมุมฝีปากขยับยิ้มเหยียด ก่อนหรี่ดวงตาหันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ฉันจะให้เจ้าดลช่วย” ทำให้เพื่อนสนิทเลยอุทานออกมา “เฮ้ยไอ้ดล นั่นถนัดภาพนู้ดนะเว้ยจอม” จอมภูยังเอ่ยตอบสีหน้าเ
ฮึ ทำให้หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่นั้นเดือดจัด ด้วยดวงตาที่วาวเข้มที่น้องชายคนเดียวนั้นก็ไม่เชื่อฟัง หลงมืดมัวถลำบอดไปกับความรักของมัน ฮึ ความรักที่กัดก้อนเกลือกินของทั้งคู่นะสิ หากแต่จอมภูกลั้นใจทนฟังต่อ และกายไม่เคลื่อนไหวใดอันจะทำให้น้องชายจับผิดได้เพราะเขาก็ซุ่มตัวอยู่เงียบๆในเวลานี้ “พลแทบจะคิดถึงณีมากนี่ คิดถึงจนลมหายใจเข้าออกเลยนะเอ้อนี่ถามณีหน่อยเรื่องสมัครงาน เขาโทร.มาตามอีกบ้างหรือเปล่า” เมื่อภูวพลเอ่ยถามเรื่องนี้ มณีรัชดาเงียบไปครู่และหม่นลงด้วยสีหน้าที่ผิดหวังขึ้นมา “ยังจ้ะ ไม่เห็นเรียกตัวเลยสักที่” คำตอบของแฟนสาวทำให้เขาเงียบไปครู่ก่อนจะให้กำลังใจ “ก็พลบอกณีแล้วว่า จะช่วยหาให้ บริษัทเพื่อนของพ่อ ณีก็ไม่เอา เห็นไหม อวดเก่งกับความสามารถของตัวเองนัก สุดท้ายก็ไม่ได้งาน” เขาบ่นที่มณีรัชดายึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากเกินไปจนชวดงาน EP 6เพราะหล่อนอยากหาด้วยตัวเอง หญิงสาวคิดเช่นนั้น “พลเคยบอกแล้วให้เชื่อพลแล้วก็ใจอ่อนเสีย บริษัทเพื่อนของพ่อพลมี แต่ณีก็ใจแข็ง” ใช่หล่อนยอมรับว่าหล่อนดื้อในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพึ่งเขา