สมองครุ่นคิด แล้วจอมภูใช้ไหวพริบตอบ
“อ๋อ สนามหลวงครับ เอ้อ ผมเพิ่งมาจากต่างจังหวัด แล้วก็ไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง นะฮะช่วยบอกหน่อย เผอิญผมมีธุระ ที่จะต้องไปหาญาติทางนั้น”
เขาพูดโกหกได้แนบเนียน
และหล่อนต้องหลงติดกับดักของเขา
ก็พอดีเลยกับรถเมล์คันหนึ่ง ที่แล่นโผล่หัวเข้ามาเป็นเส้นทาง ไปบ้านของหล่อนนั่นเอง
“เอ้อ ต้องขอโทษนะคะคุณ ฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบหล่อนรีบผละไปจากเขาทันที
และเขานั้นก็รีบตามหล่อนไปทันที ซึ่งมีคนรอขึ้นอีกสามคนและมณีรัชดาไม่ได้สนใจมองดูด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาเดินตามหลังมาเงียบ บนรถเมล์ที่นั่งว่างและค่อนข้างโล่ง แปลกใจเหมือนกัน
อาจจะเป็นเพราะก่อนนั้นคนที่นั่งมาลงป้ายสวนสาธารณะนี้มีทั้งหมดสิบกว่าคน
ที่นั่งจึงดูโล่ง สวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจคนกรุงเทพ
หากแต่มณีรัชดาไม่ทันสังเกต ขณะที่เธอทรุดนั่งเบาะสายตามองตรงแต่พอรถแล่นสักพัก ผู้ที่ทรุดนั่งเบาะหลังขยับตัว และยกมือขึ้นเปิดหน้าต่างกระจก
พอเขายกมือเปิดหน้าต่าง ข้างขอบอีกด้านหนึ่งอยู่ฝั่งของหล่อน มณีรัชดาจึงคิดยกมือช่วย เพราะหล่อนต้องการให้ลมพัดระบายไม่ให้ร้อนอ้าว ถ้าลมถ่ายเทได้สะดวก
“ดิฉันจะช่วยค่ะ”
เอ่ยโดยไม่เงยมองหน้าแต่ มณีรัชดา รู้สึกคุ้นหู
“ขอบคุณครับ” จึงเงยหน้ากลับไป
“อ้าว คุณ คุณนี่เองไม่ใช่สายนี้นะคะ ที่คุณจะไปสนามหลวงสายนี้ไปตลาดพลู ฝั่งธน ผ่านวงเวียนใหญ่ไปสุดที่บางแคค่ะ”
พยายามตอบเขาด้วยความรู้สึกดี แนะนำอีกฝ่ายที่ถูกต้องเพื่อให้คำตอบ
หากแต่ฝ่ายชายหนุ่มยังทำสีหน้าเซ่ออึกอักและตีสีหน้าแบบเหมือนไม่รู้อะไรสักนิดเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง และยิ้มให้หล่อน
“เอ้อ ไม่เป็นไรครับ นั่งไปก่อน พออยากลงผมจะลงเอง คุณช่วยบอกหน่อยก็ได้ครับว่าผมต้องไปต่อรถที่ไหนอีก นี่ผมก็ขึ้นตามคุณ”
อ้างถึงหล่อนอีกครั้ง อย่างส่งเดช
ทำให้มณีรัชดาขมวดคิ้ว และจะให้หล่อนตอบคำถามเขาหรือ เอนี่ชักไม่ได้เรื่องแล้ว และไม่น่าไว้ใจเสียด้วย ฉุกใจคิดแล้วพยายามระวังตัว
มณีรัชดาเงียบไปนานมาก
พอหล่อนเงียบเขาจึงเอ่ยเหมือนชวนคุย
“เอ้อ คุณครับ ที่คุณบอกว่าผ่านวงเวียนใหญ่ ไปถึงบางแคนี่ ผมขอลงที่บางแคด้วย”
“อ้าว แล้วคุณจะไปทำไมคะ”
มณีรัชดาเสียงเข้มทันที บวกกับรู้สึกไม่ไว้ใจแล้ว เสียงไม่ได้นุ่มอ่อนเหมือนทีแรก เพราะมีความรู้สึกว่าเขาเหมือนจงใจถามหล่อน
ฝ่ายจอมภู กำลังหาคำตอบให้หล่อนอยู่
“เอ้อ โทษทีผมลืมไปว่ามีญาติอยู่ที่บางแคอีกคน แล้วญาติคนนี้ก็น่าจะรู้ บ้านญาติของผมที่อยู่แถวสนามหลวง จะให้เขาช่วยหาจะง่ายกว่าถ้าผมไปเองคงมึนงงเหมือนเคยเพราะผมบอกแล้วว่า ผมไม่เคยเข้ามากรุงเทพเลย ผมไม่เคยจริง”
สีหน้าของเขานั้นพยายาม ให้มันแนบเนียนที่สุด
“ก็พอดี คุณพูดถึงแถวบางแค”
มณีรัชดาเงยหน้าจ้องเขาเหมือนไม่สนใจสักเท่าไหร่
“ก็ตามใจคุณค่ะ ฉันจะบอกคุณแค่บางแคเท่านั้นล่ะ ต่อจากนั้นคุณตามหาเอาเองก็แล้วกัน”
มณีรัชดาเอ่ยเหมือนตัดบท
อึดใจเดียวรถผ่านตลาดพลู แล้วก็วงเวียนใหญ่เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินในภาพทรงม้าเด่นเป็นสง่า มณีรัชดาอดไม่ได้ที่จะยกมือไหว้สักการะพระองค์ท่าน เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ที่ระลึกได้
ชายหนุ่มแปลกใจที่เห็นหล่อนยกมือไหว้ และเขาเลยยกมือไหว้ตาม ตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทย ไม่เคยยกมือไหว้อนุสาวรีย์แห่งนี้เลย เพราะไม่เคยผ่านแวะมาเส้นทางนี้ ครั้นพอถึงเส้นต้นถนนเพชรเกษม จอมภูใช้สายตาสลับมองสองฟากที่นี่มีบ้านเรือนของผู้คนสลับกับร้านค้าโรงงาน รวมทั้งมหาวิทยาลัย
ถึงตลาดบางแค มณีรัชดาไม่ลงที่ตลาด เขาแปลกใจ มีคนอื่นทยอยลงไป เมื่อหล่อนยังนั่งอยู่ เขาก็แอบลุกแต่ไม่ได้ลงตามคนอื่นพาตัวเองไปนั่งหลบหล่อนอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับหล่อน และบดบังสายตา
มณีรัชดาคงแน่ใจเหลือเกินว่าเขาได้ลงไปแล้ว
เห็นหล่อนชำเลืองสายตาไปทางด้านหลัง แต่ก็ไม่เห็นเขาที่อยู่อีกสี่แถวถัดไป เพราะก้มหลุบใบหน้าลงต่ำ
ซึ่งหล่อนตัดสินใจลงรถที่ป้ายรถเมล์ถัดมาเป็นทางแยกฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกขนาดใหญ่ดูเหมือนซอยนี้จะเป็นซอยขนาดใหญ่เพราะมีรถเข้าออกตลอดเวลามีไฟจราจร
เห็นมณีรัชดาลุกจากเบาะ พร้อมด้วยผู้โดยสารอีกห้าคนที่เตรียมตัว หล่อนก้าวลงแล้วเมื่อรถจอด
จอมภูแทบทะลึ่งตัวเองจากเบาะเดินแกมวิ่งเพื่อ เพื่อให้ตัวเองลงทัน ก่อนที่รถจะออก
รอดหวุดหวิดก้าวลงเป็นคนสุดท้าย พยายามสอดส่ายตามองหามณีรัชดา นั่นไงมองเห็นแล้ว
หล่อนกำลังเดินตรงไปที่วินมอเตอร์ไซค์ มีคิวที่ต่อสามคน ทำไงดี เอาล่ะ
รถแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่งรีบโบกให้หยุดทันที ตัดสินใจก้าวผลุบเคียงข้างคนขับโดยบอกแค่ว่า
“ขับไปเลยครับ ถึงเมื่อไหร่แล้วจะบอก”
คนขับเห็นว่าผู้โดยสารค่อนข้างมีฐานะ จึงออกรถและท่าทางไม่ได้เรื่องมาก พอรถกำลังขึ้นสะพาน จอมภูหันหน้ามองไปข้างหน้าและหลังตลอดเวลา เพื่อสังเกตหล่อนบอกกับคนขับว่า
“ช่วยชะลอรถลงหน่อยครับผมจะตามแฟนผมที่นั่งมอเตอร์ไซค์ ไม่รู้จะไปไหน ผมอยากรู้ แล้วลุงจะคิดค่าโดยสารเท่าไหร่ผมไม่ว่า”
หัวสมองแล่นปราดจอมภูพูดออกมาทันที แล้วรู้สึกสบายใจ เขาคิดว่ามณีรัชดาต้องนั่งรถมาแน่ และก็เห็นจริง หลังจากที่แท็กซี่หยุดจอด เขาก็บอกว่า
“นั่นไงครับ มอเตอร์ไซค์วินคันนี้ ตามมันไปให้ได้”
คนขับขับตามทันทีเห็นมอเตอร์ไซค์คันเป้าหมาย พยายามสังเกตตลอดเวลาผ่านซอยที่สอง-ห้า เห็นรถที่ซ้อนท้ายชะลอบริเวณสามแยก
ช่วงวินาทีนั้นจอมภูก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงลุ้นตาม พอสักพักถนนโล่ง มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวจึงแล่นพรวดเข้าไปทันที รถแท็กซี่มีรถเก๋งจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเช่นกัน กั้นหน้า แต่ก็ขับแล่นตามมาติด มองเห็นมอเตอร์ไซค์วินคันเดียว แล่นผ่านถนนในซอยชะลอหยุดที่ตรงลูกระนาด ในที่สุดตามมาทัน จอมภูพยายามเบี่ยงหลบเพื่อไม่ให้มณีรัชดามองเห็นร่างเขา ทีนี้เห็นชัดแล้ว เกือบท้ายซอยนี่เอง ที่หล่อนลงจากรถแล้วควักเงินจ่ายค่าโดยสาร หนุ่มมอเตอร์ไซค์ตีรถกลับ รถแท็กซี่ตามคำสั่งของชายหนุ่ม จอมภูกวาดสายตาเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านที่เป็นลักษณะทาวเฮาส์ ค่อนข้างเก่า มีรั้วอัลลอยด์แบบเก่า หล่อนก้าวเข้าไปในประตูเล็ก ทีนี้รู้แล้วอยู่บ้านหลังนี้นี่เอง จอมภูบันทึกภาพลงสมองคนขับเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าไงครับ คุณ จะลงตรงนี้หรือเปล่า” จอมภูสั่นหน้า “ไม่ครับ ผมแค่รู้ก็พอแล้ววันหลังจะตามมาที่นี่เองกลับเถอะไปส่งผมที่” จอมภูบอกเส้นทางกลับบ้านที่เป็นคฤหาสน์หลังงามแถวถนนศรีนครินทร์หัวหมาก แต่ลืมไปว่ารถคันหรูตัวเองก็เอามา ด้วยเช่นกันหากแต่เขาจอดหลบไว้ที่อาคารจอดรถของ บริษัท เพื่อนแถวสีลม
โดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด ภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา “วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล” ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง “นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา” เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิดเมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถามเขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล “ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน” เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแ
ยิ่งน่าคิดเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคาดเดาได้อย่างไร ว่าแฟนสาวของเขาคือใคร แน่นอนภูวพลไม่เคยเปิดปากบอกใครเรื่องนี้สักนิด จึงตั้งใจเป็นครั้งแรกด้วยความกล้าหาญแบบลูกผู้ชายคือต้องบอกกับบิดาและมารดาให้ทราบเสียก่อนว่าเขาจะมีแฟน แค่นี้ล่ะเหมือนเกริ่นบอก เขาคิดว่าพี่ชายคงไม่รวดเร็วที่จะชิงบอกในเรื่องนี้ มันเรื่องของเขาเองแท้พี่ชายก็ยุ่งไม่เข้าท่าภูวพลไม่ค่อยพอใจพี่ชายยิ่งนัก อารมณ์เขายังปั้นปึ่งอยู่ ยิ่งพูดถึงหน้าพี่จอมภู เขาไม่อยากนึกและเอ่ยถึงสั่นไหม? ยอมรับกับตัวเองเหมือนกันเมื่อกล้าเข้ามาหาบิดา และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดสักหน่อย เพื่อเรียกกำลังที่เข้มแข็งของตนเอง ก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อให้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อให้บิดารับรู้ นายภาสเงยสายตาขึ้นมองละสายตาจากหนังสือพิมพ์รอบเช้าในมือ ขาประจำก่อนเอ่ยถาม “อ้าว เจ้าพลนี่เอง มีอะไรจะคุยกับพ่อหรือยังไงแกถึงเดินมาที่นี่” เพราะปกตินั้นนอกจากภูวพลจะตื่นสายแล้วไม่ค่อยกรายย่างมาที่โซฟารับแขกสักเท่าไร เขามักจะเลี่ยงเข้าครัวเพื่อหาอะไรดื่มทานไปตามประสา พวกอาหารเสริมยามเช้าบ้าง นมอุ่นๆที่ค
เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว” ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้ “ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง” เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่ จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่
“สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียงวันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกัน มณีรัชดาไงแม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเ
“คุณเนี่ยนะ มาเดินเล่นที่สวนลุม” มณีรัชดาเริ่มสีหน้าไม่พอใจบ้างนี่มันเรื่องของหล่อน แล้วแววตาของหล่อนบึ้ง ทำไมล่ะเขามากักกันสิทธิ์ของหล่อนหรือยังไง จึงย้อนถาม “ทำไมคะผู้หญิงเข้ามาเดินสวนลุมเป็นยังไงหรือ ผิดด้วยหรือคะ” “มันดูไม่ดี เขาจะกล่าวหาว่ามาอ่อยเหยื่อล่อเอ้อ ดักผู้ชายแถวนี้ไงครับ”เขาต้องหนีบความสุภาพเอาไว้ก่อนวาจาร้ายแดกดันคอยเอาไว้ใช้เฉพาะยามที่ต้องการแค่นี้ ต้องการให้นางสมันน้อยตายใจก่อน มณีรัชดาแปลกใจกับผู้ชายคนนี้ เหมือนเขาประชดหล่อน หากแต่หล่อนไม่สนใจหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เผอิญมาพบเจอกันครั้งที่สอง “คุณคงทำงานอยู่แถวนี้ แต่มีเวลาเหลือเฟือมาเดินเล่นหรือคะ” “เป็นเพราะผมนัดลูกค้าเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลานัดครับ”เขาจำใจปดหล่อน มณีรัชดาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนักหรอก หากแต่ก็พยักหน้า “ค่ะคุณเลยมีเวลาว่างถมเถ” วาจาหล่อนย้อนเหน็บก็ไม่เบานี่ “แล้วคุณล่ะ ทำงานที่ไหนครับ” “เอ้อฉันตกงานอยู่ค่ะ”มณีรัชดาหันมาตอบเขา“ “ยังหางานทำไม่ได้”ตอบแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นชายหนุ่มทราบแต่เขาก็เอ่ย
เห็นเพื่อนสีหน้าตึงอย่างนี้ จตุทิศเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “งั้น ก็เท่ากับหล่อนจะกลายเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของนายล่ะสิ” เลยทำให้อีกฝ่ายกลับเหยียดริมฝีปากบิดเบ้ใต้กรอบดวงหน้าคมคายหล่อเหลา จนเพื่อนรับรู้เมื่อเขาย้อนคำเหยียด “เป็นน้องสะใภ้นะหรือ เฮอะ ฝันไปไกลแล้วมั้ง ไม่มีทาง ฉันนี่ละ จะกีดกันผู้หญิงคนนี้ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เข้าใกล้น้องชายฉัน” และจอมภูก็เผลอเสียงเข้มประกาศออกมาให้เพื่อนช่วยรับรู้ ครั้นเมื่อจตุทิศรู้ว่าอารมณ์ที่ฮึดฮัดของเพื่อนรักในยามนี้นั้นมันประจุด้วยไฟแค้นที่โชนลึกในดวงตายามแสดงออกมาแววตาเขาแดงก่ำและ ถมึงทึง “หล่อนชื่ออะไร” “มณีรัชดา” “ชื่อเพราะนี่”เพื่อนรักนึกชม “ชื่อเพราะ แต่จิตใจไม่เพราะเหมือนชื่อก็ได้..พอเห็นน้องชายฉันมีเงินก็เอาตัวเองมาหว่านเสน่ห์ใกล้ๆแต่นายรู้มั๊ยฉันมีแผนแล้ว” หันมาตอบเพื่อนแล้วมุมฝีปากขยับยิ้มเหยียด ก่อนหรี่ดวงตาหันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ฉันจะให้เจ้าดลช่วย” ทำให้เพื่อนสนิทเลยอุทานออกมา “เฮ้ยไอ้ดล นั่นถนัดภาพนู้ดนะเว้ยจอม” จอมภูยังเอ่ยตอบสีหน้าเ
ฮึ ทำให้หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่นั้นเดือดจัด ด้วยดวงตาที่วาวเข้มที่น้องชายคนเดียวนั้นก็ไม่เชื่อฟัง หลงมืดมัวถลำบอดไปกับความรักของมัน ฮึ ความรักที่กัดก้อนเกลือกินของทั้งคู่นะสิ หากแต่จอมภูกลั้นใจทนฟังต่อ และกายไม่เคลื่อนไหวใดอันจะทำให้น้องชายจับผิดได้เพราะเขาก็ซุ่มตัวอยู่เงียบๆในเวลานี้ “พลแทบจะคิดถึงณีมากนี่ คิดถึงจนลมหายใจเข้าออกเลยนะเอ้อนี่ถามณีหน่อยเรื่องสมัครงาน เขาโทร.มาตามอีกบ้างหรือเปล่า” เมื่อภูวพลเอ่ยถามเรื่องนี้ มณีรัชดาเงียบไปครู่และหม่นลงด้วยสีหน้าที่ผิดหวังขึ้นมา “ยังจ้ะ ไม่เห็นเรียกตัวเลยสักที่” คำตอบของแฟนสาวทำให้เขาเงียบไปครู่ก่อนจะให้กำลังใจ “ก็พลบอกณีแล้วว่า จะช่วยหาให้ บริษัทเพื่อนของพ่อ ณีก็ไม่เอา เห็นไหม อวดเก่งกับความสามารถของตัวเองนัก สุดท้ายก็ไม่ได้งาน” เขาบ่นที่มณีรัชดายึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากเกินไปจนชวดงาน EP 6เพราะหล่อนอยากหาด้วยตัวเอง หญิงสาวคิดเช่นนั้น “พลเคยบอกแล้วให้เชื่อพลแล้วก็ใจอ่อนเสีย บริษัทเพื่อนของพ่อพลมี แต่ณีก็ใจแข็ง” ใช่หล่อนยอมรับว่าหล่อนดื้อในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพึ่งเขา
เขาประคองมณีรัชดาเป็นความผูกพันลึกซึ้งยามอยู่ห่างไกลบ้าน มณีรัชดาคิดถึงพ่อแม่คิดถึงกรุงเทพ แต่แน่นอนละภาวะของหล่อนคือคนมีครรภ์อดฟุ้งซ่านไม่ได้และจอมภูพยายามทำดีกับหล่อนสารพัดทุกอย่าง ที่เขาแสนจะเอาใจ จนมณีรัชดายากที่จะปฏิเสธได้ หล่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หากจอมภูถึงกับเสียสละทุกอย่าง บางทีทิฐิมันเหมือนกับน้ำกรดราดรดดวงใจตัวเองเหมือนกัน หล่อนครุ่นคิด แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ควรที่จะให้บทเรียนอันแสนจะเจ็บปวดให้เขาด้วยเหมือนกันจนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิดในเมื่อความดีของเขาก็ราดรดลงไปในหัวใจของหล่อน ให้ความอบอุ่นดูแลลูกสาว ในฐานะของพ่อเกินที่มณีรัชดาจะท้วงหรือปราม เขาทำไปด้วยความสุจริตใจหล่อนรับรู้ตลอดเวลาที่มีเข
จนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิด เมื่อเขาชี้แจงว่า “ผมมาจากเมืองไทยที่อยู่ทราบจากคุณรังสินัย” เมื่อเอ่ยอ้างถึงหลานชายของหล่อน ทำให้คุณนันทนิจรับทราบ “ผมมีปัญหาบางอย่างที่ต้องปรับใจกับณี” เขาเอ่ย ทำให้คุณนันทนิจเข้าใจทันที “มณีรัชดา” หล่อนอุทาน “ใช่ครับ ผมเป็นสามี เธอหนีจากผมมา” “หนีหรือคะ” “ผมขออนุญาตได้ไหม”เขาเอ่ยหลังจากที่ชี้แจง ไม่มีการบอกกล่าวมาล่วงหน้าเพื่อตรวจดูความผิดพลาด คุณนันทนิจขอตัวโทร.ทางไกลไปเมืองไทยเพื่อถามหลานชาย ได้รับคำตอบแบบเดียวกันคือ ยืนยันถึงความเป็นสามีของลูกจ้างสาว “ดิฉันไม่ทราบหรอกนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลานชายต้องการพึ่งพา ให้พา
“เขาให้แม่มาไกล่เกลี่ยหรือไงคะ”มณีรัชดาเอ่ยโดยไม่ยอมเอ่ยชื่อเขา นางรัชนีถอนใจ กับลูกสาวที่เริ่มจะทิฐิขึ้นมา“นี่แม่นะนี่แม่ของแก จะดีจะชั่วยังไงก็ยอมรับว่าแกเป็นลูก” มณีรัชดากำลังทำใจอย่างหนัก การที่มารดามาที่นี่เหมือนท่านบุกเข้ามาหาหล่อนที่คอนโดไม่เคยมีใครทราบมาก่อน และเขาคนเดียวเท่านั้นที่พามา มันเป็นเรื่อง ที่ตัดสินใจลำบากทั้งเรื่องส่วนตัวเหตุผลอีกทั้งความรัก รวมทั้งความเจ็บแค้นที่ผสมผสานกันและความผิดของเขาเกิดขึ้นมานาน และสะสมสั่งเอาไว้พอกพูนจนมันเต็มไปด้วยอัตราของความแค้นที่เหมือนไฟเผาผลาญจู่ๆหล่อน จะมาอภัยให้เขาง่ายๆในสิ่งที่เขาทำกับหล่อนอย่างเจ็บปวด “แม่ไปถามผู้ชายคนที่เขาบอกที่อยู่ของหนูสิคะว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง” มณีรัชดากลับตอบไปอย่างนั้นทำให้รัชนีเงียบ และเริ่มเข้าใจถึงสภาพจิตใจของบุตรสาว “ถึงอย่างไรแม่ก็ไม่อยากให้แก หนีแม่ไปอีก อย่าไปเลยนะลูก เมืองนงเมืองนอก แม่ห่วง ไปดูหมอเขาทักไว้ว่า ลูกไม่ควรเดินทางออกไปต่างประเทศ อย่าขึ้นเครื่องบิน” มณีรัชดาตกใจอย่างมากที่สุดกับคำกล่าวของมารดาไม่เคยทราบด้วยว่า ท่านจะเอาดวงของหล่อนไปให้ห
ความจริงที่ว่าคือเขารักมณีรัชดาอย่างมาก ต้องการครองคู่ อยู่กับหล่อนตลอดไปในเส้นทางอนาคต ทำให้จอมภูต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของมารดาคลายลงจากคำพูดที่น้องชายเอ่ยออกมาพร้อมแฟนสาวช่วยสนับสนุนในรักครั้งนี้ของเขา อีกทั้งช่วยแก้ต่าง ให้กับมณีรัชดา ภรรยาของเขาให้พ้นผิดด้วย เพราะภรรยาของเขานั้น หล่อนไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังกล่าวหาสักนิด หล่อนสะอาดและบริสุทธิ์เสมอ อย่างที่เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ในอดีตเขาเคยร่ำร้อง ที่จะเดียดฉันท์ โกรธอาฆาตแค้นหล่อนที่กลายเป็นนางแม่มดเจ้าเสน่ห์เพื่อหลอกล่อให้น้องชายของเขามาตกหลุมรักเพราะหวังในความสุขสบาย เพราะภูวพลมีฐานะร่ำรวยเป็นทายาท ของนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย นี่คือความโง่เขลาอย่างมากที่สุดที่เขาได้ทำมา จนจอมภูอยากเขกหัวของตัวเอง ย้อนหลังกลับไปสองร้อยกว่าครั้งถึงจะสาสม กับความผิด และความโง่ของเขาด้วยซ้ำ เวลาเนิ่นนานที่เขามีอคติต่อหล่อน กลายเป็นคนที่โง่บรมโง่ เหลือเกิน ยอมรับว่าเขาหูตามืดมัวเพราะรักและห่วงน้องชาย คนเดียวที่กลัวจะตกเป็นเหยื่อและเป็นคำสั่งของมารดา ที่ท่านต้องการจะกีดกันทั้
“ทำไม?ผมถามคุณไม่ตอบล่ะว่าไปอยู่ที่ไหนและผมไม่ยอมให้คุณไปอยู่ที่ไหนอีกแล้วนะต้องอยู่กับผมตลอดไปจะต้องช่วยเลี้ยงลูกของเรา ให้เจริญเติบโตเป็นคนดี” “ฉันไปพักอยู่กับเพื่อนรุ่นที่ ที่เขาใจดีมากค่ะ เขาเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพรักและมีบุญคุณเสมอมา” “แล้วเขาเป็นใครล่ะ” “เขาชื่อ คุณรังสินัยค่ะ” “คราวหลัง ถ้าผมได้เจอเขาแล้วนั้นผมจะขอบคุณเขาอย่างมากที่ช่วยดูแล เมียผมกับลูกผมให้ปลอดภัย” คราวนี้มณีรัชดาหันมามองเขาสายตาของหล่อนเงยขึ้น “คุณไม่ตะขิดตะขวงหรือยังไงคะที่ฉันไปอยู่อย่างนั้น” “คงไม่หรอก ผมรู้ว่า ผมนั้นทำผิดอะไร” จอมภูตอบเสียงนุ่มอย่างรู้ดีว่า เขาทำผิดอะไร “แล้ว ขอให้ผมได้ไถ่โทษความผิดครั้งนี้ด้วยการขอคุณแต่งงานได้ไหม ผมจะไม่รีรอเลยนะณีและต้องการให้เรื่องนี้เร็วที่สุด” มณีรัชดาถึงกับอึ้งที่เขาพูดเช่นนี้ยิ้มอย่างอายและเขิน “เอ้อ ค่ะ” “ผมดีใจที่คุณเข้าใจผมและเข้าใจความรู้สึกของเรา คงไม่โกรธใช่ไหม กับเรื่องที่ผ่านมา เอ้อที่ผมล่วงเกินคุณ ใครล่ะจะอดใจได้ ก็คุณสวยขนาดนั้น” จอมภูกระซิบพร่ำที่ริมกกหูของ
จอมภูจึงขับรถมุ่งตรงไปที่บ้านเช่าของเธอที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา และเขาเคยมาแล้วหนหนึ่งแต่ว่าไม่พบกับมณีรัชดาซึ่งบิดาและมารดาของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบเขาได้เช่นกัน เขามั่นใจว่ามณีรัชดาต้องอยู่ เพราะว่าเขารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ทำแบบนี้กับหล่อน แม้แต่คาดคิดก็ตามและมณีรัชดาก็เช่นกัน เขาคิดว่าหล่อนคงจะเป็นเหมือนเขา ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาแน่ใจอย่างนั้นว่าเขารักหล่อนมาก มันไม่ใช่เรื่องที่หลอกลวง หรืออยากจะแก้แค้นหล่อน ความรักที่บริสุทธิ์นั้น ยากที่จะบอกได้ ซึ่งขับรถมุ่งตรงมาที่บางแค ก็ด้วยความหวัง ขณะเดียวกันนั้นมณีรัชดาลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้นางรัชนีกับนายมิ่งผู้เป็นบิดาต่างมองด้วยความตกใจและดีใจเช่นกันเมื่อได้มองเห็นชัดเจนว่า ลูกสาวตั้งท้อง จึงเป็นคำตอบที่ทราบดีว่าที่ลูกสาวหายไปจากบ้านเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางรัชนีปรามผู้เป็นสามีและทั้งคู่ปรึกษากันว่าจะไม่ซักถามมณีรัชดาที่เพิ่งมาถึง เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเตลิดไปไกลอีกนางรัชนีกับไพจิตรจึงพยายามพูดดีๆ “กลับมาแล้วเหรอเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อนเถอะลูก มีอ
และมณีรัชดาพยายามเอ่ยกับเขาอย่างมีสติมากที่สุด และไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรของเขา ถึงได้เอาชีวิตของเขามาเสี่ยงกับหล่อน“ณี คิดว่าไม่เหมาะสม” “ไม่เหมาะสมยังไงครับ”เขาหันหน้าไปทางมณีรัชดา และหล่อนพยายามหาคำตอบให้เขา “เอ้อ คิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ แล้วคุณก็มีพระคุณมากล้นอย่างนั้น ณี ย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน” เสียงของหล่อนเข้มชัดเจน และเป้าหมายเป็นอย่างนั้นทำให้รังสินัยยิ้มออกมา “ผมเพียงแค่ลองใจคุณณีเล่นเท่านั้น แต่ไม่ทำจริงหรอกครับ เพราะรู้คำตอบดีแล้ว” ที่เขาเอ่ยทำให้หล่อนต้องตกใจ “คุณนัยลองใจณีดูหรือคะ” “ก็ใช่นะสิครับ อยากรู้ความจริง” “ความจริงเรื่องอะไรคะ” “ก็ที่คุณณีไม่ยอมบอกผมจริงๆว่าใครกันแน่ ที่เป็นพ่อของเด็กในท้องของคุณ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะจับเขามาซ้อมหรอกครับ” ทำให้มณีรัชดาไม่ขำด้วยแต่หล่อนทำสีหน้าบึ้ง และตึงใส่เขา “คุณนัย นี่อย่าทำเล่นอย่างนี้สิคะ” “ถ้าไม่ให้ผมทำเล่น ผมทำจริงก็ได้ อ้าวคุณก็ยอมยกหน้าที่ให้ผม เป็นพ่อของลูกในท้องคุณหรือเปล่า?” เมื่อเขาถามคำนี้อีกครั้งด้วยสีหน้าที่
เมื่อปัณนชาเอ่ยเสริมและพูดแบบนี้ ทำให้มณีรัชดานิ่ง และหล่อนเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอด “สิ่งที่พี่ปัณได้ยินหรือได้ฟังจากเขามันอาจจะเป็นแค่เรื่องจอมปลอม หรือการแสดงละครเล่นเท่านั้นแหละค่ะ”สิ่งที่มณีรัชดาเอ่ย ทำให้ปัณนชาแปลกใจเหมือนกัน เพราะเธอก็เก็บความสงสัยนี้เอาไว้นานเช่นเดียวกับเพื่อนน้องชายจอมภูที่รู้สึกแปลกใจกับการวุ่นวายเที่ยวตามหาตัวมณีรัชดา ยิ่งมณีรัชดาพูดเช่นนี้ด้วย เหมือนกับห่างเหินและปนด้วยความชิงชังลึกๆหรือว่าทั้งคู่มีอะไรที่ผิดข้องหมองใจกัน และบาดหมางหัวใจกันอย่างรุนแรง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่จ้ะ ณีสามารถบอกกับพี่ได้หรือเปล่า” เมื่อปัณนชาถามด้วยความห่วงใยอย่างนี้ทำให้ มณีรัชดาเงียบแต่หล่อนพยายามตัดบท “เอ้อ ขอบคุณพี่ปัณ มากนะคะ ที่สนใจเป็นห่วงทุกข์สุขของณีเหลือเกินและตลอดมาด้วย” “ก็พี่เป็นห่วงณีและคิดกับณีเหมือนน้องสาวคนหนึ่งไงจ้ะ” “ขอบคุณนะคะพี่ปัณ ณีจะจดจำคำนี้และไม่ลืมเลือนเลย” มณีรัชดาตอบและรีบตัดบท เพราะกลัวจะแสดงความอ่อนแอมา รังสินัยแวะมาที่คอนโดของหล่อน หลังจากที่เขานึกเป็นห่วงหล่อนในอาการที่ไม่สบาย มณีรัชดาจึง
“งั้นเราต้องแวะเข้าไปที่บริษัทคุณปันที่คุณว่า จะได้สอบถามข่าวของคุณณีปัญหาอยู่ที่ว่าเราไม่ทราบเลยค่ะว่าคุณณี อยู่ที่ไหนกันแน่” ภูวพลถอนใจออกมาและเห็นด้วย “นั่นน่ะสิครับ” และนารถน้ำค้างนึกขึ้นมาได้ “แล้วบ้านคุณณี ล่ะคะ คุณพอจะรู้ไหมว่า อยู่แถวไหน”เมื่อแฟนสาวเอ่ยเช่นนี้ ทำให้ภูวพลขมวดคิ้ว “เคยได้ยินณี พูดเหมือนกันว่าอยู่แถวบางแค นานแล้วแต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ซอยไหน แต่คนที่รู้ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของผมเราต้องไปถามพี่ใหญ่ดู” “งั้นเราจะต้องไปถามพี่ชายของคุณสิคะเรื่องนี้จะปล่อยช้าไม่ได้”นารถน้ำค้างพูดด้วยความรู้สึกที่เธอเป็นห่วงหญิงสาวที่รู้จักมาไม่นานเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนดี และไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับชายหนุ่มที่เธอรัก รวมทั้งภูวพลก็กล้าที่จะบอกความจริงแล้วว่า เขารักแต่เธอเพียงคนเดียว เช้าต่อมามณีรัชดาตัดสินใจโทร.เข้าไปหาเจ้าของบริษัทอีกครั้งและฝ่ายปัณนชาก็ดีใจมาก เพราะไม่ได้ทราบข่าวคราวของมณีรัชดาจึงอยากรู้ “พี่ปัณคะ” “เอ้อ ณีเอง พี่ดีใจเหลือเกินที่ณี โทร.มารู้ไหม ทุกคนตามหาตัวณีกันใหญ่”เมื่อปัณนชาเอ่ยคำนี้ ทำให้หล่อนนิ่งเงี