“ณี ครับทางนี้ พลอยู่นี่”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นพร้อมกับการยกมือโบกให้ทำให้ร่างบางหันไปมองทางนั้นทันที
เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้านั่งหินอ่อนกลางสวนสาธารณะ ใจกลางกรุงแห่งนี้
“เพราะพลไม่อยากให้ใครรู้ว่าเรานัดกันมาเจอที่นี่”
มณีรัชดาพยักหน้าคาดเดาเอาว่าพี่ชายของเขาที่มีอคติ และเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเห็นแก่ตัว
มณีรัชดารู้สึกเกลียดผู้ชายแบบนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
อีกด้านหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้เรื่องเลยการสะกดรอยตามเพื่อให้ทราบความจริง เพราะภาพนั้นจอมภูได้เฝ้าสะกดรอยตามน้องชายเพื่อให้รู้แน่ชัด อย่างที่ใจสงสัย
เขาเป็นคนที่ชอบจุ้นจ้านกับชีวิตของส่วนตัวของน้องชายมานานแล้ว ในฐานะที่เป็นพี่ชาย
พร้อมเขารู้ด้วยว่านี่ภูวพลแอบเข้าไปจอดรถหลบอยู่ที่อาคารตรงกันข้ามกับสวนสาธารณะแห่งนี้
เจ้าน้องชายตัวดี ฮึ มันแอบนัดพบกับผู้หญิงแบบนี้นี่เอง
ที่แม่ของเขาคาดการไม่ผิดเป็นผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเสียด้วย
พ่อแม่ต้องการให้ภูวพลไปเรียนต่อที่ต่างประเทศมากกว่า ตอนนี้เขาอยากเห็นหน้าค่าตา ผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน
แล้วหล่อนคิดยังไงกับน้องชายของเขาบ้าง
ทำให้จอมภูครุ่นคิดขมวดและกำลังจะพุ่งไปหาเป้าหมาย คิดอย่างเดียวผู้หญิงแบบนี้จะมาหลอกน้องชายของเขาเพราะเห็นฐานะร่ำรวย
“นี่ณี ครับ พวกเราก็เรียนจบกัน แล้วณีล่ะรู้สึก ยังไง”
เขาถาม
“ อ้าว ณีก็ดีใจแล้วก็สบายใจมากที่สุดสิคะ เพราะไม่ต้องแบกภาระเรื่องเรียนอีกแล้ตอนนี้ ณีก็กำลังหางานทำ สมัครงานทิ้งเอาไว้ก่อน เขาจะได้เรียกตัวเร็วๆไงคะพล”
หล่อนตอบเขาน้ำเสียงร่าเริง
“พลอยากจะพาณีไปหาพ่อกับแม่เหมือนกันให้ท่านรู้และสบายใจว่าณีมีงานการทำแล้วถึงกำลังจะหางานก็เถอะ อีกหน่อยก็คงได้”
หล่อนยิ้มแห้งๆให้เขา เข้าใจดีว่าภูวพลรักหล่อนมาก
และมณีรัชดาก็รักเขาไม่น้อยเช่นกัน แต่รู้ว่าฐานะขวางกั้น ความไม่พร้อมของหล่อน การที่ฐานะแตกต่างพ่อแม่เขาไม่ได้ยอมรับ
มณีรัชดาจึงไม่ให้ความหวังในเรื่องนี้แก่ตัวเอง และพยายามที่จะเลิกคิด หากแต่ว่าคนจุดประกายมุ่งมั่นปรารถนาในตัวหล่อนทุกครั้งคือภูวพลต่างหาก เพราะเขารักหล่อนมาก
อย่างที่บอกว่ารักสุดสวาทขาดใจเลยทีเดียว
ถ้าไม่ได้หล่อนมาครอบครอง ตอนนี้หล่อนกับเขาเป็นแค่แฟน ไม่มีสัมพันธ์เกินเลยเถิดกว่านั้น
เพราะมณีรัชดาไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่คิดจะผูกพันกับผู้ชายที่ตนเองรักด้วยความใคร่ ทอดกายลงนอนกับเขาอย่างไม่เหมาะสม
ประเพณีวัฒนธรรมต่างหาก หล่อนต้องรักนวลสงวนตัว
หากภูวพลรักเธอแท้จริง เขาต้องอดทนรอให้ถึงโอกาส
ทุกครั้งภูวพลวางตัวดีสม่ำเสมอเป็นสุภาพบุรุษที่หล่อนยอมรับว่าเขาจริงใจ
“ขอบใจพลที่ให้กำลังใจ แต่เรื่องไปหาพ่อแม่ของพล ณีว่ารอก่อนเถอะ”
หล่อนปฏิเสธการร้องขอเขา
จนภูวพลแปลกใจ
“ทำไมล่ะณี หรือว่าไม่รักพลแล้ว”
ความรักพูดได้หรือ ยังไม่แน่ใจ เขาถามในสิ่งที่หล่อนต้องคิดหนัก บอกตัวเองมณีรัชดาต้องมีสติ อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ทั้งที่เขารู้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ปลื้มตัวหล่อนเรียกว่าไม่ชอบหน้าเลย
“พล ความรักไม่ใช่เรื่องเล่นขายของ อนาคตข้างหน้ายังอีกยาวไกล” หล่อนตอบให้เขาได้คิด
“ณี หมายความว่ายังไง”
เขาเงี่ยหูฟัง แต่ก็ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ
“เราต้องเรียนรู้ และศึกษาใจกันอีกนานค่ะ พล”
คำของมณีรัชดาทำให้เขาโหวงไปหมด ถ้าหล่อนไม่เอ่ยจะดีกว่า เขาไม่ต้องการ คำว่าจากพรากหรือเลิกรา
“จ้ะพลจะรออดทนจนถึงวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน”
คำพูดของเขามณีรัชดารู้ว่าเปี่ยมด้วยความหวัง แต่หล่อนให้อนาคตตัดสิน ถึงแม้จะรักและชอบเขาบ้าง
แค่หล่อนก็คิด เผื่อว่าชีวิตนี้มีความไม่แน่นอน เพราะเขาหรือหล่อน นั้นอาจได้พบเจอคนที่ดีกว่า
“ทำไมเงียบไปล่ะ”
มณีรัชดามาพบกับภูวพลเรื่องนี้ ด้วยเรื่องนี้
หล่อนรู้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ชอบหล่อน
“กลับเถอะ” หล่อนบอกเขาจะกลับบ้าน
บ้านของหล่อน อยู่ไกลมาก ขณะที่ภูวพลอยู่ใจกลางเมือง
“ทำไมรีบกลับ” ภูวพลอิดออด
“คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่”
“พล อยากพาณีเข้าไปเดินช็อปปิ้งต่อ”
“ณีไม่อยากเที่ยวและไม่หิวอยากกลับบ้านมากกว่า”
สีหน้าของภูวพลจ๋อย ที่คิดว่าหล่อนจะไปกับเขาต่อ
“งั้นพล ไปบ้านณีด้วย”
หล่อนหันมามองเขา
“อะไรของพลนี่ ถ้าจะไปบ้านณีทำไมต้องนัดณีมาที่นี่ด้วย”
หล่อนมองเขาอย่างแปลกใจ
“พลขอโทษ อยากไปบ้านณีจริงๆ”
“ไม่ได้หรอก”
มณีรัชดาเสียงแข็ง กลับไปนี่หล่อนต้องซักผ้าของหล่อนอีก
“ณีไม่ได้ว่างอยู่เฉยๆนะ ณีต้องกลับไปซักผ้า”
หล่อนบอกเหตุผลเท่านี้มณีรัชดาก็สบายใจอย่างมาก
เมื่อเขาทำตามคำมั่นของเธอและเธอไม่คิดจะผูกพันพลไว้ด้วยอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่แน่ใจเรื่องครอบครัวเขา แต่สิ่งที่เขาผูกพันใจหล่อน นั้นได้คือความรักหนึ่งเดียว ที่หล่อนทราบอยู่แก่ใจ
จอมภูซึ่งหลบซ่อนอยู่ทางเบื้องหลังขบกรามกรอดๆด้วยความแค้นเคือง ที่ผู้หญิงคนนี้คิดจะรวบหัวรวบหางน้องชายของเขา
จากการตามสังเกตคนทั้งคู่ จอมภูคงจำยอมและต้องตามไปบ้านผู้หญิงคนนี้ ว่าหล่อนพักอยู่กับใคร
จอมภู ไม่ต้องการให้ เป็นแบบนี้ คิดผู้หญิงคนนี้ คงเอากับดักความสวย มาหลอกล่อน้องชายของเขาจนหลงใหล
เจ้าพลคงถูกหล่อนปั่นหัว ให้ลุ่มหลงรักใคร่จนโงหัวไม่ขึ้น
โธ่เอ๋ยภูวพลไอ้น้องชาย นายช่างเป็นคนโง่เหลือเกิน
เห็นภาพ ที่ทั้งคู่จากลากันแล้ว น้องชายเดินจากไปอีกทาง เพื่อไปรับรถที่จอดทิ้งไว้ และจอมภูทิ้งช่วงระยะประมาณเจ็ดก้าว จากนั้นเขาแกล้งเดินตามหล่อนแบบสะกดรอยตามห่าง
หล่อนไม่ได้เฉลียวใจสักนิดเพราะไม่คิดระแวงใคร
หากสักพักหนึ่งมณีรัชดามาถึงป้ายรถเมล์และหล่อนกวาดตามองที่ป้ายรถเมล์ซึ่งรถเมล์หมายเลขสายนั้น ยังมาไม่ถึงเมื่อเห็นดังนั้นจอมภู ครุ่นคิด และกำลังใช้อุบายแบบไหนดี จากนั้นคิ้วเรียวเข้มขมวด อยากจะถามเส้นทาง เลยเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“เอ้อ ไม่ทราบว่าจะขึ้นรถเมล์นี่ ต้องรอนานไหมคุณ”
มณีรัชดาอึ้งแปลกใจ ที่ใครก็ไม่รู้ถามแต่เธอตอบตามมารยาท
“เอ้อ ก็ไม่นานหรอกค่ะ ขึ้นอยู่ว่าคุณจะนั่ง รถเมล์ไปไหนล่ะคะ”
สมองครุ่นคิด แล้วจอมภูใช้ไหวพริบตอบ “อ๋อ สนามหลวงครับ เอ้อ ผมเพิ่งมาจากต่างจังหวัด แล้วก็ไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง นะฮะช่วยบอกหน่อย เผอิญผมมีธุระ ที่จะต้องไปหาญาติทางนั้น” เขาพูดโกหกได้แนบเนียน และหล่อนต้องหลงติดกับดักของเขา ก็พอดีเลยกับรถเมล์คันหนึ่ง ที่แล่นโผล่หัวเข้ามาเป็นเส้นทาง ไปบ้านของหล่อนนั่นเอง “เอ้อ ต้องขอโทษนะคะคุณ ฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะค่ะ” เมื่อเอ่ยจบหล่อนรีบผละไปจากเขาทันทีและเขานั้นก็รีบตามหล่อนไปทันที ซึ่งมีคนรอขึ้นอีกสามคนและมณีรัชดาไม่ได้สนใจมองดูด้วยซ้ำ จากนั้นเขาเดินตามหลังมาเงียบ บนรถเมล์ที่นั่งว่างและค่อนข้างโล่ง แปลกใจเหมือนกันอาจจะเป็นเพราะก่อนนั้นคนที่นั่งมาลงป้ายสวนสาธารณะนี้มีทั้งหมดสิบกว่าคนที่นั่งจึงดูโล่ง สวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจคนกรุงเทพ หากแต่มณีรัชดาไม่ทันสังเกต ขณะที่เธอทรุดนั่งเบาะสายตามองตรงแต่พอรถแล่นสักพัก ผู้ที่ทรุดนั่งเบาะหลังขยับตัว และยกมือขึ้นเปิดหน้าต่างกระจกพอเขายกมือเปิดหน้าต่าง ข้างขอบอีกด้านหนึ่งอยู่ฝั่งของหล่อน มณีรัชดาจึงคิดยกมือช่วย เพราะหล่อนต้องการให้ลมพั
ช่วงวินาทีนั้นจอมภูก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงลุ้นตาม พอสักพักถนนโล่ง มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวจึงแล่นพรวดเข้าไปทันที รถแท็กซี่มีรถเก๋งจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเช่นกัน กั้นหน้า แต่ก็ขับแล่นตามมาติด มองเห็นมอเตอร์ไซค์วินคันเดียว แล่นผ่านถนนในซอยชะลอหยุดที่ตรงลูกระนาด ในที่สุดตามมาทัน จอมภูพยายามเบี่ยงหลบเพื่อไม่ให้มณีรัชดามองเห็นร่างเขา ทีนี้เห็นชัดแล้ว เกือบท้ายซอยนี่เอง ที่หล่อนลงจากรถแล้วควักเงินจ่ายค่าโดยสาร หนุ่มมอเตอร์ไซค์ตีรถกลับ รถแท็กซี่ตามคำสั่งของชายหนุ่ม จอมภูกวาดสายตาเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านที่เป็นลักษณะทาวเฮาส์ ค่อนข้างเก่า มีรั้วอัลลอยด์แบบเก่า หล่อนก้าวเข้าไปในประตูเล็ก ทีนี้รู้แล้วอยู่บ้านหลังนี้นี่เอง จอมภูบันทึกภาพลงสมองคนขับเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าไงครับ คุณ จะลงตรงนี้หรือเปล่า” จอมภูสั่นหน้า “ไม่ครับ ผมแค่รู้ก็พอแล้ววันหลังจะตามมาที่นี่เองกลับเถอะไปส่งผมที่” จอมภูบอกเส้นทางกลับบ้านที่เป็นคฤหาสน์หลังงามแถวถนนศรีนครินทร์หัวหมาก แต่ลืมไปว่ารถคันหรูตัวเองก็เอามา ด้วยเช่นกันหากแต่เขาจอดหลบไว้ที่อาคารจอดรถของ บริษัท เพื่อนแถวสีลม
โดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด ภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา “วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล” ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง “นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา” เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิดเมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถามเขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล “ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน” เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแ
ยิ่งน่าคิดเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคาดเดาได้อย่างไร ว่าแฟนสาวของเขาคือใคร แน่นอนภูวพลไม่เคยเปิดปากบอกใครเรื่องนี้สักนิด จึงตั้งใจเป็นครั้งแรกด้วยความกล้าหาญแบบลูกผู้ชายคือต้องบอกกับบิดาและมารดาให้ทราบเสียก่อนว่าเขาจะมีแฟน แค่นี้ล่ะเหมือนเกริ่นบอก เขาคิดว่าพี่ชายคงไม่รวดเร็วที่จะชิงบอกในเรื่องนี้ มันเรื่องของเขาเองแท้พี่ชายก็ยุ่งไม่เข้าท่าภูวพลไม่ค่อยพอใจพี่ชายยิ่งนัก อารมณ์เขายังปั้นปึ่งอยู่ ยิ่งพูดถึงหน้าพี่จอมภู เขาไม่อยากนึกและเอ่ยถึงสั่นไหม? ยอมรับกับตัวเองเหมือนกันเมื่อกล้าเข้ามาหาบิดา และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดสักหน่อย เพื่อเรียกกำลังที่เข้มแข็งของตนเอง ก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อให้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อให้บิดารับรู้ นายภาสเงยสายตาขึ้นมองละสายตาจากหนังสือพิมพ์รอบเช้าในมือ ขาประจำก่อนเอ่ยถาม “อ้าว เจ้าพลนี่เอง มีอะไรจะคุยกับพ่อหรือยังไงแกถึงเดินมาที่นี่” เพราะปกตินั้นนอกจากภูวพลจะตื่นสายแล้วไม่ค่อยกรายย่างมาที่โซฟารับแขกสักเท่าไร เขามักจะเลี่ยงเข้าครัวเพื่อหาอะไรดื่มทานไปตามประสา พวกอาหารเสริมยามเช้าบ้าง นมอุ่นๆที่ค
เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว” ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้ “ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง” เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่ จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่
“สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียงวันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกัน มณีรัชดาไงแม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเ
“คุณเนี่ยนะ มาเดินเล่นที่สวนลุม” มณีรัชดาเริ่มสีหน้าไม่พอใจบ้างนี่มันเรื่องของหล่อน แล้วแววตาของหล่อนบึ้ง ทำไมล่ะเขามากักกันสิทธิ์ของหล่อนหรือยังไง จึงย้อนถาม “ทำไมคะผู้หญิงเข้ามาเดินสวนลุมเป็นยังไงหรือ ผิดด้วยหรือคะ” “มันดูไม่ดี เขาจะกล่าวหาว่ามาอ่อยเหยื่อล่อเอ้อ ดักผู้ชายแถวนี้ไงครับ”เขาต้องหนีบความสุภาพเอาไว้ก่อนวาจาร้ายแดกดันคอยเอาไว้ใช้เฉพาะยามที่ต้องการแค่นี้ ต้องการให้นางสมันน้อยตายใจก่อน มณีรัชดาแปลกใจกับผู้ชายคนนี้ เหมือนเขาประชดหล่อน หากแต่หล่อนไม่สนใจหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เผอิญมาพบเจอกันครั้งที่สอง “คุณคงทำงานอยู่แถวนี้ แต่มีเวลาเหลือเฟือมาเดินเล่นหรือคะ” “เป็นเพราะผมนัดลูกค้าเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลานัดครับ”เขาจำใจปดหล่อน มณีรัชดาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนักหรอก หากแต่ก็พยักหน้า “ค่ะคุณเลยมีเวลาว่างถมเถ” วาจาหล่อนย้อนเหน็บก็ไม่เบานี่ “แล้วคุณล่ะ ทำงานที่ไหนครับ” “เอ้อฉันตกงานอยู่ค่ะ”มณีรัชดาหันมาตอบเขา“ “ยังหางานทำไม่ได้”ตอบแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นชายหนุ่มทราบแต่เขาก็เอ่ย
เห็นเพื่อนสีหน้าตึงอย่างนี้ จตุทิศเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “งั้น ก็เท่ากับหล่อนจะกลายเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของนายล่ะสิ” เลยทำให้อีกฝ่ายกลับเหยียดริมฝีปากบิดเบ้ใต้กรอบดวงหน้าคมคายหล่อเหลา จนเพื่อนรับรู้เมื่อเขาย้อนคำเหยียด “เป็นน้องสะใภ้นะหรือ เฮอะ ฝันไปไกลแล้วมั้ง ไม่มีทาง ฉันนี่ละ จะกีดกันผู้หญิงคนนี้ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เข้าใกล้น้องชายฉัน” และจอมภูก็เผลอเสียงเข้มประกาศออกมาให้เพื่อนช่วยรับรู้ ครั้นเมื่อจตุทิศรู้ว่าอารมณ์ที่ฮึดฮัดของเพื่อนรักในยามนี้นั้นมันประจุด้วยไฟแค้นที่โชนลึกในดวงตายามแสดงออกมาแววตาเขาแดงก่ำและ ถมึงทึง “หล่อนชื่ออะไร” “มณีรัชดา” “ชื่อเพราะนี่”เพื่อนรักนึกชม “ชื่อเพราะ แต่จิตใจไม่เพราะเหมือนชื่อก็ได้..พอเห็นน้องชายฉันมีเงินก็เอาตัวเองมาหว่านเสน่ห์ใกล้ๆแต่นายรู้มั๊ยฉันมีแผนแล้ว” หันมาตอบเพื่อนแล้วมุมฝีปากขยับยิ้มเหยียด ก่อนหรี่ดวงตาหันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ฉันจะให้เจ้าดลช่วย” ทำให้เพื่อนสนิทเลยอุทานออกมา “เฮ้ยไอ้ดล นั่นถนัดภาพนู้ดนะเว้ยจอม” จอมภูยังเอ่ยตอบสีหน้าเ