โดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด
ภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา
แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา
“วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล”
ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง
“นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา”
เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิด
เมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถาม
เขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล
“ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน”
เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแหย่กลับไป หากหารู้ไม่ว่ายิ่งจุดไฟโทสะของอีกฝ่ายให้กระพือโหมหนักกว่าเดิม
“ไอ้นี่ ชักจะปากเก่งขึ้นแล้วสินะ ถึงกับย้อนใส่ฉันนี่ ขอถามแกดีๆนะเจ้าพล”
เขาตีสีหน้าเคร่งใส่น้องชายและพยายามจับผิด
“อ้าว ก็ผมไปหาเพื่อนมาครับ”
ด้วยความที่ไม่อยากจะให้มีเรื่องมากกว่านั้น บานปลายจึงก้มหน้ายอมรับและมีสีหน้าแบบเกรงอยู่มาก เนื่องจากเป็นพี่ชายและพี่ชายคนนี้ข่มเขาได้อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างจอมภูในฐานะพี่ใหญ่เป็นคนที่ในครอบครัวยอมรับ
มีหน้าที่การงานมั่นคงรวมทั้งได้รับคำกล่าวชมเชยจากพ่อแม่แตกต่างไปจากภูวพลน้องชาย ที่มักถูกยกเปรียบเปรยให้เห็นความแตกต่าง มันเหมือนกับเป็นคำที่กดดัน
เพราะว่าเขาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่เป็นคนสร้างสมมา และเขาเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในตระกูลเศรษฐี
แต่คำพูดที่เหมือนกับถากถางก็ยังคงก้องอยู่ในใจ เป็นเรื่องที่
ภูวพลต้องเก็บความน้อยใจเอาไว้ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้ได้เหนือกว่าพี่ชายคนโตนี้อีก
ไม่ต้องให้คนในครอบครัวต้องคอยปรามาส ว่าเขาไม่สามารถสู้พี่ชายคนนี้ได้
“เพื่อนแบบไหน เอ เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย”
“เอ ทำไมพี่ใหญ่ซักละเอียดอย่างนั้น ผมบอกว่า เพื่อนก็เป็นเพื่อนซี”
เหมือนเขาหงุดหงิดไม่พอใจที่พี่ชายจะถามแบบเจาะลึก
จอมภูยิ้มหยันสีหน้าเครียด
“ก็ไม่เป็นไร ฉันเป็นพี่แก ก็ย่อมอยากรู้ทุกอย่างของน้องชาย”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของผม”
เขาเผลอตัวเถียงพี่ชายออกไป
“นี่แกยังเถียงฉันอยู่อีกหรือ แสดงว่าแกต้องมีความลับที่พยายามจะปกปิดฉันอยู่”
หากแต่จอมภูยังจ้องสีหน้าเขม็งเอื้อมมือคว้ากีต้าร์ของน้องชายออกจากมือด้วยอารมณ์ถือดี อย่างโกรธจัดที่น้องชายไม่ฟังเขาเลยและเขาดึงเอากีต้าร์ตัวนั้นมาวางบนพื้นใกล้ตัว
เป็นการตัดความสนใจของน้องชายจากสิ่งอื่นเพื่อสนใจเขาตรงหน้าเพียงอย่างเดียว เพราะเขาต้องนั่งก้มหน้าเพื่อให้พี่ชายซัก หากเมื่อจอมภูรุกหนักเหมือนจะเล่นแรงกับน้องชาย
“ก็มี แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม”
“ฉันขอถามแกตรงๆเป็นผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย หรือว่าแกจะมีแฟนแล้วแกแน่ใจแค่ไหนกับผู้หญิงที่แกเรียกว่าเป็นแฟนและแกนึกว่าฉันแล้วก็พ่อแม่จะยอมรับหรือยังไง”
ภูวพลหน้าหงิกหงอยเศร้าทันควัน
“ขอบอกว่าฉันไม่ยอมรับในฐานะฉันเป็นพี่ชายของแก แกต้องทำงานก่อน แล้วแกคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีแค่ไหน ถ้าไม่คิดจะจับแก”
“พี่ใหญ่อย่ามองคนอื่นในแง่ลบเลยน่า ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไร และผมกับเธอรักกัน และจะรักกันให้ได้ ถึงมีใครขวาง ผมก็ยอมที่จะออกไปอยู่ข้างนอก”
“นี่แกกำลังตาบอด เพราะผู้หญิงยังงั้นรึ ภูวพล”
“เรียกว่าความรักดีกว่า ผมกับเธอรักกัน และรักกันมาก”
“รักนะหรือ”พี่ชายยิ้มเยาะ
“แกพูดคำนี้ออกมาง่ายเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ แกต้องผ่านด่านหินอย่างมหาหินกับฉันและก็พ่อแม่มากที่สุด ให้ได้ก่อน ถ้าแกคิดแหกคอกทำอย่างนั้นแกก็ชนเลยซี ถ้าแกคิดจะมองไม่เห็นหัวใครในบ้านนี้ เพราะแกก็รู้ดีว่าคำตอบของพ่อแม่คืออะไร”
“แล้วผมจะอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจเอง”
ภูวพลตอบเสียงหงุดหงิด
“งั้นฉันขอภาวนาให้พ่อแม่เห็นดีกับแกด้วย แต่แกก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าผู้หญิงที่ไม่เหมาะควร มีแต่ตัว แกคิดว่าพ่อกับแม่จะต้อนรับเข้าสู่วงศาคนาญาติหรือเปล่า หัดใช้สมองทบทวนดูบ้าง” เป็นเรื่องที่ภูวพลต้องอึ้ง เพราะอุปสรรคขวางทางรักยิ่งใหญ่
คุณภาสและนางภวานันท์คือคนที่ภูวพลเดินเข้าหาในช่วงสายของวันรุ่ง ขึ้นเนื่องจากคิดว่าทุกคนตื่นแล้ว พบว่าคุณภาสเองกำลังนั่งกินกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ก่อนที่จะออกไปทำงา ส่วนมารดาก็วุ่นอยู่กับงานครัว
ถ้อยคำที่พี่ชายเอ่ย ทำให้ภูวพลจำต้องคิดมาก
มันลอยติดตามหัวสมองเขาจนถึงเช้าทีเดียว อย่างน้อยก็รู้ว่าคนที่ค้านในเรื่องความรักของเขามากที่สุดในเวลานี้ คือพี่ชายคนโตที่เขารักมากที่สุดเหมือนกัน
จอมภูเหมือนคนด้านชาต่อความรัก หากแต่พี่ชายใหญ่ก็ กลับทำเป็นไม่เข้าใจความรักของเขากับหล่อน
ฮึ เหตุผลที่รู้อยู่แก่ใจดีเพราะฐานะของมณีรัชดาต่ำต้อยกว่าเขา
ยิ่งน่าคิดเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคาดเดาได้อย่างไร ว่าแฟนสาวของเขาคือใคร แน่นอนภูวพลไม่เคยเปิดปากบอกใครเรื่องนี้สักนิด จึงตั้งใจเป็นครั้งแรกด้วยความกล้าหาญแบบลูกผู้ชายคือต้องบอกกับบิดาและมารดาให้ทราบเสียก่อนว่าเขาจะมีแฟน แค่นี้ล่ะเหมือนเกริ่นบอก เขาคิดว่าพี่ชายคงไม่รวดเร็วที่จะชิงบอกในเรื่องนี้ มันเรื่องของเขาเองแท้พี่ชายก็ยุ่งไม่เข้าท่าภูวพลไม่ค่อยพอใจพี่ชายยิ่งนัก อารมณ์เขายังปั้นปึ่งอยู่ ยิ่งพูดถึงหน้าพี่จอมภู เขาไม่อยากนึกและเอ่ยถึงสั่นไหม? ยอมรับกับตัวเองเหมือนกันเมื่อกล้าเข้ามาหาบิดา และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดสักหน่อย เพื่อเรียกกำลังที่เข้มแข็งของตนเอง ก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อให้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อให้บิดารับรู้ นายภาสเงยสายตาขึ้นมองละสายตาจากหนังสือพิมพ์รอบเช้าในมือ ขาประจำก่อนเอ่ยถาม “อ้าว เจ้าพลนี่เอง มีอะไรจะคุยกับพ่อหรือยังไงแกถึงเดินมาที่นี่” เพราะปกตินั้นนอกจากภูวพลจะตื่นสายแล้วไม่ค่อยกรายย่างมาที่โซฟารับแขกสักเท่าไร เขามักจะเลี่ยงเข้าครัวเพื่อหาอะไรดื่มทานไปตามประสา พวกอาหารเสริมยามเช้าบ้าง นมอุ่นๆที่ค
เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว” ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้ “ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง” เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่ จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่
“สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียงวันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกัน มณีรัชดาไงแม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเ
“คุณเนี่ยนะ มาเดินเล่นที่สวนลุม” มณีรัชดาเริ่มสีหน้าไม่พอใจบ้างนี่มันเรื่องของหล่อน แล้วแววตาของหล่อนบึ้ง ทำไมล่ะเขามากักกันสิทธิ์ของหล่อนหรือยังไง จึงย้อนถาม “ทำไมคะผู้หญิงเข้ามาเดินสวนลุมเป็นยังไงหรือ ผิดด้วยหรือคะ” “มันดูไม่ดี เขาจะกล่าวหาว่ามาอ่อยเหยื่อล่อเอ้อ ดักผู้ชายแถวนี้ไงครับ”เขาต้องหนีบความสุภาพเอาไว้ก่อนวาจาร้ายแดกดันคอยเอาไว้ใช้เฉพาะยามที่ต้องการแค่นี้ ต้องการให้นางสมันน้อยตายใจก่อน มณีรัชดาแปลกใจกับผู้ชายคนนี้ เหมือนเขาประชดหล่อน หากแต่หล่อนไม่สนใจหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เผอิญมาพบเจอกันครั้งที่สอง “คุณคงทำงานอยู่แถวนี้ แต่มีเวลาเหลือเฟือมาเดินเล่นหรือคะ” “เป็นเพราะผมนัดลูกค้าเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลานัดครับ”เขาจำใจปดหล่อน มณีรัชดาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนักหรอก หากแต่ก็พยักหน้า “ค่ะคุณเลยมีเวลาว่างถมเถ” วาจาหล่อนย้อนเหน็บก็ไม่เบานี่ “แล้วคุณล่ะ ทำงานที่ไหนครับ” “เอ้อฉันตกงานอยู่ค่ะ”มณีรัชดาหันมาตอบเขา“ “ยังหางานทำไม่ได้”ตอบแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นชายหนุ่มทราบแต่เขาก็เอ่ย
เห็นเพื่อนสีหน้าตึงอย่างนี้ จตุทิศเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “งั้น ก็เท่ากับหล่อนจะกลายเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของนายล่ะสิ” เลยทำให้อีกฝ่ายกลับเหยียดริมฝีปากบิดเบ้ใต้กรอบดวงหน้าคมคายหล่อเหลา จนเพื่อนรับรู้เมื่อเขาย้อนคำเหยียด “เป็นน้องสะใภ้นะหรือ เฮอะ ฝันไปไกลแล้วมั้ง ไม่มีทาง ฉันนี่ละ จะกีดกันผู้หญิงคนนี้ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เข้าใกล้น้องชายฉัน” และจอมภูก็เผลอเสียงเข้มประกาศออกมาให้เพื่อนช่วยรับรู้ ครั้นเมื่อจตุทิศรู้ว่าอารมณ์ที่ฮึดฮัดของเพื่อนรักในยามนี้นั้นมันประจุด้วยไฟแค้นที่โชนลึกในดวงตายามแสดงออกมาแววตาเขาแดงก่ำและ ถมึงทึง “หล่อนชื่ออะไร” “มณีรัชดา” “ชื่อเพราะนี่”เพื่อนรักนึกชม “ชื่อเพราะ แต่จิตใจไม่เพราะเหมือนชื่อก็ได้..พอเห็นน้องชายฉันมีเงินก็เอาตัวเองมาหว่านเสน่ห์ใกล้ๆแต่นายรู้มั๊ยฉันมีแผนแล้ว” หันมาตอบเพื่อนแล้วมุมฝีปากขยับยิ้มเหยียด ก่อนหรี่ดวงตาหันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ฉันจะให้เจ้าดลช่วย” ทำให้เพื่อนสนิทเลยอุทานออกมา “เฮ้ยไอ้ดล นั่นถนัดภาพนู้ดนะเว้ยจอม” จอมภูยังเอ่ยตอบสีหน้าเ
ฮึ ทำให้หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่นั้นเดือดจัด ด้วยดวงตาที่วาวเข้มที่น้องชายคนเดียวนั้นก็ไม่เชื่อฟัง หลงมืดมัวถลำบอดไปกับความรักของมัน ฮึ ความรักที่กัดก้อนเกลือกินของทั้งคู่นะสิ หากแต่จอมภูกลั้นใจทนฟังต่อ และกายไม่เคลื่อนไหวใดอันจะทำให้น้องชายจับผิดได้เพราะเขาก็ซุ่มตัวอยู่เงียบๆในเวลานี้ “พลแทบจะคิดถึงณีมากนี่ คิดถึงจนลมหายใจเข้าออกเลยนะเอ้อนี่ถามณีหน่อยเรื่องสมัครงาน เขาโทร.มาตามอีกบ้างหรือเปล่า” เมื่อภูวพลเอ่ยถามเรื่องนี้ มณีรัชดาเงียบไปครู่และหม่นลงด้วยสีหน้าที่ผิดหวังขึ้นมา “ยังจ้ะ ไม่เห็นเรียกตัวเลยสักที่” คำตอบของแฟนสาวทำให้เขาเงียบไปครู่ก่อนจะให้กำลังใจ “ก็พลบอกณีแล้วว่า จะช่วยหาให้ บริษัทเพื่อนของพ่อ ณีก็ไม่เอา เห็นไหม อวดเก่งกับความสามารถของตัวเองนัก สุดท้ายก็ไม่ได้งาน” เขาบ่นที่มณีรัชดายึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากเกินไปจนชวดงาน EP 6เพราะหล่อนอยากหาด้วยตัวเอง หญิงสาวคิดเช่นนั้น “พลเคยบอกแล้วให้เชื่อพลแล้วก็ใจอ่อนเสีย บริษัทเพื่อนของพ่อพลมี แต่ณีก็ใจแข็ง” ใช่หล่อนยอมรับว่าหล่อนดื้อในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพึ่งเขา
จอมภูก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวอีกครั้ง แม้น้องชายจะเอ่ยธุระจบ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนสุขใจ หากแต่เขาผู้เป็นพี่ชายกลับหน้าตึง หรี่ดวงตาเงยมองน้องชาย “นี่แกจะออกไปไหนอีก.. ออกไปข้างนอกหรือเปล่า” จอมภูเอ่ยเสียงเข้มแววตาหมิ่นเยาะไปยังน้องชาย ภูวพลสะบัดเหมือนจะไม่แคร์สนใจในสิ่งที่พี่ชายเอ่ย เขายังทำตัวผ่าเผยยักไหล่แบบไม่แคร์ ก้าวเดินหนีอีก “นี่ ฉันถามแกดี..แกจะออกไปไหนอีก แล้วเมื่อกี้ใครโทร.มาหาแก” “ธุระของผม มันเป็นเรื่องส่วนตัว จะออกไปไหนหรือไม่ออก ผมเคยบอกแล้วว่า พี่ใหญ่อย่ามายุ่งกับชีวิตของผม”เขาก็เสียงเข้มเอ่ยโต้กลับไปทันควัน แสยะใบหน้าใส่อย่างไม่พอใจ จนจอมภูนึกเดือดดาลยิ่งนักกับท่าทีแข็งกระด้างของน้องชาย ทั้งที่เขาแอบฟังคนทั้งสองสนทนา แต่ก็อยากจะรู้ลึกลงไปกว่านั้น “ฮึ นี่นะ ถ้าแม่กับพ่อไม่ฝากให้ฉันดูแลแกล่ะก็ จ้างให้ฉันก็ไม่แยแสเลย ว่าแกนั้นจะตกนรกหมกไหม้ยังไงก็เชิญ เพราะแกมันดื้อ ไม่เคยเชื่อฉัน” นับว่าเป็นคำพูดที่ร้ายกาจทิ้งขว้างและไม่ไยดีพอสมควรสำหรับคนเป็นพี่ชาย เมื่อเขาเอ่ยถึงน้องชาย หากคนฟังนั้นใจเจ็บแปลบ
ครั้นพอเข้าไปดูใกล้ๆ ที่มือถือซึ่งปรากฏมีเบอร์โทร.เข้ามา และในขณะที่หล่อนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง ก็มีมือถือดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยอารามดีใจ ก็ทำให้เธอรีบคว้าเข้ามาแนบหูเอ่ยถามทันที “มณีรัชดาพูดค่ะ จากไหนคะ” หากว่าเสียงนุ่มทุ้มตอบด้วยอารมณ์ดีใจที่หล่อนยอมรับสาย และโดยไม่ทำให้เขานั้นหน้าหงิกหน้างอหงุดหงิดอย่างเมื่อครู่ “ผม วิภัส ครับ คนที่คุณพบเจอเมื่อตอนกลางวันที่สวนลุม สักสามวันได้แล้วครับ เอ้อ โทร.มาสอบถามว่า คุณสนใจที่จะทำงานตามนามบัตรที่ผมระบุไว้มั๊ยครับ” เสียงนุ่มทุ้มที่เคยคุ้น อ๋อหล่อนจำได้แล้วใจหล่อนแฟบลง นึกว่าฝ่ายบุคคลของบริษัทที่หล่อนสมัครงานทิ้งไว้โทร.มาตาม เมื่อรู้ว่าเป็นเขา แล้วหล่อนก็ถอนใจ พยายามนึกถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงใบหน้าคมคาย ที่มณีรัชดานึกคิดว่า ท่าทางเขาแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ เป็นเพราะหล่อนไม่ไว้ใจนะสิ แต่ก็ยอมเอ่ยพูดด้วย เหตุผลเพราะเขาพูดกับหล่อนดี และน้ำใจของมณีรัชดาคือ หากใครพูดตอบหล่อนมาดี หล่อนก็จะตอบด้วยสิ่งที่ดี อันบ่งบอกถึงมารยาทจากใจ “ค่ะ ดิฉันจำได้ ว่าไงนะคะ จะให้ดิฉันเข้