ฉินอู๋ต้าวเหลือบมองฉินซู และถามอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาท เจ้ามีแผนการดี ๆ จริงรึ?”ฉินซูพูดอย่างใจเย็น “ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่มีความคิดดีๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ"ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเหยี่ยนก็พูดด้วยความเย้ยหยัน “เมื่อเสด็จพี่องค์รัชทายาท ตอนท่านวิจารณ์ทูตของเป่ยเยี่ยน ดูดุดันมากเพียงนั้น ตอนนี้กลับบอกว่าไม่มีความคิดดี ๆ อะไรเลย นี่มิไร้สาระไปหน่อยหรือ?"“เช่นนั้น หากไม่มีแผนดี ๆ แล้วท่านยังจะเสนอให้ทำสงครามอีกหรือท่านอยากเห็นต้าเหยียนของเราตกที่นั่งลำบาก หรือท่านอยากอวดตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงกันแน่?”ฉินหงก็สนับสนุนทันที เขามิอยากพลาดโอกาสที่จะได้เหยียบย่ำองค์รัชทายาทต่อหน้าขุนนางทั้งหลายเช่นนี้หลินซียังถามอีกว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีแผนการในใจ เหตุใดท่านถึงมิเห็นด้วยกับการคืนเมืองชิ่งโจวให้กับเป่ยเยี่ยนเล่า?”ฉินซูวางมือไพล่หลังและส่งเสียงฮึมฮัม “หึ เมืองชิ่งโจวเดิมทีเป็นดินแดนของต้าเหยียน เหล่าทหารพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะยึดกลับคืนมาได้ แต่พวกเจ้ากลับต้องการคืนชิ่งโจวให้เป่ยเยี่ยน การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเราเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายขวัญกำลังใจ
ฉินหงขมวดคิ้วและถามว่า “ไฉนท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า?”ฉินซูยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากจะบอกว่า หากมู่หรงฟู่มิชอบก็ยังมีหลินชิงเหยามิใช่รึ?”บุตรีสุดที่รักของใต้เท้าหลินเป็นหนึ่งในห้าของสาวงามแห่งหลงเฉิงของเรา ด้วยความงามเช่นนี้ ตราบใดที่มู่หรงฟู่มิใช่ขันที ก็คงไม่มีทางที่เขาจะมิถูกนางล่อลวงหรอกใช่หรือไม่?”ครั้นได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินหงก็แสดงถึงความมิพอใจทันใด!ขุนนางคนอื่น ๆ ก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปมีผู้ใดมิรู้บ้างเล่าว่า หลินชิงเหยาเป็นคนรักของอ๋องฉี ฉินหง เมื่อฉินซูพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากมีปัญหากับอ๋องฉีใช่หรือไม่?สีหน้าหลินซีดูมิพอใจ เขาประสานมือและโค้งคำรับไปทางฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท บุตรีของข้าน้อยมีคนที่นางรักอยู่แล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าฝ่าบาทจะมิ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและขัดจังหวะเขา“เสนาบดีหลิน เรื่องยังมิไปถึงขั้นนั้น ไฉนเจ้าต้องตื่นตระหนกนัก?”“ข้าน้อย… ข้าน้อยเพียงกังวล…”“มีสิ่งใดให้กังวลนัก? แม้ว่านางจะแต่งงานกับมู่หรงฟู่โดยมีข้าสนับสนุน เช่นนั้นเจ้าก็กลัวว่ามู่หรงฟู่จะกล้ารังแกนางรึ? อีกอย่างข้าเพิ่งบอกว่าเรื่องยั
เหลยเจิ้นมิตอบทันที แต่ชี้ไปที่หัวของตนฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงอะไร?”“ทูลฝ่าบาท ปีนี้ดาวแห่งจักรพรรดิจะเข้าสู่วังชีวิต ทำลายอิทธิพลชั่วร้าย ดาวดวงอื่น ๆ หลับใหล นี่เป็นตัวบ่งบอกถึงจำนวนภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม เมื่อดาวไท่เวยอยู่ข้าง ๆ วังชีวิต เคราะห์ร้ายก็คลายกังวล หลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ครั้นดาวทุกดวงกลับคืนสู่ตำแหน่ง ไทเว่ยก็จะถูกขับออกจากตำแหน่ง"“เจ้ากำลังบอกว่า องค์รัชทายาทคือกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันข้าจากเคราะห์ร้ายรึ?”เหลยเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ดวงดาวจะกลับสู่ตำแหน่ง ต้องมิรบกวนไท่เวย มิเช่นนั้นโชคร้ายร่วงหล่นจากสวรรค์ ทั่วหล้าโกลาหลวุ่นวาย แคว้นจะตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ!”การแสดงออกของฉินอู๋ต้าวเริ่มจริงจังหากมีใครพูดเช่นนี้เขาคงจะสั่งให้ลากคนผู้นั้นออกไปตัดศีรษะแล้วทว่ายามนี้คำพูดที่มาจากปากของหัวหน้าโหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวง เขาก็มิกล้าที่จะนิ่งนอนใจท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของเขาในการขึ้นสู่บัลลังก์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการทำนายที่ลึกลับยากจะคาดเดาของเหลยเจิ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คำทำนายทั้งหมดของเหลยเจิ้นนั้นเป็
ฉินหงตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายว่า “มิใช่เป็นแน่ ตอนนั้นข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ข้าจะมิยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด”หลินชิงเหยาเยาะเย้ยในใจ คร้านจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ฉินหงพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ตัวข้าอารมณ์ดี ไปล่องเรือในทะเลสาบกันเถอะ”หลินชิงเหยาส่ายหัวด้วยสีหน้าเย็นชา "หม่อมฉันขออภัยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึกมิสบายนิดหน่อย หม่อมฉันคงไปกับท่านอ๋องมิได้ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"ฉินหงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป? ให้ข้าเรียกหมอมาดีหรือไม่?"“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เพียงต้องพักผ่อนเพคะ”“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน หลังจากโค่นฉินซูองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ลงได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ดี ๆ”หลังจากพูดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาก็หันหลังกลับเดินออกไปอย่างมิเต็มใจเมื่อมองดูร่างที่จากไปของเขา ดวงตาของหลินชิงเหยาก็สั่นไหว หัวใจของนางดิ้นรนกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลินชิงเหยา สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกจากประตูหลังจวนอย่างเงียบ ๆ และมุ่งตรงไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาขันทีน้อยหลายคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรด้วย
หลังจากที่หลินชิงเหยาได้สติ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเข้าไปยุ่งโดยมิจำเป็น วางพระทัยเถิดเพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะมิเข้ามารบกวนท่านอีก"นางดูหดหู่ใจ ความโศกเศร้าจาง ๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าอันบอบบางของนาง หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็หันหลังเดินจากไปสตรีผู้นี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด!ฉินซูยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พลันคว้าแขนขาวดั่งหยกอันละเอียดอ่อนของหลินชิงเหยาแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมอกร่างกายที่บอบบางของหลินชิงเหยาสั่นสะท้าน และตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เมื่อตระหนักรู้ตัวได้เช่นนั้นนางก็พยายามจะแยกตัวออกนางเริ่มตะโกน“องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”ฉินซูยื่นมือออกมาเชยคางของนางแล้วจ้องมองเมื่อสบกับสายตาเจ้าเสน่ห์ของฉินซู หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตะลึงเล็กน้อยตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาขององค์รัชทายาทไร้ค่า คิ้วคมโดดเด่น และดวงตาที่น่าดึงดูดและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอ๋องฉีฉินหงจะบอกว่าเขารักนางก็ตามแต่เขามักจะมองนางด้วยท่าทางวางตัวราวกับว่าคว
เฉิงจืออี้กล่าวอย่างมีความหมาย “หลังจากมาถึงหลงเฉิงแล้ว กระหม่อมได้ยินมาหลายครั้งว่า เหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมิลงรอยกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร องค์ชาย หากท่านประสงค์ทวงคืนศักดิ์ศรี ท่านสามารถร่วมมือกับเหล่าองค์ชายแห่งต้าเหยียนได้พ่ะย่ะค่ะ”“เป็นความคิดที่ดี!”มู่หรงฟู่ตบต้นขาของตนในทันใด และลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นแต่หลังจากสงบลงแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ “วันนี้เราก่อความวุ่นวายในราชสำนักต้าเหยียน องค์ชายแห่งต้าเหยียนเหล่านี้คงเกลียดเราแล้วจะมีใครร่วมมือกับเราอีกหรือ?”“องค์ชาย หาอย่าได้ประมาทความยั่วยุของตำหนักบูรพา องค์ชายเหล่านั้นต่างรอมิไหวที่จะได้เหยียบย่ำฉินซูพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วตามที่ขุนนางอาวุโสเฉิงบอก เราควรร่วมมือกับองค์ชายคนใดดีเล่า?”เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์ชายสามฉินหงหรือองค์ชายหกฉินเหยี่ยนแห่งต้าเหยียน ทั้งสองเผชิญหน้ากับฉินซูในราชสำนักในวันนี้ พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน”มู่หรงฟู่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มิควรล่าช้า เราไปคุยกับพวกเขาตอนนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชาย หากออกไปเช่นนี้จะถูกดึงดูดความสนใจ
เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือดฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”“เจ้า… ข้า...”ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่งหากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแ
หลินชิงเหยายิ้มอย่างขมขื่นพลางหลับตารอความตายดาบเคลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าหลินชิงเหยากำลังจะพบกับจุดจบอันน่าเศร้าในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มีร่างหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า!ในขณะที่คนผู้นั้นนี้ยื่นมือออกเพื่อดึงหลินชิงเหยาออกมา มืออีกข้างของเขาก็คว้าดาบอย่างรวดเร็วและช่ำชองในชั่วพริบตา ดาบในมือของฉินหงก็ถูกคนผู้นั้นคว้าไป ในเวลาเดียวกัน ดาบเย็นก็กดลงบนคอของเขาในทันใด!หลังจากที่ฉินหงตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!“ฉินซู เหตุใดจึงเป็นเจ้า!”เขาตกใจมาก!ฉินซูผู้ไร้ประโยชน์มีทักษะถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาสามารถปลดอาวุธได้ด้วยมือเปล่าจริง ๆ หรือ?องครักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ฉินหงต่างก็ทำหน้าเคร่งขรึม พลันชักมีดออกมาพร้อมกัน!ดวงตาของฉินซูเย็นชา ดาบในมือของเขากลายเป็นแสงสีขาว ฟันไปที่หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าม่านตาของหัวหน้าองครักษ์หดตัวลงทันที และพยายามหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณทว่าก่อนที่เขาจะขยับเท้าได้ ดาบก็ฟาดลงมาแล้ว“ฉึก!”โลหิตพลันพุ่งออกมา ศีรษะของหัวหน้าองครักษ์ลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาและกลิ้งไปบนพื้นสองสามครั้งก่อนที่มันหยุดลงร่
หวังฉือขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงว่า "องค์รัชทายาท ข้าน้อยยังมิเข้าใจว่าใครเป็นคนสังหารกู้ตงเฟิงกันแน่?""วรยุทธ์ของเจ้าปีศาจเฒ่าผู้นี้หาได้อ่อนด้อยไม่ หลังจากพักฟื้นหลายวัน อาการบาดเจ็บของเขาคงจะหายดีเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว คนที่สังหารเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับปฐพีขั้นกลางขึ้นไป มองไปทั่วเมืองหลงเฉิง เห็นจะมีจอมยุทธ์ระดับนี้อยู่เพียงหยิบมือ!""มีมิมากจริงดังท่านว่า ช่วงนี้ไม่มียอดฝีมือจากยุทธภพเข้ามาในเมือง นอกจากศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว คนที่มีฝีมือระดับนี้ก็มีแต่ยอดฝีมือในวังหลวงเท่านั้น..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็เบาเสียงลงเนื่องจากเพิ่งรู้ตัว "องค์รัชทายาท หรือนี่จะเป็นฝีมือของราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ?""หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชองครักษ์ เรื่องนี้คงหนีมิพ้นเสด็จพ่อ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานใด ๆ ท่านอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด""วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท คำพูดเหล่านี้ข้าน้อยกล้าพูดกับพระองค์เท่านั้น""เช่นนั้นก็ดีแล้ว ให้พวกเขาค้นหาเบาะแสต่อไป ดูว่าจะพบบุตรสาวของใต้เท้าหลิวหรือไม่""รับพระบัญชา!"หวังฉือประสานมือคารวะแล้ว
"ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย"หลิวเว่ยโบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชายกร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงไปสองเค่อต่อมาในห้องเก็บศพของศาลต้าหลี่ร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงนอนอยู่บนแท่นหินเย็นเยียบหวังฉือมองดูอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่ก็ยังมิอยากเชื่อสายตาตนเองเขาถามตงฟางไป๋ว่า "ใต้เท้าตงฟาง เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือกู้ตงเฟิง?"ตงฟางไป๋พยักหน้าหนักแน่น "แน่ใจขอรับ เมื่อก่อนตอนที่พวกข้าท่องยุทธภพ เคยเจอเจ้าโจรเฒ่าผู้นี้หลายครา ข้าไม่มีทางจำหน้าตาของเขาผิดเป็นแน่"ในขณะนั้นเอง ฉินซูก็มาถึงทุกคนคารวะต่อเขาฉินซูโบกมือแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงบนแท่นหิน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจกู้ตงเฟิงตายแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือ?!หากมิใช่เพราะรูปร่างหน้าตาน่าขนลุกของกู้ตงเฟิงตราตรึงจิตใจผู้พบเห็นเกินไป และแขนซ้ายที่ถูกทำลายไป ฉินซูคงอดสงสัยมิได้ว่าเขาจำผิดคนหรือไม่ฉินซูเลิกคิ้วถาม "พบศพของกู้ตงเฟิงที่ใด?""ทูลองค์รัชทายาท พบที่ตรอกผิงอี่ในตลาดหย่งเล่อพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยสำรวจบริเวณใกล้เคียงแล้ว มิพบเบาะแสอื่นใดเลยพ่ะย่ะค่ะ""แล้วพวกเจ้าพบศพของเขาได้อย่างไร?"ตงฟางไป๋จึงเล
เมื่อครู่ที่อยู่ในพระที่นั่งหย่างซิน ฉินซูมิเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ จากฉินอู๋ต้าวเขาอดคิดมิได้ว่า หรือเขาคิดมากไปเองจริง ๆ ?เขาหันกลับไปมองพระที่นั่งหย่างซิน ก่อนจะเดินจากไปหลังจากที่ฉินซูจากไปได้มินาน ชายคนหนึ่งก็เข้ามาในพระที่นั่งหย่างซินฉินอู๋ต้าวสั่งกับเขาว่า “ทำตามแผนที่วางไว้ จำไว้ให้ขึ้นใจว่า ห้ามทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เป็นอันขาด!”“รับพระบัญชา!”หวงเฉาขานรับด้วยความเคารพ!หลังจากออกจากพระที่นั่งหย่างซิน หวงเฉาก็มาถึงนอกพระราชวังอย่างรวดเร็วเขาเหลือบมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น เขาก็หันหลังเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งมินานนัก เขาก็เดินออกมาจากข้างในตอนนี้เขาอยู่ในชุดท่องราตรีสีดำ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำ บนบ่าของเขามีกระสอบป่านใบหนึ่งพาดอยู่หลังจากออกจากร้านค้า เขาก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวไปทางศาลต้าหลี่ในเวลาเดียวกันตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ กำลังสำรวจตรอกแห่งหนึ่งในขณะนั้นเอง หางตาของตงฟางไป๋กระตุกเล็กน้อย เขาเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งพลิกตัวข้ามกำแพงมิไกลออกไปเขาพูดเสียงต่ำ “อยู่ตรงนั้น ตามไปเร็ว!”เหล่าทหารรักษาตำหนักได้ยินดังนั้นก็รีบติดตามไปอย่างรวดเร็วคนก
แต่จากตัวอักษรที่ปรากฏ มองออกมิยากว่านี่คือวิชายุทธขั้นสุดยอดชายชุดคลุมดำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก มิเสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ลำบากช่วยเจ้า”กู้ตงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้มีพระคุณ เมื่อไรข้าน้อยจะออกไปจากที่นี่ได้หรือขอรับ?”ชายชุดคลุมดำมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระไรกัน? อยู่ที่นี่กับข้ามันทำให้เจ้าอึดอัดหรือ?”“หามิได้ ๆ ขอรับ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่กังวลว่าศัตรูจะมาพบเข้า แล้วจะทำให้ท่านผู้มีพระคุณพลอยเดือดร้อนไปด้วยขอรับ”“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า เจ้าแค่ตั้งใจกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ รอจนกว่าเรื่องซาลง ข้าจะปล่อยเจ้าไปเอง”ได้ยินดังนั้น กู้ตงเฟิงก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดในใจกลับคิดว่า สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่ในพระราชวังจริง ๆ เช่นนั้นแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าเขา… หรือว่าจะเป็น...เขามิกล้าคิดต่อไป เพราะมิว่าเขาจะเดาถูกหรือไม่ก็ตาม ล้วนแต่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขา......“องค์รัชทายาท ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดพระองค์ถึงเสด็จมาที่นี่พ่ะ
"องค์รัชทายาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"หวังฉือมาถึงตำหนักบูรพา ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดฉินซูพอจะคาดเดาได้จากสีหน้าวิตกกังวลของเขา "หรือว่ามีเด็กสาวถูกลักพาตัวไปอีกแล้ว?""ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คราวนี้เป็นบุตรสาวของหลิวเหวินซิน เสนาบดีกรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ!""ท่านว่ากระไรนะ? บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมรึ?!""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ข้าน้อยจะมาที่นี่ หลิวเหวินซินได้ไปแจ้งความต่อศาลต้าหลี่ด้วยตนเอง ตอนนี้ผู้ตรวจการศาลต้าหลี่และทหารรักษาจวนของเขากำลังออกค้นหากันอยู่ แต่มิแน่ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็หยุดพูด พร้อมกับชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือศีรษะฉินซูเข้าใจความหมายของเขาในทันที หากเป็นฝีมือขอองค์จักรพรรดิ บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเป็นแน่เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "เช่นนั้นตัวข้าจะใช้ข้ออ้างนี้ไปขอเข้าเฝ้าเพื่อหยั่งเชิงเสด็จพ่อดูสักหน่อย""มิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทจริง ๆ และฝ่าบาททรงล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ฝ่าบาทอาจกระทำการบางอย่างก็เป็นได้"ที่หวังฉือมาถึงที่นี่ นอกจากกังวลว่าฉินซูจะรีบไ
บนกำแพงวังเต็มไปด้วยหน่วยตรวจตรา ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆในขณะเดียวกันจวนหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของเมืองชายวัยห้าสิบคนหนึ่งกำลังสนทนากับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ที่ห้องรับรองเขาผู้นี้คือหลิวเหวินซิน เสนาบดีกรมกลาโหมเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวพึมพำ “มิคิดว่าครั้งนี้แคว้นหนานเยวี่ยจะจริงจังถึงขั้นนี้ สงครามปะทุขึ้นแล้ว ชาวบ้านแถบชายแดนทางใต้ต้องทุกข์ยากเพราะสงครามอีกคราแล้วสินะ”“ใต้เท้าหลิว ที่ชายแดนทางใต้มีแม่ทัพฉงคุมทัพอยู่ คงจะไม่มีปัญหามากกระมังขอรับ?”“ใช่แล้ว มีแม่ทัพฉงอยู่ พวกคนนอกด่านแคว้นหนานเยวี่ยก็คงมิกล้าข้ามชายแดนแม้แต่ครึ่งก้าว”หลิวเหวินซินถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าว “เมื่อเย็นนี้ กรมกลาโหมได้รับข่าวด่วนจากชายแดนทางใต้ พวกคนนอกด่านแบ่งกองทัพออกเป็นสามทางบุกโจมตีพร้อมกันสามด้านแม้ว่าจะมีแม่ทัพฉงคุมกองทัพอยู่ที่เมืองเจียวโจว แต่เวลานี้นางคงดูแลสองด้านมิไหวแน่เสนาบดีกรมกลาโหมไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ส่งกองทัพไปเสริมกำลังที่ชายแดนใต้ หากปล่อยให้ถูกโจมตีสามด้าน เมืองเจียวโจวคงจะต้านทานได้อีกมินาน”“ใต้เท้าหลิว เมื่อมินานมา
เหลยเจิ้นตอบจริงจังว่า “ข้าน้อยมิทำเช่นนั้นแน่ ข้าน้อยให้สัญญากับองค์รัชทายาทไปแล้วว่าจะให้เสวี่ยเจี้ยนแต่งงานกับท่าน ข้าน้อยไม่มีทางผิดคำพูดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”“แต่แปลกนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้?”ฉินซูขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมตอนแรกเขาคิดว่าเหลยเจิ้นเปลี่ยนใจ แต่ตอนนี้กลับเห็นว่าอีกฝ่ายก็เองก็ดูมึนงงมิต่างกัน เห็นได้ชัดว่ามิทราบเรื่องราวภายในแม้แต่น้อยเขาอดสงสัยมิได้ว่า เสด็จพ่ออาจจะต้องการให้เขามีพระชายาหลายคน เพื่อมีบุตรสืบสกุลเพิ่มหรือไร?เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงถามเหลยเจิ้นด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้าโหรหลวงคิดว่า เสด็จพ่อทรงมีพระประสงค์กระไรจึงได้ออกพระราชโองการครั้งนี้?”เหลยเจิ้นยักไหล่ “องค์รัชทายาททรงถามคำถามที่ยากเกินกว่าที่ข้าน้อยจะตอบได้ พระราชดำริของฝ่าบาทข้าน้อยจะคาดเดาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”โธ่ มาสำนักหอดูดาวหลวงเสียเที่ยวแล้วฉินซูบ่นในใจแล้วจึงลาจากไปหลังจากที่ฉินซูจากไป เหลยเจิ้นก็ขมวดคิ้วพึมพำ“จู่ ๆ ฝ่าบาทก็มีพระราชโองการเลือกชายาให้องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีแผนอันใดกันแน่?”......บ่ายวันนั้นกรมพิธีการได้รับแผนภูมิดวงชะตาหลายร้อยฉบับนี่คือ
“สือซานกลับมาหรือยัง?”"ทูลฝ่าบาท ยังมิกลับมาพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วแน่น ในใจรู้สึกถึงลางร้ายเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า "จัดการคนของสือซานให้หมด จัดการให้เป็นความลับ""รับพระบัญชา!"หวงเฉาประสานมือรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินออกไปคืนนั้นไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอีก......วันรุ่งขึ้นภายในพระตำหนักจินหลวน ขุนนางทั้งราชสำนักทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างมารออยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วด้วยความเคารพแต่ฉินอู๋ต้าวกลับมิปรากฏตัวเหนือบันไดหยกขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบถกเถียงกันว่าฝ่าบาททรงพระประชวรหรือไม่นั้น เฉาฉุนก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนพร้อมกับพระราชโองการในมือเฉาฉุนยกพระราชโองการขึ้นเหนือศีรษะ ทุกคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน"ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์จักรพรรดิจึงทรงมีพระบัญชา องค์รัชทายาททรงย่างเข้าสู่วัยสามสิบแล้ว ทว่าตำหนักบูรพายังไร้ซึ่งพระชายาหรือพระสนมแม้แต่องค์เดียว ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยอย่างยิ่ง ขุนนางที่รักทั้งหลาย หากท่านหรือเครือญาติของท่านมีธิดาอายุสิบหกปีขึ้นไปแต่มิเกินสามสิบปี สามารถนำแผนภูมิดวงชะตาของนางมายื่นต่อกรมพิธีการได้ หากวันเดือนปีเกิดและดวงชะตาต้องกัน และองค์รั
หวังฉือพยักหน้าโดยมิรู้ตัว แต่แล้วก็ส่ายหน้าทันที“องค์รัชทายาท เรื่องเช่นนี้อย่าได้ตรัสออกไปมั่วซั่วเป็นอันขาด กำแพงมีหูประตูมีช่องพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบเขาก็รีบเดินไปที่ประตู ชะโงกหน้าออกไปมองซ้ายขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ก็ปิดประตูศาลต้าหลี่ในทันใดจากนั้นจึงหันกลับมาที่ห้องรับรองด้วยท่าทีโล่งใจเมื่อเห็นหวังฉือระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ ฉินซูก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนยิ่งขึ้นมิน่า อีกฝ่ายถึงหนีเข้ามาในวังได้ มิน่าแปลกใจที่อีกฝ่ายถึงได้ดูคุ้นเคยกับที่นี่เสียเหลือเกินที่แท้ก็เป็นองครักษ์หลวงประจำพระราชวังนี่เองเขาพึมพำว่า “คนที่สามารถสั่งการราชองครักษ์ได้ มีเพียงหัวหน้าราชองครักษ์เท่านั้น หรือไม่ก็...”หวังฉือเอ่ยถ้อยคำชวนตกตะลึงขึ้นว่า “องค์รัชทายาท มิต้องคาดเดาแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้คือองครักษ์ประจำห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ แต่ก่อนข้าน้อยเคยเข้าไปถวายรายงานที่ห้องบรรทมของฝ่าบาทกลางดึก และเคยเห็นคนผู้นี้เฝ้าอยู่หน้าห้องพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูตกตะลึง รีบถามต่อ “ท่านแน่ใจหรือ?”“ข้าน้อยในฐานะตุลาการศาลต้าหลี่ มิกล้าโอ้อวดความสามารถอื่นของตน แต่เรื่องความจำ ข้าน้อยรับรองได้ว่าดีกว่