แชร์

บทที่ 4

ดูเหมือนหนิวจินจะมิตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาถือดาบและตะโกนด้วยเสียงทุ้ม “ฉินซูปล่อยองค์ชายของกระหม่อมเดี๋ยวนี้!"

ฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและมองเขาราวกับว่าเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณ!

ทันใดนั้นใบหน้าของเฉิงจืออี้มืดครึ้มลงทันที เขาสังหรณ์ใจมิดีเสียแล้ว!

เขากำลังจะขอให้หนิวจินวางดาบลง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น

“ฉึก!”

เลือดพุ่งออกมาบนหน้าผากของหนิวจินทันที

จากนั้นก็หงายหลังล้มลงในแอ่งเลือด!

หลังจากขุนนางทั้งหมดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหลยเจิ้น

บุคคลเดียวที่สามารถฆ่านักรบอันดับหนึ่งของเป่ยเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย คงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้น

ฉินซูยังลอบเหลือบมองเหลยเจิ้น และแอบพยักหน้าในใจ

สามารถใช้กำลังภายในฆ่าคนได้โดยมิเผยกำลังภายนอกเช่นนี้ หัวหน้าโหรหลวงผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างแท้จริง

เขาอยากรู้มากว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหลยเจิ้นไปถึงขั้นไหนแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาเดินทางข้ามมิติมาจนถึงตอนนี้ เขายังมิได้เข้าใจระบบการบ่มเพาะของใต้หล้านี้เลย

ส่วนเจ้าของร่างดั้งเดิมขององค์รัชทายาทนั้น มิรู้อะไรเลยเกี่ยวกับวรยุทธ ดังนั้นฉินซูจึงมิได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ จากความทรงจำที่ติดตัวมาเลย

ในเวลานี้ มู่หรงฟู่มองไปยังหนิวจินที่ถูกฆ่าตายอย่างไร้ทางต่อต้านอยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผากมิขาดสาย

ใบหน้าของเฉิงจืออี้ก็ดูน่าเกลียดมิแพ้กัน

เขามองไปที่เหลยเจิ้นและพูดด้วยความโกรธ “ท่านหัวหน้าโหรหลวง ท่านรุนแรงเกินไปหรือไม่ หนิวจินแค่ต้องการให้องค์รัชทายาทของท่าน…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสนาบดีคนหนึ่งก็ขัดเขาขึ้น

“ผู้อาวุโสเฉิง คนหนุ่มมิรู้ธรรมเนียมก็ว่าไปอย่าง แต่ท่านอายุปูนนี้แล้วยังมิเข้าใจกฎพื้นฐานที่สุดอีกหรือ?”

“เรื่องก็คือ เขากล้าชักดาบต่อหน้าองค์จักรพรรดิของเรา ท่านหัวหน้าโหรหลวงยังเหลือร่างเขาไว้เช่นนี้ ก็ถือว่าเมตตามากแล้ว”

“ฮึ กล้ามาอวดเก่งในท้องพระโรงต้าเหยียนของเรา นี่คือสิ่งที่ต้องเจอ!”

เสนาบดีคนอื่น ๆ ต่างก็พูดกันทีละคน

เฉิงจืออี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนพูดมิออกเพราะถูกตำหนิ

ท้ายที่สุดแล้ว ขุนนางเหล่านี้พูดถูก หนิวจินเป็นฝ่ายชักดาบก่อน

เพียงแต่ว่า เขามิอาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ไปได้

ดังนั้นเขาจึงคำนับต่อฉินอู๋ต้าว และพูดด้วยความมิพอใจอย่างยิ่ง

“จักรพรรดิต้าเหยียน หนิวจินของเราชักอาวุธต่อหน้าพระองค์ เขาสมควรตายจริง ๆ พวกเราเป่ยเยี่ยนยอมรับเรื่องนี้ได้”

“แต่องค์รัชทายาทของท่านตบองค์ชายหกแห่งเป่ยเยี่ยนของเรา จะคิดบัญชีเรื่องนี้อย่างไรดี?”

“ราชวงศ์ต้าเหยียนของพวกท่าน อาศัยที่จำนวนคนมากกว่า รังแกแขกจากแดนไกลอย่างพวกเรา หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันก็จะทำลายชื่อเสียงของราชสำนักต้าเหยียนที่ยิ่งใหญ่ของท่านด้วยเช่นกัน”

ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินซูก็อดหัวเราะมิได้

เฉิงจืออี้ใบหน้ามืดมนว่า “องค์รัชทายาทต้าเหยียน ท่านหัวเราะเพราะเหตุใด"

ฉินซูตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหัวเราะเยาะเจ้าที่ไร้ยางอาย มิรู้จักที่ต่ำที่สูง!"

“ท่านหมายความเยี่ยงไร? หรือสิ่งที่กระหม่อมพูดมันผิดตรงไหน? มิใช่ว่าต้าเหยียนของพวกท่านอาศัยจำนวนคนมากรังแกพวกเราหรอกหรือ?”

ฉินซูโต้กลับอย่างมิรีบร้อนว่า “รังแกเจ้ารึ? ฮ่าฮ่า ขุนนางอาวุโสเฉิง คณะทูตเป่ยเยี่ยนของเจ้ามาที่พระราชวังต้าเหยียนของเรา พวกเจ้ามิเพียงแต่มิปฏิบัติตามมารยาท แต่เจ้ายังปล่อยให้มู่หรงฟู่พูดจาหยาบคายกับเสด็จพ่อของข้าด้วย ข้าถามหน่อยว่า พวกเจ้ามีความถ่อมตัวอย่างที่แขกควรมีบ้างหรือไม่?”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉิงจืออี้ก็ขยับปากแต่มิสามารถพูดอะไรออกมาได้

องค์ชายคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ฉินซูด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป

เพียงรู้สึกว่า วันนี้ฉินซูแข็งกร้าวยิ่ง นี่คือองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้ใช้เงินราวกับเบี้ยผู้นั้นจริงหรือ?

แม้แต่ฉินอู๋ต้าวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดมิได้ที่จะมองฉินซูสองครั้ง

ทันใดนั้นท้องพระโรงก็เงียบลงในฉับพลัน

คณะทูตเป่ยเยี่ยนย่อมไม่มีอะไรจะพูด แม้ท้องพระโรงต้าเหยียนได้ยินคำพูดของฉินซูเต็มสองหู ทว่าไม่มีใครสนับสนุนคำพูดของเขาเลย

บรรยากาศนี้ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ

ที่พวกเขาทั้งหมดเงียบเพราะฉินซูเป็นองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด

ในเวลานี้หากพูดขึ้นมา ก็อาจถูกเข้าใจผิดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ว่าอยู่ฝ่ายองค์รัชทายาทที่จะถูกโค่นลง นี่มิใช่เรื่องล้อเล่นเลย

เห็นได้ชัดว่าความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขามิอาจหลบจากสายตาของฉินอู๋ต้าวได้

เขาเพียงมองไปที่เว่ยเจิงขุนนางอาวุโสสำนักขุนนางใหญ่อย่างมิตั้งใจนัก

เว่ยเจิงเข้าใจและพูดขึ้นว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง สิ่งที่องค์รัชทายาทของข้าพูดนั้นถูกต้อง เรื่องนี้เป็นพวกท่านที่เสียมารยาทก่อน ท่านมิสามารถตำหนิผู้อื่นได้!”

เมื่อเห็นว่าเว่ยเจิงพูดแล้ว เสนาบดีคนอื่น ๆ ก็ต่างสนับสนุนตามไป

“นั่นคือ หากท่านสุภาพแต่แรก เราก็จะปฏิบัติต่อท่านด้วยความสุภาพเช่นกัน”

“สิ่งที่น่าขันก็คือ มู่หรงฟู่เป็นแค่ผู้เยาว์กลับกล้าชี้นิ้วต่อว่าองค์จักรพรรดิของเรา องค์รัชทายาทของเราตบเขาเพียงครั้งเดียวถือว่าออมมือแล้ว”

“ถูกต้อง รีบขอประทานอภัยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกท่านจะต้องลงเอยเช่นหนิวจิน!!”

ฉินซูก้มลงมองไปที่มู่หรงฟู่แล้วพูดอย่างใจเย็น “ดูสิ พวกเจ้าทำให้ทุกคนโกรธแล้ว เจ้าคงมิต้องให้ข้าสอนหรอกใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร?”

หลังจากพูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ยกเท้าออก

ทูตเป่ยเยี่ยนอีกสองคนรีบประคองมู่หรงฟู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

มู่หรงฟู่กัดฟันกรอด

ในฐานะองค์ชายผู้สูงศักดิ์แห่งเป่ยเยี่ยน การถูกฉินซูเหยียบต่อหน้าธารกำนัลมากมายถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับเขา

ตอนที่เขากำลังจะโจมตีเฉิงจืออี้ก็รีบชักชวนเขาด้วยเสียงต่ำ “องค์ชาย ตราบใดที่เนินเขาเขียวขจียังคงอยู่ ฟืนก็จะไม่มีวันขาดแคลน(1) ยามนี้อย่าเพิ่งแข็งกร้าวกับพวกเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงฟู่หลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากระงับความโกรธในใจลงแล้วเขาก็โค้งคำนับให้ฉินอู๋ต้าว

“จักรพรรดิต้าเหยียน เมื่อครู่นี้กระหม่อมพูดตรงเกินไป กระหม่อมขอประทานอภัยและขอท่านโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอู๋ต้าวยิ้มอย่างสงบ “มิเป็นไร ข้ามิถือสาเด็กน้อยอย่างเจ้าหรอก”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ปากของมู่หลงฟู่ก็กระตุกเล็กน้อย เขาแอบสาปแช่งอยู่ในใจ

‘มิถือสาข้า แต่ยังปล่อยให้ลูกชายทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ?’

เฉิงจืออี๋รับช่วงการสนทนาและถามว่า “จักรพรรดิต้าเหยียน กระหม่อมขอทูลถามสักคำ พระองค์จะเริ่มทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนของเราเพราะเมืองชิ่งโจวเพียงแห่งเดียวจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิงพูดเกินไปแล้ว เรื่องนี้เราค่อยหารือกันในวันพรุ่ง พวกเจ้าเป็นแขกมาจากแดนไกล เช่นนั้นกลับไปพักที่เรือนรับรองก่อนเถิด”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกคำสั่งให้ไล่แขก เฉิงจืออี้ก็พยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นวันพรุ่งเราค่อยคุยกัน กระหม่อมขอทูลลา!”

เขาประสานมือแล้วหันหลังกลับไปพร้อมกับทูตจากเป่ยเยี่ยน

เมื่อมู่หรงฟู่หันกลับมา เขาก็จ้องมองไปที่ฉินซูด้วยสายตาโกรธแค้น มิสามารถซ่อนเจตนาสังหารอันรุนแรงของเขาได้

หลังจากที่พวกเขาเดินออกจากท้องพระโรง ฉินอี้กระซิบเบา ๆ ว่า “เสด็จพี่องค์รัชทายาท สายตาของมู่หรงฟู่เมื่อครู่ดุร้ายมาก ท่านต้องระวังตัวด้วย”

ฉินซูยิ้ม มิตอบรับและมิปฏิเสธ

มู่หรงฟู่เพียงคนเดียว เขามิใส่ใจสักนิด

ฉินอู๋ต้าวถามเสียงดัง “ขุนนางทั้งหลาย เรื่องของเมืองชิ่งโจว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรอีกหรือไม่?”

“เอ่อ…”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก

ในเวลานี้เหวินเยวี่ยนซานเสนาบดีกรมกลาโหม ยืนขึ้นและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท หากกรมพระคลังสามารถรับประกันการจัดส่งเสบียงได้ กองทัพของเราก็มิใช่ว่าจะสู้กับเป่ยเยี่ยนมิได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ปีนี้ต้าเหยียนของเราประสบภัยพิบัติร้ายแรง ภาคใต้มีน้ำท่วม ภาคเหนือมีภัยแล้ง ถือเป็นปีที่ภัยพิบัติเลวร้ายที่สุดในรอบร้อยปี ราษฎรมากมายหิวโหย หากเกิดสงครามในยามนี้ กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายภายในได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านพ่อ เมื่อครู่เสด็จพี่องค์รัชทายาทสนอว่า มิจำเป็นต้องส่งชิ่งโจวกลับไปให้เป่ยเยี่ยน คงมีแผนการอันชาญฉลาดอยู่บ้าง เหตุใดมิลองฟังความคิดเห็นของเขาดูเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

หลังจากที่ฉินเหยี่ยนพูดจบ เขาก็มองไปที่ฉินซูด้วยรอยยิ้มแกน ๆ รอคอยที่จะดูเรื่องตลก

สายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็จับจ้องไปที่ฉินซูเช่นกัน

ตราบใดที่เนินเขาเขียวขจียังคงอยู่ ฟืนก็จะไม่มีวันขาดแคลน สำนวนนี้หมายถึง ตราบใดที่ยังมีชีวิตหรือความหวัง ก็จะมีโอกาสในอนาคต

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status