Share

บทที่ 3

Penulis: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
ในพระตำหนักจินหลวนอันอันสง่างามและโอ่อ่า

ฉินอู๋ต้าว จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน สวมฉลองพระองค์ลายมังกร นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

พระพักตร์ดูสง่างาม มิมีแววโกรธแต่ยังดูทรงอำนาจ

มิว่าจะเป็นขมับที่ขาวโพลน หรือรอยย่นสามเส้นบนหน้าผาก ล้วนแต่บอกเล่าถึงความเหนื่อยล้าจากการทรงงานราชการตลอดทั้งวัน

ใต้บันไดหยก มีเก้าอี้ไม้หนานมู่เนื้อทองสองตัวอยู่ทางซ้ายและขวา มีชายชราสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล่านั้น

คนทางซ้ายสวมชุดขุนนางสีม่วง และเข็มขัดสีทองลายดอกไม้เลื้อยรอบเอว

แม้ว่าเขาจะอายุเกินเจ็ดสิบปีแล้วแต่เขาก็เต็มไปด้วยพลังและกระปรี้กระเปร่า!

มิใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสแห่งสำนักขุนนางใหญ่!

คนทางขวามีอายุเท่าเว่ยเจิงสวมชุดนักปราชญ์ บนคางมีหนวดเคราสีเทายาวประมาณสามนิ้ว ในมือถือเข็มทิศหยกขาวไว้

เสื้อคลุมสีเทาของเขาปักลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดดวง!

แววตาของเขาดูลึกซึ้งและสงบ แต่การเคลื่อนไหวเฉียบคมราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งในใต้หล้าได้ในพริบตา

มิใช่ใครอื่นนอกจากเหลยเจิ้น หัวหน้าโหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวง!

ชายสองคนนี้เป็นทั้งขุนนางที่มีอิทธิพลอย่างมากในราชวงศ์ต้าเหยียน และได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิฉินอู๋ต้าวเป็นอย่างสูง

คณะเสนาบดีส่วนใหญ่ประกอบด้วยขุนนางอาวุโสประจำสำนักขุนนางใหญ่ และเสนาบดีขั้นสองจำนวนห้าคน ซึ่งร่วมกันช่วยองค์จักรพรรดิบริหารราชการแผ่นดิน ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูง

สำนักหอดูดาวหลวงมีหน้าที่รับผิดชอบในการเฝ้าสังเกตดวงดาว คำนวณปฏิทิน และรักษาความสงบเรียบร้อยในพระราชวัง

ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของหัวหน้าโหรหลวงนั้นมิอาจหยั่งรู้ได้ และมิอาจประมาทได้เลย

ในขณะนี้

ณ ท้องพระโรงอันกว้างขวาง กองขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งด้วยสีหน้าจริงจัง

หลังจากที่ฉินซูเข้าไปในท้องพระโรง เขาก็คุกเข่าลงด้วยความเคารพและโค้งคำนับฉินอู๋ต้าวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

“ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดอย่างใจเย็น “ลุกขึ้นเถอะ!”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากที่ฉินซูยืนขึ้น ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ในท้องพระโรงต่างก็โค้งคำนับเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

หัวหน้าโหรหลวงเหลยเจิ้นจ้องมองตรงไปที่เขา หลังจากหยุดชั่วครู่ก็มองไปทางอื่น

สิ่งที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นก็คือ หลังจากมองฉินซูแวบหนึ่งแล้วดวงตาของเหลยเจิ้นก็แสดงความประหลาดใจและสับสนออกมา

ในเวลานี้ ชายหนุ่มจากต่างแคว้นในชุดหรูหรา ที่อยู่กลางท้องพระโรงก็เอ่ยขึ้น

“องค์จักรพรรดิ ขณะนี้ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของพระองค์ก็มากันครบแล้ว เราเริ่มเจรจาเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“เจรจา?”

ฉินซูขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูประหลาดใจ

ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงาม มีเข็มขัดหยกคาดเอว อธิบายด้วยเสียงต่ำ “เสด็จพี่ นี่คือคณะทูตจากเป่ยเยี่ยน"

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทหารต้าเหยียนของเรารุกคืบขึ้นเหนือ ยึดเมืองชิ่งโจวซึ่งถูกเป่ยเยี่ยนยึดครองตั้งแต่รัชศกเจียคังที่สามสิบเจ็ดคืนได้ เช่นนั้นเป่ยเยี่ยนจึงโกรธมากจึงส่งพวกเขามาเจรจา”

“คนที่เพิ่งพูด คือองค์ชายห้าแห่งเป่ยเยี่ยน มู่หรงฟู่”

“ชายร่างกำยำที่อยู่ด้านข้างคือองครักษ์ส่วนพระองค์ของเขา เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักรบอันดับหนึ่งแห่งเป่ยเยี่ยน ชื่อของเขาคือหนิวจิน!”

“ผู้อาวุโสที่อยู่ถัดจากมู่หรงฟู่ นามว่าเฉิงจืออี้ เขาเป็นสมาชิกอาวุโสสูงสุดของสำนักขุนนางใหญ่เป่ยเยี่ยน เขาเป็นผู้นำในการเจรจาครั้งนี้ มู่หรงฟู่แค่ติดตามเขามาเพื่อฝึกฝนเท่านั้น”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย

ฉินซูยังคงประทับใจฉินอี้น้องชายคนที่แปดของเขา

ในความทรงจำของเขา อีกฝ่ายอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปี เป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้าง และให้ความเคารพต่อพี่ชายทุกคน

แม้กระทั่งรู้ว่าฉินซูจะถูกปลดหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ในยามที่ทุกคนมองเขาอย่างเย็นชา หรือแม้กระทั่งซ้ำเติม ฉินอี้ยังคงรักษาความเคารพต่อฉินซูไว้

เป็นเพราะนิสัยของเขาที่มิเป็นปรปักษ์กับผู้ใดอย่างชัดเจน ทำให้เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องทุกคน และเป็นที่รักใคร่จากทุกฝ่าย

ในเวลานี้ ฉินอู๋ต้าวผู้ซึ่งประทับบนบัลลังก์มังกรพูดอย่างใจเย็น

“มู่หรงฟู่ เป่ยเยี่ยนของเจ้าจะเจรจาอย่างไร?”

มู่หรงฟู่ยกคางขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปยังฉินอู๋ต้าวด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

“แน่นอนว่ากระหม่อมต้องการให้แคว้นของท่านคืนเมืองชิ่งโจวตามสนธิสัญญาที่ลงนามในตั้งแต่รัชศกเจียคังปีที่สามสิบเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ เมืองชิ่งโจวเป็นเมืองขึ้นของเป่ยเยี่ยน”

“นอกจากนี้ เมืองชิ่งโจวยังเป็นของเป่ยเยี่ยนมาเป็นเวลากว่าสี่สิบปีแล้ว”

“ท่านฉวยโอกาสตอนที่เป่ยเยี่ยนมิทันระวังเข้ามายึดเมือง ท่านทรงคิดว่าเป่ยเยี่ยนของเรา รังแกง่ายหรือ?”

หลังจากที่มู่หรงฟู่พูดจบ เฉิงจืออี้สมาชิกอาวุโสสูงสุดของสำนักขุนนางใหญ่เป่ยเยี่ยนก็พูดเช่นกัน

เขากล่าวด้วยท่าทางที่มิเย่อหยิ่งและมิอ่อนน้อมว่า “จักรพรรดิเหยียน ทหารห้าแสนนายของเป่ยเยี่ยนเรากำลังเตรียมกองกำลัง ทันทีที่จักรพรรดิมีราชโองการ พวกเขาจะบุกเข้าตีเมืองทั้งเจ็ดทางตอนเหนือในต้าเหยียนของท่าน เพื่อป้องกันมิให้ผู้คนแถบชายแดนระหว่างทั้งสองแคว้นต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้โปรดคืนเมืองชิ่งโจวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอู๋ต้าวมิได้ตัดสินใจในทันที ทว่ามองไปที่ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ด้วยความสนใจอย่างมาก และถามอย่างแผ่วเบา "ใต้เท้าทุกท่าน พวกเจ้าคิดอ่านเช่นไร?"

“ฝ่าบาท ทหารม้าเป่ยเยี่ยนนั้นเก่งกาจและมีทักษะการยิงธนูดีเยี่ยม หากเรารบกับพวกเขา เกรงว่าจะได้มิคุ้มเสีย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กองทัพของเราต่อสู้กับพวกเขาเมื่อสี่สิบปีก่อน ส่งผลให้เราพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ และสูญเสียเมืองชิ่งโจวไป ฝ่าบาท โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท หากเกิดสงคราม ทุกชีวิตบริเวณชายแดนจะต้องทุกข์ยาก ฝ่าบาท โปรดคำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นสำคัญด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของขุนนางเหล่านี้ ฉินอู๋ต้าวก็มิแสดงอารมณ์หรือความโกรธอะไรบนใบหน้า ดวงตาที่หมองคล้ำของเขาจ้องมองไปที่องค์ชายสาม ฉินหง

“เจ้าสาม เจ้าคิดเช่นไร?”

ฉินหงตอบด้วยเสียงนอบน้อมว่า “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า หากมิเกิดสงครามย่อมดีที่สุด หากเป่ยเยี่ยนต้องการเมืองชิ่งโจวคืนก็ให้พวกเขาซื้อคืนกลับไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างไร เราก็ยึดเมืองชิ่งโจวมาได้ด้วยกำลัง ดังนั้นเรามิอาจคืนเมืองทั้งเมืองกลับไปได้เพียงเพราะคำพูดของพวกเขามิกี่คำ มิเช่นนั้น ในภายภาคหน้าต้าเหยียนคงมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

หลู่เหนิง เสนาบดีกรมขุนนางกล่าวด้วยเสียงนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีตรัสได้ถูกต้องแล้ว ให้เป่ยเยี่ยนจ่ายเงินซื้อเมืองชิ่งโจว ด้วยวิธีนี้ จะสามารถรักษาหน้าตาของทั้งสองแคว้นของเราไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

เสนาบดีทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นกัน

ฉินอู๋ต้าวเอนหลังบนบัลลังก์มังกร เหลือบมองผู้คน และถามอย่างสบาย ๆ “รัชทายาท เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ก่อนที่ฉินซูจะทันได้เอ่ยปาก ฉินเหยี่ยน องค์ชายหกก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “องค์ชายรัชทายาท ถึงแม้ว่าท่านจะเอาแต่หมกมุ่นในสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิคิดหาความก้าวหน้า แต่ครั้งนี้ที่เสด็จพ่อถามความเห็นของท่าน ท่านควรจะแสดงออกให้ดี อย่าให้เสด็จพ่อต้องผิดหวัง!”

ฉินซูเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็คำนับจักรพรรดิฉินอู๋ต้าวแล้วพูดว่า

“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า มิว่าทูตของเป่ยเยี่ยนจะพูดอย่างไร เมืองชิ่งโจวก็มิควรถูกคืนกลับไปอยู่ในมือของพวกเขา กว่าห้าร้อยปีครึ่งสหัสวรรษแล้ว นับตั้งแต่แคว้นต้าเหยียนสถาปนาขึ้น นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น เมืองชิ่งโจวก็เป็นดินแดนของต้าเหยียน”

“ในรัชศกเจียคังปีที่สามสิบเจ็ด เมืองชิ่งโจวถูกเป่ยเยี่ยนยึดไป ตอนนี้เราเพิ่งได้ในสิ่งที่เป็นของเรากลับมา ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องเจรจาอะไรอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป มู่หรงฟู่ก็พูดด้วยความโกรธทันที “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงทำตามที่องค์รัชทายาทของท่านว่าจริง ๆ แคว้นของเราทั้งสองก็มีแต่จะต้องทำสงครามเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น ราษฎรจะต้องเดือดร้อน ผู้คนมากมายจะต้องล้มตาย ท่านจะกลายเป็นคนบาปที่สุด กระหม่อมแนะนำให้ท่าน... "

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินซูก็ตบเขาด้วยหลังมือ!

“เพียะ!”

มู่หรงฟู่มิทันระวังตัว จึงถูกตบจนล้มลงไปกับพื้นทันที

หนิวจิน องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาไม่มีเวลาโต้ตอบแม้แต่น้อย!

หลังจากได้ยินเสียงดังกล่าว ทหารที่ถือดาบอยู่ด้านนอกพระราชวังก็รีบกระโดดเข้ามาอย่างรวดเร็ว จ้องมองคณะทูตเป่ยเยี่ยนด้วยสายตาดุดัน

หลังจากที่มู่หรงฟู่รู้สึกตัว เขาก็คำรามด้วยท่าทางท่าทางดุร้ายแต่ภายในจิตใจกลับหวาดหวั่น “สารเลว เจ้ากล้าตบข้ารึ?!”

ดวงตาของฉินซูกลอกตามองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาจึงเหยียบไปที่ใบหน้าของมู่หรงฟู่ และพูดอย่างเย็นชา “ตบเจ้ารึ? เพราะว่าเจ้าล่วงเกินเสด็จพ่อของข้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ!”

หลังจากพูดเช่นนั้น ประกายดุดันที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหารก็ฉายบนใบหน้าของเขา!

ม่านตาของหนิวจินหดตัวลง เอื้อมมือใหญ่ออกไปและคว้าดาบจากมือของทหารนายหนึ่งโดยมิต้องคิด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินซูก็แสดงสีหน้าชื่นชม พลางคิดไปว่า ‘ขุดหลุมดักไว้ ก็กระโดดลงหลุมมาจริง ๆ!’

หากเขากล้าดึงดาบออกจากฝักในท้องพระโรงของต้าเหยียน ผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งเป่ยเยี่ยนผู้นี้ต้องพบจุดจบเป็นแน่!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 4

    ดูเหมือนหนิวจินจะมิตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาถือดาบและตะโกนด้วยเสียงทุ้ม “ฉินซูปล่อยองค์ชายของกระหม่อมเดี๋ยวนี้!"ฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและมองเขาราวกับว่าเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณ!ทันใดนั้นใบหน้าของเฉิงจืออี้มืดครึ้มลงทันที เขาสังหรณ์ใจมิดีเสียแล้ว!เขากำลังจะขอให้หนิวจินวางดาบลงแต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น“ฉึก!”เลือดพุ่งออกมาบนหน้าผากของหนิวจินทันทีจากนั้นก็หงายหลังล้มลงในแอ่งเลือด!หลังจากขุนนางทั้งหมดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหลยเจิ้นบุคคลเดียวที่สามารถฆ่านักรบอันดับหนึ่งของเป่ยเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย คงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้นฉินซูยังลอบเหลือบมองเหลยเจิ้น และแอบพยักหน้าในใจสามารถใช้กำลังภายในฆ่าคนได้โดยมิเผยกำลังภายนอกเช่นนี้ หัวหน้าโหรหลวงผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างแท้จริงเขาอยากรู้มากว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหลยเจิ้นไปถึงขั้นไหนแล้วตั้งแต่ที่เขาเดินทางข้ามมิติมาจนถึงตอนนี้ เขายังมิได้เข้าใจระบบการบ่มเพาะของใต้หล้านี้เลยส่วนเจ้าของร่างดั้งเดิมขององค์รัชทายาทนั้น มิรู้อะไรเลยเกี่ยวกับวรยุทธ ดังนั้นฉินซูจึงมิได้รับข้อม

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 5

    ฉินอู๋ต้าวเหลือบมองฉินซู และถามอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาท เจ้ามีแผนการดี ๆ จริงรึ?”ฉินซูพูดอย่างใจเย็น “ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่มีความคิดดีๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ"ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเหยี่ยนก็พูดด้วยความเย้ยหยัน “เมื่อเสด็จพี่องค์รัชทายาท ตอนท่านวิจารณ์ทูตของเป่ยเยี่ยน ดูดุดันมากเพียงนั้น ตอนนี้กลับบอกว่าไม่มีความคิดดี ๆ อะไรเลย นี่มิไร้สาระไปหน่อยหรือ?"“เช่นนั้น หากไม่มีแผนดี ๆ แล้วท่านยังจะเสนอให้ทำสงครามอีกหรือท่านอยากเห็นต้าเหยียนของเราตกที่นั่งลำบาก หรือท่านอยากอวดตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงกันแน่?”ฉินหงก็สนับสนุนทันที เขามิอยากพลาดโอกาสที่จะได้เหยียบย่ำองค์รัชทายาทต่อหน้าขุนนางทั้งหลายเช่นนี้หลินซียังถามอีกว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีแผนการในใจ เหตุใดท่านถึงมิเห็นด้วยกับการคืนเมืองชิ่งโจวให้กับเป่ยเยี่ยนเล่า?”ฉินซูวางมือไพล่หลังและส่งเสียงฮึมฮัม “หึ เมืองชิ่งโจวเดิมทีเป็นดินแดนของต้าเหยียน เหล่าทหารพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะยึดกลับคืนมาได้ แต่พวกเจ้ากลับต้องการคืนชิ่งโจวให้เป่ยเยี่ยน การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเราเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายขวัญกำลังใจ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 6

    ฉินหงขมวดคิ้วและถามว่า “ไฉนท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า?”ฉินซูยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากจะบอกว่า หากมู่หรงฟู่มิชอบก็ยังมีหลินชิงเหยามิใช่รึ?”บุตรีสุดที่รักของใต้เท้าหลินเป็นหนึ่งในห้าของสาวงามแห่งหลงเฉิงของเรา ด้วยความงามเช่นนี้ ตราบใดที่มู่หรงฟู่มิใช่ขันที ก็คงไม่มีทางที่เขาจะมิถูกนางล่อลวงหรอกใช่หรือไม่?”ครั้นได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินหงก็แสดงถึงความมิพอใจทันใด!ขุนนางคนอื่น ๆ ก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปมีผู้ใดมิรู้บ้างเล่าว่า หลินชิงเหยาเป็นคนรักของอ๋องฉี ฉินหง เมื่อฉินซูพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากมีปัญหากับอ๋องฉีใช่หรือไม่?สีหน้าหลินซีดูมิพอใจ เขาประสานมือและโค้งคำรับไปทางฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท บุตรีของข้าน้อยมีคนที่นางรักอยู่แล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าฝ่าบาทจะมิ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและขัดจังหวะเขา“เสนาบดีหลิน เรื่องยังมิไปถึงขั้นนั้น ไฉนเจ้าต้องตื่นตระหนกนัก?”“ข้าน้อย… ข้าน้อยเพียงกังวล…”“มีสิ่งใดให้กังวลนัก? แม้ว่านางจะแต่งงานกับมู่หรงฟู่โดยมีข้าสนับสนุน เช่นนั้นเจ้าก็กลัวว่ามู่หรงฟู่จะกล้ารังแกนางรึ? อีกอย่างข้าเพิ่งบอกว่าเรื่องยั

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 7

    เหลยเจิ้นมิตอบทันที แต่ชี้ไปที่หัวของตนฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงอะไร?”“ทูลฝ่าบาท ปีนี้ดาวแห่งจักรพรรดิจะเข้าสู่วังชีวิต ทำลายอิทธิพลชั่วร้าย ดาวดวงอื่น ๆ หลับใหล นี่เป็นตัวบ่งบอกถึงจำนวนภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม เมื่อดาวไท่เวยอยู่ข้าง ๆ วังชีวิต เคราะห์ร้ายก็คลายกังวล หลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ครั้นดาวทุกดวงกลับคืนสู่ตำแหน่ง ไทเว่ยก็จะถูกขับออกจากตำแหน่ง"“เจ้ากำลังบอกว่า องค์รัชทายาทคือกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันข้าจากเคราะห์ร้ายรึ?”เหลยเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ดวงดาวจะกลับสู่ตำแหน่ง ต้องมิรบกวนไท่เวย มิเช่นนั้นโชคร้ายร่วงหล่นจากสวรรค์ ทั่วหล้าโกลาหลวุ่นวาย แคว้นจะตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ!”การแสดงออกของฉินอู๋ต้าวเริ่มจริงจังหากมีใครพูดเช่นนี้เขาคงจะสั่งให้ลากคนผู้นั้นออกไปตัดศีรษะแล้วทว่ายามนี้คำพูดที่มาจากปากของหัวหน้าโหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวง เขาก็มิกล้าที่จะนิ่งนอนใจท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของเขาในการขึ้นสู่บัลลังก์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการทำนายที่ลึกลับยากจะคาดเดาของเหลยเจิ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คำทำนายทั้งหมดของเหลยเจิ้นนั้นเป็

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 8

    ฉินหงตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายว่า “มิใช่เป็นแน่ ตอนนั้นข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ข้าจะมิยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด”หลินชิงเหยาเยาะเย้ยในใจ คร้านจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ฉินหงพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ตัวข้าอารมณ์ดี ไปล่องเรือในทะเลสาบกันเถอะ”หลินชิงเหยาส่ายหัวด้วยสีหน้าเย็นชา "หม่อมฉันขออภัยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึกมิสบายนิดหน่อย หม่อมฉันคงไปกับท่านอ๋องมิได้ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"ฉินหงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป? ให้ข้าเรียกหมอมาดีหรือไม่?"“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เพียงต้องพักผ่อนเพคะ”“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน หลังจากโค่นฉินซูองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ลงได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ดี ๆ”หลังจากพูดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาก็หันหลังกลับเดินออกไปอย่างมิเต็มใจเมื่อมองดูร่างที่จากไปของเขา ดวงตาของหลินชิงเหยาก็สั่นไหว หัวใจของนางดิ้นรนกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลินชิงเหยา สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกจากประตูหลังจวนอย่างเงียบ ๆ และมุ่งตรงไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาขันทีน้อยหลายคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรด้วย

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 9

    หลังจากที่หลินชิงเหยาได้สติ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเข้าไปยุ่งโดยมิจำเป็น วางพระทัยเถิดเพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะมิเข้ามารบกวนท่านอีก"นางดูหดหู่ใจ ความโศกเศร้าจาง ๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าอันบอบบางของนาง หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็หันหลังเดินจากไปสตรีผู้นี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด!ฉินซูยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พลันคว้าแขนขาวดั่งหยกอันละเอียดอ่อนของหลินชิงเหยาแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมอกร่างกายที่บอบบางของหลินชิงเหยาสั่นสะท้าน และตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เมื่อตระหนักรู้ตัวได้เช่นนั้นนางก็พยายามจะแยกตัวออกนางเริ่มตะโกน“องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”ฉินซูยื่นมือออกมาเชยคางของนางแล้วจ้องมองเมื่อสบกับสายตาเจ้าเสน่ห์ของฉินซู หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตะลึงเล็กน้อยตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาขององค์รัชทายาทไร้ค่า คิ้วคมโดดเด่น และดวงตาที่น่าดึงดูดและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอ๋องฉีฉินหงจะบอกว่าเขารักนางก็ตามแต่เขามักจะมองนางด้วยท่าทางวางตัวราวกับว่าคว

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 10

    เฉิงจืออี้กล่าวอย่างมีความหมาย “หลังจากมาถึงหลงเฉิงแล้ว กระหม่อมได้ยินมาหลายครั้งว่า เหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมิลงรอยกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร องค์ชาย หากท่านประสงค์ทวงคืนศักดิ์ศรี ท่านสามารถร่วมมือกับเหล่าองค์ชายแห่งต้าเหยียนได้พ่ะย่ะค่ะ”“เป็นความคิดที่ดี!”มู่หรงฟู่ตบต้นขาของตนในทันใด และลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นแต่หลังจากสงบลงแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ “วันนี้เราก่อความวุ่นวายในราชสำนักต้าเหยียน องค์ชายแห่งต้าเหยียนเหล่านี้คงเกลียดเราแล้วจะมีใครร่วมมือกับเราอีกหรือ?”“องค์ชาย หาอย่าได้ประมาทความยั่วยุของตำหนักบูรพา องค์ชายเหล่านั้นต่างรอมิไหวที่จะได้เหยียบย่ำฉินซูพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วตามที่ขุนนางอาวุโสเฉิงบอก เราควรร่วมมือกับองค์ชายคนใดดีเล่า?”เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์ชายสามฉินหงหรือองค์ชายหกฉินเหยี่ยนแห่งต้าเหยียน ทั้งสองเผชิญหน้ากับฉินซูในราชสำนักในวันนี้ พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน”มู่หรงฟู่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มิควรล่าช้า เราไปคุยกับพวกเขาตอนนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชาย หากออกไปเช่นนี้จะถูกดึงดูดความสนใจ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 11

    เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือดฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”“เจ้า… ข้า...”ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่งหากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแ

Bab terbaru

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 650

    ต่อมา ฉินอวี่จึงใช้ทหารม้าหุ้มเกราะชั้นยอดของตนเข้ามาแทนที่ทหารม้าลาดตระเวนที่ฉงชูโม่เคยส่งออกไปก่อนหน้านี้มิว่าทางหนานเยวี่ยจะมีความเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่ก็ตามทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขารายงานเมื่อทำภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ฉินอวี่ก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาอยู่ในค่ายทหาร รินสุราดื่มเองไปสองสามจอก.......นอกเมืองถัวเฉิงแคว้นหนานเยวี่ย เติ้งหม่างและฉินซูกำลังนำทัพใหญ่ออกเดินทางอีกครั้งมุ่งหน้าไปยังเมืองเจียวโจวอีกหนึ่งวันต่อมากองทัพใหญ่หหนานเยวี่ยเดินทัพถึงยามค่ำคืน เร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงนอกเมืองเจียวโจวจนได้ จากนั้นจึงอาศัยความมืดซ่อนตัว"โจวฉาง ยามนี้ยามใดแล้ว" เติ้งหม่างจ้องมองกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกไป ถามโดยมิหันศีรษะกลับมาโจวฉางตอบด้วยความเคารพ "เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ยามนี้เป็นยามไฮ่[footnoteRef:0]แล้วขอรับ!" [0: ยามไฮ่ เริ่มนับตั้งแต่เวลา 21.00 – 23.00 น.] "เหลือเวลาอีกสองชั่วยาม ทุกคนจงเตรียมพร้อม พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!""น้อมรับบัญชา!"ในเวลาเดียวกันฉินอวี่ก็นำคนสนิทขึ้นไปบนเชิงเทินทหารป้อมปราการบนกำแพงเมืองก็ถูกเปลี่ยนเป็นค

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 649

    คนสนิทข้างกายฉินอวี่ได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็ถึงกับบันดาลโทสะ!เขาชี้หน้าชิวก่วน ตวาดเสียงดัง "บังอาจ ท่านอ๋องฉู่ทรงเป็นถึงจวิ้นอ๋อง เจ้ายังอวดดีกล้าขวางรึ!"ชิวก่วนจ้องหน้าตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม กล่าวด้วยเสียงเย็นชา "เจ้าต่างหากที่อวดดี กล่าวอ้างยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าเป็นถึงรองแม่ทัพแห่งกองทัพแม่ทัพฉง ตำแหน่งขั้นสาม ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือแนวหน้าของสมรภูมิรบ ต่อให้จะเป็นท่านอ๋องฉู่ก็ต้องฟังคำสั่งทางทหาร เจ้าเป็นผู้ใดบังอาจมาแผดเสียงใส่หน้าข้า?""เจ้า..."ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงกับพูดมิออก เถียงมิออกแม้แต่คำเดียวชิวก่วนประสานมือคารวะฉินอวี่ พร้อมกล่าวว่า "ทูลท่านอ๋องฉู่ ข้าน้อยเพียงแต่ทำตามบัญชา ขอท่านอ๋องอย่าทรงทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญเสด็จกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทอดสายตาลึกล้ำไปยังคลังเก็บของผาดหนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา"มิเป็นไร ข้าเพียงแต่เกิดนึกสงสัยเท่านั้น ในเมื่อชูโม่มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปด้านใน เช่นนั้นข้าก็จะมิดึงดันเข้าไป"กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินออกไประหว่างทาง บุรุษร่างกำยำกล่าวเสียงเบา "ท่านอ๋องฉู่ ในคลังเก็บของนั่นต้องเก็บระเบิดสายฟ้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 648

    หลังจากฉินอวี่เห็นฉงชูโม่ เขาก็เดินตรงเข้าไปหานางเมื่อเห็นดังนั้น ฉงชูโม่ก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ "ท่านอ๋องฉู่ เมื่อคืนลำบากท่านอ๋องแล้วเพคะ!"นางกล่าวพร้อมประสานมือคารวะฉินอวี่โบกมือเล็กน้อย "เป็นหน้าที่ มิบังอาจกล่าวว่าเหน็ดเหนื่อย"ฉงชูโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ "เมื่อคืนท่านอ๋องทรงตรวจตราจนดึกดื่น ทรงค้นพบสิ่งใดบ้างหรือไม่เพคะ?"ฉินอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "จากรายงานของทหารม้าลาดตระเวนของข้า ทางฝั่งหนานเยวี่ยกำลังเตรียมเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ คาดว่าพวกมันจะยกทัพมารุกรานชายแดนต้าเหยียนของพวกเราอีกครา!"ฉงชูโม่เอ่ยถามโดยมิเปลี่ยนสีหน้า "เช่นนั้นท่านอ๋องฉู่มีข้อเสนอแนะดี ๆ บ้างหรือไม่เพคะ?"ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า "ดูท่าข้าคงต้องพำนักอยู่ที่เจียวโจวอีกหลายวัน หากหนานเยวี่ยยกทัพมารุกรานอีกครา ข้าจะนำทัพสังหารพวกมันให้สิ้นซาก!""กองทัพหนานเยวี่ยล้วนแต่กล้าหาญและเชี่ยวชาญในการพุ่งรบ หากหวังที่จะสังหารพวกมันให้สิ้นซาก ย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย""ชูโม่ เจ้ากล่าวเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกต้อง ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเพิ่งจะตีพวกมันจนแตกกระเจิงมิใช่หรือ?""ความสำเ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 647

    ”ได้ รีบเข้ามาเถอะ”หลังจากที่ฉงชูโม่เชื้อเชิญให้ตงฟางไป๋เข้าไปในกระโจมแล้ว นางก็สอดส่ายสายตามองข้างนอกอีกสองสามคราเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้คนภายนอกล่วงรู้ นางจึงปิดม่านประตูลงนางเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย "ตอนนี้องค์รัชทายาททรงเป็นเช่นไรบ้าง? ทรงตกอยู่ในอันตรายใด ๆ หรือไม่?""องค์รัชทายาททรงปลอดภัยดี อีกทั้งทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามที่พระองค์ทรงคาดการณ์ไว้ ดังนั้นท่านแม่ทัพชูโม่โปรดวางใจ"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ความกังวลในใจพลันคลายลงไปมิน้อยนางซักถามต่อไป "ไยองค์รัชทายาทต้องเสี่ยงภัยถึงเพียงนั้น พระองค์มิรู้หรือไรว่าดินแดนหนานเยวี่ยนั้นเป็นแดนอันตราย หากมีคนล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของพระองค์ ผลลัพธ์ย่อมมิอาจคาดเดาได้!""ครานั้นข้าน้อยเองก็เคยทัดทานแล้ว หากแต่ทัดทานมิอยู่ องค์รัชทายาทตรัสว่า มิเข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือได้อย่างไร โชคดีที่ในยามนี้ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามความคาดหมาย!""เช่นนั้นเจ้าเดินทางกลับมาในยามวิกาลเช่นนี้ เพราะพระองค์มีรับสั่งมาถึงข้าหรือ?"ตงฟางไป๋พยักหน้าเล็กน้อย ยื่นสาส์นฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ "นี่คือสาส์นที่องค์รัชทายาททรงมีรับสั่งใ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 646

    บุรุษร่างกำยำกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง "ท่านแม่ทัพเติ้ง นี่เป็นโอกาสทองที่สวรรค์ประทานมาให้ หากปล่อยให้หลุดลอยไป หนานเยวี่ยของพวกท่านจะหาโอกาสที่ดีถึงเพียงนี้มิได้อีกแล้ว"อีกคนกล่าวเสริมว่า "ถูกต้องแล้ว อีกอย่างยังมีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องเข้าใจ ท่านอ๋องฉู่ของพวกเรามิได้ทรงคาดหวังให้พวกท่านยกทัพไปฝ่ายเดียวจึงจะประสบความสำเร็จ แต่ให้คอยเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ก็เท่านั้น ท่านจะร่วมมือหรือไม่ จงตอบมาตามตรง เราจะได้นำความกลับไปทูลรายงาน!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เติ้งหม่างก็เหลือบมองฉินซูอย่างลังเล "ท่านผู้อาวุโส ท่านมีความเห็นเช่นไร?"เมื่อเห็นว่าเติ้งหม่างผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย ในยามนี้กลับหันมาไต่ถามความคิดเห็นจากบุรุษหน้าตาธรรมดามิสะดุดตาผู้หนึ่ง คนสนิททั้งสองของฉินอวี่อดมิได้ที่จะพินิจพิจารณาบุรุษซึ่งเป็นฉินซูปลอมตัวมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกหลายคราฉินซูลูบเคราบนคางพลางแสร้งทำทีครุ่นคิดผ่านไปอึดใจหนึ่ง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย "สิ่งที่เขากล่าวมาเมื่อครู่ถูกต้องแล้ว ครานี้เป็นโอกาสทองที่สวรรค์ประทานมาให้ มิอาจปล่อยให้หลุดลอยไปได้ ท่านแม่ทัพเติ้งโปรดยินยอมให้ความร่วมมือกับพวกเ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 645

    "ท่านผู้อาวุโสคาดการณ์แม่นยำราวเทพพยากรณ์ อ๋องฉู่ทรงตอบรับคำเชิญ ตกลงที่จะพบปะหารือกับพวกเราที่หุบเขาเหล่าเถียวแล้ว!""เมื่อใด?""คืนนี้ขอรับ ข้าเดินทางมาครานี้ก็เพื่อที่จะให้ท่านผู้อาวุโสเตรียมตัวเล็กน้อย จากนั้นเราจะออกเดินทางไปพร้อมกัน!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้ามิได้มีสิ่งใดต้องเตรียมพร้อม สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา"เติ้งหม่างแค่นเสียงหัวเราะ "ยอดเยี่ยม เช่นนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางกันเสียแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า มิฉะนั้นตกกลางคืนแล้วจะเดินทางไปมิถึงหุบเขาเหล่าเถียว"ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะติดตามเติ้งหม่างออกจากโรงพักม้าไปการเดินทางครั้งนี้ เขาตัดสินใจมิพาพี่น้องตงฟางไป๋ไปด้วย เนื่องจากอ๋องฉู่เคยพบเห็นหน้าค่าตาคนทั้งสองแล้วฉินอวี่มิได้หูเบาเชื่อคนง่ายเหมือนหูก่วงเซิง หากถึงเวลาเกิดความสงสัยขึ้นมา เช่นนั้นจะเป็นการอธิบายยากหลังจากออกจากโรงพักม้าหูก่วงเซิงก็เดินทางมาถึงเช่นเดียวกันจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ควบม้าอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังหุบเขาเหล่าเถียวเมื่อพวกเขาทั้งหมดออกจากเมืองไปได้มินาน ตงฟางไป๋ก็เดินทางออกจากเมืองถัวเฉิงอย่างเงียบเชียบ!ราตรีกาลมาเยือน ลมหนาวโชยมา

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 644

    "ดินแดนหนานเยวี่ยมีภูเขาสูงและป่าทึบ ด่านปราการยิ่งกว่าปราการสวรรค์ ป้องกันง่ายโจมตียาก หากองค์รัชทายาททรงนำทัพรุกไล่ตีต้อน เกรงว่าจะต้องสูญเสียอย่างหนักหน่วง" เหลยเจิ้นแสดงสีหน้ากังวลฉินอู๋ต้าวยิ้มจาง ๆ "ถือเสียว่าให้เขาได้เรียนรู้ หากต้องสูญเสียอย่างหนักหน่วงจริง ๆ ความดีความชอบจะถูกหักล้างกันเอง ข้าก็มิต้องปวดหัวเรื่องนี้อีก"ความดีความชอบอันใหญ่หลวงที่ฉินซูสั่งสมไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพียงพอที่จะทำให้เขามีที่ยืนในราชสำนักในยามนี้ยังขับไล่กองทัพใหญ่หนานเยวี่ยให้ล่าถอยไปได้อีก กล่าวได้ว่ามีความดีความชอบยิ่งใหญ่เป็นที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เขากลับมา ฉินอู๋ต้าวก็ยังมิรู้ว่าจะตกรางวัลแก่เขาอย่างไรดียามนี้ฉินซูนำทัพรุกไล่ตาม หลังจากพ่ายแพ้แล้ว ความดีความชอบก็จะหักล้างกัน มิต้องตกรางวัลและมิต้องลงโทษ ฉินอู๋ต้าวจึงโล่งใจขึ้นมิน้อยส่วนกำลังพลที่สูญเสียไป ต้าเหยียนมิได้ขาดแคลนกำลังคน เรียกเกณฑ์มาใหม่ก็สิ้นเรื่องความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจฉินอู๋ต้าวเหล่านี้ เหลยเจิ้นย่อมล่วงรู้กระจ่างแจ้ง เขาเพียงแต่แย้มยิ้มอย่างขมขื่น พลางส่ายหน้าโดยมิได้กล่าวอันใดฉินอู๋ต้าวดูเหมือนจะยังมิสาแก่ใจนั

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 643

    โชคดีที่ฉินอู๋ต้าวเพียงยิ้มและกล่าว "รัชทายาทมิเคยออกรบมาก่อน ข้าเองก็รู้สึกมิสบายใจนัก แต่เมื่อเจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ก็ไปเถิด"ฉินอวี่แสดงสีหน้ายินดี "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เช่นนั้นลูกขอทูลลากลับจวนไปเตรียมตัวสักเล็กน้อย แล้วจะออกเดินทางลงใต้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ!"ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าเล็กน้อย มองตามหลังฉินอวี่ไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยกล่าวถึงฉินอวี่หลังจากออกจากพระราชวัง เขาก็มุ่งหน้ากลับจวนอ๋องฉู่โดยมิรีรอทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวน เขาก็สั่งการคนสนิทผู้หนึ่ง "คังเหวย เจ้าพกป้ายหยกคาดเอวประจำตัวข้าไปตงไห่ด้วย"คังเหวยแสดงสีหน้าตกตะลึง เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา "ท่านอ๋องฉู่ ท่านจะลงมือแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ฉินอวี่พยักหน้าน้อย ๆคังเหวยมองไปรอบ ๆ อีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วกล่าวต่อ "อ๋องฉู่ เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เกรงว่าตอนนี้เวลามิเหมาะสม รออีกหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?""รอมิได้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้รับรายงานลับ กองทัพหนานเยวี่ยพ่ายแพ้แล้ว หลังจากที่ฉินซูกลับมา ตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เหลือทางเลือกสุดท้ายเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น""แต่ท่านอ๋อง

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 642

    เมืองหลงเฉิง ต้าเหยียนภายในจวนอ๋องฉู่ ฉินอวี่ก้มหน้าก้มตาอ่านสาส์นในมือ พลันตกอยู่ในภวังค์ความคิดผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของเขาก็พลันแน่วแน่ขึ้นมาทันใด เขาผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเท้าออกจากประตูจวนอย่างรวดเร็วมิช้า เขาก็เดินทางมาถึงหน้าจวนเสนาบดีกรมกลาโหมเมื่อบ่าวรับใช้เฝ้าประตูเห็นฉินอวี่ ก็ตกใจสะดุ้งโหยง รีบคุกเข่าลงคำนับฉินอวี่โบกมือ “มิต้องมากพิธี รีบเข้าไปแจ้งเถิด บอกว่าข้ามีธุระสำคัญจะพบเสนาบดีเหวิน”“เชิญเสด็จเข้าไปรอด้านในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะรีบไปรายงานให้ทราบ”บ่าวรับใช้ค้อมกายคารวะก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปด้านในส่วนฉินอวี่ก็เดินทางไปยังห้องโถงเพื่อรอคอยผ่านไปชั่วครู่ เหวินเยวี่ยนซานก็กุลีกุจอเดินเข้ามา“โอ้ ท่านอ๋องฉู่ ช่างเป็นแขกที่พบได้ยากยิ่ง เชิญพ่ะย่ะค่ะ เชิญประทับด้านในก่อนพ่ะย่ะค่ะ”เขากล่าวเชื้อเชิญฉินอวี่ให้นั่งลง พร้อมกับตะโกนออกไปนอกประตู “ใครก็ได้ รีบรินชามาถวายเร็วเข้า!”รอจนกระทั่งบ่าวรับใช้นำชามารินให้ เหวินเยวี่ยนซานจึงเอ่ยถาม “วันนี้ท่านเสด็จมาถึงจวนของข้าน้อย มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวี่จิบชาเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ “มิบ

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status