ดูเหมือนหนิวจินจะมิตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาถือดาบและตะโกนด้วยเสียงทุ้ม “ฉินซูปล่อยองค์ชายของกระหม่อมเดี๋ยวนี้!"ฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและมองเขาราวกับว่าเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณ!ทันใดนั้นใบหน้าของเฉิงจืออี้มืดครึ้มลงทันที เขาสังหรณ์ใจมิดีเสียแล้ว!เขากำลังจะขอให้หนิวจินวางดาบลงแต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น“ฉึก!”เลือดพุ่งออกมาบนหน้าผากของหนิวจินทันทีจากนั้นก็หงายหลังล้มลงในแอ่งเลือด!หลังจากขุนนางทั้งหมดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหลยเจิ้นบุคคลเดียวที่สามารถฆ่านักรบอันดับหนึ่งของเป่ยเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย คงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้นฉินซูยังลอบเหลือบมองเหลยเจิ้น และแอบพยักหน้าในใจสามารถใช้กำลังภายในฆ่าคนได้โดยมิเผยกำลังภายนอกเช่นนี้ หัวหน้าโหรหลวงผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างแท้จริงเขาอยากรู้มากว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหลยเจิ้นไปถึงขั้นไหนแล้วตั้งแต่ที่เขาเดินทางข้ามมิติมาจนถึงตอนนี้ เขายังมิได้เข้าใจระบบการบ่มเพาะของใต้หล้านี้เลยส่วนเจ้าของร่างดั้งเดิมขององค์รัชทายาทนั้น มิรู้อะไรเลยเกี่ยวกับวรยุทธ ดังนั้นฉินซูจึงมิได้รับข้อม
ฉินอู๋ต้าวเหลือบมองฉินซู และถามอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาท เจ้ามีแผนการดี ๆ จริงรึ?”ฉินซูพูดอย่างใจเย็น “ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่มีความคิดดีๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ"ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเหยี่ยนก็พูดด้วยความเย้ยหยัน “เมื่อเสด็จพี่องค์รัชทายาท ตอนท่านวิจารณ์ทูตของเป่ยเยี่ยน ดูดุดันมากเพียงนั้น ตอนนี้กลับบอกว่าไม่มีความคิดดี ๆ อะไรเลย นี่มิไร้สาระไปหน่อยหรือ?"“เช่นนั้น หากไม่มีแผนดี ๆ แล้วท่านยังจะเสนอให้ทำสงครามอีกหรือท่านอยากเห็นต้าเหยียนของเราตกที่นั่งลำบาก หรือท่านอยากอวดตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงกันแน่?”ฉินหงก็สนับสนุนทันที เขามิอยากพลาดโอกาสที่จะได้เหยียบย่ำองค์รัชทายาทต่อหน้าขุนนางทั้งหลายเช่นนี้หลินซียังถามอีกว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีแผนการในใจ เหตุใดท่านถึงมิเห็นด้วยกับการคืนเมืองชิ่งโจวให้กับเป่ยเยี่ยนเล่า?”ฉินซูวางมือไพล่หลังและส่งเสียงฮึมฮัม “หึ เมืองชิ่งโจวเดิมทีเป็นดินแดนของต้าเหยียน เหล่าทหารพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะยึดกลับคืนมาได้ แต่พวกเจ้ากลับต้องการคืนชิ่งโจวให้เป่ยเยี่ยน การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเราเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายขวัญกำลังใจ
ฉินหงขมวดคิ้วและถามว่า “ไฉนท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า?”ฉินซูยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากจะบอกว่า หากมู่หรงฟู่มิชอบก็ยังมีหลินชิงเหยามิใช่รึ?”บุตรีสุดที่รักของใต้เท้าหลินเป็นหนึ่งในห้าของสาวงามแห่งหลงเฉิงของเรา ด้วยความงามเช่นนี้ ตราบใดที่มู่หรงฟู่มิใช่ขันที ก็คงไม่มีทางที่เขาจะมิถูกนางล่อลวงหรอกใช่หรือไม่?”ครั้นได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินหงก็แสดงถึงความมิพอใจทันใด!ขุนนางคนอื่น ๆ ก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปมีผู้ใดมิรู้บ้างเล่าว่า หลินชิงเหยาเป็นคนรักของอ๋องฉี ฉินหง เมื่อฉินซูพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากมีปัญหากับอ๋องฉีใช่หรือไม่?สีหน้าหลินซีดูมิพอใจ เขาประสานมือและโค้งคำรับไปทางฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท บุตรีของข้าน้อยมีคนที่นางรักอยู่แล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าฝ่าบาทจะมิ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและขัดจังหวะเขา“เสนาบดีหลิน เรื่องยังมิไปถึงขั้นนั้น ไฉนเจ้าต้องตื่นตระหนกนัก?”“ข้าน้อย… ข้าน้อยเพียงกังวล…”“มีสิ่งใดให้กังวลนัก? แม้ว่านางจะแต่งงานกับมู่หรงฟู่โดยมีข้าสนับสนุน เช่นนั้นเจ้าก็กลัวว่ามู่หรงฟู่จะกล้ารังแกนางรึ? อีกอย่างข้าเพิ่งบอกว่าเรื่องยั
เหลยเจิ้นมิตอบทันที แต่ชี้ไปที่หัวของตนฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงอะไร?”“ทูลฝ่าบาท ปีนี้ดาวแห่งจักรพรรดิจะเข้าสู่วังชีวิต ทำลายอิทธิพลชั่วร้าย ดาวดวงอื่น ๆ หลับใหล นี่เป็นตัวบ่งบอกถึงจำนวนภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม เมื่อดาวไท่เวยอยู่ข้าง ๆ วังชีวิต เคราะห์ร้ายก็คลายกังวล หลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ครั้นดาวทุกดวงกลับคืนสู่ตำแหน่ง ไทเว่ยก็จะถูกขับออกจากตำแหน่ง"“เจ้ากำลังบอกว่า องค์รัชทายาทคือกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันข้าจากเคราะห์ร้ายรึ?”เหลยเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ดวงดาวจะกลับสู่ตำแหน่ง ต้องมิรบกวนไท่เวย มิเช่นนั้นโชคร้ายร่วงหล่นจากสวรรค์ ทั่วหล้าโกลาหลวุ่นวาย แคว้นจะตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ!”การแสดงออกของฉินอู๋ต้าวเริ่มจริงจังหากมีใครพูดเช่นนี้เขาคงจะสั่งให้ลากคนผู้นั้นออกไปตัดศีรษะแล้วทว่ายามนี้คำพูดที่มาจากปากของหัวหน้าโหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวง เขาก็มิกล้าที่จะนิ่งนอนใจท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของเขาในการขึ้นสู่บัลลังก์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการทำนายที่ลึกลับยากจะคาดเดาของเหลยเจิ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คำทำนายทั้งหมดของเหลยเจิ้นนั้นเป็
ฉินหงตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายว่า “มิใช่เป็นแน่ ตอนนั้นข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ข้าจะมิยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด”หลินชิงเหยาเยาะเย้ยในใจ คร้านจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ฉินหงพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ตัวข้าอารมณ์ดี ไปล่องเรือในทะเลสาบกันเถอะ”หลินชิงเหยาส่ายหัวด้วยสีหน้าเย็นชา "หม่อมฉันขออภัยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึกมิสบายนิดหน่อย หม่อมฉันคงไปกับท่านอ๋องมิได้ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"ฉินหงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป? ให้ข้าเรียกหมอมาดีหรือไม่?"“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เพียงต้องพักผ่อนเพคะ”“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน หลังจากโค่นฉินซูองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ลงได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ดี ๆ”หลังจากพูดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาก็หันหลังกลับเดินออกไปอย่างมิเต็มใจเมื่อมองดูร่างที่จากไปของเขา ดวงตาของหลินชิงเหยาก็สั่นไหว หัวใจของนางดิ้นรนกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลินชิงเหยา สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกจากประตูหลังจวนอย่างเงียบ ๆ และมุ่งตรงไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาขันทีน้อยหลายคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรด้วย
หลังจากที่หลินชิงเหยาได้สติ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเข้าไปยุ่งโดยมิจำเป็น วางพระทัยเถิดเพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะมิเข้ามารบกวนท่านอีก"นางดูหดหู่ใจ ความโศกเศร้าจาง ๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าอันบอบบางของนาง หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็หันหลังเดินจากไปสตรีผู้นี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด!ฉินซูยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พลันคว้าแขนขาวดั่งหยกอันละเอียดอ่อนของหลินชิงเหยาแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมอกร่างกายที่บอบบางของหลินชิงเหยาสั่นสะท้าน และตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เมื่อตระหนักรู้ตัวได้เช่นนั้นนางก็พยายามจะแยกตัวออกนางเริ่มตะโกน“องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”ฉินซูยื่นมือออกมาเชยคางของนางแล้วจ้องมองเมื่อสบกับสายตาเจ้าเสน่ห์ของฉินซู หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตะลึงเล็กน้อยตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาขององค์รัชทายาทไร้ค่า คิ้วคมโดดเด่น และดวงตาที่น่าดึงดูดและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอ๋องฉีฉินหงจะบอกว่าเขารักนางก็ตามแต่เขามักจะมองนางด้วยท่าทางวางตัวราวกับว่าคว
เฉิงจืออี้กล่าวอย่างมีความหมาย “หลังจากมาถึงหลงเฉิงแล้ว กระหม่อมได้ยินมาหลายครั้งว่า เหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมิลงรอยกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร องค์ชาย หากท่านประสงค์ทวงคืนศักดิ์ศรี ท่านสามารถร่วมมือกับเหล่าองค์ชายแห่งต้าเหยียนได้พ่ะย่ะค่ะ”“เป็นความคิดที่ดี!”มู่หรงฟู่ตบต้นขาของตนในทันใด และลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นแต่หลังจากสงบลงแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ “วันนี้เราก่อความวุ่นวายในราชสำนักต้าเหยียน องค์ชายแห่งต้าเหยียนเหล่านี้คงเกลียดเราแล้วจะมีใครร่วมมือกับเราอีกหรือ?”“องค์ชาย หาอย่าได้ประมาทความยั่วยุของตำหนักบูรพา องค์ชายเหล่านั้นต่างรอมิไหวที่จะได้เหยียบย่ำฉินซูพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วตามที่ขุนนางอาวุโสเฉิงบอก เราควรร่วมมือกับองค์ชายคนใดดีเล่า?”เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์ชายสามฉินหงหรือองค์ชายหกฉินเหยี่ยนแห่งต้าเหยียน ทั้งสองเผชิญหน้ากับฉินซูในราชสำนักในวันนี้ พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน”มู่หรงฟู่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มิควรล่าช้า เราไปคุยกับพวกเขาตอนนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชาย หากออกไปเช่นนี้จะถูกดึงดูดความสนใจ
เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือดฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”“เจ้า… ข้า...”ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่งหากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ