ฉินหงขมวดคิ้วและถามว่า “ไฉนท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า?”ฉินซูยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากจะบอกว่า หากมู่หรงฟู่มิชอบก็ยังมีหลินชิงเหยามิใช่รึ?”บุตรีสุดที่รักของใต้เท้าหลินเป็นหนึ่งในห้าของสาวงามแห่งหลงเฉิงของเรา ด้วยความงามเช่นนี้ ตราบใดที่มู่หรงฟู่มิใช่ขันที ก็คงไม่มีทางที่เขาจะมิถูกนางล่อลวงหรอกใช่หรือไม่?”ครั้นได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินหงก็แสดงถึงความมิพอใจทันใด!ขุนนางคนอื่น ๆ ก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปมีผู้ใดมิรู้บ้างเล่าว่า หลินชิงเหยาเป็นคนรักของอ๋องฉี ฉินหง เมื่อฉินซูพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากมีปัญหากับอ๋องฉีใช่หรือไม่?สีหน้าหลินซีดูมิพอใจ เขาประสานมือและโค้งคำรับไปทางฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท บุตรีของข้าน้อยมีคนที่นางรักอยู่แล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าฝ่าบาทจะมิ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและขัดจังหวะเขา“เสนาบดีหลิน เรื่องยังมิไปถึงขั้นนั้น ไฉนเจ้าต้องตื่นตระหนกนัก?”“ข้าน้อย… ข้าน้อยเพียงกังวล…”“มีสิ่งใดให้กังวลนัก? แม้ว่านางจะแต่งงานกับมู่หรงฟู่โดยมีข้าสนับสนุน เช่นนั้นเจ้าก็กลัวว่ามู่หรงฟู่จะกล้ารังแกนางรึ? อีกอย่างข้าเพิ่งบอกว่าเรื่องยั
เหลยเจิ้นมิตอบทันที แต่ชี้ไปที่หัวของตนฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงอะไร?”“ทูลฝ่าบาท ปีนี้ดาวแห่งจักรพรรดิจะเข้าสู่วังชีวิต ทำลายอิทธิพลชั่วร้าย ดาวดวงอื่น ๆ หลับใหล นี่เป็นตัวบ่งบอกถึงจำนวนภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม เมื่อดาวไท่เวยอยู่ข้าง ๆ วังชีวิต เคราะห์ร้ายก็คลายกังวล หลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ครั้นดาวทุกดวงกลับคืนสู่ตำแหน่ง ไทเว่ยก็จะถูกขับออกจากตำแหน่ง"“เจ้ากำลังบอกว่า องค์รัชทายาทคือกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันข้าจากเคราะห์ร้ายรึ?”เหลยเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ดวงดาวจะกลับสู่ตำแหน่ง ต้องมิรบกวนไท่เวย มิเช่นนั้นโชคร้ายร่วงหล่นจากสวรรค์ ทั่วหล้าโกลาหลวุ่นวาย แคว้นจะตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ!”การแสดงออกของฉินอู๋ต้าวเริ่มจริงจังหากมีใครพูดเช่นนี้เขาคงจะสั่งให้ลากคนผู้นั้นออกไปตัดศีรษะแล้วทว่ายามนี้คำพูดที่มาจากปากของหัวหน้าโหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวง เขาก็มิกล้าที่จะนิ่งนอนใจท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของเขาในการขึ้นสู่บัลลังก์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการทำนายที่ลึกลับยากจะคาดเดาของเหลยเจิ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คำทำนายทั้งหมดของเหลยเจิ้นนั้นเป็
ฉินหงตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายว่า “มิใช่เป็นแน่ ตอนนั้นข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ข้าจะมิยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด”หลินชิงเหยาเยาะเย้ยในใจ คร้านจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ฉินหงพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ตัวข้าอารมณ์ดี ไปล่องเรือในทะเลสาบกันเถอะ”หลินชิงเหยาส่ายหัวด้วยสีหน้าเย็นชา "หม่อมฉันขออภัยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึกมิสบายนิดหน่อย หม่อมฉันคงไปกับท่านอ๋องมิได้ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"ฉินหงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป? ให้ข้าเรียกหมอมาดีหรือไม่?"“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เพียงต้องพักผ่อนเพคะ”“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน หลังจากโค่นฉินซูองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ลงได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ดี ๆ”หลังจากพูดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาก็หันหลังกลับเดินออกไปอย่างมิเต็มใจเมื่อมองดูร่างที่จากไปของเขา ดวงตาของหลินชิงเหยาก็สั่นไหว หัวใจของนางดิ้นรนกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลินชิงเหยา สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกจากประตูหลังจวนอย่างเงียบ ๆ และมุ่งตรงไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาขันทีน้อยหลายคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรด้วย
หลังจากที่หลินชิงเหยาได้สติ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเข้าไปยุ่งโดยมิจำเป็น วางพระทัยเถิดเพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะมิเข้ามารบกวนท่านอีก"นางดูหดหู่ใจ ความโศกเศร้าจาง ๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าอันบอบบางของนาง หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็หันหลังเดินจากไปสตรีผู้นี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด!ฉินซูยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พลันคว้าแขนขาวดั่งหยกอันละเอียดอ่อนของหลินชิงเหยาแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมอกร่างกายที่บอบบางของหลินชิงเหยาสั่นสะท้าน และตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เมื่อตระหนักรู้ตัวได้เช่นนั้นนางก็พยายามจะแยกตัวออกนางเริ่มตะโกน“องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”ฉินซูยื่นมือออกมาเชยคางของนางแล้วจ้องมองเมื่อสบกับสายตาเจ้าเสน่ห์ของฉินซู หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตะลึงเล็กน้อยตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาขององค์รัชทายาทไร้ค่า คิ้วคมโดดเด่น และดวงตาที่น่าดึงดูดและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอ๋องฉีฉินหงจะบอกว่าเขารักนางก็ตามแต่เขามักจะมองนางด้วยท่าทางวางตัวราวกับว่าคว
เฉิงจืออี้กล่าวอย่างมีความหมาย “หลังจากมาถึงหลงเฉิงแล้ว กระหม่อมได้ยินมาหลายครั้งว่า เหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมิลงรอยกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร องค์ชาย หากท่านประสงค์ทวงคืนศักดิ์ศรี ท่านสามารถร่วมมือกับเหล่าองค์ชายแห่งต้าเหยียนได้พ่ะย่ะค่ะ”“เป็นความคิดที่ดี!”มู่หรงฟู่ตบต้นขาของตนในทันใด และลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นแต่หลังจากสงบลงแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ “วันนี้เราก่อความวุ่นวายในราชสำนักต้าเหยียน องค์ชายแห่งต้าเหยียนเหล่านี้คงเกลียดเราแล้วจะมีใครร่วมมือกับเราอีกหรือ?”“องค์ชาย หาอย่าได้ประมาทความยั่วยุของตำหนักบูรพา องค์ชายเหล่านั้นต่างรอมิไหวที่จะได้เหยียบย่ำฉินซูพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วตามที่ขุนนางอาวุโสเฉิงบอก เราควรร่วมมือกับองค์ชายคนใดดีเล่า?”เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์ชายสามฉินหงหรือองค์ชายหกฉินเหยี่ยนแห่งต้าเหยียน ทั้งสองเผชิญหน้ากับฉินซูในราชสำนักในวันนี้ พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน”มู่หรงฟู่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มิควรล่าช้า เราไปคุยกับพวกเขาตอนนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชาย หากออกไปเช่นนี้จะถูกดึงดูดความสนใจ
เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือดฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”“เจ้า… ข้า...”ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่งหากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแ
หลินชิงเหยายิ้มอย่างขมขื่นพลางหลับตารอความตายดาบเคลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าหลินชิงเหยากำลังจะพบกับจุดจบอันน่าเศร้าในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มีร่างหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า!ในขณะที่คนผู้นั้นนี้ยื่นมือออกเพื่อดึงหลินชิงเหยาออกมา มืออีกข้างของเขาก็คว้าดาบอย่างรวดเร็วและช่ำชองในชั่วพริบตา ดาบในมือของฉินหงก็ถูกคนผู้นั้นคว้าไป ในเวลาเดียวกัน ดาบเย็นก็กดลงบนคอของเขาในทันใด!หลังจากที่ฉินหงตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!“ฉินซู เหตุใดจึงเป็นเจ้า!”เขาตกใจมาก!ฉินซูผู้ไร้ประโยชน์มีทักษะถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาสามารถปลดอาวุธได้ด้วยมือเปล่าจริง ๆ หรือ?องครักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ฉินหงต่างก็ทำหน้าเคร่งขรึม พลันชักมีดออกมาพร้อมกัน!ดวงตาของฉินซูเย็นชา ดาบในมือของเขากลายเป็นแสงสีขาว ฟันไปที่หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าม่านตาของหัวหน้าองครักษ์หดตัวลงทันที และพยายามหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณทว่าก่อนที่เขาจะขยับเท้าได้ ดาบก็ฟาดลงมาแล้ว“ฉึก!”โลหิตพลันพุ่งออกมา ศีรษะของหัวหน้าองครักษ์ลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาและกลิ้งไปบนพื้นสองสามครั้งก่อนที่มันหยุดลงร่
หลินซีตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอาจมิทราบว่า จริง ๆ แล้วเซี่ยหลานถูกองค์รัชทายาทคุกคามเมื่อมินานมานี้ นางต้องการแก้แค้นองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่นางไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เยี่ยมมาก คราวนี้เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะโค่นฉินซูลงให้ตกต่ำที่สุดจนลุกขึ้นมิได้อีก!”การแสดงออกของฉินหงดูชั่วร้ายมาก ดูอันตรายอย่างยิ่งในเวลาเดียวกันภายในโรงเตี๊ยมที่คณะทูตเป่ยเยี่ยนพักอยู่มู่หรงฟู่พูดด้วยความโกรธ “ให้ตายเถอะ ข้าอยากให้ฉินซูอับอายต่อหน้าธารกำนัล มิคิดเลยว่าเขาจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้”เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เป็นเรื่องแปลกนักที่คนกล่าวขานกันว่า องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนหลงสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และองค์จักรพรรดิต้าเหยียนก็ตัดสินใจปลดเขาออกหลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ทว่าหลังจากการเผชิญหน้าทั้งสองครั้งนี้ ไฉนกระหม่อมจึงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทจะใกล้จะถูกปลดผู้นี้พูดจาเฉียบคมนัก มีสิ่งใดที่เขาดูเหมือนคนที่หลงสุราเคล้านารีหรือ?”“หึ หาได้ต้องถามไม่ เขาต้องรู้ว่าตนกำลังจะถูกปลด ดังนั้นเขาจึ
ด้วยอานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า สถานการณ์การรบก็กลายเป็นการรุกไล่ฝ่ายเดียว!กองทัพหนานเยวี่ยแทบจะไร้พลังต้านทาน ได้แต่ถอยร่นกลับไปอย่างมิคิดชีวิตหูก่วงเซิงบุกตะลุยอยู่ครู่หนึ่งก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตา คลั่งด้วยความตื่นเต้นจนหัวเราะเสียงดังอย่างประหลาด!เขาร้องตะโกนใส่ตงฟางไป๋เสียงดัง "สหายตงฟาง อาวุธระเบิดพวกนั้น พวกท่านยังมีเหลืออีกเท่าไร?""เหลือเฟือ!"ตงฟางไป๋กล่าวพร้อมตบถุงผ้าตุง ๆ บนอานม้า!"ดี เช่นนั้นพวกเรามาฆ่าพวกเดนมนุษย์พวกนี้ให้สิ้นกันเถอะ!""ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราคุ้มกันปีกข้าง พวกท่านบุกตะลุยไปเลย!""ดี ลุย!"ทั้งสองตกลงกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย บุกตะลุยใส่กองทัพหนานเยวี่ยอีกครั้งเนื่องจากเหตุผลเรื่องอ๋องฉู่ แม้ว่าในใจหูก่วงเซิงจะดูหมิ่นฉินซู แต่เมื่อมีอาวุธทรงพลานุภาพเหล่านี้หนุนหลัง เขาก็ยิ่งรุกไล่สังหารศัตรูอย่างฮึกเหิมความรู้สึกที่ได้บดขยี้ศัตรูในแนวรบนั้น ช่างสะใจอย่างหาใดเปรียบเห็นเพียงหอกในมือของเขาฟาดฟันผ่าดงทหาร ข้าศึกล้มตายด้วยน้ำมือของเขาจำนวนนับมิถ้วนลูกน้องของเขาเองก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตาเช่นกัน ร่างกายทุกส่วนอาบไปด้วยเลือดสด ๆ ของ
เขาจ้องมองลูกธนูที่ตนยิงออกไปด้วยสายตาแน่วแน่ เห็นเพียงลูกธนูทะลุทะลวงเกราะหวายของข้าศึก สังหารศัตรูล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ"สวรรค์! ถึงกับยิงทะลุเกราะหวายของพวกหนานเยวี่ยได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ธนูนี่มันอาวุธเทพชัด ๆ!"เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนต่างก็ขึ้นสายธนู พร้อมเล็งเป้าหมาย!ห่าฝนลูกธนูโหมกระหน่ำไปยังกองทัพหนานเยวี่ยที่กำลังถอยทัพไปโดยมิยั้งหลังห่าฝนลูกธนูผ่านพ้นไป กองทัพหนานเยวี่ยก็ล้มลงเป็นจำนวนมาก!แม่ทัพหม่าเมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบตะโกนเสียงดัง "ถอยทัพ เร่งถอยทัพเร็วเข้า!""บัดซบ ธนูของฝั่งต้าเหยียนร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับยิงทะลุเกราะหวายของพวกเราได้!""อานุภาพร้ายแรงเกินไป พวกเราจงอยู่ห่างจากกำแพงเมืองอย่างน้อยหกเจ็ดสิบจั้ง พวกมันยังทำร้ายพวกเราได้""ถอย ถอยเร็วเข้า หากมิเร็วกว่านี้พวกเราคงต้องตายอยู่ที่นี่!""..."ทหารแคว้นหนานเยวี่ยร้องลั่น เร่งฝีเท้าถอยร่นกลับไปฉินซูหันไปมองหูก่วงเซิงพร้อมกับกล่าวยิ้ม ๆ "รองแม่ทัพหู ทหารม้าของพวกเจ้ามิได้ชื่อว่าเป็นกองทัพไร้พ่ายหรอกรึ ตอนนี้มิฉวยโอกาสรุกไล่ แล้วจะรอถึงเมื่อ
เมื่อเห็นภาพนั้น สีหน้าของหูก่วงเซิงและชิวก่วนก็แข็งทื่อไปในทันทีส่วนหลูเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงงัน!แม้แต่ใบหน้างดงามของฉงชูโม่ยังปรากฏแววตกตะลึงอย่างยิ่ง!เป็นเพราะอานุภาพของระเบิดสายฟ้านี้ ร้ายแรงกว่าที่นางเคยเห็นด้วยตาเมื่อครั้งก่อนมากนัก!เมื่อนางตั้งสติได้ ก็ถามอย่างเร่งร้อน "องค์รัชทายาท ของสิ่งนี้ พระองค์ทรงนำติดตัวมาเท่าไรเพคะ?"ฉินซูหัวเราะน้อย ๆ "มิต้องห่วง มีเหลือเฟือ"พูดจบ ก็หันไปสั่งตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ "พวกเจ้ารอกระไรอยู่อีก ลงมือได้แล้ว ให้กองทัพหนานเยวี่ยพวกนั้นได้เห็นฤทธิ์เดชเสียบ้าง"ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ หัวเราะอย่างมีเลศนัย จุดชนวนระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ในมือแล้วโยนใส่กองทัพหนานเยวี่ยเบื้องล่างตูม!ตูม ตูม ตูม!หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่องกันกว่าสิบครั้ง แนวทัพหน้าของกองทัพหนานเยวี่ยก็ถูกแรงระเบิดอัดจนกระจัดกระจาย!ทหารจำนวนมากเห็นสหายร่วมรบของตนถูกแรงระเบิดจนร่างแหลกจนจำสภาพเดิมมิได้ แต่ละคนก็ขวัญกระเจิงราวกับคนเสียสติ รีบก้มหน้าลงวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง ไร้ใจจะสู้รบอีกต่อไปพวกเขากลับหลังหันหนี เปิดช่องโล่งด้านหลังพลธนูบนกำแพงเมืองฉวยโอกา
เมื่อได้ยินดังนั้น พลธนูเหล่านั้นก็เล็งหัวธนูไปยังเครื่องกระทุ้งและยิงธนูออกไปอย่างต่อเนื่อง"โล่หวาย ปกป้องเครื่องกระทุ้ง!"ในกองทัพหนานเยวี่ยมีคนตะโกนเสียงดัง ทหารเกราะหวายที่อยู่ใกล้เคียงรีบยกโล่หวายในมือขึ้นสูง ป้องกันสหายร่วมรบที่กำลังเข็นเครื่องกระทุ้งอยู่ฉึก ฉึก ฉึก!ลูกธนูเหล่านั้นพุ่งปักลงบนโล่หวาย แต่มิอาจทะลุเข้าไปได้ความเร็วของเครื่องกระทุ้งมิได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยเมื่อเห็นดังนั้น หูก่วงเซิงก็พลันหันไปกล่าวกับฉินซู "องค์รัชทายาท พระองค์มีอาวุธลับอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจึงมิใช้เสียตอนนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"น้ำเสียงของเขามีความประชดประชันแฝงอยู่ ทว่าฉินซูในเวลานี้คร้านจะถือสาหาความกับเขา เขาเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของกำแพงเมือง ทอดสายตามองออกไปเห็นสองพี่น้องตงฟางไป๋นำทหารหลายสิบนายลากธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่มาถึงใต้กำแพงเมืองและกำลังเดินขึ้นมาบนกำแพงเมืองเมื่อเห็นฉินซูมิตอบสนอง หูก่วงเซิงก็กล่าวอีก "องค์รัชทายาท เครื่องกระทุ้งของกองทัพหนานเยวี่ยมาประชิดแล้ว พระองค์ทรงรอกระไรอยู่ ไหนพระองค์ตรัสว่าจะปราบกองทัพหนานเยวี่ยให้ราบคาบ จากนั้นจะบุกตะลุยต่อ และยึดครองทัพหนา
สีหน้าของฉงชูโม่เคร่งเครียดขึ้นทันที หันกายรีบเดินไปยังเชิงเทินหลูเฟิง ชิวก่วน และคนอื่น ๆ รีบติดตามไปฉินซูก็ตามไปเช่นกัน แต่ก่อนที่จะขึ้นไปบนกำแพงเมือง เขาหันไปกระซิบกับตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วสองสามคำทั้งสองจึงแยกตัวเดินไปยังอีกด้านหนึ่งฉินซูขึ้นมาบนกำแพงเมืองเมื่อกวาดสายตามองออกไป จะเห็นกองทัพหนานเยวี่ยที่หนาแน่นไปหมดกำลังโจมตีมาทางนี้ทัพหน้าที่เดินนำมาคือทหารเกราะหวายที่ทำให้กองทหารรักษาการณ์เมืองเจียวโจวปวดเศียรเวียนเกล้า ลูกธนูยิงทะลุเกราะหวายของพวกเขามิได้ ยากที่จะรับมือเกราะหวายนี้สูงเท่าตัวคน อีกทั้งยังกว้างจนบังร่างชายร่างใหญ่สองคนได้มิดเมื่อเห็นว่าภายใต้เกราะหวายที่ป้องกันอยู่นั้นกลับเป็นพลธนู มุมปากของฉินซูก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยด้านหลังทหารเกราะหวายและพลธนูคือทหารราบที่ถือเกราะหวายและหอกถัดไปด้านหลังคือทหารม้าที่สวมเกราะสีเงินยวงพวกเขาทุกคนถือหอก ม้าศึกใต้ร่างก็สวมเครื่องป้องกัน เรียกได้ว่าสง่างามน่าเกรงขาม!ส่วนเครื่องยิงหินกว่าสิบคันกำลังเคลื่อนพลรุดหน้าอย่างช้า ๆ ด้านหลังทหารม้าเหล่านี้ในสมัยโบราณ นี่คืออาวุธหนักที่ขาดมิได้ในการโจมตีเมืองขณะมองดูกองท
"แสนห้าหมื่น? มิใช่หนึ่งแสนรึ?""หนึ่งแสนนั่นมันหลายวันก่อน เมื่อมิกี่วันก่อนพวกเราได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า ทางฝั่งกองทัพหนานเยวี่ยส่งกำลังพลมาเสริมอีกห้าหมื่นนาย ตอนนี้มีทั้งหมดแสนห้าหมื่นนายเพคะ"ฉินซูขมวดคิ้วถาม "แล้วฝั่งเราตอนนี้มีกำลังพลเท่าไร?""หากมินับพวกที่บาดเจ็บ ก็เหลือประมาณแปดหมื่นกว่านายได้เพคะ"เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของฉินซูกระตุกเล็กน้อยเผชิญหน้ากับข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าถึงสองเท่า ซ้ำยังมีเกราะหวายที่ทนทาน มิน่าเล่าฉงชูโม่ถึงยังขับไล่ข้าศึกไปมิได้"เอาเถอะ พระองค์รีบกลับหลงเฉิงเสียเถิด ที่นี่มิใช่ที่ที่พระองค์จะอยู่ได้"ฉงชูโม่กล่าวอย่างจริงจังฉินซูส่ายหน้าน้อย ๆ "ในเมื่อข้ามาถึงแล้ว ย่อมต้องหาวิธีช่วยเจ้าขับไล่กองทัพหนานเยวี่ยพวกนี้ให้จงได้"ฉงชูโม่กวาดสายตาสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ "องค์รัชทายาทเจ้าสำราญ ทรงคิดหาวิธีดี ๆ ได้ด้วยหรือเพคะ?""ข้ามีความรู้ทั้งในเรื่องดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ แม้จะมิได้เก่งถึงขั้นวางแผนกลยุทธ์แล้วชนะข้าศึกที่อยู่ห่างไกลพันลี้ได้ แต่ตำราพิชัยสงครามก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง เจ้าบอกเล่าสถานการณ์ป
หลูเฟิงขมวดคิ้วกล่าว "ธนูพวกนี้รูปร่างประหลาดถึงเพียงนี้ จะใช้สังหารศัตรูได้หรือไม่ก็ยังมิรู้ ของพวกนี้คงปราบกองทัพหนานเยวี่ยแสนนายที่อยู่นอกประตูเมืองทิศเหนือมิได้หรอกกระมัง?""หึหึ ท่านแม่ทัพหลูยังมิทราบสินะ องค์รัชทายาทของเราตรัสว่า การมาเจียวโจวครั้งนี้ของพระองค์มิเพียงแต่จะปราบกองทัพหนานเยวี่ยแสนนายให้ราบคาบ แต่ยังจะบุกเข้าไปในใจกลางหนานเยวี่ยแล้วยึดครองหนานเยวี่ยทั้งแคว้นในคราเดียว!""กระไรนะ? ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งแคว้นในคราเดียว?!"สีหน้าของหลูเฟิงยิ่งทวีความประหลาดใจมากขึ้น จากนั้นจึงกล่าวอย่างเคลือบแคลง "ท่านรองแม่ทัพหู ท่านมิได้พูดจาเลื่อนลอยใช่หรือไม่ องค์รัชทายาทจะตรัสคำพูดไร้สาระเช่นนั้นได้อย่างไร?"หูก่วงเซิงหัวเราะน้อย ๆ "ข้าเป็นแค่รองแม่ทัพต่ำต้อย จะกล้ากุข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาทได้อย่างไรคำพูดเหล่านี้เป็นความจริงที่องค์รัชทายาทตรัสด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังตรัสในท้องพระโรงต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและขุนนางน้อยใหญ่ทั้งราชสำนัก"หลูเฟิงบ่นพึมพำอย่างอดมิได้ "องค์รัชทายาททรงเห็นเรื่องสนามรบเป็นเรื่องง่ายเกินไปกระมังพวกเราประจันหน้ากับกองทัพหนานเยวี่ยที่อยู่ด้านนอกมาน
มินานนัก ตี๋จิ่งก็ถีบเท้าออกจากอานม้า ร่างพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนูเขาพลิกตัวกลางอากาศ ลงมายืนอยู่หน้ามู่หรงจื่อเยียนได้อย่างมั่นคงม้าของมู่หรงจื่อเยียนตกใจ รีบหยุดลงทันที"ท่านหญิง เจียวโจวเป็นสมรภูมิรบ ท่านจะไปที่นั่นมิได้พ่ะย่ะค่ะ!""ท่านลุงจิ่ง ข้าต้องไปเจียวโจวให้ได้ หากท่านขวางข้า ข้าจะตายต่อหน้าท่าน!"มู่หรงจื่อเยียนพูดจบก็หยิบกริชออกมาจ่อที่คอของตนเมื่อเห็นดังนั้น ตี๋จิ่งก็ตกใจหน้าซีด รีบโบกมือกล่าว "ท่านหญิงอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นท่านก็อย่าขวางทางข้า หากท่านกล้าสกัดจุดข้าแล้วพาข้ากลับไป ข้าหลุดพ้นเมื่อไร ข้าจะฆ่าตัวตายทันที!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตี๋จิ่งและคนอื่น ๆ ก็เหงื่อแตกพลั่กทันใดพวกเขาเพิ่งรู้ว่ามู่หรงจื่อเยียนมีนิสัยแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ตี๋จิ่งถามอย่างระมัดระวัง "ท่านหญิง ที่ท่านหญิงไปเจียวโจว ก็เพื่อฉินซูผู้นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?"มู่หรงจื่อเยียนเม้มริมฝีปากแดงระเรื่อ มิได้กล่าวสิ่งใดเมื่อเห็นมู่หรงจื่อเยียนยอมรับโดยนัย ตี๋จิ่งและพวกก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันไปทว่าเวลานี้ หากคิดจะพามู่หรงจื่อเยียนกลับไปโดยใช้กำลัง เห็นทีคงเป็นไปมิได้เมื่อจนปัญญา
มู่หรงฟู่เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เป่ยเยี่ยนจริง ๆ มิฉะนั้นเสด็จพ่อของเขาคงมิส่งคนนำจดหมายฉบับนั้นมาให้เขาหรอกและคงมิปล่อยให้เขาพักพิงอยู่ในต้าเหยียนต่อไปเช่นนี้ตี๋จิ่งและคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าขมขื่น กล่าวว่ามิกล้า ๆ ซ้ำ ๆมู่หรงฟู่แค่นเสียงในลำคอ "มิกล้าก็ดี วันนี้อากาศดีจริง ๆ จื่อเยียน พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าแล้วเดินตามมู่หรงฟู่ออกจากโรงเตี๊ยมไปตี๋จิ่งและพรรคพวกมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็เดินตามไปด้วยหน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องมู่หรงจื่อเยียนเมื่อถึงตลาดมู่หรงจื่อเยียนก็ได้ยินจากชาวบ้านว่า ฉินซูนำทหารม้าหุ้มเกราะชั้นยอดลงใต้ไปช่วยเหลือเมืองเจียวโจวแล้ว!นางรีบหันไปถามมู่หรงฟู่ "เสด็จพี่ห้า กองทัพหนานเยวี่ยเก่งกาจมากหรือไม่เพคะ?"มู่หรงฟู่ยักไหล่ "หนานเยวี่ยอยู่ห่างจากเป่ยเยี่ยนของเราโดยมีต้าเหยียนขวางกั้น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามีกำลังพลเท่าไร"ตี๋จิ่งกล่าวเสริม "ท่านหญิง กองทัพหนานเยวี่ยเชี่ยวชาญการขี่ม้า ยิงธนู อีกทั้งเกราะหวายและโล่ยังทนทานต่อคมหอกคมดาบอย่างยิ่ง นับว่าเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง กองทัพต้าเหยี