Share

บทที่ 13

หลินซีตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอาจมิทราบว่า จริง ๆ แล้วเซี่ยหลานถูกองค์รัชทายาทคุกคามเมื่อมินานมานี้ นางต้องการแก้แค้นองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่นางไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เยี่ยมมาก คราวนี้เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะโค่นฉินซูลงให้ตกต่ำที่สุดจนลุกขึ้นมิได้อีก!”

การแสดงออกของฉินหงดูชั่วร้ายมาก ดูอันตรายอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกัน

ภายในโรงเตี๊ยมที่คณะทูตเป่ยเยี่ยนพักอยู่

มู่หรงฟู่พูดด้วยความโกรธ “ให้ตายเถอะ ข้าอยากให้ฉินซูอับอายต่อหน้าธารกำนัล มิคิดเลยว่าเขาจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้”

เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เป็นเรื่องแปลกนักที่คนกล่าวขานกันว่า องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนหลงสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และองค์จักรพรรดิต้าเหยียนก็ตัดสินใจปลดเขาออกหลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ทว่าหลังจากการเผชิญหน้าทั้งสองครั้งนี้ ไฉนกระหม่อมจึงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทจะใกล้จะถูกปลดผู้นี้พูดจาเฉียบคมนัก มีสิ่งใดที่เขาดูเหมือนคนที่หลงสุราเคล้านารีหรือ?”

“หึ หาได้ต้องถามไม่ เขาต้องรู้ว่าตนกำลังจะถูกปลด ดังนั้นเขาจึงพยายามทำตัวให้ดีในช่วงเวลานี้ เพื่อขอความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอย่างไรเล่า”

“แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังรู้สึกว่า ฉินซูค่อนข้างลึกลับและไม่ง่ายอย่างที่ข่าวลือพูด”

มู่หรงฟู่โบกมือและพูดด้วยความแค้น “เรื่องของเขาเถอะ เขาควรอยู่ในหลงเฉิงไปตลอดชีวิตดีกว่า มิเช่นนั้น กระหม่อมจะฆ่าเขาด้วยมือของกระหม่อมเองทันทีที่มีโอกาส!”

“องค์ชาย เราแทบจะไม่มีโอกาสได้จัดการกับฉินซูเลย ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิต้าเหยียนปฏิเสธที่จะคืนชิ่งโจว หากอยู่หลงเฉิงต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นเราจะออกเดินทางกลับเป่ยเยี่ยนเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เรามิควรรอช้าอีกต่อไป เก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางทันที”

“ระหว่างทางกลับ ตัวข้ามักจะรู้สึกมิสบายใจ เช่นนั้น จะดีกว่าหากออกเดินทางเร็วยิ่งขึ้น จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่มิจำเป็น”

หลังจากที่เฉิงจืออี้พูดจบ เขาก็สั่งให้ทุกคนเก็บสัมภาระ

ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามได้ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือของหลงเฉิง

ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูทิศเหนือ พวกเขาก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งหยุดไว้

เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าหมายความเยี่ยงไร? ไปเรียกหัวหน้ามา”

ด้วยเสียงกีบม้า ชายหนุ่มรูปงามในวัยสามสิบก็ขี่ม้าออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน

ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ โดยมีลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปักด้วยไหมสีทองที่ตรงหน้าอก

เขาแบกดาบใหญ่อยู่บนหลัง ปากคาบใบหญ้า และมีรอยแผลเป็นที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วบนใบหน้าของเขา

เมื่อมองแวบแรกเขาดูซุกซน

เมื่อเห็นอาภรณ์ของบุรุษผู้นี้ เฉิงจืออี้ก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้ามาจากสำนักหอดูดาวหลวงหรือ?"

บุรุษหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และตอบอย่างสงบ “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย จากสำนักหอดูดาวหลวง!"

“เจ้านั้นเอง ลูกศิษย์คนที่สามของหัวหน้าโหรหลวง ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากทีเดียว เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่า เหตุใดจึงขวางทางเรา?”

“ขุนนางอาวุโสเฉิงจริงจังเกินไปแล้ว หากท่านต้องการออกไป แน่นอนว่าข้าจะมิหยุดท่าน”

“เช่นนั้นก็รีบออกไปเสีย เรากำลังรีบ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยิ้มเบา ๆ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังรีบ แต่อย่าใจร้อนนัก ข้ายังพูดมิจบ”

เฉิงจืออี้พูดอย่างมิอดทน “หากเจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดก็พูดมาเร็ว ๆ เข้าสิ อย่าทำให้การเดินทางของเราล่าช้า"

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดอย่างใจเย็น “ที่จริงแล้วมิได้มีเรื่องอันใดมากนักหรอก ไทฮองไทเฮาของเราเพิ่งได้ยินว่า องค์ชายจากเป่ยเยี่ยนเสด็จมาถึงแล้ว พระนางจึงประสงค์ที่จะพบและต้อนรับองค์ชายมู่หรงเป็นแขกสักสองสามวัน และพูดคุยเรื่องประเพณีที่แปลกใหม่ของเป่ยเยี่ยน”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของทุกคนในคณะทูตเป่ยเยี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที!

เฉิงจืออี๋ถามด้วยสีหน้ามืดมน “เจ้าหมายความเยี่ยงไร? พวกเจ้าคิดจะกักขังองค์ชายห้าของเราเช่นนั้นรึ?”

“ขุนนางอาวุโสเฉิง ดูตัวท่านสิ ข้าบอกท่านว่าอย่าใจร้อนนัก ข้าบอกหรือว่าจะกักขัง? ข้าหมายถึงไทฮองไทเฮาของเรา…”

ก่อนที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยจะพูดจบเฉิงจืออี้ก็ขัดจังหวะเขา “องค์ชายห้าของเรามิสนใจเรื่องเข้าพบไทฮองไทเฮาของพวกเจ้า อีกอย่างพวกเรากำลังรีบ หากไทฮองไทฮองไทเฮาต้องการทราบเกี่ยวกับประเพณีเป่ยเยี่ยน ไว้คราวหน้าเราจะไปเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาและคุยกับพระนางเอง”

“ขุนนางอาวุโสเฉิง หากท่านพูดเช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องยากน่ะสิ หรือไม่พวกท่านก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจหลังเข้าพบไทฮองไทเฮา หรือจะให้องค์ชายมู่หรงอยู่ที่นี่ก่อนและพวกท่านกลับไปก่อนก็ย่อมได้"

“นี่เป็นคำสั่งของจักรพรรดิต้าเหยียนของพวกเจ้าหรือไม่?”

“ถูกต้องแล้ว ข้าแค่ทำตามคำสั่ง ดังนั้นข้าหวังว่าขุนนางอาวุโสเฉิงจะจัดการให้เราได้”

เฉิงจืออี้โกรธมากจนเคราของเขาบิดเบี้ยวทันที “นี่มันมีอย่างที่ไหนกัน ไร้เหตุผลสิ้นดี พวกเจ้าแค่ต้องการกักขังองค์ชายห้าของเรา ทำเช่นนี้ มิกลัวหรือว่าจะถูกคนทั้งใต้หล้าเยาะเย้ยเอาได้?”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยักไหล่ “ไทฮองไทเฮามีพระชนมายุเก้าสิบพรรษาแล้ว เพียงแค่อยากพบองค์ชายห้าแห่งเป่ยเยียนของพวกท่าน มิสมเหตุสมผลตรงไหนกัน? หากท่านยืนกรานที่จะตีความว่าเป็นการกักขัง เช่นนั้นข้าก็ทำอันใดมิได้แล้ว”

“เจ้า… โธ่เอ๋ย...”

ใบหน้าของเฉิงจืออี้เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ และเริ่มไอ

มู่หรงฟู่ถามด้วยสีหน้ามืดมน “เช่นนั้นไทฮองไทเฮาประสงค์ให้ข้าอยู่กี่วัน?”

“กระหม่อมเองมิแน่ใจ แต่องค์ชายมู่หลงจงวางใจเถิด ท่านคือองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยน พวกเราต้าเหยียนจะปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพในฐานะแขกผู้มีเกียรติสูงสุด รับรองได้ว่าท่านจะมิต้องทนทุกข์ทรมานแม้แต่น้อย”

ทันทีที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดจบ ทุกคนในคณะทูตเป่ยเยี่ยนก็เริ่มปฏิเสธเขาอย่างฉุนเฉียวทันที

“ข้ามิเชื่อ เจ้าบอกว่าจะมิยอมให้องค์ชายต้องทนทุกข์ แต่ตอนนี้พวกเจ้ากำลังกักขังหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ เช่นนั้นนี่มันเรียกว่าอะไรเล่า?”

“ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้าเหยียนทำก็แค่กลั่นแกล้งผู้อื่นมากเกินไป เจ้าคิดว่าพวกเราเป่ยเยี่ยนนั้นรังแกง่ายรึ?”

“รีบหลีกทางเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเราหยาบคาย

“อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าพวกเจ้าคนมากกว่าแล้วเราจะกลัว หากคณะทูตเป่ยเหยี่ยนของเราได้รับอันตราย พวกเจ้าต้าเหยียนจะกลายเป็นตัวตลก”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกอดอกอย่างมิรีบร้อนแล้วมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจาง ๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉิงจืออี้ก็ตำหนิว่า “พวกเจ้าตั้งใจจะกักขังองค์ชายของเราจริง ๆ ใช่หรือไม่?

“หากท่านอยากตีความเช่นนั้น ก็ถูกแล้ว”

“ได้! เช่นนั้นข้าจะไปพบจักรพรรดิต้าเหยียนของเจ้า!”

“องค์จักรพรรดิของเราทรงอยู่กับเรื่องนับมิถ้วน หากขุนนางอาวุโสเฉิงต้องการพบพระองค์ เช่นนั้นก็ได้โปรดกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน เมื่อพระองค์มีเวลาก็จะเรียกท่านเข้าเฝ้าเอง”

“เจ้า… เจ้ามันไร้เหตุผลนัก ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

เฉิงจืออี้โกรธมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้

มู่หรงฟู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง พาคนของเรากลับไปก่อน แล้วอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เสด็จพ่อข้าฟัง ตัวข้ายังมิเชื่อว่าพวกต้าเหยียนจะกล้าแตะต้องข้า”

“แต่องค์ชาย...”

ก่อนที่เฉิงจืออี๋จะพูดจบ มู่หรงฟู่ก็ขัดจังหวะ “ขุนนางอาวุโสเฉิง ตอนนี้แล้วเจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือ? ที่ต้าเหยียนต้องการตอนนี้คือ เราทุกคนอยู่ หรือข้าจะอยู่และพวกเจ้าก็กลับไป"

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “องค์ชายมู่หรงทรงเข้าใจทุกอย่างถี่ถ้วน คุยกับคนฉลาดย่อมสบายใจกว่า "

เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง "หม่าขุย เจ้าอยู่คอยปกป้ององค์ชาย จงจำไว้ว่า แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต จงทำให้แน่ใจว่าองค์ชายจะมิได้รับอันตรายใด ๆ”

หม่าขุยน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ “ท่านขุนนางใหญ่โปรดวางใจ ใครก็ตามที่ต้องการทำร้ายองค์ชาย เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน”

“ดี! องค์ชายดูแลตัวเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่กระหม่อมกลับไปแล้วกระหม่อมจะทูลขอองค์จักรพรรดิให้ส่งคนมารับท่านกลับโดยเร็วที่สุด”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พูดกับตู๋กูโฉ่วเยวี่ยอย่างเย็นชา “ทูลบอกจักรพรรดิของพวกเจ้าเถิด หากแตะต้ององค์ชายของเราแม้แต่ปลายพระเกศา พวกเจ้าต้าเหยียนก็เตรียมตัวเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของพวกเราเป่ยเยี่ยนได้เลย!”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status