ฉงชูโม่เย้ยหยันทันทีและพูดว่า “ทุกคนในใต้หล้ารู้ดีว่าหม่อมฉันฉงชูโม่ อุทิศตนเพื่อแคว้น มิเคยข้องเกี่ยวกับการเมืองภายใน ตอนนี้องค์รัชทายาทกลับมาป้ายสีว่าหม่อมฉันเล่นพรรคเล่นพวกกับอ๋องฉี ท่านมิคิดว่าสิ่งที่ท่านพูดมันน่าขำหรอกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ามิได้เป็นคนที่อ๋องฉีส่งมา เหตุใดเจ้าจึงยืนหยัดเพื่อเซี่ยหลานเล่า?”“หึ! นางเป็นสหายของหม่อมฉันที่เติบโตมาด้วยกัน วันนี้ท่านทำให้นางอับอายอย่างหนัก หากหม่อมฉันทำเมินเฉย หม่อมฉันจะยังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?”ทันใดนั้นฉินซูก็ตระหนักได้ “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นสหายสนิทกันนี่เอง เช่นนั้นข้าก็มิแปลกใจแล้ว”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วอีกครั้งและถามด้วยความสับสน “เมื่อครู่ท่านว่าสนิทกันอะไรนะ?”ฉินซูยักไหล่ “นั่นมิสำคัญหรอก สิ่งสำคัญก็คือ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้เป็นเซี่ยหลานต่างหากที่ทำตัวเองขายหน้า!”ฉงชูโม่เอ่ยเหน็บแนม “องค์รัชทายาททรงทำให้นางอับอายเพียงนั้น ตอนนี้กลับมาพูดว่านางทำตัวเองขายหน้าเอง ท่านนี่โยนความผิดให้ผู้อื่นเก่งจริง ๆ!”“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า อย่างไรเรื่องนี้ข้าก็ไม่มีอะไรให้สำนึกผิด!”“ท่านมิรู้สึกผิดสินะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะตี
ฉินซูถามอย่างสงสัย “เสด็จพ่อจัดตำแหน่งอะไรให้เจ้า?”“หัวหน้าองครักษ์ตำหนักบูรพา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป องครักษ์ทั้งหมดในตำหนักบูรพาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของกระหม่อม แน่นอนว่านี่รวมถึงความปลอดภัยขององค์รัชทายาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มยินดีเล็กน้อยคิ้วของฉินซูขมวดแน่นยิ่งขึ้นจักรพรรดิส่งแม่ทัพชายแดนมาที่ตำหนักบูรพาเพื่อเป็นที่ปรึกษา และยังส่งลูกศิษย์ที่รักของหัวหน้าโหรหลวงเข้ามาด้วยตาเฒ่าคนนี้ต้องการทำอะไรกันแน่?เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉินซูก็ถามอย่างสงสัย “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย เจ้ามาที่นี่เพื่อปกป้องข้าจริง ๆ หรือ?”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย มีกระหม่อมอยู่กับท่านที่นี่ ท่านจะต้องปลอดภัยหายห่วงแน่พ่ะย่ะค่ะ”“จริงรึ? แล้วฉงชูโม่เล่า?”“เอ่อ…” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยกมือขึ้นอย่างช่วยมิได้แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมสู้นางมิได้ และนางก็มีพระบัญชาจากจักรพรรดิอยู่กับตัวด้วย ดังนั้นท่านทำตัวดี ๆ อย่าหาเรื่องเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“หึ มิว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็เป็นแค่สตรี ตราบเท่าที่ข้าต้องการ ข้าก็มีหลายวิธีที่จะจัดการกับนาง”จู่ ๆ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็กังวล
เซี่ยเหอถามซ้ำหลายครั้งติดต่อกัน แต่เซี่ยหลานยังคงนิ่งเงียบสิ่งนี้ทำให้พวกเขาวิตกกังวล โอวหยางฮุ่ย มารดาของนางกัดฟันและพูดว่า “นายท่าน เซี่ยหลานอยู่ข้างในมิรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลองขอให้ใครสักคนเปิดประตูดูดีกว่า เกรงว่านางจะทำอะไรโง่ ๆ”“ดี ใครก็ได้ ช่วยเปิดประตูห้องของคุณหนูเร็วเข้า!”เซี่ยเหอออกคำสั่ง และบ่าวไพร่หลายคนจากตระกูลหลินก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพวกเขาถอยหลังไปสองสามก้าวเตรียมจะถีบประตูทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกด้วยเสียง “เอี๊ยด” จากด้านในเซี่ยหลานพูดด้วยใบหน้าเศร้าโศก “ท่านแม่ ท่านปู่ พวกท่านจะทำอะไรกันหรือเจ้าคะ? ข้าแค่ต้องการอยู่เงียบ ๆ หน่อย พวกท่านเลิกโวยวายได้หรือไม่”“นี่มันกี่ยามกันแล้ว? เจ้ายังอยากเงียบ ๆ อยู่อีกรึ?”“ใช่ เร็วเข้า รีบตามท่านปู่ไปที่วัง แล้วร้องเรียนต่อองค์จักรพรรดิเสียเถิด!”หลังจากที่เซี่ยเหอพูดจบ เขาก็ดึงเซี่ยหลานออกไปเซี่ยหลานดึงมือของนางกลับและพูดด้วยความโกรธ “ท่านปู่ องค์รัชทายาทมิได้ทำร้ายข้า เขาแค่… แค่…”โอวหยางฮุ่ยกังวลมากจนกระทืบเท้าและเร่งเร้านางอย่างจริงจัง “โธ่ คุณหนูใหญ่ของแม่ เจ้าจะพูดอะไร รีบบอกข้ามาเร็ว ๆ ข้ากังวลจว
“ท่านปู่เซี่ย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด เชิญท่านออกไปก่อน แล้วข้าจะคุยกับเซี่ยหลานเอง”เซี่ยเหอพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกับโอวหยางฮุ่ยและคนอื่น ๆ หลังจากที่พวกเขาออกไปเซี่ยหลานก็เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “พอข้าพูดความจริง ท่านปู่และคนอื่น ๆ ก็มิเชื่อ ราวกับว่าพวกท่านจะสบายใจหากข้าเสียความบริสุทธิ์ให้กับองค์รัชทายาท ในสายตาของพวกเขา ข้าเป็นตัวอะไรหรือ?”ฉงชูโม่กลอกตามองนางอย่างมิพอใจ “เลิกบ่นแล้วบอกข้ามาว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”“จะเกิดเรื่องอันใดได้เล่า ท่านอ๋องฉีส่งใต้เท้าหลินมาที่นี่เมื่อวานนี้ จากนั้นก็วางแผนเรื่องนี้กับท่านปู่ คิดจะให้ข้าร่วมมือกับพวกเขาใส่ร้ายองค์รัชทายาท แต่เจ้าสารเลวนั่นกลับมองแผนการของเราออก แถมยังเล่นงานเรากลับอีก ส่วนเรื่องที่เกิดบนเขาชานเมือง เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร”“สรุปว่าองค์รัชทายาทแค่ฉีกทึ้งอาภรณ์ของเจ้า และมิได้ทำอะไรเจ้าอีกเลยหรือ?”“ใช่ แต่ท่านปู่ของข้ามิเชื่อ พวกเขาจะทำให้ข้าเป็นบ้าตายอยู่แล้ว”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วและพึมพำ “นี่มิถูกต้อง ทุกคนเล่าลือกันว่าองค์รัชทายาทวัน ๆ หลงสุรามัวเมานารี เขาฉีกอาภรณ์ข
เมื่อเห็นบุคคลนี้ การแสดงออกของเซี่ยหลานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และระหว่างคิ้วของนางยังฉายท่าทีแปลกไปอีกด้วยแต่เนื่องจากสถานะอันสูงส่งของอีกฝ่าย นางจึงยังคงโค้งคำนับฉงชูโม่ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง “หม่อมฉันกลับมาที่หลงเฉิง หม่อมฉันคงมิจำเป็นต้องรายงานต่อท่านอ๋องฉีหรอกกระมังเพคะ?"ฉินหงแสดงรอยยิ้มที่ตนคิดว่าเป็นมิตรมากออกมา และพูดว่า “แม่ทัพฉงล้อเล่นแล้ว เจ้าเป็นแม่ทัพชั้นหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อของข้า ในแง่ของตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั้น เจ้าอยู่ต่ำกว่าข้าครึ่งอันดับสูงสุด เมื่อเจ้ากลับมา แน่นอนว่ามิจำเป็นต้องรายงานอะไรต่อตัวข้าอ๋องผู้นี้”“ท่านอ๋องฉีทรงทราบเช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ ชิ่งกั๋วกงน่าจะอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ท่านอ๋องสามารถพบเขาที่นั่นเพคะ”“ตัวข้าได้พบกับชิ่งกั๋วกงแล้วและข้าก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากเขาแล้วเช่นกัน เซี่ยหลาน คราวนี้ข้าขาดการพิจารณาทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูเพราะฉินซู ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”ฉินหงกล่าวและประสานมือคำนับเล็กน้อยไปทางเซี่ยหลานเซี่ยหลานรีบโบกมือแล้วพูดว่า “หามิได้เพคะ หม่อมฉันได้บอกท่านปู่แล้วว่า หม่อม
เมื่อมองด้านหลังของทั้งสองขณะเดินออกไป ฉินหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นกายความโหดเหี้ยมก็แวบขึ้นมาในส่วนลึกจากดวงตาของเขาเขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉงชูโม่ แค่เจ้าปฏิเสธความโปรดปรานของตัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็เรื่องนี้ มาตอนนี้เจ้ายังกล้าทำหน้ามิพอใจต่อหน้าตัวข้าอีกรึ? หึ รอจนกว่าข้าจะนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทตำหนักบูรพา แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธแล้วหันหลังเดินออกไปเมื่อกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ เซี่ยเหอก็รีบกล่าวขอโทษ “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เซี่ยหลานถูกพวกเราตามใจมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก เช่นนั้นนางคงจะ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินหงก็โบกมือและพูดอย่างมิใส่ใจ “ช่างเถอะ ครั้งนี้เป็นตัวข้าที่ประมาทไปจริง ๆ ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าหลิน ตอนนี้เราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าจะมิอ้อมค้อมอีก”ฉินหงหยุดชั่วขณะแล้วพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้จนกว่าจะถึงวันชุนเฟินปีหน้า อีกเพียงแค่ครึ่งปี ในช่วงเวลานี้ ข้าจะต้องสร้างความได้เปรียบให้มากที่สุด มิเช่นนั้น เมื่อองค์รัชทายาทถูกปลด คงจะเป็นการยากที่จะยึดเอาตำแหน่งมาได้สำเร็จ ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้ข้าคงต้องพึ่งพาท่านใต้
เมื่อฉินซูมาถึงห้องทรงพระอักษร ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดว่า “มิต้องมากพิธี ที่นี่ไม่มีคนนอก นั่งลงเถอะ”ฉินซูยังคงยืนอยู่โดยมิได้นั่งลง และถามอย่างใจเย็น “เสด็จพ่อ เมื่อท่านเรียกเอ๋อร์เฉิน(1)เข้าเฝ้า เสด็จพ่อมีรับสั่งอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอู๋ต้าวพูดเบา ๆ "เจ้าคงจะรู้เรื่องการประชุมระหว่างแคว้นใช่หรือไม่?”“เอ๋อร์เฉิน… พอรู้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”ในความทรงจำของอดีตองค์รัชทายาท เขารู้ดีมิน้อยเลยเกี่ยวกับการประชุมระหว่างแคว้นนี้ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อ “เช่นนั้น ทางด้านบู๊ เหลยเจิ้นก็มีผู้สมัครของอยู่แล้ว แต่ทางด้านบุ๋น เว่ยเจิงยังมิได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะฟังความคิดของเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เสด็จพ่อ ขุนนางอาวุโสเว่ยมิสามารถหาผู้สมัครที่เหมาะสมได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“แม้ว่าในช่วงมิกี่ปีที่ผ่านมาจะมีบัณฑิตชั้นยอดมากมาย แต่พวกเขายังขาดความสามารถในการเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นอยู่บ้าง”ฉินซูถามด้วยความสับสน “หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเสด็จพ่อมิออกประกาศรับสมัครผู้มีความสามารถจากทั่วหล้าหรือพ่ะย่
เว่ยเจิงออกมาอย่างช้า ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท คำพูดขององค์รัชทายาทเป็นไปได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เฉาฉุน ร่างคำสั่งทันที ข้าจะเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงในวันผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพต่อขงจื๊อ!”“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”หลังจากจัดเตรียมพระราชกฤษฎีกาแล้วฉินอู๋ต้าวก็ถามเว่ยเจิงอีกครั้ง “เว่ยเจิง เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทดูแตกต่างมากทีเดียว?”“นี่…” เว่ยเจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า “ทูลฝ่าบาท จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”“ข้าน้อยผู้นี้มิแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวยิ้มเยาะและพูดว่า “ว่ากันว่าภูมิแคว้นนั้นยังเปลี่ยนแปลงได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากแท้ที่จะเปลี่ยน ตั้งแต่เขาเติบใหญ่ เขามัวแต่หลงมึนเมาไปกับสุราเคล้าอยู่แต่กับนารี เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่าจะมีที่ปรึกษาผู้มีทักษะสูงคอยชี้นำเขาจากเบื้องหลัง”ด้วยเหตุนี้ การจ้องมองของฉินอู๋ต้าวก็เฉียบคมขึ้นในขณะท
ฉินเซียวรีบอธิบาย “เสด็จพ่อ ลูกขอความเป็นธรรมในเรื่องเมื่อสองวันก่อน จดหมายดูหมิ่นเบื้องสูงเหล่านั้นลูกมิได้เขียน ขอเสด็จพ่อทรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอู๋ต้าวแค่นเสียงเย็น “ลูกทรพี ที่ข้าเรียกเจ้ามา มิใช่เรื่องจดหมายเมื่อสองวันก่อน แต่เป็นเรื่องที่เจ้าสมคบกับหัวหน้าชนเผ่าโครยอ!”“พ่ะย่ะค่ะ? เสด็จพ่อ ลูกสมคบกับหัวหน้าชนเผ่าโครยอเมื่อใด ผู้ใดปล่อยข่าวลือ? ลูกขอเผชิญหน้ากับมันผู้นั้น!”ฉินเซียวทำท่าทางงุนงง ราวกับมิรู้เรื่องรู้ราวฉินซูเอามือไพล่หลัง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินเซียว เจ้านี่ช่างวางแผนตบตาดีเหลือเกิน จดหมายที่เจ้าเขียนถึงทั่วป๋าชื่อถูกข้านำกลับมาแล้ว เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ?”“กระหม่อมมิรู้ว่าท่านพูดเรื่องอันใด กระหม่อมเขียนจดหมายถึงทั่วป๋าชื่อตั้งแต่เมื่อใด?”ฉินเซียวพูดจบก็ขอร้องฉินอู๋ต้าว “เสด็จพ่อ ลูกขอวิงวอนร้องให้เสด็จพ่อให้ขุนนางอาวุโสเว่ยและคนอื่น ๆ ตรวจสอบโดยละเอียด แม้ว่าจดหมายเหล่านั้นจะคล้ายลายมือของลูกก็จริง แต่ขุนนางอาวุโสเว่ยผู้มากความสามารถย่อมมองออกว่าเป็นลายมือที่ผู้อื่นเลียนแบบ! ส่วนจดหมายที่องค์รัชทายาทพูดถึงนั้นก็คงเป็นของปลอม ขอเสด็จพ่อทรงพิจารณาด
“ข้าน้อยก็เห็นด้วย…”ในชั่วพริบตา ขุนนางที่ออกมาขอประทานบำเหน็จให้องค์รัชทายาทต่างก็แสดงท่าทีกันออกมาแม้แต่ขุนนางคนสนิทของฉินหงและฉินหยางก็ออกมาสนับสนุนด้วยการส่งสัญญาณของทั้งสองท้ายที่สุดแล้วการโค่นฉินเซียวลงอย่างราบคาบย่อมเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อทั้งสอง และยังลดคู่แข่งที่แข็งแกร่งลงไปอีกคน!ฉินอู๋ต้าวในตอนนี้กำลังเดือดดาล!เขาปล่อยให้อ๋องหนิงและพรรคพวกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทได้ และยินดีจะเพิกเฉยตราบใดที่ยังมิน่าเกลียดเกินไปแต่อ๋องหนิงกล้าสมคบคิดกับหัวหน้าชนเผ่าเพื่อโค่นองค์รัชทายาทในวันนี้ วันหน้าย่อมกล้าลุกขึ้นมาก่อกบฏเพื่อยึดอำนาจ!ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะโปรดปรานฉินเซียวเพียงใด แต่ตอนนี้เห็นจะยอมให้เขาทำเช่นนั้นมิได้!เขาจึงกล่าวกับเว่ยเจิงด้วยเสียงหนักแน่น “เว่ยเจิง เจ้าดูจดหมายฉบับนี้อย่างละเอียด ดูว่าจริงดังที่องค์รัชทายาทกล่าวหรือไม่ เป็นอ๋องหนิงเขียนหรือไม่!”เว่ยเจิงรับคำสั่ง นำจดหมายมาตรวจสอบอย่างละเอียดแต่แล้วจู่ ๆ หวังฉือก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท เมื่อสองวันก่อนเผยหยวนหัวหน้าฝ่ายกรมอาญาถวายจดหมายส่วนตัวให้พระองค์ด้วยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์นำจดหมายฉบับนั้นให้ขุนนางอา
เว่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เผยสีหน้าสงสัย ประสานมือให้กับฉินซู และเอ่ยถาม "มิทราบว่าองค์รัชทายาททรงมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ฉินซูถามด้วยความจริงจัง "ขุนนางอาวุโสเว่ยมีความรู้มากมาย คงจะเคยศึกษาอักษรและภาพวาดของปรมาจารย์มาบ้างใช่หรือไม่? หากมีภาพวาดของปรมาจารย์อยู่ตรงหน้า ขุนนางอาวุโสเว่ยจะแยกออกหรือมิว่าเป็นของจริงหรือปลอม?"เว่ยเจิงมิทราบว่าฉินซูมีเจตนาใด ได้แต่พยักหน้าน้อย ๆ"ข้าน้อยได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักขุนนางใหญ่ มีความรู้ด้านอักษรและภาพวาด หากเป็นภาพวาดที่ผู้อื่นลอกเลียนมา ข้าน้อยมั่นใจแปดส่วนว่าจะแยกแยะออกพ่ะย่ะค่ะ""ดีมาก! ขุนนางอาวุโสเว่ยแยกแยะภาพวาดของปรมาจารย์ได้ เช่นนั้นลายมือของขุนนางทั้งหลาย ท่านก็คงรู้จักดีใช่หรือไม่?"เว่ยเจิงขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย "ข้าน้อยมิเข้าใจ องค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ หรือว่ามีขุนนางลอกเลียนภาพวาดของปรมาจารย์ และองค์รัชทายาทต้องการให้ข้าน้อยตรวจสอบหรือพ่ะย่ะค่ะ?""เกือบจะใช่ หากให้ท่านแยกแยะ ท่านจะทำได้หรือไม่?"เว่ยเจิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้าช้า ๆ "ปกติข้าน้อยจะจัดการงานราชสำนักแทนฝ่าบาท จึงรู้จักลายมือของขุนนางอยู่บ้าง เช่นนั้นก็น
หากเป็นเช่นนั้น ในวันชุนเฟินปีหน้า องค์รัชทายาทคงมิถูกปลดแน่!ทั้งสองรีบสบตากัน ครุ่นคิดหาทางรับมือฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองไปทางเหลยเจิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง “ขุนนางเหลย เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของเจ้า เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”เหลยเจิ้นกล่าวอย่างจนใจ “ทูลฝ่าบาท หากเสวี่ยเจี้ยนเต็มใจข้าน้อยก็ยินดีกับนางพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เจ้าก็มิได้คัดค้าน?”“เสวี่ยเจี้ยนได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาท ข้าน้อยจะคัดค้านได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อขุนนางเหลยมิคัดค้าน เรื่องที่องค์รัชทายาทขอ ข้าก็อนุญาต!”ฉินซูทำความเคารพอีกครั้ง “ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินหงประสานมือกล่าว “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าเรื่องนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ มิควรด่วนตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“โอ้? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ทูลเสด็จพ่อ องค์รัชทายาทคือผู้สืบราชสมบัติ การอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทมิใช่เรื่องล้อเล่น แม้ว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะเป็นศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวง แต่เป็นเด็กกำพร้า ลูกคิดว่านางมิเหมาะสมที่จะเป็นชายาขององค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินหงพูดจบ หวังฉือก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องฉี ท่านหมายความว่าศิษย์
หวังฉือกล่าวโดยใช้เหตุผล “ท่านอ๋องซิ่น ข้าน้อยเพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทประทานบำเหน็จแก่องค์รัชทายาท มิได้กล่าววาจาดูหมิ่นเบื้องสูงแต่อย่างใดแต่เป็นคำพูดของท่านเมื่อครู่ที่เป็นการยุยง ข้าน้อยเห็นว่าคนที่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวายคงเป็นท่านเองมากกว่า!”ฉินหยางชี้ไปที่หวังฉือ มองอย่างโกรธเคือง “หวังฉือ เจ้าหมายความเยี่ยงไร เจ้าว่าข้ากำลังยุแหย่ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพ่อและองค์รัชทายาทรึ?”“ข้าน้อยมิได้กล่าวเช่นนั้น แต่จริงหรือไม่ ท่านย่อมรู้แก่ใจพ่ะย่ะค่ะ!”คำพูดของหวังฉือ ทำให้ฉินหยางโกรธจัด!เขากล่าวอย่างโกรธเคือง “เสด็จพ่อ หวังฉือเป็นเพียงตุลาการศาลต้าหลี่ แต่กล้าพูดจาสามหาวในท้องพระโรง ซ้ำยังกล่าวหาว่าลูกยุยงปลุกปั่น สร้างความขัดแย้ง ลูกขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษเขาสถานหนัก เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ!”“ท่านอ๋องซิ่น ข้าน้อยเป็นขุนนางขั้นสอง ย่อมมีสิทธิ์ถวายฎีกา แต่ท่านกลับคอยขัดขวาง หรือว่าใครก็ตามที่พูดแทนองค์รัชทายาท ท่านก็จะให้ฝ่าบาทลงโทษสถานหนักหรือ?”เนี่ยหงเองก็สำทับอย่างมิพอใจ “ท่านอ๋องซิ่นช่างมีอำนาจยิ่งนัก คนภายนอกเห็นเข้าคงคิดว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักต้าเหยียน!”“พู
ในขณะเดียวกันหวังฉือและเนี่ยหงกำลังเดินไปยังพระราชวังในขณะนั้น เสนาธิการหลิวเว่ยแห่งศาลต้าหลี่ก็วิ่งตามมา และกระซิบข้างหูหวังฉือสองสามคำ!หวังฉือถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "จริงหรือ?"หลิวเว่ยพยักหน้าจริงจัง "จริงแท้แน่นอน คนผู้นั้นอยู่ที่ศาลต้าหลี่ของเรา!""ดี! เจ้าดูแลคนผู้นั้นให้ดี เตรียมพร้อมเข้าเฝ้าทุกเมื่อ!!"หลิวเว่ยพยักหน้าแล้วหันหลังจากไปเนี่ยหงที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยความสงสัย "ใต้เท้าหวัง เกิดกระไรขึ้น?"หวังฉือแสร้งทำเป็นมีลับลมคมใน กล่าวยิ้ม ๆ ว่า "ประเดี๋ยวท่านก็รู้ วันนี้ต้องมีคนเคราะห์ร้ายแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า!"คำพูดของเขาทำให้เนี่ยหงสงสัยมากขึ้นมิว่าเนี่ยหงจะถามอย่างไร หวังฉือก็มิยอมบอกทำให้เนี่ยหงกระวนกระวายใจ มองด้วยสายตาขุ่นเคืองหนึ่งชั่วยามต่อมาพระตำหนักจินหลวนฉินอู๋ต้าวมองไปที่เฉาฉุนข้างกายเฉาฉุนจึงกล่าวเสียงดัง "ประกาศ องค์รัชทายาทเข้าเฝ้า!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขุนนางทั้งหลายก็มองไปนอกประตูสีหน้าของฉินหงและฉินหยางอึมครึมอย่างมากฉินซูเดินเข้ามาอย่างองอาจ ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกนามตอนนั้นเขาสวมชุดมังกรสี่กรงเล็บ สวมกวานทองคำสามง่ามประดับอัญมณี
เห็นเพียงร่างทั้งสองที่พุ่งเข้ามาดุจลูกธนู แต่เมื่อมาถึงกลางทาง ร่างกายก็แข็งทื่อ ล้มลงมาจากอากาศเมื่อเห็นภาพนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง!เมื่อครู่พลังที่ระเบิดออกมาจากร่างทั้งสองนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งแต่บัดนี้พวกเขากลับล้มลงกับพื้น เกิดอันใดขึ้น?ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของทุกคน ร่างกายของคนทั้งสองก็เริ่มพองตัวอย่างรุนแรง แม้แต่อาภรณ์ก็เริ่มขาดวิ่น!เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็สั่ง “หลบ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกถึงลางร้าย รีบหลบหลังหินก้อนใหญ่ข้างทางหลังจากที่พวกเขาหลบได้ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดัง ‘เปรี้ยง เปรี้ยง’ สองครั้ง!จากนั้นก็มีลมพายุพัดผ่านไป ฝุ่นและหินปลิวว่อนไปทั่วครู่ต่อมา ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากหลังก้อนหินเห็นเพียงพื้นดินที่คนทั้งสองอยู่เมื่อครู่ ถูกระเบิดเป็นหลุมสองหลุมรอบ ๆ หลุมเต็มไปด้วยเศษเนื้อและแขนขา น่าสยดสยองถานเหวยและคนอื่น ๆ ที่มิเคยเห็นความโหดร้ายของสงคราม ก็พลันท้องไส้ปั่นป่วนและอาเจียนมิหยุดตงฟางโซ่วพึมพำอย่างเหลือเชื่อ "เมื่อครู่สองคนนั้นระเบิดตัวเองหรือ?!""วิธีการตายน่าสยดสยองเช่นนี้ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก พวก
“ท่านฝึกฝนจนถึงขั้นได้ยอดฝีมือระดับสวรรค์แล้วหรือเพคะ?”ฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ถึงแม้จะพึ่งโอสถ แต่พลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับสวรรค์จริง ๆ น่าเสียดายที่ฤทธิ์ยามิค่อยเสถียรนัก”“โอสถที่ถึงกับเพิ่มพลังถึงระดับสวรรค์ได้ ท่านได้มาจากที่ใดกัน?”เสียนเฟยตกใจมาก แม้นางจะมิเข้าใจวรยุทธ์ แต่ก็รู้ว่าระดับสวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใดฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่ามาจากเงื้อมมือของปราชญ์โอสถแห่งหุบเขาเทพโอสถ!”“ว่ากระไรนะ?! เทพโอสถก็อยู่ที่นี่กับท่านงั้นหรือ?”“ถูกต้อง ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็ถูกข้าจับตัวมาปรุงยาเพิ่มพลังยุทธ์ให้กับข้าลับ ๆ”เสียนเฟยจึงเอ่ยพึมพำ “มิน่า ที่งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เทพโอสถจึงมิปรากฏตัว เมื่อต้นปีเขาเคยบอกว่าจะถวายโอสถอายุวัฒนะแก่ฝ่าบาทในงานเฉลิมพระชนมพรรษาของไทฮองไทเฮา ต่อมาฝ่าบาทส่งคนไปตามหาเขาก็หาได้มีข่าวคราวไม่ นึกมิถึงว่าจะถูกท่านจับตัวไว้!”“หึ ในใต้หล้านี้มีโอสถอายุวัฒนะเสียที่ไหน ข้าว่าฉินอู๋ต้าวเป็นจักรพรรดิจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว เมื่อข้าฝึกฝนยอดฝีมือระดับสวรรค์ได้มากพอ ข้าจะบุกเข้าวัง บีบให้ฉินอู๋ต้าวสละราชสมบัติ!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ฉางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลันมองไปที่นอกประตูเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาก็กระซิบตำหนิ "เจ้าอยากจะฆ่าพวกเราหรือไร บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว อย่าเอ่ยเรื่องนี้ออกมา!"เสียนเฟยสะอื้นไห้ สีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อเห็นดังนั้น ฉินอู๋ฉางก็ถอนหายใจเบา ๆ ดึงนางเข้ามาสวมกอดเสียนเฟยซบไหล่เขา ร้องไห้หนักกว่าเดิมฉินอู๋ฉางปลอบโยนสองสามคำ แล้วถามว่า "เจ้ายอมเสี่ยงโดนฝ่าบาทจับได้เพื่อมาถึงที่นี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซียวเอ๋อร์หรือ?""เขาถูกฝ่าบาทสั่งขังในคุกหลวง..."นางพูดยังมิทันจบ ฉินอู๋ฉางก็อุทาน "ว่ากระไรนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่!"เสียนเฟยก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากฟังนางเล่า ฉินอู๋ฉางก็ขมวดคิ้ว"ไฉนเซียวเอ๋อร์จึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เขียนจดหมายถึงหัวหน้าชนเผ่าโครยอ เนื้อความในจดหมายยังบอกให้ลงมือกำจัดองค์รัชทายาท ซ้ำยังให้สัญญาว่าเมื่อขึ้นครองราชย์จะยกเมืองให้เขาเพื่อกอบกู้บ้านเมือง เขามิรู้หรือว่านี่เป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกประหารชีวิต!!""แล้วเจ้ายังคิดแผนกระไรเช่นนี้ ให้คนเลียนแบบลายมือของเซียวเอ๋อร์ เขียนถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูง เจ้าคิดว่านี่จะหลอก