เว่ยเจิงออกมาอย่างช้า ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท คำพูดขององค์รัชทายาทเป็นไปได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เฉาฉุน ร่างคำสั่งทันที ข้าจะเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงในวันผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพต่อขงจื๊อ!”“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”หลังจากจัดเตรียมพระราชกฤษฎีกาแล้วฉินอู๋ต้าวก็ถามเว่ยเจิงอีกครั้ง “เว่ยเจิง เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทดูแตกต่างมากทีเดียว?”“นี่…” เว่ยเจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า “ทูลฝ่าบาท จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”“ข้าน้อยผู้นี้มิแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวยิ้มเยาะและพูดว่า “ว่ากันว่าภูมิแคว้นนั้นยังเปลี่ยนแปลงได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากแท้ที่จะเปลี่ยน ตั้งแต่เขาเติบใหญ่ เขามัวแต่หลงมึนเมาไปกับสุราเคล้าอยู่แต่กับนารี เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่าจะมีที่ปรึกษาผู้มีทักษะสูงคอยชี้นำเขาจากเบื้องหลัง”ด้วยเหตุนี้ การจ้องมองของฉินอู๋ต้าวก็เฉียบคมขึ้นในขณะท
ฉงชูโม่เหลือบมองฉินซูและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “หัวหน้าโหรหลวงกับหม่อมฉันมีความแค้นอันใดต่อกัน? แล้วเกี่ยวอันใดกับท่านมิทราบ?”“ไปกันใหญ่ ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา แล้วเจ้าคุยกับตัวข้าผู้เป็นองค์รัชทายาทด้วยท่าทีเช่นนี้รึ?”ฉินซูรู้สึกอยู่เสมอว่าฉงชูโม่นั้นหยิ่งเกินไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสน “ท่านจะไปที่ใด?”ฉินซู “...”ฉงชูโม่ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเผยให้เห็นแขนขาวใสดั่งหยก และพูดต่ออย่างภาคภูมิใจ “อย่าพยายามใช้ตำแหน่งองค์ชายแห่งตำหนักบูรพามาข่มขู่หม่อมฉัน นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่า ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด แม้ว่าจะมิใช่เช่นนั้น หม่อมฉันก็มิกลัวท่านหรอก”“เอาเถอะ ตัวข้าคร้านเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า บอกข้าหน่อยสิ ดึกดื่นเพียงนี้เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”“องค์รัชทายาทเอ่ยถามเช่นนี้ช่างแปลกพิลึก ตอนนี้หม่อมฉันเป็นอาจารย์แห่งตำหนักบูรพาของท่านแล้ว จากนี้ไป มิว่าจะกิน ดื่ม ใช้ชีวิต อาศัยอยู่ หม่อมฉันก็จะทำในตำหนักบูรพาแห่งนี้!”“มิใช่แล้วกระมัง? หากเจ้าอยู่ในตำหนักบูรพาทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ แล้วความเป็นส่วนตัวของตัวข้าเล่า?”“หึ องค์จักรพร
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิรู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกฉงชูโม่เหลือบมองที่โถงใหญ่อีกครั้ง เอ่ยเหน็บแนม “องค์รัชทายาท ด้วยตำแหน่งของพระองค์ ทรงแอบฟังเช่นนี้ พระองค์มิรู้สึกละอายใจบ้างหรือเพคะ?”“ข้ามิได้แอบฟังเสียหน่อย เป็นพวกเจ้าที่พูดดังเกินไปต่างหาก ทำราวกับว่าข้าอยากได้ยินอย่างนั้น”ฉินซูเกาจมูกตัวเอง แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงด้านหลังด้วยความเขินอายตอนนี้เขามิสามารถไปยุ่มย่ามกับฉงชูโม่ที่มีอำนาจในราชสำนักได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถซ่อนตัวจากนางได้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “ชูโม่ มันเหมาะสมที่สตรีเช่นเจ้าจะค้างคืนอยู่ในตำหนักบูรพาหรือ?”“ข้าจะมิเพียงแค่พักค้างคืนเท่านั้น แต่ข้าจะอยู่ในตำหนักบูรพาจนถึงวันชุนเฟินปีหน้า นี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ อีกอย่าง...”เมื่อฉงชูโม่พูดเช่นนี้ นางก็มองลึกเข้าไปในโถงใหญ่ และพูดต่ออย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “หากมีใครคิดจะทำอะไรมิดีกับข้า ข้าจะได้มีเหตุผลในการเอาคืน!”“เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปขออนุญาตจากองค์จักรพรรดิ ขอประจำอยู่ในตำหนักบูรพาด้วยเช่นกัน”“เจ้าเป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักบูรพา แต่เจ้
ครู่ต่อมา เสียงของหลินชิงเหยาก็ดังมาจากนอกโรงอาบน้ำ “องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลพระองค์เพคะ”ฉินซูเปิดประตูโรงอาบน้ำแล้วดึงนางเข้ามาจากนั้นเขาก็รีบปิดประตูอีกครั้งทีแรกหลินชิงเหยาสะดุ้งตกใจ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าฉินซูต้องการทำอะไรใบหน้าอันบอบบางและงดงามของนางแดงโดยมิรู้ตัว พลันก้มหน้าลงด้วยความเขินอายท่าทางอ่อนหวานนี้ทำให้ฉินซูรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจเขาเชยคางโค้งมนของหลินชิงเหยาขึ้น ตั้งใจจะจุมพิตลงริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นหลินชิงเหยาเอามือขาวนวลของนางปิดที่ปากของฉินซู แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องด่วนจะกราบทูลพระองค์เพคะ"ฉินซูพูดอย่างมิอดทน “หากมีเรื่องอะไร ก็เอาไว้พูดกันทีหลัง!”“องค์รัชทายาท หม่อมฉันอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดพระองค์ต้องรีบร้อนเช่นนี้ อย่างมาก คืนนี้หม่อมฉันก็มิกลับไป”ทันทีที่หลินชิงเหยาพูดคำเหล่านี้ ใบหน้างดงามของนางก็แดงยิ่งขึ้นอีกฉินซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็รีบบอกข้ามาว่ามีเหตุด่วนอันใด”“ท่านอ๋องฉีสั่งให้พ่อของหม่อมฉันไปหาขุนนางอาวุโสเว่ยในฐานะผู้เจรจา และท่านพ่อของหม่อมฉันก็เห็นด้วยแล้วเพคะ”ฉินซูฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่ก็แดงก่ำทันที ใบหูและคอแดงปื้น!นางมิคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะไร้ยางอายถึงขนาดทำเรื่องมิดีเช่นนี้ในบ่อน้ำร่วมกับสตรีอื่น!ยิ่งนางคิดมากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธ อดมิได้ที่จะอยากจะไปดุเขาสักสองสามคำแต่มันน่าอายอย่างยิ่งที่คิดว่านางมิได้สวมอะไรเลย และในสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่ายิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธไว้ แล้วถอยกลับไปอีกด้านอย่างเงียบ ๆทว่าขณะที่นางกำลังจะกลับไปอย่างงุ่มง่ามหลินชิงเหยาและฉินซูก็ยังพูดคุยเรื่องที่น่าอายต่อไปเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านี้ ฉงชูโม่ก็หน้าแดง รีบยกมือปิดหูทันทีใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายขนาดนี้ได้อย่างไร...ฉงชูโม่ที่ดูถูกเหยียดหยามในใจ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงแอบมองไปอีกสองสามครั้งผ่านหมอกน้ำที่คลุมเครือ นางมองเห็นความสุขและความเพลิดเพลินบนใบหน้าของหลินชิงเหยานางอดมิได้ที่จะรู้สึกสับสน สัมพันธ์ระหว่างชายหญิง วิเศษเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?ขณะที่นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายเดือดพล่าน และค่อย ๆ ทรุดตัวลงในบ่อาบน้ำในขณะนี้ จิตใจข
ฉินซูมิทันได้ระวัง จึงถูกฉงชูโม่ตบอย่างแรงแรงตบอันทรงพลังทำให้เขาลอยกระเด็นออกไปหลายเมตรโครม!ถังไม้ในโรงอาบน้ำถูกกระแทกจนเป็นชิ้น ๆหลังจากที่ฉินซูล้มลงกับพื้น เขาก็ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดหากเขามิได้รับการปกป้องจากพลังชี่ที่แข็งแกร่ง เขาคงตายคาที่จากการตบของฉงชูโม่ไปแล้วฉงชูโม่ที่อยู่ในบ่ออาบน้ำก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกันหลังจากตบออกไปเมื่อครู่นางโกรธมากจนออกแรงเต็มที่หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางก็แอบกรีดร้องในใจว่าแย่แล้ว เผลอตบองค์รัชทายาทจนตายไปเสียได้!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็ตื่นตระหนก ตะโกนไปทางอีกด้านของบาน้ำว "องค์รัชทายาท พระองค์… ยังสบายดีหรือไม่?"เมื่อได้ยินคำพูดที่ตื่นตระหนกของนาง ฉินซูก็คิดวางแผน ตัดสินใจแกล้งตายทันทีเมื่อมิได้รับการตอบกลับจากฉินซู ฉงชูโม่ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น“องค์รัชทายาท... ฉินซู พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอบหม่อมฉันหน่อยสิ!”ฉินซูยังคงมิตอบสนอง!ฉงชูโม่มิสนใจว่านางเปลือยเปล่าหรือไม่ รีบวิ่งไปทางที่ฉินซูลอยกระเด็นออกไปเมื่อนางเห็นฉินซูนอนนิ่งอยู่ในกองไม้แตกกระจาย ร่างกายของนางก็แข็งทื่อจบแล้ว นางเผลอตบองค์รัชทายาทจนตา
หลังจากกลับมาได้สติ นางก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติฉินซูมิได้ถูกฆ่าด้วยการโจมตีเต็มแรงของนางเมื่อครู่ แต่อย่างน้อยกระดูกช่วงอกของเขาควรจะหัก และควรจะบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสมากแต่เมื่อครู่ฉินซูมิเพียงแต่สามารถพูดได้ แต่เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยพลังมิเหมือนคนที่บาดเจ็บภายในเลยและตอนนี้เขายังโอบกอดนางด้วย!!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รีบผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยกมือปิดจุดสำคัญที่อยู่ข้างหน้า พลางตะโกนว่า “ฉินซู ท่านแกล้งตายเช่นนั้นหรือ?”“ข้าแกล้งตายตอนไหนกัน? โดนเจ้าตบอย่างแรง อวัยวะภายในของข้าเคลื่อนหมดแล้ว ทรมานจะแย่”เมื่อได้ยินฉินซูพูดได้อย่างมิติดขัด ฉงชูโม่จึงสรุปได้ฉินซูมิเป็นอะไรแต่อย่างใดฉงชูโม่กัดฟันด้วยความโกรธ คิดถึงเมื่อครู่ที่ถูกฉินซูเอาเปรียบอย่างมาก และตอนนี้ก็ถูกเขาเห็นหมดแล้วนางรีบดึงอาภรณ์ที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อปกปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเมื่อฉินซูเห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดว่า “อ้าว นั่นมันอาภรณ์ของข้า…”“คนลามก กล้ามาเอาเปรียบหม่อมฉัน วันนี้หม่อมฉันจะหักขาสุนัขของท่านเพื่อองค์จักรพรรดิเอง!”ฉงชูโม่หยิบเศษไม้ขึ้นมาจากพื้น แล้วฟาดใส่ฉินซูอย่างแรง
“อ่า ข้ามิคิดว่ามือของเจ้าจะบอบบางขนาดนี้ ทั้งที่กรำศึกอยู่ทั้งปีทั้งชาติ จิ๊จิ๊ นวดจนข้ารู้สึกสบายดีจริง ๆ”ฉินซูเริ่มยิ้มแย้มแล้วเย้าหยอกขึ้นมาฉงชูโม่เลิกคิ้วและพูดด้วยความโกรธ “ถ้ามิอยากเป็นขันทีก็หุบปาก!”ฉินซูเอื้อมมือออกไปปกปิดส่วนสำคัญของตนตามสัญชาตญาณ และปิดปากของเขาอย่างชาญฉลาดเขารู้ดีว่าหากเขาเล่นมิเลิก ฉงชูโม่จะสู้กับเขาจนตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอนหากเขาลงมือจริง ๆ แน่นอนว่าเขาจะมิกลัวอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้ดีว่า หากเป็นศัตรูกับแม่ทัพขั้นหนึ่งอย่างฉงชูโม่ นั่นไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลยเขาจึงยอมแพ้ และพูดว่า “เอาเถอะ เรื่องคืนนี้ ข้าจะมิบอกผู้ใด เจ้าไปได้แล้ว"ฉงชูโม่ตะลึงไปชั่วขณะ!เดิมทีนางคิดว่าฉินซูจะใช้โอกาสนี้เรียกร้องเรื่องเกินควรแต่ตอนนี้ฉินซูกลับให้นางออกไป นางก็เริ่มสงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่“ท่านยอมปล่อยหม่อมฉันไปจริง ๆ หรือ?”“มิเช่นนั้นแล้วจะอะไรได้ ข้ามิได้ตั้งใจทำให้เจ้าเดือดร้อน แต่เจ้าก็ต้องรับปากว่าจะมิเอาเรื่องนี้มาคิดบัญชีทีหลังอีก”ฉงชูโม่เงียบ ในใจรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อครู่นางถูกมองร่างเปลือยเปล่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่มีการกระทำที่เกินเล
เมื่อเห็นหยกครึ่งซีกนี้ ดวงตาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็หดเล็กลง ใบหน้างดงามฉายแววตกใจ!หยกนี้เป็นหยกที่นางมอบให้ซือคงเหยียนเมื่อครานั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นเทียบเท่ากับการลงมือของนางหนึ่งครั้งหลังจากฉินซูขว้างหยกนี้ออกไป พลันอุ้มกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมา แล้วร่างก็วูบหายไปในป่าเขาใช้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายอย่างเต็มที่ ความเร็วของเขาเร็วมากจนน่าตกตะลึงในขณะเดียวกันหลังจากที่หยกนั้นชนเข้ากับฝ่ามือลวงตาน่าสะพรึงกลัวนั้น มันก็แตกออกพลังอันน่าพรั่นพรึงระดับเดียวกันก็ปะทุออกมาจากภายในตู้ม...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดออก พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฏรอยแตกคล้ายใยแมงมุมมากมายภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้กลางลำต้นของต้นไม้เกือบทั้งหมดในรัศมีหลายลี้หักลง!โครม!จากป่าที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีนกจำนวนนับมิถ้วนบินหนีออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทางส่วนฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนหลบพ้นจากรัศมีของแรงระเบิดไปอย่างฉิวเฉียดเมื่อเห็นป่าด้านหลังถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจจนพูดมิออกฉินซูเองก็รู้สึกเสียวสันหลังมิแพ้กันแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก พลันใช้ปราณทั้งหมดไปกับวิชาตัวเบ
เมื่อเห็นภาพนั้นฉินซูก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงลางร้ายซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "เจ้าฉินซู เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด กล้าสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ของข้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด ตอบแทนด้วยชีวิต!"เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากร่างของนางจากนั้นนางก็สะบัดสองนิ้ว ลำแสงกระบี่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งก็พุ่งตรงมาหาฉินซูฉินซูผลักกู้เสวี่ยเจี้ยนออกไป จากนั้นก็กำหมัดกระแทกออกทันใดเงาหมัดแฝงด้วยปราณวายุอันพลุ่งพล่านพุ่งเข้าปะทะกับปราณแห่งกระบี่ของซ่างกวนอวิ๋นซีตูม...หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ฉินซูและซ่างกวนอวิ๋นซีก็ถอยหลังไปคนละก้าว!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด!ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นถึงเจ้าสำนักหอดารารักษ์ วรยุทธ์ของนางกล้าแกร่ง เกรงว่าจะมิด้อยไปกว่าหัวหน้าโหรหลวงทีเดียวแต่บัดนี้ฉินซูกลับต่อสู้กับนางได้อย่างสูสี แล้วจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร!นางย่อมมิรู้ว่า ตอนนี้พลังในร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีถูกหัวหน้าโหรหลวงสะกดเอาไว้ วรยุทธ์จึงอยู่ที่ระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นส่วนฉินซูขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงเล็ก
"ว่ากระไรนะ? เจ้าสำนักหอดารารักษ์?!"ฉินซูเบิกตากว้าง แทบมิเชื่อสายตา!ไฉนเจ้าสำนักหอดารารักษ์จึงได้อ่อนเยาว์เช่นนี้?ในดวงตาคู่สวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเผยความประหลาดใจ นางเหลือบมองกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นลายปักกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ปักอยู่บนชุดของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา "ตาเจ้ายังพอมีแววอยู่บ้าง มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหลยเจิ้นนั่น!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหัวใจเย็นวาบ รีบกระซิบบอกกับฉินซู "เจ้าสำนักหอดารารักษ์มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง ควานหาทั่วต้าเหยียน มีเพียงอาจารย์ของหม่อมฉันเท่านั้นที่ต้านทานนางได้ ท่านหนีไปเถิด หม่อมฉันจะพยายามถ่วงเวลานางไว้ให้นานที่สุด"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็เผยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ที่ซ่างกวนอวิ๋นซีปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากนางนี่แสดงให้เห็นว่า พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนน่าตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการถ่วงเวลานางก็มิต่างกระไรจากเรื่องเพ้อฝันเมื่อเห็นฉินซูนิ่งเฉย กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เร่งเร้าอย่างร้อนรน "ไยท่านยังยืนอยู่อีก รีบไปเร็วเข้า"ฉินซูส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "เจ้าถ่วงเวลานางมิได้หรอก อีกทั้งเป้าหมายของนางคือข้า เจ้าหลบไป
ฉินซูชะงักไป และจำใจต้องทำภารกิจอีกครั้งผ่านไปอีกกว่าสองเค่อ กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงลุกขึ้นแต่งตัวอย่างพอใจนางมองฉินซูด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วเร่งเร้า "ข้างนอกฝนหยุดแล้ว พวกเราเร่งเดินทางกันเถิด มิเช่นนั้นฟ้าจะมืดเสียก่อนไปถึงเป่ยเซียง"ดวงตาของฉินซูเป็นประกาย เขาเสนอ "หรือว่าเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมองออกว่าฉินซูคิดอะไรอยู่ในใจ ทีแรกนางตั้งใจจะปฏิเสธ แต่แล้วกลับพยักหน้าตกลงอย่างน่าประหลาดเมื่อเห็นดังนั้นฉินซูก็ลิงโลด พลันรีบพูดต่อ "เช่นนั้นข้าจะไปจับกระต่ายป่าสักสองสามตัว คืนนี้พวกเรากินกระต่ายย่างกันเถอะ"ฉินซูรีบแต่งตัวแล้วเหาะออกไปกู้เสวี่ยเจี้ยนถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามินานฉินซูก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายป่าที่ทำความสะอาดแล้วสองสามตัวหลังจากกินอิ่ม ท้องฟ้าก็มืดลงทั้งสองจึงนอนบนพื้นข้างกองไฟแต่ยังมิทันผล็อยหลับ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ปีนขึ้นคร่อมร่างฉินซูอีกครั้งคืนนั้น ฉินซูแทบมิได้นอนทั้งคืน!วันรุ่งขึ้นฉินซูขอบตาดำคล้ำและหาวมิหยุดส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหลังจากออกจากถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนก็ข
ด้านนอกถ้ำ พายุฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องภายในถ้ำ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งฉินซูนอนอยู่บนพื้นราวกับกลายเป็นหิน มือทั้งสองยังกอดเอวบางของกู้เสวี่ยเจี้ยนไว้ส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนทอดกายบนร่างของเขา ริมฝีปากแดงอ่อนหวานของนางแนบสนิทกับริมฝีปากของเขาเข้าพอดีทั้งสองสบตากัน รู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ!อุณหภูมิระหว่างกันก็ยิ่งชัดเจน!ฉินซูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กำลังจะทำอะไรบางอย่างแต่เมื่อสังเกตเห็นกระบี่ยาวข้าง ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยน เขาก็เกิดลังเลหากเผลอทำให้กู้เสวี่ยเจี้ยนโกรธแล้วนางเกิดคิดฆ่าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร?เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรกกับกู้เสวี่ยเจี้ยน หากครั้งนี้ยังมิสามารถทำให้นางยอมจำนนด้วยใจจริงได้ ก็คงจะมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะทำเรื่องระห่ำอะไรออกมาแต่โอกาสดีเช่นนี้ ฉินซูมิอยากพลาดไปเลยจริง ๆในขณะที่เขากำลังลังเล ริมฝีปากแดงของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็เริ่มขยับ!เห็นเพียงจมูกโด่งของนางเต็มไปด้วยลมหายใจร้อนระอุ ริมฝีปากคู่สวยจุมพิตลงบนริมฝีปากของฉินซูอย่างตะกละตะกลามฉินซูมีหรือจะทนไหว รีบตอบสนองอย่างกระตือรือร้นโดยมิรู้ตัว ทั้
"อะแฮ่ม… อะไรกันเล่า ฝนจะตก หญิงสาวจะออกเรือน เป็นเรื่องที่ห้ามมิได้ เจ้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปหาปะไร?""หม่อมฉันโกรธเพราะกระไร เจ้ามิรู้อยู่แก่ใจหรอกหรือ!""แค่ก ๆ ข้าไปหาฟืนแห้งมาดีกว่า"ฉินซูกล่าวจบก็เดินหลบไปตามผนังหินที่ยื่นออกมาด้านนอกถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา "หึ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะมีฟืนแห้งที่ไหน… ฮัดชิ้ว!"ยังมิทันสิ้นคำ นางก็จามออกมาช่วงต้นเหมันตฤดูผ่านไป อีกมิกี่วันก็จะเป็นช่วงหิมะโปรยปราย ดังนั้นเมื่อฝนตกจึงทำให้รู้สึกหนาวเป็นพิเศษกู้เสวี่ยเจี้ยนย่อตัวลงกับพื้น เอามือกอดอกแน่นลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง นางก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามมิได้นางอดมิได้ที่จะมองออกไปนอกถ้ำ ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความหวังแม้จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก ทว่ายามนี้นางก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินซูจะหาฟืนแห้งมาจุดไฟได้มิฉะนั้นแม้ฝนข้างนอกจะหยุดตก ก็เป็นไปมิได้ที่จะเดินทางต่อด้วยอาภรณ์ที่เปียกชุ่มเช่นนี้ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินซูก็กลับมาเขาหอบฟืนแห้งกองใหญ่ในอ้อมแขนมาด้วย!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น พลันรีบเร่งเร้า "เร็ว ๆ เข้า รีบจุดไฟเร็วเพคะ หม่อมฉันหนาวจะตายอยู่แล้ว!
ซ่างกวนอวิ๋นซีร่ายมือ โล่สีเขียวอ่อนก่อตัวรวมกันอยู่ตรงหน้านางในทันใดทว่าปราณดัชนีที่เหลยเจิ้นปล่อยออกมา กลับมิสนใจโล่ตรงหน้านาง พลันผ่าทะลุเข้าไปภายใต้สายตาตกตะลึงของซ่างกวนอวิ๋นซี ปราณดัชนีนั้นหายวับเข้าไปในร่างของนางในพริบตาในชั่วพริบตาต่อมานั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็รู้สึกว่ามีพลังต้องห้ามบางอย่างเพิ่มเข้ามาในร่างเมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็กระทืบเท้าด้วยโทสะ "เหลยเจิ้น เจ้าเฒ่าไร้สัจจะ ปลิ้นปล้อนกลับกลอก!""ข้าเพียงแต่สะกดการบ่มเพาะตนของเจ้าไว้เท่านั้น มิได้บอกว่าจะมิให้เจ้าไปหาองค์รัชทายาท แล้วจะหาว่าข้ากลับกลอกได้อย่างไร?""เจ้า!!"ซ่างกวนอวิ๋นซีโมโหจนแทบจะระเบิดอารมณ์ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเหลยเจิ้นเหลยเจิ้นยักไหล่ "แม้การบ่มเพาะตนของเจ้าจะถูกข้าสะกดไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้วรยุทธ์ระดับสวรรค์ได้ เท่านี้ก็เพียงพอให้เจ้าจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสวรรค์ที่อาจปรากฏตัวในต้าเหยียนได้แล้ว""แล้วองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดของพวกเจ้าเล่า? เขาอยู่ในระดับใดกันแน่?"เหลยเจิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้ว ถามอย่างมิพอใจ "เจ้าส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร?"
เหลยเจิ้นส่ายหน้าเบา ๆ “ขออภัย ทว่าคงทำเช่นนั้นมิได้”ใบหน้างดงามของซ่างกวนอวิ๋นซีเย็นชาลง นางกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจะบังคับให้ข้าลงมือใช่หรือไม่?”“ข้าเพียงต้องการเกลี้ยกล่อมให้เจ้ากลับไป หากเจ้าต้องการลงมือ ข้าก็พร้อมจะเป็นคู่มือ!”“ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะดูว่า วรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าไปมากเพียงใดเมื่อเทียบกับห้าสิบปีก่อน!”เมื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวจบ ก็ยื่นนิ้วเรียวสวยชี้ไปยังเหลยเจิ้นที่อยู่กลางเวหา!ทันใดนั้นพื้นที่โดยรอบก็ถูกบีบเข้าหากันอย่างกะทันหัน คล้ายกับกรงที่หดตัวเข้าหาเหลยเจิ้น“กลอุบายตื้น ๆ!”เหลยเจิ้นหัวเราะเยาะ เหยียบพื้นเบา ๆ ด้วยฝ่าเท้า“เคร้ง!”เสียงแตกดังขึ้น กรงไร้รูปธรรมของซ่างกวนอวิ๋นซีแตกสลายในทันใดเมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาคู่งามของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ฉายแววเคร่งขรึม ฉับพลันร่างของนางสั่นไหว กลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!หลังจากหมุนตัวหนึ่งตลบ ก็พุ่งไปทางใต้เหลยเจิ้นส่งเสียงหึ ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงวาบไล่ตามไปอย่างมิลดละ!บนห้วงเวหายามราตรีแสงสองสายคล้ายดาวตกไล่ตามดวงจันทร์พาดผ่านท้องฟ้าระหว่างนั้น แสงนุ่มนวลหลายสายพลันพุ่งออกมาจากแสงดาวตกสองสาย จากนั้นก็
สวีหลายเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใด?”เฉิงผิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ตอบ “มินานมานี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างร่ำลือกันว่า องค์จักรพรรดิจะทรงปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ข่าวลือนี้เป็นจริงหรือเท็จ?”“จริงแท้แน่นอน”“แต่ข้ามิเข้าใจ หากองค์รัชทายาทจะถูกปลดในปีหน้า เหตุใดอ๋องฉีและอ๋องซิ่นต้องเสียเวลาหาเรื่องใส่ร้ายองค์รัชทายาทด้วย? แค่รอให้ถึงวันชุนเฟินปีหน้าก็พอแล้วมิใช่หรือ?”เฉิงอิงกล่าว “คงเป็นเพราะช่วงนี้องค์รัชทายาททรงโดดเด่นขึ้นมา พวกเขาจึงอยู่เฉยมิได้กระมัง”สวีหลายพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในพริบตา แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งรัชทายาทหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ทว่าตราบใดที่วันนั้นยังมิมาถึง ทุกอย่างย่อมมีโอกาสพลิกผัน อ๋องซิ่นและอ๋องฉีจะร้อนใจก็เป็นเรื่องปกติ”เฉิงผิงขมวดคิ้วบ่นพึมพำ “แต่ข้ายังสงสัยอยู่ดี เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทในวันชุนเฟินปีหน้า? ในเมื่อทรงมีพระประสงค์เช่นนั้นแล้ว เหตุใดต้องรอถึงปีหน้า?”“ความคิดในพระทัยขององค์จักรพรรดิ ใครเลยจะคาดเดาได้”สวีหลายเ