ครู่ต่อมา เสียงของหลินชิงเหยาก็ดังมาจากนอกโรงอาบน้ำ “องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลพระองค์เพคะ”ฉินซูเปิดประตูโรงอาบน้ำแล้วดึงนางเข้ามาจากนั้นเขาก็รีบปิดประตูอีกครั้งทีแรกหลินชิงเหยาสะดุ้งตกใจ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าฉินซูต้องการทำอะไรใบหน้าอันบอบบางและงดงามของนางแดงโดยมิรู้ตัว พลันก้มหน้าลงด้วยความเขินอายท่าทางอ่อนหวานนี้ทำให้ฉินซูรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจเขาเชยคางโค้งมนของหลินชิงเหยาขึ้น ตั้งใจจะจุมพิตลงริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นหลินชิงเหยาเอามือขาวนวลของนางปิดที่ปากของฉินซู แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องด่วนจะกราบทูลพระองค์เพคะ"ฉินซูพูดอย่างมิอดทน “หากมีเรื่องอะไร ก็เอาไว้พูดกันทีหลัง!”“องค์รัชทายาท หม่อมฉันอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดพระองค์ต้องรีบร้อนเช่นนี้ อย่างมาก คืนนี้หม่อมฉันก็มิกลับไป”ทันทีที่หลินชิงเหยาพูดคำเหล่านี้ ใบหน้างดงามของนางก็แดงยิ่งขึ้นอีกฉินซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็รีบบอกข้ามาว่ามีเหตุด่วนอันใด”“ท่านอ๋องฉีสั่งให้พ่อของหม่อมฉันไปหาขุนนางอาวุโสเว่ยในฐานะผู้เจรจา และท่านพ่อของหม่อมฉันก็เห็นด้วยแล้วเพคะ”ฉินซูฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่ก็แดงก่ำทันที ใบหูและคอแดงปื้น!นางมิคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะไร้ยางอายถึงขนาดทำเรื่องมิดีเช่นนี้ในบ่อน้ำร่วมกับสตรีอื่น!ยิ่งนางคิดมากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธ อดมิได้ที่จะอยากจะไปดุเขาสักสองสามคำแต่มันน่าอายอย่างยิ่งที่คิดว่านางมิได้สวมอะไรเลย และในสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่ายิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธไว้ แล้วถอยกลับไปอีกด้านอย่างเงียบ ๆทว่าขณะที่นางกำลังจะกลับไปอย่างงุ่มง่ามหลินชิงเหยาและฉินซูก็ยังพูดคุยเรื่องที่น่าอายต่อไปเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านี้ ฉงชูโม่ก็หน้าแดง รีบยกมือปิดหูทันทีใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายขนาดนี้ได้อย่างไร...ฉงชูโม่ที่ดูถูกเหยียดหยามในใจ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงแอบมองไปอีกสองสามครั้งผ่านหมอกน้ำที่คลุมเครือ นางมองเห็นความสุขและความเพลิดเพลินบนใบหน้าของหลินชิงเหยานางอดมิได้ที่จะรู้สึกสับสน สัมพันธ์ระหว่างชายหญิง วิเศษเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?ขณะที่นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายเดือดพล่าน และค่อย ๆ ทรุดตัวลงในบ่อาบน้ำในขณะนี้ จิตใจข
ฉินซูมิทันได้ระวัง จึงถูกฉงชูโม่ตบอย่างแรงแรงตบอันทรงพลังทำให้เขาลอยกระเด็นออกไปหลายเมตรโครม!ถังไม้ในโรงอาบน้ำถูกกระแทกจนเป็นชิ้น ๆหลังจากที่ฉินซูล้มลงกับพื้น เขาก็ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดหากเขามิได้รับการปกป้องจากพลังชี่ที่แข็งแกร่ง เขาคงตายคาที่จากการตบของฉงชูโม่ไปแล้วฉงชูโม่ที่อยู่ในบ่ออาบน้ำก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกันหลังจากตบออกไปเมื่อครู่นางโกรธมากจนออกแรงเต็มที่หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางก็แอบกรีดร้องในใจว่าแย่แล้ว เผลอตบองค์รัชทายาทจนตายไปเสียได้!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็ตื่นตระหนก ตะโกนไปทางอีกด้านของบาน้ำว "องค์รัชทายาท พระองค์… ยังสบายดีหรือไม่?"เมื่อได้ยินคำพูดที่ตื่นตระหนกของนาง ฉินซูก็คิดวางแผน ตัดสินใจแกล้งตายทันทีเมื่อมิได้รับการตอบกลับจากฉินซู ฉงชูโม่ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น“องค์รัชทายาท... ฉินซู พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอบหม่อมฉันหน่อยสิ!”ฉินซูยังคงมิตอบสนอง!ฉงชูโม่มิสนใจว่านางเปลือยเปล่าหรือไม่ รีบวิ่งไปทางที่ฉินซูลอยกระเด็นออกไปเมื่อนางเห็นฉินซูนอนนิ่งอยู่ในกองไม้แตกกระจาย ร่างกายของนางก็แข็งทื่อจบแล้ว นางเผลอตบองค์รัชทายาทจนตา
หลังจากกลับมาได้สติ นางก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติฉินซูมิได้ถูกฆ่าด้วยการโจมตีเต็มแรงของนางเมื่อครู่ แต่อย่างน้อยกระดูกช่วงอกของเขาควรจะหัก และควรจะบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสมากแต่เมื่อครู่ฉินซูมิเพียงแต่สามารถพูดได้ แต่เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยพลังมิเหมือนคนที่บาดเจ็บภายในเลยและตอนนี้เขายังโอบกอดนางด้วย!!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รีบผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยกมือปิดจุดสำคัญที่อยู่ข้างหน้า พลางตะโกนว่า “ฉินซู ท่านแกล้งตายเช่นนั้นหรือ?”“ข้าแกล้งตายตอนไหนกัน? โดนเจ้าตบอย่างแรง อวัยวะภายในของข้าเคลื่อนหมดแล้ว ทรมานจะแย่”เมื่อได้ยินฉินซูพูดได้อย่างมิติดขัด ฉงชูโม่จึงสรุปได้ฉินซูมิเป็นอะไรแต่อย่างใดฉงชูโม่กัดฟันด้วยความโกรธ คิดถึงเมื่อครู่ที่ถูกฉินซูเอาเปรียบอย่างมาก และตอนนี้ก็ถูกเขาเห็นหมดแล้วนางรีบดึงอาภรณ์ที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อปกปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเมื่อฉินซูเห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดว่า “อ้าว นั่นมันอาภรณ์ของข้า…”“คนลามก กล้ามาเอาเปรียบหม่อมฉัน วันนี้หม่อมฉันจะหักขาสุนัขของท่านเพื่อองค์จักรพรรดิเอง!”ฉงชูโม่หยิบเศษไม้ขึ้นมาจากพื้น แล้วฟาดใส่ฉินซูอย่างแรง
“อ่า ข้ามิคิดว่ามือของเจ้าจะบอบบางขนาดนี้ ทั้งที่กรำศึกอยู่ทั้งปีทั้งชาติ จิ๊จิ๊ นวดจนข้ารู้สึกสบายดีจริง ๆ”ฉินซูเริ่มยิ้มแย้มแล้วเย้าหยอกขึ้นมาฉงชูโม่เลิกคิ้วและพูดด้วยความโกรธ “ถ้ามิอยากเป็นขันทีก็หุบปาก!”ฉินซูเอื้อมมือออกไปปกปิดส่วนสำคัญของตนตามสัญชาตญาณ และปิดปากของเขาอย่างชาญฉลาดเขารู้ดีว่าหากเขาเล่นมิเลิก ฉงชูโม่จะสู้กับเขาจนตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอนหากเขาลงมือจริง ๆ แน่นอนว่าเขาจะมิกลัวอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้ดีว่า หากเป็นศัตรูกับแม่ทัพขั้นหนึ่งอย่างฉงชูโม่ นั่นไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลยเขาจึงยอมแพ้ และพูดว่า “เอาเถอะ เรื่องคืนนี้ ข้าจะมิบอกผู้ใด เจ้าไปได้แล้ว"ฉงชูโม่ตะลึงไปชั่วขณะ!เดิมทีนางคิดว่าฉินซูจะใช้โอกาสนี้เรียกร้องเรื่องเกินควรแต่ตอนนี้ฉินซูกลับให้นางออกไป นางก็เริ่มสงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่“ท่านยอมปล่อยหม่อมฉันไปจริง ๆ หรือ?”“มิเช่นนั้นแล้วจะอะไรได้ ข้ามิได้ตั้งใจทำให้เจ้าเดือดร้อน แต่เจ้าก็ต้องรับปากว่าจะมิเอาเรื่องนี้มาคิดบัญชีทีหลังอีก”ฉงชูโม่เงียบ ในใจรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อครู่นางถูกมองร่างเปลือยเปล่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่มีการกระทำที่เกินเล
เพียงแต่นางคิดอย่างไรก็คิดมิตกว่า เหตุใดฉินซูที่ถูกนางโจมตีอย่างหนัก ไฉนจึงมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย“ช่างเถอะ วันพรุ่งค่อยบีบคั้นถามอีกทีแล้วกัน คืนนี้ ก็ถือว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นโชคเข้าข้างแล้วกัน!”หลังจากพึมพำด้วยความโกรธ นางก็ขึ้นเตียงพักผ่อนในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ฉินซูกลับมาที่เรือนนอน หลินชิงเหยาพูดอย่างน้อยใจว่า “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านถึงใช้เวลานานนักเล่าเพคะ?”“อ๋อ การแช่น้ำร้อนช่วยคลายความเมื่อยล้าได้ ข้าก็เลยอดมิได้ที่จะแช่น้ำนานหน่อย”ขณะที่ฉินซูพูดเช่นนี้ เขาก็ปีนขึ้นไปบนเตียงและโอบกอดหลินชิงเหยาไว้ในอ้อมแขนของเขาหลินชิงเหยาเอนหัวพิงหน้าอกที่กว้างของเขาอย่างเชื่อฟังและพูดเบา ๆ ว่า “องค์รัชทายาท เมื่อไหร่พระองค์จะเสด็จไปขอหม่อมฉันกับท่านพ่อเล่าเพคะ?”ฉินซูถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าก็น่าจะรู้ อีกมิกี่เดือนข้าก็จะถูกปลดจากตำแหน่ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็อาจจะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งจวิ้นอ๋อง(1)ด้วยซ้ำ เจ้าจะยังอยู่กับข้าอีกหรือ?"หลินชิงเหยาพูดอย่างจริงใจ “ตอนนี้หม่อมฉันเป็นขององค์รัชทายาทแล้ว มิว่าพระองค์จะถูกลดตำแหน่ง มิว่าพระองค์จะเป็นจวิ้นอ๋องหรือเป็นสามัญชน หม่อมฉั
หลินชิงเหยาปาดน้ำตาจากหางตา แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกินที่เห็นว่าองค์รัชทายาทมิหวาดระแวงในตัวหม่อมฉันเลย”“โอ้? เจ้าคิดว่าข้าควรจะกังวลเรื่องที่เจ้าวางยาพิษกับขนมอบพวกนี้หรือ?”“จริง ๆ แล้ว ตอนแรกหม่อมฉันก็กังวลอยู่ อย่างไรเสียท่านพ่อของหม่อมฉันก็สนิทกับอ๋องฉี และหม่อมฉันเองก็เคยช่วยท่านอ๋องฉีมาก่อน…”ฉินซูหัวเราะอย่างมิเชื่อหูและพูดว่า “เจ้าช่างเป็นสตรีที่โง่เขลาจริง ๆ อย่างที่เจ้าว่า ตอนนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้วหากข้ายังต้องระแวงเจ้า ข้าจะมิเหนื่อยแย่หรือ?”แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือความแข็งแกร่งในการบ่มเพาะตนของเขา ที่ระดับของเขาแล้วพิษธรรมดาไม่มีผลกับเขาเลยนอกจากนี้เขายังสามารถมองออกทันทีว่ามีพิษอยู่ในอาหารหรือไม่แต่มิว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลินชิงเหยาก็ซาบซึ้งใจกับความไว้ใจอย่าง “ไม่มีเงื่อนไข” ของเขาในใจนางยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นว่านางจะติดตามฉินซูตลอดไปมิว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉินซูโบกมือให้นางแล้วพูดว่า “เจ้าอย่ามัวแต่ยืนนิ่งอยู่เลย มานั่งกินด้วยกันเถอะ”“เอ๋? องค์รัชทายาท นี่
ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและถามว่า “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร? หม่อมฉันฝ่าฝืนกฎเมื่อใดตอนไหนกัน?”เมื่อเห็นการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองคน หลินชิงเหยาจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยและพูดว่า “พี่หญิงชูโม่ องค์รัชทายาทมิได้หมายความว่าเจ้าทำผิดกฎเกณฑ์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”“หลินชิงเหยา เจ้ายังมิได้ออกเรือนแท้ ๆ กลับพูดแทนเขาแล้วหรือ?”“ข้า… ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น” หลินชิงเหยากระซิบด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ“ชิงเหยา แม่ทัพฉงเพิ่งกลับมาจากสนามรบ นางย่อมมีอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นธรรมดา เราอย่าไปถือสานางเลย”“โอ้ หม่อมฉันรับทราบเพคะ”ฉินซูยิ้มด้วยความพึงพอใจและพูดกับฉงชูโม่ “ดูสิ ข้าชอบนิสัยอ่อนหวานของชิงเหยา และนางยังเก่งการครัวอีก นางทั้งเข้าครัวได้และออกงานสังคมได้ แถมยังมีน้ำใจอีก เป็นคนที่น่าชื่นชมจริง ๆ”เมื่อได้ยินฉินซูยกย่องตัวเอง หลินชิงเหยารู้สึกพึงพอใจในใจฉงชูโม่พูดด้วยความมิพอใจเล็กน้อย “แค่เรื่องการครัว ใครๆ ก็ทำได้ มีอะไรน่าคุยโวกัน”ฉินซูถามด้วยความประหลาดใจ “โอ้? แม่ทัพฉงก็รู้เรื่องการครัวด้วยหรือ?”ฉงชูโม่เท้าเอว แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนว่าหม่อมฉันทำได้!”
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ