เซี่ยเหอถามซ้ำหลายครั้งติดต่อกัน แต่เซี่ยหลานยังคงนิ่งเงียบสิ่งนี้ทำให้พวกเขาวิตกกังวล โอวหยางฮุ่ย มารดาของนางกัดฟันและพูดว่า “นายท่าน เซี่ยหลานอยู่ข้างในมิรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลองขอให้ใครสักคนเปิดประตูดูดีกว่า เกรงว่านางจะทำอะไรโง่ ๆ”“ดี ใครก็ได้ ช่วยเปิดประตูห้องของคุณหนูเร็วเข้า!”เซี่ยเหอออกคำสั่ง และบ่าวไพร่หลายคนจากตระกูลหลินก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพวกเขาถอยหลังไปสองสามก้าวเตรียมจะถีบประตูทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกด้วยเสียง “เอี๊ยด” จากด้านในเซี่ยหลานพูดด้วยใบหน้าเศร้าโศก “ท่านแม่ ท่านปู่ พวกท่านจะทำอะไรกันหรือเจ้าคะ? ข้าแค่ต้องการอยู่เงียบ ๆ หน่อย พวกท่านเลิกโวยวายได้หรือไม่”“นี่มันกี่ยามกันแล้ว? เจ้ายังอยากเงียบ ๆ อยู่อีกรึ?”“ใช่ เร็วเข้า รีบตามท่านปู่ไปที่วัง แล้วร้องเรียนต่อองค์จักรพรรดิเสียเถิด!”หลังจากที่เซี่ยเหอพูดจบ เขาก็ดึงเซี่ยหลานออกไปเซี่ยหลานดึงมือของนางกลับและพูดด้วยความโกรธ “ท่านปู่ องค์รัชทายาทมิได้ทำร้ายข้า เขาแค่… แค่…”โอวหยางฮุ่ยกังวลมากจนกระทืบเท้าและเร่งเร้านางอย่างจริงจัง “โธ่ คุณหนูใหญ่ของแม่ เจ้าจะพูดอะไร รีบบอกข้ามาเร็ว ๆ ข้ากังวลจว
“ท่านปู่เซี่ย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด เชิญท่านออกไปก่อน แล้วข้าจะคุยกับเซี่ยหลานเอง”เซี่ยเหอพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกับโอวหยางฮุ่ยและคนอื่น ๆ หลังจากที่พวกเขาออกไปเซี่ยหลานก็เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “พอข้าพูดความจริง ท่านปู่และคนอื่น ๆ ก็มิเชื่อ ราวกับว่าพวกท่านจะสบายใจหากข้าเสียความบริสุทธิ์ให้กับองค์รัชทายาท ในสายตาของพวกเขา ข้าเป็นตัวอะไรหรือ?”ฉงชูโม่กลอกตามองนางอย่างมิพอใจ “เลิกบ่นแล้วบอกข้ามาว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”“จะเกิดเรื่องอันใดได้เล่า ท่านอ๋องฉีส่งใต้เท้าหลินมาที่นี่เมื่อวานนี้ จากนั้นก็วางแผนเรื่องนี้กับท่านปู่ คิดจะให้ข้าร่วมมือกับพวกเขาใส่ร้ายองค์รัชทายาท แต่เจ้าสารเลวนั่นกลับมองแผนการของเราออก แถมยังเล่นงานเรากลับอีก ส่วนเรื่องที่เกิดบนเขาชานเมือง เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร”“สรุปว่าองค์รัชทายาทแค่ฉีกทึ้งอาภรณ์ของเจ้า และมิได้ทำอะไรเจ้าอีกเลยหรือ?”“ใช่ แต่ท่านปู่ของข้ามิเชื่อ พวกเขาจะทำให้ข้าเป็นบ้าตายอยู่แล้ว”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วและพึมพำ “นี่มิถูกต้อง ทุกคนเล่าลือกันว่าองค์รัชทายาทวัน ๆ หลงสุรามัวเมานารี เขาฉีกอาภรณ์ข
เมื่อเห็นบุคคลนี้ การแสดงออกของเซี่ยหลานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และระหว่างคิ้วของนางยังฉายท่าทีแปลกไปอีกด้วยแต่เนื่องจากสถานะอันสูงส่งของอีกฝ่าย นางจึงยังคงโค้งคำนับฉงชูโม่ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง “หม่อมฉันกลับมาที่หลงเฉิง หม่อมฉันคงมิจำเป็นต้องรายงานต่อท่านอ๋องฉีหรอกกระมังเพคะ?"ฉินหงแสดงรอยยิ้มที่ตนคิดว่าเป็นมิตรมากออกมา และพูดว่า “แม่ทัพฉงล้อเล่นแล้ว เจ้าเป็นแม่ทัพชั้นหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อของข้า ในแง่ของตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั้น เจ้าอยู่ต่ำกว่าข้าครึ่งอันดับสูงสุด เมื่อเจ้ากลับมา แน่นอนว่ามิจำเป็นต้องรายงานอะไรต่อตัวข้าอ๋องผู้นี้”“ท่านอ๋องฉีทรงทราบเช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ ชิ่งกั๋วกงน่าจะอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ท่านอ๋องสามารถพบเขาที่นั่นเพคะ”“ตัวข้าได้พบกับชิ่งกั๋วกงแล้วและข้าก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากเขาแล้วเช่นกัน เซี่ยหลาน คราวนี้ข้าขาดการพิจารณาทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูเพราะฉินซู ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”ฉินหงกล่าวและประสานมือคำนับเล็กน้อยไปทางเซี่ยหลานเซี่ยหลานรีบโบกมือแล้วพูดว่า “หามิได้เพคะ หม่อมฉันได้บอกท่านปู่แล้วว่า หม่อม
เมื่อมองด้านหลังของทั้งสองขณะเดินออกไป ฉินหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นกายความโหดเหี้ยมก็แวบขึ้นมาในส่วนลึกจากดวงตาของเขาเขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉงชูโม่ แค่เจ้าปฏิเสธความโปรดปรานของตัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็เรื่องนี้ มาตอนนี้เจ้ายังกล้าทำหน้ามิพอใจต่อหน้าตัวข้าอีกรึ? หึ รอจนกว่าข้าจะนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทตำหนักบูรพา แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธแล้วหันหลังเดินออกไปเมื่อกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ เซี่ยเหอก็รีบกล่าวขอโทษ “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เซี่ยหลานถูกพวกเราตามใจมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก เช่นนั้นนางคงจะ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินหงก็โบกมือและพูดอย่างมิใส่ใจ “ช่างเถอะ ครั้งนี้เป็นตัวข้าที่ประมาทไปจริง ๆ ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าหลิน ตอนนี้เราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าจะมิอ้อมค้อมอีก”ฉินหงหยุดชั่วขณะแล้วพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้จนกว่าจะถึงวันชุนเฟินปีหน้า อีกเพียงแค่ครึ่งปี ในช่วงเวลานี้ ข้าจะต้องสร้างความได้เปรียบให้มากที่สุด มิเช่นนั้น เมื่อองค์รัชทายาทถูกปลด คงจะเป็นการยากที่จะยึดเอาตำแหน่งมาได้สำเร็จ ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้ข้าคงต้องพึ่งพาท่านใต้
เมื่อฉินซูมาถึงห้องทรงพระอักษร ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดว่า “มิต้องมากพิธี ที่นี่ไม่มีคนนอก นั่งลงเถอะ”ฉินซูยังคงยืนอยู่โดยมิได้นั่งลง และถามอย่างใจเย็น “เสด็จพ่อ เมื่อท่านเรียกเอ๋อร์เฉิน(1)เข้าเฝ้า เสด็จพ่อมีรับสั่งอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอู๋ต้าวพูดเบา ๆ "เจ้าคงจะรู้เรื่องการประชุมระหว่างแคว้นใช่หรือไม่?”“เอ๋อร์เฉิน… พอรู้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”ในความทรงจำของอดีตองค์รัชทายาท เขารู้ดีมิน้อยเลยเกี่ยวกับการประชุมระหว่างแคว้นนี้ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อ “เช่นนั้น ทางด้านบู๊ เหลยเจิ้นก็มีผู้สมัครของอยู่แล้ว แต่ทางด้านบุ๋น เว่ยเจิงยังมิได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะฟังความคิดของเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เสด็จพ่อ ขุนนางอาวุโสเว่ยมิสามารถหาผู้สมัครที่เหมาะสมได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“แม้ว่าในช่วงมิกี่ปีที่ผ่านมาจะมีบัณฑิตชั้นยอดมากมาย แต่พวกเขายังขาดความสามารถในการเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นอยู่บ้าง”ฉินซูถามด้วยความสับสน “หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเสด็จพ่อมิออกประกาศรับสมัครผู้มีความสามารถจากทั่วหล้าหรือพ่ะย่
เว่ยเจิงออกมาอย่างช้า ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท คำพูดขององค์รัชทายาทเป็นไปได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เฉาฉุน ร่างคำสั่งทันที ข้าจะเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงในวันผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพต่อขงจื๊อ!”“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”หลังจากจัดเตรียมพระราชกฤษฎีกาแล้วฉินอู๋ต้าวก็ถามเว่ยเจิงอีกครั้ง “เว่ยเจิง เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทดูแตกต่างมากทีเดียว?”“นี่…” เว่ยเจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า “ทูลฝ่าบาท จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”“ข้าน้อยผู้นี้มิแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวยิ้มเยาะและพูดว่า “ว่ากันว่าภูมิแคว้นนั้นยังเปลี่ยนแปลงได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากแท้ที่จะเปลี่ยน ตั้งแต่เขาเติบใหญ่ เขามัวแต่หลงมึนเมาไปกับสุราเคล้าอยู่แต่กับนารี เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่าจะมีที่ปรึกษาผู้มีทักษะสูงคอยชี้นำเขาจากเบื้องหลัง”ด้วยเหตุนี้ การจ้องมองของฉินอู๋ต้าวก็เฉียบคมขึ้นในขณะท
ฉงชูโม่เหลือบมองฉินซูและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “หัวหน้าโหรหลวงกับหม่อมฉันมีความแค้นอันใดต่อกัน? แล้วเกี่ยวอันใดกับท่านมิทราบ?”“ไปกันใหญ่ ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา แล้วเจ้าคุยกับตัวข้าผู้เป็นองค์รัชทายาทด้วยท่าทีเช่นนี้รึ?”ฉินซูรู้สึกอยู่เสมอว่าฉงชูโม่นั้นหยิ่งเกินไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสน “ท่านจะไปที่ใด?”ฉินซู “...”ฉงชูโม่ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเผยให้เห็นแขนขาวใสดั่งหยก และพูดต่ออย่างภาคภูมิใจ “อย่าพยายามใช้ตำแหน่งองค์ชายแห่งตำหนักบูรพามาข่มขู่หม่อมฉัน นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่า ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด แม้ว่าจะมิใช่เช่นนั้น หม่อมฉันก็มิกลัวท่านหรอก”“เอาเถอะ ตัวข้าคร้านเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า บอกข้าหน่อยสิ ดึกดื่นเพียงนี้เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”“องค์รัชทายาทเอ่ยถามเช่นนี้ช่างแปลกพิลึก ตอนนี้หม่อมฉันเป็นอาจารย์แห่งตำหนักบูรพาของท่านแล้ว จากนี้ไป มิว่าจะกิน ดื่ม ใช้ชีวิต อาศัยอยู่ หม่อมฉันก็จะทำในตำหนักบูรพาแห่งนี้!”“มิใช่แล้วกระมัง? หากเจ้าอยู่ในตำหนักบูรพาทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ แล้วความเป็นส่วนตัวของตัวข้าเล่า?”“หึ องค์จักรพร
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิรู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกฉงชูโม่เหลือบมองที่โถงใหญ่อีกครั้ง เอ่ยเหน็บแนม “องค์รัชทายาท ด้วยตำแหน่งของพระองค์ ทรงแอบฟังเช่นนี้ พระองค์มิรู้สึกละอายใจบ้างหรือเพคะ?”“ข้ามิได้แอบฟังเสียหน่อย เป็นพวกเจ้าที่พูดดังเกินไปต่างหาก ทำราวกับว่าข้าอยากได้ยินอย่างนั้น”ฉินซูเกาจมูกตัวเอง แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงด้านหลังด้วยความเขินอายตอนนี้เขามิสามารถไปยุ่มย่ามกับฉงชูโม่ที่มีอำนาจในราชสำนักได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถซ่อนตัวจากนางได้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “ชูโม่ มันเหมาะสมที่สตรีเช่นเจ้าจะค้างคืนอยู่ในตำหนักบูรพาหรือ?”“ข้าจะมิเพียงแค่พักค้างคืนเท่านั้น แต่ข้าจะอยู่ในตำหนักบูรพาจนถึงวันชุนเฟินปีหน้า นี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ อีกอย่าง...”เมื่อฉงชูโม่พูดเช่นนี้ นางก็มองลึกเข้าไปในโถงใหญ่ และพูดต่ออย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “หากมีใครคิดจะทำอะไรมิดีกับข้า ข้าจะได้มีเหตุผลในการเอาคืน!”“เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปขออนุญาตจากองค์จักรพรรดิ ขอประจำอยู่ในตำหนักบูรพาด้วยเช่นกัน”“เจ้าเป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักบูรพา แต่เจ้
ในเวลาเดียวกันณ ศาลาว่าการมณฑล ถานเหวยกับจี้ซิงเสียนและคนอื่น ๆ ยังคงจัดการดูแลงานปกครองขณะนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา “ใต้เท้าถาน มีจดหมายจากสำนักขุนนางใหญ่ขอรับ”พูดจบ เขาก็ยื่นจดหมายในมือมาให้ถานเหวยรับมาเปิดอ่าน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย จี้ซิงเสียนก็อดมิได้ที่จะถามว่า “ใต้เท้าถาน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”“ไม่ ไม่มีอะไร แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น จี้ซิงเสียนกับซุนเยวี่ยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งหากเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางสำนักขุนนางใหญ่จะอุตส่าห์ส่งจดหมายข้ามคืนมาเพื่ออะไร?แต่เมื่อเห็นว่าถานเหวยมิยอมพูดให้ชัดเจน พวกเขาจึงมิกล้าถามอะไรไปมากกว่านี้เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่ถานเหวยได้รับจดหมาย กู้เสวี่ยเจี้ยนและเซี่ยหลานก็ได้รับจดหมายเช่นกันในห้องรับรองด้านหลังของที่ว่าการมณฑล เซี่ยหลานวางจดหมายไว้ตรงหน้าฉินซู“องค์รัชทายาทดูสิเพคะ ท่านปู่ของหม่อมฉันเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ถึงได้ยังไปเข้าพวกกับอ๋องฉี ซ้ำยังถามเป็นนัย ๆ มาด้วยว่าระหว่างทางพวกเราเผชิญอันตรายใด ๆ หรือไม่เห็นได้ชัดว
เถ้าแก่ดีใจมากและฉีกยิ้มกว้างจนถึงหู“กรุณารอสักครู่ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเชิญแขกคนอื่น ๆ ที่มากินข้าวออกไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ”ขณะนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็กล่าวว่า “มิจำเป็น แค่ไปนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่มาอย่างละชุดก็พอ”เถ้าแก่พยักหน้ารัว ๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมการหนานกงจื่อชินขมวดคิ้วเบา “จื่อเยียน ท่านมิชอบเสียงอึกทึกนี่ เหตุใดมิไล่พวกเขาออกไปเล่า?”“ท่านพี่จื่อชิน ฉินซูมาที่เมืองเหลียงโจวได้หลายวันแล้ว พวกเราแค่มาสอบถามพวกเขาเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของฉินซูและคนอื่น ๆ เช่นนี้พวกเราจะได้มิเปลืองแรงเปลืองเวลามากนัก”“ท่านรอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นทั้งสองก็หาที่นั่งตอนนี้มีแขกหลายโต๊ะนั่งอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมขณะที่กำลังกินข้าวอยู่นั้น แขกเหล่านั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นราวกับมิกลัวว่าจะมีใครได้ยิน“สหาย เมื่อครู่เจ้าพูดจริงหรือ องค์รัชทายาทผู้นั้นกำจัดกลุ่มขุนนางทุจริตของเฉินจางภายในคราวเดียวน่ะหรือ? ไฉนข้ามิอยากจะเชื่อเลย”“ข้าก็มิเชื่อ เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล องค์รัชทายาทเพิ่งมาที่เมืองเหลียงโจวได้มิกี่วันแต่กลับปราบปรามพวกเขาได้น่
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าควรจะระมัดระวังเรื่องการแพร่ข่าวให้มากพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหอพูด ฉินหงก็สับสนยิ่งกว่าเดิม “มันก็เป็นแค่การเผยแพร่ข่าว จำเป็นต้องระมัดระวังปานนั้นเลยรึ? หากเจ้าสามรู้เข้า ต้องหัวเราะเยาะที่ข้าขี้ขลาดแน่”เซี่ยเหอพูดอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ความมิประมาททำให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย การเตรียมพร้อมรับมือสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นย่อมดีเสมอ เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน พวกเราหาคนภายนอกสักสองสามคนมาจัดการเรื่องนี้ หลังจากเสร็จเรื่องก็ค่อย…”พูดจบ เซี่ยเหอก็ทำท่าทางเชือดคอตัวเองแสดงความชั่วร้ายออกมาหลินซีพูดเสริม “แผนการของท่านใต้เท้าเซี่ยช่างมั่นคงและรอบคอบนัก เรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว ข้าขอชื่นชม! ด้วยวิธีนี้ แม้องค์จักรพรรดิจะทรงตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดในภายหลัง ก็คงจะสาวมามิถึงพวกเราอย่างแน่นอน”ฉินหงพยักหน้าเบา ๆ “พวกท่านก็รอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นเขาก็กำชับคนสนิทของตนในเรื่องนี้และสั่งให้เขาไปหาคนข้างนอกหลังจากทำตามคำแนะนำเรียบร้อยแล้ว ฉินหงก็พูดกับเซี่ยเหอ “ใต้เท้าเซี่ย ช่วงนี้เซี่ยหลานส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่?”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจู่ ๆ ท่
หากฉินซูมีตำแหน่งมั่นคงในตำหนักบูรพา ต่อจากนี้องค์ชายคนอื่น ๆ ที่เหลือก็จะใช้ชีวิตลำบาก!เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหงก็ถามว่า “เสด็จพี่สาม ที่ท่านรีบร้อนมาที่นี่คาดว่าคงมีแผนตอบโต้ในใจแล้ว บอกทีว่าท่านคิดจะทำอย่างไร ขอเพียงตัดอนาคตขององค์รัชทายาทได้ ข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”“ข้าได้ยินมาว่า ฉินซูจัดสรรเงินหกแสนตำลึงและเสบียงแปดพันต้านลงไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติทางใต้โดยมิได้รับอนุญาต พวกเราอาจลองใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดูได้”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินซีก็รู้ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “เงินหกแสนตำลึง เสบียงแปดพันต้าน ช่างเป็นจำนวนที่น่าตกใจนัก องค์รัชทายาททำนอกเหนืออำนาจที่ได้รับ การประชุมหารือในราชสำนักในเช้าวันพรุ่ง พวกเราต้องกล่าวโทษเขาให้หนัก!”“ถูกต้อง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ครั้งนี้องค์รัชทายาทจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน!”ฉินหยางเหลือบมองหลินซีและเซี่ยเหอพลางยิ้มเยาะ “แม้การกระทำขององค์รัชทายาทจะค่อนข้างมิเหมาะสม แต่จุดเริ่มต้นก็คือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและดูแลราษฎรผู้ประสบภัย ถึงพวกเจ้าจะกล่าวโทษก็มิเป็นผล เพราะเสด็จพ่อคงจะมิทรงลงโทษเขาเพราะเรื่องนี้หรอก”หลินซีมิเข้าใจ “เหตุใด
ภายในจวนอ๋องฉี ฉินหงกำลังอยู่กับหลินซี เซี่ยเหอ และคนอื่น ๆ ในห้องประชุมเพื่อถกกันเรื่องกิจราชการทันใดนั้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งด่วน “ท่านอ๋อง อ๋องซิ่นเสด็จมาแล้วบอกว่ามีเรื่องด่วน…” เขาพูดยังมิทันจบ ก็พลันเห็นฉินหยางสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉินหงและคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นต้อนรับ เมื่อสังเกตเห็นฉินหยางหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉินหงจึงซักถามว่า “เสด็จพี่สาม เหตุใดจึงดูเป็นกังวลมากเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?” “เมื่อครู่มีข่าวมาจากในวังว่ารัชทายาทได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ในมณฑลเหลียงโจว ขนาดที่ขุนนางอาวุโสเว่ยและเหลยเจิ้นยังชื่นชม น้องสี่และคนของเจ้ายังมิรู้เรื่องนี้งั้นหรือ?” “ว่ากระไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?!” ใบหน้าของฉินหงเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลินซีถามอย่างสับสน “ท่านอ๋องซิ่น องค์รัชทายาทเดินทางไปมณฑลเหลียงโจวเพียงเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติเท่านั้น อย่างมากก็แค่ทำเป็นพิธี เขาจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?” เซี่ยเหอเสริมว่า “นั่นสิ เขาเสกข้าวและอาหารในอากาศมิได้หรอกกระมัง?” ฉินหยางแค่นเสียงเย็นชา “หึ เจ้าก็พูดถูกนั่นแหละ แต่รัชทายา
“มิต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” อย่างไรก็ตามไม่มีใครยืนขึ้นแม้แต่คนเดียวฉินซูขมวดคิ้วและถามว่า “พวกเจ้ามีความคับข้องใจอันใดหรือไม่? หากมี พูดได้เต็มที่ ข้าจะจัดการให้พวกเจ้าเอง” “องค์รัชทายาท ท่านทรงช่วยพวกเรากำจัดเฉินจาง โจวเซินและขุนนางทุจริตอีกหลายคนและยังทรงชดเชยส่วนต่างราคาข้าวที่พวกขุนนางเหล่านั้นบังคับซื้อคืนมาให้พวกเรา พวกเราจะมีความทุกข์อะไรได้อีกพ่ะย่ะค่ะ” “ใช่แล้วองค์รัชทายาท ท่านทรงทำให้เหลียงโจวของพวกเราสงบสุขอีกครั้ง นับว่าเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ ท่านคือมีผู้พระคุณของพวกเราชาวเหลียงโจวพ่ะย่ะค่ะ!” “องค์รัชทายาทโปรดรับการคำนับจากพวกเราด้วย!” จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียง ฉินซูรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก หลังจากที่เดินทางข้ามเวลามานานถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความรักและการยกย่องจากผู้คน เขาโบกมือเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย นี่คือสิ่งที่ตัวข้าควรทำแล้ว พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด” ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและช่วยประคองชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นชายชราที่ได้รับความรักอันคาดมิถึงก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าครั้นแล้วชายช
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว“ตอนนี้ยังต้องคุ้มกันขบวนขนเสบียงไปยังอำเภอที่ประสบภัย เราไม่มีคนเหลือพอ เงินเหล่านี้ฝากไว้ในคลังของที่ว่าการมณฑลก่อน รอจนข้าตรวจพื้นที่ภัยพิบัติเสร็จแล้วค่อยนำกลับไปพร้อมกัน” ถานเหวยคิดแล้วก็เห็นด้วยเช่นกัน จึงทำการตรวจสอบเงินและเก็บเข้าคลังทันที เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็รีบเขียนรายงานมิหยุดแล้วส่งคนให้นำไปส่งที่วังในชั่วข้ามคืน ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภายใต้คำสั่งของฉินซู ตงฟางไป๋ ตงฟางโซ่ว รวมทั้งสวีเซี่ยงเฉียน พวกเขาทั้งสามก็นำคณะของตนเร่งคุ้มกันส่งเสบียงไปยังสามอำเภอได้แก่ อำเภอเหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงในชั่วข้ามคืน ยามค่ำ ภายในห้องประชุมของที่ว่าการมณฑล ในเวลานี้เซี่ยหลานกำลังเขียนบันทึกอย่างขะมักเขม้น โดยจดบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเหลียงโจวตลอดสองวันที่ผ่านมา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว นางหันไปถามฉินซูว่า “องค์รัชทายาทเพคะ ท่านช่วยดูหน่อยว่าหม่อมฉันเขียนเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?” ฉินซูอ่านแล้วขมวดคิ้วทันที เห็นดังนั้น เซี่ยหลานจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านขมวดคิ้ว หรือว่าที่หม่อมฉันเขียนมีปัญหางั้นหรือเพคะ?” “ตอนต้นหาได้ปัญ
จากนั้นตงฟางไป๋ก็ให้คนนำตัวพ่อค้าข้าวเหล่านั้นออกไป สองชั่วยามต่อมา ภายใต้การนำของสวีหลาย กลุ่มของสำนักสักการะระบี่ก็ขนข้าวแปดพันต้านรวมถึงเงินหกแสนตำลึงขึ้นเรือล่องแม่น้ำไปทางใต้ เมื่อมองเรือสินค้าที่เต็มไปด้วยเสบียงข้าวและเงินบรรเทาภัยพิบัติแล่นจากไป ถานเหวยก็ถอนหายใจและเอ่ยว่า “หวังว่าพวกเขาจะไปถึงหลิงหนานโดยเร็วที่สุด ผู้คนจะได้อดตายน้อยลง” ฉินซูเหลือบมองถานเหวยอย่างลึกซึ้งพร้อมกับพยักหน้าในใจ ถานเหวยเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและมิเข้าร่วมความขัดแย้งทางการเมืองใด ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายในราชสำนักตอนนี้ นับว่าเป็นแหล่งน้ำอันบริสุทธิ์ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถามอย่างใจเย็นว่า “ใต้เท้าถาน เจ้าในฐานะรองเสนาบดีกรมพระคลัง เจ้าน่าจะรู้เรื่องงานในกรมพระคลังเป็นอย่างดีใช่หรือไม่?” “ถือว่าใช่พ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้ท่านเสนาบดีหลินมิค่อยได้ดูแลกิจการงานกรมพระคลัง ภาระทั้งหมดนี้จึงตกมาที่ตัวข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ” “หลินซีครองตำแหน่งแต่กลับมิทำงาน เจ้ามิเคยพร่ำบ่นเลยหรือ?” ถานเหวยส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวอย่างรู้สึกปลงว่า “ใต้เท้าหลินเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าน้อย การช่วยแบ่งเบาภาร
เหล่าพ่อค้าข้าวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างสั่นสะท้าน ตัวสั่นไปทั้งตัวราวกับถูกเขย่า เมื่อเห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ก็เตะพวกเขาล้มลงบนพื้นอีกครั้ง! “เจ้าพวกสารเลว องค์องค์รัชทายาทกำลังตรัสถามพวกเจ้าอยู่ เป็นใบ้กันหมดแล้วหรือไร?” ถูกตงฟางไป๋ตะคอกเช่นนี้ ความกล้าหาญของพวกเขาก็เกือบพังทลายด้วยความกลัว ชายแซ่เฝิงผู้นั้นถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า “องค์องค์รัชทายาท พวกเราก็ขายข้าวสามตำลึงหนึ่งต้านแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอบังอาจทูลถามว่า พวกเรามีความผิดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ใช่แล้วองค์รัชทายาท พวกเราทุกคนล้วนเป็นพ่อค้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งเมื่อคืนนี้ที่จวนใต้เท้าเฉิน ท่านยังทรงชมเชยว่าพวกเราเป็นผู้จิตใจดีงามอยู่เลย” “องค์รัชทายาท เหล่าผู้น้อยเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่น ๆ ที่เหลือพากันแก้ตัว ฉินซูพ่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “หึ ๆ ยังมิยอมรับอีกสินะ? ข้าจะบอกความจริงกับพวกเจ้า เรื่องชั่วร้ายที่พวกเจ้าสมคบคิดทำกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าขุนนางชั่วเฉินจางสารภาพจนหมดแล้ว ข้าไต่สวนพวกเจ้าในวันนี้ ก็เพียงเพื่อให้โอกาสพวกเจ้าสารภาพผิดและลดโทษให้เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าม