เช้าตรู่ของสองวันต่อมายามนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม พื้นที่หล่งซีที่มีภูเขาสูงป่าทึบส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาวโพลนในป่าทึบอันมืดมิดชื้นแฉะนั้น ร่างสามร่างกำลังเดินฝ่าเข้าไปคนแรกคือชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดตา มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า กระบี่เจ็ดดาวเล่มยักษ์ในมือของเขาโดดเด่นเป็นพิเศษหญิงสาวอีกคนสวมชุดเกราะ แม้จะแต่งกายแบบแม่ทัพ แต่ก็หาได้บดบังใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาไม่แม้แต่น้อย กลับเพิ่มความองอาจขึ้นหลายส่วนทั้งสองคือตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและฉงชูโม่ส่วนชายชุดดำอีกคนคือสายลับชนเผ่าหรงตะวันตกที่ถูกตู๋กูโฉ่วเยวี่ยบังคับให้นำทางยามนี้เป็นช่วงที่หนาวจัดของเหมันตฤดู ท่ามกลางป่าชื้น อาภรณ์จึงเปียกชื้นได้ง่ายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทำให้ยิ่งรู้สึกถึงความหนาวเสียดกระดูกดังนั้นแม้แต่ฉงชูโม่ยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวย่ำสวรรค์ก็ยังแก้มแดงจากความหนาวอย่างอดมิได้สายลับชนเผ่าหรงตะวันตกที่นำทางยิ่งหนาวจนตัวสั่น ฟันบนล่างเริ่มกระทบกันสั่นงก ๆทว่าสิ่งที่ฉงชูโม่คาดมิถึงก็คือ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่มีวรยุทธ์อ่อนแอกว่าตนเล็กน้อยกลับมีสีหน้าปกติราวกับมิได้รับผลกระทบจากไอเย็นนี้“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าน้อยทนมิไหวแ
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ชูโม่ สองวันนี้เจ้าถามข้าหลายครั้งแล้ว ที่ข้ามิบอกความจริงเพราะกลัวว่าหากพูดออกไปจะทำให้เจ้าตกใจ ฉะนั้นเจ้าช่วย...”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็ยืนกรานหนักแน่นว่า “มิได้! หากเจ้ามิบอกความจริงแก่ข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการกับมหาปุโรหิตของสำนักจันทราโรหิตเอง เรื่องนี้ข้ามิยุ่งด้วยแล้ว”“อย่าทำเช่นนั้นสิ ข้าสู้มหาปุโรหิตนั่นมิได้ ข้าต้องพึ่งเจ้า”“เช่นนั้นเจ้ารีบบอกความจริงมาเร็วเข้า มิฉะนั้นข้าจะมิร่วมมือด้วย!”เมื่อถูกฉงชูโม่บีบคั้น ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ที่จริงแล้วสำนักจันทราโรหิตเป็นสำนักชั่วร้าย สิ่งที่พวกเขาเก่งที่สุดคือการชักจูงผู้คน มิเพียงเท่านั้น พวกเขายังเก่งในการฝึกสัตว์ร้าย โดยปกติสัตว์ดุร้ายเหล่านั้นล้วนแต่เชื่อฟังพวกเขาจนผิดวิสัย”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็เงียบไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วถามว่า “แล้วอย่างไร? นั่นคือจุดประสงค์ที่เจ้าบุกไปกวาดล้างสำนักจันทราโรหิตรึ?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยทำสีหน้าให้เคร่งขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ความจริงยังมีมากกว่านั้น หากข้าพูดออกไป เจ้าอย่าได้ตกใจเชียว”
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพยักหน้า แล้วปลอบโยนอีกว่า “ที่จริงเจ้ามิต้องกังวลมากนักก็ได้ สำนักจันทราโรหิตนอกจากมหาปุโรหิตผู้นั้นแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นพวกกระจอก มิได้น่ากลัวกระไร ยิ่งไปกว่านั้นถึงกาลนั้นข้าจะให้ของดีเจ้าอีกอย่าง รับรองว่าการรับมือพวกนั้นย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน”“หวังว่าจะง่ายอย่างที่เจ้าว่า แต่ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าเจ้ายังปิดบังกระไรข้าอยู่?”เมื่อฉงชูโม่พูดจบ ก็มองตู๋กูโฉ่วเยวี่ยด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยมอีกฝ่ายลูบจมูก จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่มีแล้วจริง ๆ ข้าบอกเจ้าทั้งหมดเท่าที่ข้ารู้แล้ว”“ดี ข้าจะเชื่อเจ้า แต่หากเจ้ากล้าหลอกข้า ถึงคราวคิดบัญชีก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”“แน่นอนอยู่แล้ว”มองอย่างไรตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ดูมีพิรุธพวกเขาพักผ่อนกันในถ้ำครู่หนึ่งแล้วออกเดินทางกันต่อครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดทั้งสามก็เดินออกจากป่าที่หนาวชื้นแห่งนี้ได้สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือขุนเขาสูงใหญ่เบื้องหน้าจากตีนเขาขึ้นไป ตัวภูเขาส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทำให้มองมิออกว่าภูเขาลูกนี้สูงเพียงใดจู้หรงชี้ไปยังเชิงเขาที่ถูกเมฆหมอกบดบัง แล้วกล่าวว่า “ที่นี่คือเขาหัวสิงห์ ที่ตั
“สัตว์อสูรพวกนี้มีวรยุทธ์ที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง หากพวกมันตื่นขึ้นมา แม้ข้าจะทุ่มสุดกำลังก็คงจะรับมือได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ข้างในนั้นมีถึงสามตัว เจ้าภาวนาให้ธูปนิทราของเจ้าใช้ได้ผลถึงหนึ่งชั่วยามจริง ๆ เถิด มิฉะนั้นพวกเราจะหนีไปได้หรือไม่ก็มิรู้แล้ว”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยปลอบโยนว่า “วางใจเถิด อาจารย์ของข้าปรุงเอง รับรองไม่มีปัญหา พวกเรารีบไปกันเถิด”ประมาณสองเค่อต่อมา พวกเขาก็มาถึงบริเวณใกล้ไหล่เขาเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปากถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่หลังเมฆหมอกอันเลือนรางตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกำชับว่า “เดี๋ยวเจ้าเผยตัวแล้วดึงดูดความสนใจของพวกมันเสีย ทางที่ดีที่สุดโค่นพวกมันลงให้ได้สักสองสามคน แล้วค่อยล่อให้มหาปุโรหิตนั่นออกมาลงมือเอง ข้าจะฉวยโอกาสที่พวกมันเผลอแอบเข้าไปทำลายแท่นบูชาเอง”เขาพูดพลางหยิบโอสถลูกกลอนสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ฉงชูโม่อีกฝ่ายชะงักไป แล้วถามว่า “นี่คืออะไร?”“โอสถลูกกลอนที่อาจารย์ของข้าปรุงเอง กินเข้าไปแล้วจะเพิ่มวรยุทธ์ได้ชั่วคราว”“เจ้าบอกว่ามหาปุโรหิตนั่นก็เป็นระดับครึ่งก้าวย่ำสวรรค์มิใช่… ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย เจ้าหลอกข้ารึ?” ฉงชูโม่เพิ่งจะรู้ตัวตู๋กูโฉ่
เห็นเพียงชายชราร่างเล็กสวมชุดคลุมสีแดง ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย อีกทั้งดวงตาก็ยิ่งดูมืดมนและดุร้ายเป็นประเภทที่เพียงแค่เห็นผาดเดียวก็ทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั้งร่างหลังจากมองสำรวจชายผู้นี้สองสามครั้ง ฉงชูโม่ก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าคือมหาปุโรหิตของสำนักจันทราโรหิตใช่หรือไม่?”“ใช่แล้ว ข้าเองเฉินซี มหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต สาวน้อย เจ้าบุกรุกเข้ามาในสำนักจันทราโรหิตของข้า ทำร้ายสาวกของข้ามากมาย วันนี้หากเจ้ามิบอกเหตุผลกับข้า ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นศพแห้งแล้วเก็บไว้ค่อย ๆ ชื่นชมเจ้าในภายหลัง!”เฉินซีพูดจบก็หัวเราะเสียงแหลมสูงราวเสียงกรีดร้องของปีศาจ ชวนให้รู้สึกขนลุกขนพองทีเดียวขนทั่วร่างของฉงชูโม่พลันลุกชัน นางฝืนความกลัวในใจไว้พร้อมแค่นเสียงเย็นชาแล้วกล่าวว่า “สำนักจันทราโรหิตของเจ้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ วันนี้ข้าจะผดุงความยุติธรรม ทำลายสำนักจันทราโรหิตของพวกเจ้าให้สิ้นซาก!”“สาวน้อย ใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง? ลำพังเจ้าคนเดียว ข้าใช้มือข้างเดียวก็บดขยี้เจ้าให้ตายได้แล้ว!”ยังมิทันที่เฉินซีจะพูดจบ เขาก็ตบฝ่ามือออกไปในอากาศอย่างรวดเร็วโดยไม่
แม้ว่าเฉินซีจะเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่การโจมตีแต่ละครั้งของเขาก็ถูกฉงชูโม่หลบหลีกไปได้อย่างง่ายดายด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่วเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็มิใช้ปราณบริสุทธิ์ภายในต่อไปให้เปลืองแล้ว แต่กลับไล่ตามอย่างมิลดละ“หึ เล่นแมวจับหนูกับข้ารึ? ข้าจะดูว่ากำลังภายในของเจ้าจะทำให้เจ้าทนได้นานเพียงใด เมื่อใดที่กำลังภายในของเจ้าหมดลง เมื่อนั้นเจ้าก็เหลือเพียงความตาย!”ฉงชูโม่มิสนใจเรื่องนี้ เพราะภายในหนึ่งชั่วยาม กำลังภายในของนางจะไม่มีทางหมดสิ้นพวกเขาไล่ล่ากันไปมาเช่นนี้ มินานก็หายลับไปจากสายตาผู้คนในขณะเดียวกัน ร่างของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็วูบไหว ลอบเข้าไปในถ้ำนั้นอย่างเงียบเชียบ......“องค์รัชทายาท พวกเรามาถึงใจกลางหล่งซีแล้ว อีกมินาน ข้างหน้าก็จะเป็นเมืองหลงโย่วแล้ว วันนี้พักค้างแรมในเมืองกันก่อนแล้วค่อยออกเดินทางกันวันพรุ่งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ชิวก่วนถามขึ้นฉินซูมองมู่หรงจื่อเยียนที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าแล้วพยักหน้าน้อย ๆ“พักในเมืองสักคืนก็ดี สองวันนี้เร่งเดินทางกันมาตลอด ควรจะพักผ่อนได้แล้ว”ในขณะที่พวกเขายังคงเดินทางไปยังเมืองหลงโย่ว หนังตาของฉินซูก็กระตุกเล็กน้อย ส
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ