เมื่อเห็นบุคคลนี้ การแสดงออกของเซี่ยหลานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และระหว่างคิ้วของนางยังฉายท่าทีแปลกไปอีกด้วยแต่เนื่องจากสถานะอันสูงส่งของอีกฝ่าย นางจึงยังคงโค้งคำนับฉงชูโม่ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง “หม่อมฉันกลับมาที่หลงเฉิง หม่อมฉันคงมิจำเป็นต้องรายงานต่อท่านอ๋องฉีหรอกกระมังเพคะ?"ฉินหงแสดงรอยยิ้มที่ตนคิดว่าเป็นมิตรมากออกมา และพูดว่า “แม่ทัพฉงล้อเล่นแล้ว เจ้าเป็นแม่ทัพชั้นหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อของข้า ในแง่ของตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั้น เจ้าอยู่ต่ำกว่าข้าครึ่งอันดับสูงสุด เมื่อเจ้ากลับมา แน่นอนว่ามิจำเป็นต้องรายงานอะไรต่อตัวข้าอ๋องผู้นี้”“ท่านอ๋องฉีทรงทราบเช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ ชิ่งกั๋วกงน่าจะอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ท่านอ๋องสามารถพบเขาที่นั่นเพคะ”“ตัวข้าได้พบกับชิ่งกั๋วกงแล้วและข้าก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากเขาแล้วเช่นกัน เซี่ยหลาน คราวนี้ข้าขาดการพิจารณาทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูเพราะฉินซู ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”ฉินหงกล่าวและประสานมือคำนับเล็กน้อยไปทางเซี่ยหลานเซี่ยหลานรีบโบกมือแล้วพูดว่า “หามิได้เพคะ หม่อมฉันได้บอกท่านปู่แล้วว่า หม่อม
เมื่อมองด้านหลังของทั้งสองขณะเดินออกไป ฉินหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นกายความโหดเหี้ยมก็แวบขึ้นมาในส่วนลึกจากดวงตาของเขาเขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉงชูโม่ แค่เจ้าปฏิเสธความโปรดปรานของตัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็เรื่องนี้ มาตอนนี้เจ้ายังกล้าทำหน้ามิพอใจต่อหน้าตัวข้าอีกรึ? หึ รอจนกว่าข้าจะนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทตำหนักบูรพา แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธแล้วหันหลังเดินออกไปเมื่อกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ เซี่ยเหอก็รีบกล่าวขอโทษ “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เซี่ยหลานถูกพวกเราตามใจมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก เช่นนั้นนางคงจะ…”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบฉินหงก็โบกมือและพูดอย่างมิใส่ใจ “ช่างเถอะ ครั้งนี้เป็นตัวข้าที่ประมาทไปจริง ๆ ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าหลิน ตอนนี้เราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าจะมิอ้อมค้อมอีก”ฉินหงหยุดชั่วขณะแล้วพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้จนกว่าจะถึงวันชุนเฟินปีหน้า อีกเพียงแค่ครึ่งปี ในช่วงเวลานี้ ข้าจะต้องสร้างความได้เปรียบให้มากที่สุด มิเช่นนั้น เมื่อองค์รัชทายาทถูกปลด คงจะเป็นการยากที่จะยึดเอาตำแหน่งมาได้สำเร็จ ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้ข้าคงต้องพึ่งพาท่านใต้
เมื่อฉินซูมาถึงห้องทรงพระอักษร ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดว่า “มิต้องมากพิธี ที่นี่ไม่มีคนนอก นั่งลงเถอะ”ฉินซูยังคงยืนอยู่โดยมิได้นั่งลง และถามอย่างใจเย็น “เสด็จพ่อ เมื่อท่านเรียกเอ๋อร์เฉิน(1)เข้าเฝ้า เสด็จพ่อมีรับสั่งอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอู๋ต้าวพูดเบา ๆ "เจ้าคงจะรู้เรื่องการประชุมระหว่างแคว้นใช่หรือไม่?”“เอ๋อร์เฉิน… พอรู้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”ในความทรงจำของอดีตองค์รัชทายาท เขารู้ดีมิน้อยเลยเกี่ยวกับการประชุมระหว่างแคว้นนี้ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อ “เช่นนั้น ทางด้านบู๊ เหลยเจิ้นก็มีผู้สมัครของอยู่แล้ว แต่ทางด้านบุ๋น เว่ยเจิงยังมิได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะฟังความคิดของเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เสด็จพ่อ ขุนนางอาวุโสเว่ยมิสามารถหาผู้สมัครที่เหมาะสมได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“แม้ว่าในช่วงมิกี่ปีที่ผ่านมาจะมีบัณฑิตชั้นยอดมากมาย แต่พวกเขายังขาดความสามารถในการเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นอยู่บ้าง”ฉินซูถามด้วยความสับสน “หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเสด็จพ่อมิออกประกาศรับสมัครผู้มีความสามารถจากทั่วหล้าหรือพ่ะย่
เว่ยเจิงออกมาอย่างช้า ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท คำพูดขององค์รัชทายาทเป็นไปได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เฉาฉุน ร่างคำสั่งทันที ข้าจะเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงในวันผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพต่อขงจื๊อ!”“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”หลังจากจัดเตรียมพระราชกฤษฎีกาแล้วฉินอู๋ต้าวก็ถามเว่ยเจิงอีกครั้ง “เว่ยเจิง เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทดูแตกต่างมากทีเดียว?”“นี่…” เว่ยเจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า “ทูลฝ่าบาท จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”“ข้าน้อยผู้นี้มิแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวยิ้มเยาะและพูดว่า “ว่ากันว่าภูมิแคว้นนั้นยังเปลี่ยนแปลงได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากแท้ที่จะเปลี่ยน ตั้งแต่เขาเติบใหญ่ เขามัวแต่หลงมึนเมาไปกับสุราเคล้าอยู่แต่กับนารี เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่าจะมีที่ปรึกษาผู้มีทักษะสูงคอยชี้นำเขาจากเบื้องหลัง”ด้วยเหตุนี้ การจ้องมองของฉินอู๋ต้าวก็เฉียบคมขึ้นในขณะท
ฉงชูโม่เหลือบมองฉินซูและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “หัวหน้าโหรหลวงกับหม่อมฉันมีความแค้นอันใดต่อกัน? แล้วเกี่ยวอันใดกับท่านมิทราบ?”“ไปกันใหญ่ ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา แล้วเจ้าคุยกับตัวข้าผู้เป็นองค์รัชทายาทด้วยท่าทีเช่นนี้รึ?”ฉินซูรู้สึกอยู่เสมอว่าฉงชูโม่นั้นหยิ่งเกินไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสน “ท่านจะไปที่ใด?”ฉินซู “...”ฉงชูโม่ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเผยให้เห็นแขนขาวใสดั่งหยก และพูดต่ออย่างภาคภูมิใจ “อย่าพยายามใช้ตำแหน่งองค์ชายแห่งตำหนักบูรพามาข่มขู่หม่อมฉัน นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่า ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด แม้ว่าจะมิใช่เช่นนั้น หม่อมฉันก็มิกลัวท่านหรอก”“เอาเถอะ ตัวข้าคร้านเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า บอกข้าหน่อยสิ ดึกดื่นเพียงนี้เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”“องค์รัชทายาทเอ่ยถามเช่นนี้ช่างแปลกพิลึก ตอนนี้หม่อมฉันเป็นอาจารย์แห่งตำหนักบูรพาของท่านแล้ว จากนี้ไป มิว่าจะกิน ดื่ม ใช้ชีวิต อาศัยอยู่ หม่อมฉันก็จะทำในตำหนักบูรพาแห่งนี้!”“มิใช่แล้วกระมัง? หากเจ้าอยู่ในตำหนักบูรพาทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ แล้วความเป็นส่วนตัวของตัวข้าเล่า?”“หึ องค์จักรพร
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิรู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกฉงชูโม่เหลือบมองที่โถงใหญ่อีกครั้ง เอ่ยเหน็บแนม “องค์รัชทายาท ด้วยตำแหน่งของพระองค์ ทรงแอบฟังเช่นนี้ พระองค์มิรู้สึกละอายใจบ้างหรือเพคะ?”“ข้ามิได้แอบฟังเสียหน่อย เป็นพวกเจ้าที่พูดดังเกินไปต่างหาก ทำราวกับว่าข้าอยากได้ยินอย่างนั้น”ฉินซูเกาจมูกตัวเอง แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงด้านหลังด้วยความเขินอายตอนนี้เขามิสามารถไปยุ่มย่ามกับฉงชูโม่ที่มีอำนาจในราชสำนักได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถซ่อนตัวจากนางได้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “ชูโม่ มันเหมาะสมที่สตรีเช่นเจ้าจะค้างคืนอยู่ในตำหนักบูรพาหรือ?”“ข้าจะมิเพียงแค่พักค้างคืนเท่านั้น แต่ข้าจะอยู่ในตำหนักบูรพาจนถึงวันชุนเฟินปีหน้า นี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ อีกอย่าง...”เมื่อฉงชูโม่พูดเช่นนี้ นางก็มองลึกเข้าไปในโถงใหญ่ และพูดต่ออย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “หากมีใครคิดจะทำอะไรมิดีกับข้า ข้าจะได้มีเหตุผลในการเอาคืน!”“เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปขออนุญาตจากองค์จักรพรรดิ ขอประจำอยู่ในตำหนักบูรพาด้วยเช่นกัน”“เจ้าเป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักบูรพา แต่เจ้
ครู่ต่อมา เสียงของหลินชิงเหยาก็ดังมาจากนอกโรงอาบน้ำ “องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลพระองค์เพคะ”ฉินซูเปิดประตูโรงอาบน้ำแล้วดึงนางเข้ามาจากนั้นเขาก็รีบปิดประตูอีกครั้งทีแรกหลินชิงเหยาสะดุ้งตกใจ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าฉินซูต้องการทำอะไรใบหน้าอันบอบบางและงดงามของนางแดงโดยมิรู้ตัว พลันก้มหน้าลงด้วยความเขินอายท่าทางอ่อนหวานนี้ทำให้ฉินซูรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจเขาเชยคางโค้งมนของหลินชิงเหยาขึ้น ตั้งใจจะจุมพิตลงริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นหลินชิงเหยาเอามือขาวนวลของนางปิดที่ปากของฉินซู แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาท หม่อมฉันมีเรื่องด่วนจะกราบทูลพระองค์เพคะ"ฉินซูพูดอย่างมิอดทน “หากมีเรื่องอะไร ก็เอาไว้พูดกันทีหลัง!”“องค์รัชทายาท หม่อมฉันอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดพระองค์ต้องรีบร้อนเช่นนี้ อย่างมาก คืนนี้หม่อมฉันก็มิกลับไป”ทันทีที่หลินชิงเหยาพูดคำเหล่านี้ ใบหน้างดงามของนางก็แดงยิ่งขึ้นอีกฉินซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็รีบบอกข้ามาว่ามีเหตุด่วนอันใด”“ท่านอ๋องฉีสั่งให้พ่อของหม่อมฉันไปหาขุนนางอาวุโสเว่ยในฐานะผู้เจรจา และท่านพ่อของหม่อมฉันก็เห็นด้วยแล้วเพคะ”ฉินซูฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่ก็แดงก่ำทันที ใบหูและคอแดงปื้น!นางมิคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะไร้ยางอายถึงขนาดทำเรื่องมิดีเช่นนี้ในบ่อน้ำร่วมกับสตรีอื่น!ยิ่งนางคิดมากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธ อดมิได้ที่จะอยากจะไปดุเขาสักสองสามคำแต่มันน่าอายอย่างยิ่งที่คิดว่านางมิได้สวมอะไรเลย และในสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่ายิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธไว้ แล้วถอยกลับไปอีกด้านอย่างเงียบ ๆทว่าขณะที่นางกำลังจะกลับไปอย่างงุ่มง่ามหลินชิงเหยาและฉินซูก็ยังพูดคุยเรื่องที่น่าอายต่อไปเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านี้ ฉงชูโม่ก็หน้าแดง รีบยกมือปิดหูทันทีใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายขนาดนี้ได้อย่างไร...ฉงชูโม่ที่ดูถูกเหยียดหยามในใจ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงแอบมองไปอีกสองสามครั้งผ่านหมอกน้ำที่คลุมเครือ นางมองเห็นความสุขและความเพลิดเพลินบนใบหน้าของหลินชิงเหยานางอดมิได้ที่จะรู้สึกสับสน สัมพันธ์ระหว่างชายหญิง วิเศษเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?ขณะที่นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายเดือดพล่าน และค่อย ๆ ทรุดตัวลงในบ่อาบน้ำในขณะนี้ จิตใจข