Share

บทที่ 15

เหลยเจิ้นอธิบายว่า “ข้าน้อยเพียงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทสามารถหาวิธีที่จะควบคุมเป่ยเยี่ยนได้ ดังนั้นพระองค์อาจมีความคิดเกี่ยวกับการค้นหาผู้มีความสามารถจากทั่วใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ"

ฉินอู๋ต้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัวเล็กน้อย

“ข้าควรถามเว่ยเจิงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ส่งคนไปจับตาดูเป่ยเยี่ยนอย่างใกล้ชิดด้วย ตอนนี้แม้ว่ามู่หรงฟู่จะถูกกักขังอยู่ที่นี่ แต่เราต้องระวังการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายจากฝั่งเป่ยเยี่ยนด้วย”

“ข้าน้อยน้อมรับสั่งฝ่าบาท!”

เหลยเจิ้นโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วถอยกลับเดินออกไป

……

ทางด้านของฉินซู

หลังจากที่เขาออกจากจวนตระกูลหลิน เขามิได้กลับไปที่ตำหนักบูรพา แต่มาที่โรงน้ำชาใกล้กับตลาดที่พลุกพล่านแทน

เมื่อพูดถึงการรวบรวมข้อมูล ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่านี้แล้ว

เขาพบที่นั่งริมหน้าต่างและนั่งลง ขณะดื่มชาเขาก็ตั้งใจฟังบทสนทนาที่ค่อนข้างมีเสียงดังในโรงน้ำชาด้วย

เนื่องจากเขาปลอมตัวออกมาประหนึ่งสามัญชนจึงไม่มีใครจำเขาได้

ในเวลานี้ ชายคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะถัดไปถามสหายของเขาว่า “นี่ ๆ พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ เมื่อสองวันก่อนมีใครบางคนทำลายปราการเฮยเฟิงในคราวเดียว พวกผู้นำหัวหน้าต่างหนีกันกระเจิง!”

“ใช่รึ? ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า?”

อีกคนพูดด้วยความสงสัย “ไยข้ามิอยากจะเชื่อเรื่องนี้เลย! หัวหน้าของปราการเฮยเฟิงเป็นนักรบระดับซวนของแท้ เขาอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ในระดับเดียวกันถือว่าไร้คู่ต่อสู้ ใครจะจัดการเขาได้ หรือแม้กระทั่งทำลายปราการเฮยเฟิงก็เถอะ เจ้าโม้หรือไร?”

“เจ้าจะไปรู้อะไร? เท่าที่ข้ารู้ คนที่ทำลายปราการเฮยเฟิงคือ ศิษย์คนที่สามของสำนักหอดูดาวหลวง ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย!”

“โอ้ ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเองรึ เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจแล้ว”

“ข้าคิดมิถึงเลยว่า ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะลงมือด้วยตัวเอง กรณีนี้ที่ปราการเฮยเฟิงจะพังทลายลงมันก็สมเหตุสมผลแล้ว”

หลังจากได้ยินการสนทนาของพวกเขาฉินซูก็ถามอย่างสงสัย “พวกเจ้า ที่พวกเจ้าพูดถึงตู๋กูโฉ่วเยวี่ยอะไรนั่น แข็งแกร่งมากเลยหรือ?”

ในความทรงจำของเขา พูดได้ว่าเขาไม่มีความประทับใจต่อตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเลย

คนเหล่านั้นมองดูฉินซูด้วยความประหลาดใจ จากนั้นถามว่า “พี่ชาย ท่านนี่มีความรู้แค่หางอึ่งรึ มาจากชนบทหรืออย่างไร? มิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านจอมยุทธ์ตู๋กูมาก่อนเลยรึ?”

“ใช่แล้ว ในหลงเฉิง มีผู้ใดมิรู้บ้างว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูแข็งแกร่งแค่ไหน?”

"แน่นอนว่า ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูแข็งแกร่ง เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสามในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลงเฉิง!"

“ใช่แล้ว เขาลงมือด้วยตัวเอง มิต้องพูดถึงปราการเฮยเฟิงเลย แม้แต่สำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นก็ยังต้องยอมจำนน”

ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเสียงเย็นชาดังมาจากทางเดิน

“ใครบอกว่าข้าเป็นผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสามในหลงเฉิง?”

เมื่อสิ้นประโยค บุรุษรูปหล่อวัยสามสิบก็เดินเข้ามา

เขาสวมอาภรณ์สีขาว บนเสื้อคลุมของเขามีการปักรูปดาวหมีใหญ่ส่องแสงประกายราวกับเกล็ดหิมะ

มีรอยแผลเป็นที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วบนใบหน้าของเขา เขาแบกดาบขนาดใหญ่ไว้บนหลัง

ผมยาวของเขาปลิวไสวได้อย่างอิสระไปตามสายลม

เส้นผมสยายกระจาย

ชายที่กำลังพูดเหลือบมองบุรุษรูปงามแล้วขมวดคิ้วถามว่า “พี่ชาย เรากำลังพูดถึงตู๋กูโฉ่วเยวี่ย อยากจะร่วมวงด้วยคนหรือไม่?"

ชายหนุ่มจับมือของเขาไว้หน้าหน้าอก ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความภาคภูมิใจ “บังเอิญจริง ๆ ข้านี่แหละ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้คนเหล่านั้นก็ตกตะลึง!

แล้วก็มีคนหัวเราะออกมา

“พรวด! ฮ่าฮ่าฮ่า... นี่เจ้าแอบอ้างเป็นท่านจอมยุทธ์ตู๋กูรึ? ข้าคิดว่าคงเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแล้วกระมัง”

“ถูกต้อง มันเป็นแค่ขี้โม้คุยโวต่อหน้าเรา หากข่าวไปถึงสำนักหอดูดาว เจ้าคงมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคร้านเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องไร้สาระ เขาชักดาบใหญ่บนหลังออกมาจากปลอก

(เสียงชักดาบ)

เสียงดาบราวกับเสียงมังกรคำราม แสงเย็นเยียบประกายส่อง น่าเกรงขามสะกดใจยิ่ง!

ที่โดดเด่นที่สุดคือมีลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่สลักอยู่บนหน้าดาบ

“ดาบเจ็ดดาว! ท่านคือท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจริง ๆ!”

หลังจากที่คนเหล่านั้นรู้สึกตัวแล้ว พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมประสานมือโค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ข้ามีตาแต่หาได้มองเห็นผู้ยิ่งใหญ่มิ หวังว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะให้อภัยขอรับ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเลื่อนนิ้วสัมผัสดาบอันคมกริบ และถามอย่างสบาย ๆ “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่าข้าแข็งแกร่งอันดับที่เท่าใดในหลงเฉิงนะ?”

ทั้งกลุ่มได้สบตากันและตอบอย่างลังเลว่า “ที่… ที่สาม”

ดวงตาของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ผิด! อันดับที่สอง ภายใต้การดูแลของผู้ชอบธรรม ไร้คู่ต่อสู้!”

“แต่…แม่ทัพฉงเป็นอันดับที่สองมิใช่หรือขอรับ?”

“ตอนนี้นางมิได้อยู่ในหลงเฉิงเช่นนั้นข้าจึงเป็นอันดับสอง เจ้ามีข้อโต้แย้งใดหรือไม่?” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวพลางจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา

คนเหล่านั้นตกใจจนตัวสั่น พลันฝืนยิ้ม

“ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูล้อเล่นแล้ว เราจะกล้าคัดค้านได้อย่างไรขอรับ”

“ใช่แล้ว ท่านจอมยุทธ์ตู๋กู แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง เป็นที่ยอมรับ”

"เมื่อเวลาผ่านไป เราเชื่อว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะเหนือกว่าท่านใต้เท้าหัวหน้าโหรหลวง และกลายเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอนขอรับ”

เมื่อฟังคำพูดที่สรรเสริญเยินยอของพวกเขา ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ยิ้มกว้างและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”

เขาหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์(1)ที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “ค่าชาของคนพวกนี้มาเก็บที่ข้า!”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนเหล่านั้นก็ดูประหลาดใจทันทีและพูดซ้ำไปซ้ำมาว่ามิเป็นไร

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยขมวดคิ้วและพูดอย่างมิพอใจอย่างมาก “เหตุใดเล่า เจ้าคิดว่าข้า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย ไม่มีเงินจ่ายค่าชาหรือไร?”

“หามิได้ ๆ ขอรับ เราแค่มิอยากให้ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูต้องเสียเงินให้เราขอรับ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยโบกมือแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง "มิต้องพูดอะไรแล้ว วันนี้ข้ามีความสุข ข้าจะจ่ายให้ทั้งโรงน้ำชา!"

“เอ่อ นี่…”

“พวกเจ้ามึนอยู่หาปะไร? รีบขอบคุณมากครับท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเร็วเข้าสิ!”

หลังจากที่แขกโรงน้ำชาทุกคนได้สติแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็โค้งคำนับให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย และพูดพร้อมกัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ตู๋กู!”

เมื่อได้รับความชื่นชมจากผู้คนมากมายเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็สดใสยิ่งขึ้น

เขากำลังจะหาที่นั่งลง เมื่อเขาดูเหมือนว่าจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากหางตาจึงรีบหันไปมอง

เมื่อเขาเห็นฉินซูรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็พูดกับฉินซูอย่างเชื่องช้า “องค์...“

ก่อนที่เขาจะพูดจบฉินซูก็ขมวดคิ้วพร้อมกับแสดงความตำหนิในสายตา

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเข้าใจทันทีและเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “องค์เทพเจ้า! ขอบคุณท่านแล้ว โชคชะตาฟ้าลิขิต ฮ่าฮ่า บังเอิญนักที่เจอเจ้าที่นี่”

“หา? พี่ชาย ท่านเป็นสหายของท่านจอมยุทธ์ตู๋กูหรือ?”

“ฮ่าฮ่า เมื่อครู่เราคงทำให้ท่านมิพอใจเสียแล้ว เรายังบอกกับท่านด้วยว่าท่านมาจากชนบท”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มุมปากของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็กระตุกสองสามครั้ง และหน้าผากของเขาขึ้นเป็นรอยเส้น

จากชนบทหรือ?

หากพวกเขารู้ว่าบุรุษผู้นี้คือองค์รัชทายาทคงกลัวแทบตาย จะมิกลัวจนปัสสาวะรั่วเลยหรือ

เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาก่อน จึงอดมิได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับคนเหล่านี้

โชคดีที่ฉินซูเพิ่งโบกมือ และมิได้สนใจอะไรมาก

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยรีบตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ “เสี่ยวเอ้อร์ เตรียมห้องส่วนตัวให้ข้าและคุณชายคนนี้ด้วย แล้วนำชาเหลืองเข็มเงินที่ดีที่สุดมาสองหม้อ!”

“ขอรับ ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเชิญทางนี้ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์นำตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและฉินซูเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อชงชา

จากนั้นตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็โค้งคำนับฉินซูแล้วพูดว่า “ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

“มิจำเป็นต้องเป็นทางการ นั่งลงเถอะ ข้ามีเรื่องจะถาม”

หลังจากพูดจบฉินซูก็นำนั่งลงก่อน

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยนั่งลงอย่างทำอะไรมิถูกและถามอย่างระมัดระวัง "องค์รัชทายาท ท่านทรงต้องการถามสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง บริกรหรือพนักงานในร้านอาหาร

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status