เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือดฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”“เจ้า… ข้า...”ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่งหากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแ
หลินชิงเหยายิ้มอย่างขมขื่นพลางหลับตารอความตายดาบเคลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าหลินชิงเหยากำลังจะพบกับจุดจบอันน่าเศร้าในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มีร่างหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า!ในขณะที่คนผู้นั้นนี้ยื่นมือออกเพื่อดึงหลินชิงเหยาออกมา มืออีกข้างของเขาก็คว้าดาบอย่างรวดเร็วและช่ำชองในชั่วพริบตา ดาบในมือของฉินหงก็ถูกคนผู้นั้นคว้าไป ในเวลาเดียวกัน ดาบเย็นก็กดลงบนคอของเขาในทันใด!หลังจากที่ฉินหงตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!“ฉินซู เหตุใดจึงเป็นเจ้า!”เขาตกใจมาก!ฉินซูผู้ไร้ประโยชน์มีทักษะถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาสามารถปลดอาวุธได้ด้วยมือเปล่าจริง ๆ หรือ?องครักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ฉินหงต่างก็ทำหน้าเคร่งขรึม พลันชักมีดออกมาพร้อมกัน!ดวงตาของฉินซูเย็นชา ดาบในมือของเขากลายเป็นแสงสีขาว ฟันไปที่หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าม่านตาของหัวหน้าองครักษ์หดตัวลงทันที และพยายามหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณทว่าก่อนที่เขาจะขยับเท้าได้ ดาบก็ฟาดลงมาแล้ว“ฉึก!”โลหิตพลันพุ่งออกมา ศีรษะของหัวหน้าองครักษ์ลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาและกลิ้งไปบนพื้นสองสามครั้งก่อนที่มันหยุดลงร่
หลินซีตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอาจมิทราบว่า จริง ๆ แล้วเซี่ยหลานถูกองค์รัชทายาทคุกคามเมื่อมินานมานี้ นางต้องการแก้แค้นองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่นางไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เยี่ยมมาก คราวนี้เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะโค่นฉินซูลงให้ตกต่ำที่สุดจนลุกขึ้นมิได้อีก!”การแสดงออกของฉินหงดูชั่วร้ายมาก ดูอันตรายอย่างยิ่งในเวลาเดียวกันภายในโรงเตี๊ยมที่คณะทูตเป่ยเยี่ยนพักอยู่มู่หรงฟู่พูดด้วยความโกรธ “ให้ตายเถอะ ข้าอยากให้ฉินซูอับอายต่อหน้าธารกำนัล มิคิดเลยว่าเขาจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้”เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เป็นเรื่องแปลกนักที่คนกล่าวขานกันว่า องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนหลงสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และองค์จักรพรรดิต้าเหยียนก็ตัดสินใจปลดเขาออกหลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ทว่าหลังจากการเผชิญหน้าทั้งสองครั้งนี้ ไฉนกระหม่อมจึงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทจะใกล้จะถูกปลดผู้นี้พูดจาเฉียบคมนัก มีสิ่งใดที่เขาดูเหมือนคนที่หลงสุราเคล้านารีหรือ?”“หึ หาได้ต้องถามไม่ เขาต้องรู้ว่าตนกำลังจะถูกปลด ดังนั้นเขาจึ
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า ๆ ขุนนางอาวุโสเฉิงพูดเกินไปแล้ว พวกเราแค่อยากให้องค์ชายของท่านอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน หาอย่าได้ต้องกังวล พวกเราจะดูแลองค์ชายอย่างดี”เฉิงจืออี้สูดจมูกอย่างเย็นชาแล้วพูดกับมู่หรงฟู่ “องค์ชาย โปรดดูแลตัวเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ ภายในสิบวัน องค์จักรพรรดิจะส่งคนไปรับท่านกลับอย่างแน่นอน"“ไปเถอะ เดินทางปลอดภัย”เฉิงจืออี้และคนอื่น ๆ ต่างก็อำลามู่หรงฟู่ จากนั้นจึงขึ้นรถม้าและออกจากเมืองไปหลังจากดูพวกเขากลับไปแล้ว มู่หรงฟู่ก็ถามอย่างใจเย็น “พี่ชายตู๋กู ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่า ข้าควรไปพบไทฮองไทเฮาของเจ้าตอนนี้หรือว่าอย่างไร?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหัวเราะและพูดว่า "องค์ชายมู่หรงให้เกียรติกันเกินไปแล้ว ท่านมีสถานะที่สูงส่ง กระหม่อมมิกล้าให้ท่านเรียกว่าพี่ชายหรอก เรียกกระหม่อมว่าโฉ่วเยวี่ยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"“เข้าประเด็นกันเถิด!”“เช่นนั้น องค์ชายมู่หลง โปรดมากับกระหม่อมมาเถิด เข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาก่อน จากนั้น... กระหม่อมจะพาท่านไปยังที่พำนัก”มู่หรงฟู่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ขี่ม้าเคียงข้างกับตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไประหว่างทาง เขาถามอย่างสงสัย “ว่าแต่ว่า พี่ตู๋กู เรื่องกั
เหลยเจิ้นอธิบายว่า “ข้าน้อยเพียงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทสามารถหาวิธีที่จะควบคุมเป่ยเยี่ยนได้ ดังนั้นพระองค์อาจมีความคิดเกี่ยวกับการค้นหาผู้มีความสามารถจากทั่วใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอู๋ต้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัวเล็กน้อย“ข้าควรถามเว่ยเจิงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ส่งคนไปจับตาดูเป่ยเยี่ยนอย่างใกล้ชิดด้วย ตอนนี้แม้ว่ามู่หรงฟู่จะถูกกักขังอยู่ที่นี่ แต่เราต้องระวังการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายจากฝั่งเป่ยเยี่ยนด้วย”“ข้าน้อยน้อมรับสั่งฝ่าบาท!”เหลยเจิ้นโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วถอยกลับเดินออกไป…… ทางด้านของฉินซูหลังจากที่เขาออกจากจวนตระกูลหลิน เขามิได้กลับไปที่ตำหนักบูรพา แต่มาที่โรงน้ำชาใกล้กับตลาดที่พลุกพล่านแทนเมื่อพูดถึงการรวบรวมข้อมูล ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่านี้แล้วเขาพบที่นั่งริมหน้าต่างและนั่งลง ขณะดื่มชาเขาก็ตั้งใจฟังบทสนทนาที่ค่อนข้างมีเสียงดังในโรงน้ำชาด้วยเนื่องจากเขาปลอมตัวออกมาประหนึ่งสามัญชนจึงไม่มีใครจำเขาได้ในเวลานี้ ชายคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะถัดไปถามสหายของเขาว่า “นี่ ๆ พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ เมื่อสองวันก่อนมีใครบางคนทำลายปราการเฮยเฟิงในคราวเดียว พวกผู้นำหัวหน้าต่าง
ฉินซูถามอย่างมิเป็นทางการ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับสองของหลงเฉิง ตอนนี้เจ้ามีความแข็งแกร่ง หรือจะถามว่าเจ้าอยู่ในระดับใด?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเหลือบมองฉินซูอย่างสงสัย มิเข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึงถามเรื่องนี้แต่เขาก็ยังคงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมเป็นนักรบขั้นกลางระดับปฐพี”“ระดับปฐพี?”“พ่ะย่ะค่ะ ในวีถีแห่งวรยุทธ แบ่งระดับจากสูงไปต่ำคือ ระดับสวรรค์ ระดับปฐพี ระดับซวน(ลึกลับ) และระดับมนุษย์ แต่ละระดับแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อยได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย”ฉินซูขมวดคิ้วและถามว่า “เช่นนั้น เจ้านายของเจ้าเป็นนักรบระดับสวรรค์หรือ?"“ข้อนี้ กระหม่อมเองก็มิแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความเช่นไร ตามความเข้าใจของข้า เจ้าสำนักถือได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเหยียนอันยิ่งใหญ่ของเรา ในระดับนี้แล้ว ความแข็งแกร่งมิน่าจะอยู่เพียงแค่ขั้นปลายระดับปฐพีได้เลย”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตาเฒ่านั่น... อะแฮ่ม... กระหม่อมหมายถึงท่านผู้นั้นย่อมมิใช่เพียงแค่นักรบระดับปฐพี แต่เหตุผลที่เมื่อครู่กระหม่อมบอกว่า กระหม่อมมิแน่ใจก็เพราะกระหม่อมคิดว่าคว
ฉินหงเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเย้ยหยัน‘ฉินซูนะฉินซู หากครั้งนี้เราจับเจ้าได้ แม้ว่าเจ้าคารมคมคายเพียงใด ก็ไม่มีทางแก้ตัวให้รอดไปได้’‘ตำหนักบูรพา ถึงคราวเปลี่ยนเจ้าของแล้ว!’เมื่อฉินหงกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เหล่าองครักษ์ก็วิ่งกลับมาทีละคน“ทูลท่านอ๋องฉี ไม่มีใครอยู่ในร้านค้าเลยพ่ะย่ะค่ะ!”“ว่ากระไรนะ! ไม่มีใครเลยรึ?!”ฉินหงสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “เจ้าค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้วหรือยัง?”“ค้นอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีใครอยู่จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชิ่งกั๋วกงอย่างเซี่ยเหอก็รู้สึกกังวล “ทูลท่านอ๋องฉี เมื่อครู่เราได้ยินเสียงของเซี่ยหลานอย่างชัดเจน แต่ในพริบตาเดียว เหตุใดนางจึงหายไป? ส่งคนไปตามหานางเร็วเข้า!”ฉินหงรีบพยักหน้า พูดว่า “พวกเจ้า รีบตามหา ต่อให้ต้องแหวกแผ่นดินก็ต้องตามหาเซี่ยหลานให้เจอ!”“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!”ราชองครักษ์กระจายตัวไปทุกทิศทุกทาง แยกย้ายกันออกตามหาคนหลินซีพูดด้วยท่าทางสับสน “แปลกจริง เห็น ๆ อยู่ว่าตรอกนี้เป็นทางตัน ฉินซูจะพาเซี่ยหลานไปซ่อนที่ใดได้ หรือว่าเขาบินได้กัน?”เซี่ยเหอกังวลมาก เขากระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ขอทีเถอะใต้เท้าหลิน โปรดหยุดคาด
ในตอนที่เซี่ยหลานพูดจบ ฉินซูก็หายตัวไปแล้ว“เจ้าเลว! เจ้าชั่ว! เจ้าคนสารเลว!”เซี่ยหลานกำหมัดของนางแรงจนข้อนิ้วเปลี่ยนซีดขาวนางก้มหน้าลงมองอาภรณ์ที่ฉินซูฉีกทึ้งจนมิเหลือชิ้นดี ความคับข้องใจและความมิเต็มใจปะทุขึ้นในใจนางจากนั้นนางก็ทนมิไหวอีกต่อไป หยาดน้ำตาหลั่งออกมาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ฮือ”ตลอดชีวิตของนาง นางมิเคยถูกทำให้อับอายถึงเพียงนี้มาก่อนสำหรับนาง นี่เป็นความอัปยศอย่างยิ่ง!“ฉินซู ท่านคอยดูเถอะข้าจะให้ท่านต้องชดใช้สิ่งที่ท่านทำในวันนี้! ฮือ... เจ้าสารเลวกล้ามาทำให้ข้าอับอายเช่นนี้... ”นางหลั่งน้ำตา ร้องไห้มิหยุดหลังจากระบายความโกรธแล้ว นางก็หยิบเศษผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นวัดร้างขึ้นมาและคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของนางจากนั้นก็ฉีกอีกชิ้นหนึ่งออกมาคลุมใบหน้าไว้นางอยู่ในสภาพอาภรณ์ขาดวิ่นเช่นนี้ มิกล้าสู้หน้าผู้คนจริง ๆ หลังจากทำตัวเองให้ดูมอมแมมแล้ว ก็ออกจากวัดร้างไปด้วยความสบายใจแถวนี้คนผ่านไปมาน้อย หากมิทำให้ตัวเองดูสกปรก นางก็เกรงว่าจะเจอภัยร้ายแต่นางก็ละเลยไปหนึ่งสิ่งนั่นคือแม้ว่าตอนนี้นางจะดูสกปรกมอมแมม แต่มิว่าอย่างไร รูปร่างอันสง่างามและอรชรอ้อนแอ้
เว่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เผยสีหน้าสงสัย ประสานมือให้กับฉินซู และเอ่ยถาม "มิทราบว่าองค์รัชทายาททรงมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ฉินซูถามด้วยความจริงจัง "ขุนนางอาวุโสเว่ยมีความรู้มากมาย คงจะเคยศึกษาอักษรและภาพวาดของปรมาจารย์มาบ้างใช่หรือไม่? หากมีภาพวาดของปรมาจารย์อยู่ตรงหน้า ขุนนางอาวุโสเว่ยจะแยกออกหรือมิว่าเป็นของจริงหรือปลอม?"เว่ยเจิงมิทราบว่าฉินซูมีเจตนาใด ได้แต่พยักหน้าน้อย ๆ"ข้าน้อยได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักขุนนางใหญ่ มีความรู้ด้านอักษรและภาพวาด หากเป็นภาพวาดที่ผู้อื่นลอกเลียนมา ข้าน้อยมั่นใจแปดส่วนว่าจะแยกแยะออกพ่ะย่ะค่ะ""ดีมาก! ขุนนางอาวุโสเว่ยแยกแยะภาพวาดของปรมาจารย์ได้ เช่นนั้นลายมือของขุนนางทั้งหลาย ท่านก็คงรู้จักดีใช่หรือไม่?"เว่ยเจิงขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย "ข้าน้อยมิเข้าใจ องค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ หรือว่ามีขุนนางลอกเลียนภาพวาดของปรมาจารย์ และองค์รัชทายาทต้องการให้ข้าน้อยตรวจสอบหรือพ่ะย่ะค่ะ?""เกือบจะใช่ หากให้ท่านแยกแยะ ท่านจะทำได้หรือไม่?"เว่ยเจิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้าช้า ๆ "ปกติข้าน้อยจะจัดการงานราชสำนักแทนฝ่าบาท จึงรู้จักลายมือของขุนนางอยู่บ้าง เช่นนั้นก็น
หากเป็นเช่นนั้น ในวันชุนเฟินปีหน้า องค์รัชทายาทคงมิถูกปลดแน่!ทั้งสองรีบสบตากัน ครุ่นคิดหาทางรับมือฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองไปทางเหลยเจิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง “ขุนนางเหลย เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของเจ้า เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”เหลยเจิ้นกล่าวอย่างจนใจ “ทูลฝ่าบาท หากเสวี่ยเจี้ยนเต็มใจข้าน้อยก็ยินดีกับนางพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เจ้าก็มิได้คัดค้าน?”“เสวี่ยเจี้ยนได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาท ข้าน้อยจะคัดค้านได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อขุนนางเหลยมิคัดค้าน เรื่องที่องค์รัชทายาทขอ ข้าก็อนุญาต!”ฉินซูทำความเคารพอีกครั้ง “ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินหงประสานมือกล่าว “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าเรื่องนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ มิควรด่วนตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“โอ้? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ทูลเสด็จพ่อ องค์รัชทายาทคือผู้สืบราชสมบัติ การอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทมิใช่เรื่องล้อเล่น แม้ว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะเป็นศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวง แต่เป็นเด็กกำพร้า ลูกคิดว่านางมิเหมาะสมที่จะเป็นชายาขององค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินหงพูดจบ หวังฉือก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องฉี ท่านหมายความว่าศิษย์
หวังฉือกล่าวโดยใช้เหตุผล “ท่านอ๋องซิ่น ข้าน้อยเพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทประทานบำเหน็จแก่องค์รัชทายาท มิได้กล่าววาจาดูหมิ่นเบื้องสูงแต่อย่างใดแต่เป็นคำพูดของท่านเมื่อครู่ที่เป็นการยุยง ข้าน้อยเห็นว่าคนที่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวายคงเป็นท่านเองมากกว่า!”ฉินหยางชี้ไปที่หวังฉือ มองอย่างโกรธเคือง “หวังฉือ เจ้าหมายความเยี่ยงไร เจ้าว่าข้ากำลังยุแหย่ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพ่อและองค์รัชทายาทรึ?”“ข้าน้อยมิได้กล่าวเช่นนั้น แต่จริงหรือไม่ ท่านย่อมรู้แก่ใจพ่ะย่ะค่ะ!”คำพูดของหวังฉือ ทำให้ฉินหยางโกรธจัด!เขากล่าวอย่างโกรธเคือง “เสด็จพ่อ หวังฉือเป็นเพียงตุลาการศาลต้าหลี่ แต่กล้าพูดจาสามหาวในท้องพระโรง ซ้ำยังกล่าวหาว่าลูกยุยงปลุกปั่น สร้างความขัดแย้ง ลูกขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษเขาสถานหนัก เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ!”“ท่านอ๋องซิ่น ข้าน้อยเป็นขุนนางขั้นสอง ย่อมมีสิทธิ์ถวายฎีกา แต่ท่านกลับคอยขัดขวาง หรือว่าใครก็ตามที่พูดแทนองค์รัชทายาท ท่านก็จะให้ฝ่าบาทลงโทษสถานหนักหรือ?”เนี่ยหงเองก็สำทับอย่างมิพอใจ “ท่านอ๋องซิ่นช่างมีอำนาจยิ่งนัก คนภายนอกเห็นเข้าคงคิดว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักต้าเหยียน!”“พู
ในขณะเดียวกันหวังฉือและเนี่ยหงกำลังเดินไปยังพระราชวังในขณะนั้น เสนาธิการหลิวเว่ยแห่งศาลต้าหลี่ก็วิ่งตามมา และกระซิบข้างหูหวังฉือสองสามคำ!หวังฉือถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "จริงหรือ?"หลิวเว่ยพยักหน้าจริงจัง "จริงแท้แน่นอน คนผู้นั้นอยู่ที่ศาลต้าหลี่ของเรา!""ดี! เจ้าดูแลคนผู้นั้นให้ดี เตรียมพร้อมเข้าเฝ้าทุกเมื่อ!!"หลิวเว่ยพยักหน้าแล้วหันหลังจากไปเนี่ยหงที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยความสงสัย "ใต้เท้าหวัง เกิดกระไรขึ้น?"หวังฉือแสร้งทำเป็นมีลับลมคมใน กล่าวยิ้ม ๆ ว่า "ประเดี๋ยวท่านก็รู้ วันนี้ต้องมีคนเคราะห์ร้ายแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า!"คำพูดของเขาทำให้เนี่ยหงสงสัยมากขึ้นมิว่าเนี่ยหงจะถามอย่างไร หวังฉือก็มิยอมบอกทำให้เนี่ยหงกระวนกระวายใจ มองด้วยสายตาขุ่นเคืองหนึ่งชั่วยามต่อมาพระตำหนักจินหลวนฉินอู๋ต้าวมองไปที่เฉาฉุนข้างกายเฉาฉุนจึงกล่าวเสียงดัง "ประกาศ องค์รัชทายาทเข้าเฝ้า!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขุนนางทั้งหลายก็มองไปนอกประตูสีหน้าของฉินหงและฉินหยางอึมครึมอย่างมากฉินซูเดินเข้ามาอย่างองอาจ ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกนามตอนนั้นเขาสวมชุดมังกรสี่กรงเล็บ สวมกวานทองคำสามง่ามประดับอัญมณี
เห็นเพียงร่างทั้งสองที่พุ่งเข้ามาดุจลูกธนู แต่เมื่อมาถึงกลางทาง ร่างกายก็แข็งทื่อ ล้มลงมาจากอากาศเมื่อเห็นภาพนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง!เมื่อครู่พลังที่ระเบิดออกมาจากร่างทั้งสองนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งแต่บัดนี้พวกเขากลับล้มลงกับพื้น เกิดอันใดขึ้น?ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของทุกคน ร่างกายของคนทั้งสองก็เริ่มพองตัวอย่างรุนแรง แม้แต่อาภรณ์ก็เริ่มขาดวิ่น!เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็สั่ง “หลบ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกถึงลางร้าย รีบหลบหลังหินก้อนใหญ่ข้างทางหลังจากที่พวกเขาหลบได้ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดัง ‘เปรี้ยง เปรี้ยง’ สองครั้ง!จากนั้นก็มีลมพายุพัดผ่านไป ฝุ่นและหินปลิวว่อนไปทั่วครู่ต่อมา ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากหลังก้อนหินเห็นเพียงพื้นดินที่คนทั้งสองอยู่เมื่อครู่ ถูกระเบิดเป็นหลุมสองหลุมรอบ ๆ หลุมเต็มไปด้วยเศษเนื้อและแขนขา น่าสยดสยองถานเหวยและคนอื่น ๆ ที่มิเคยเห็นความโหดร้ายของสงคราม ก็พลันท้องไส้ปั่นป่วนและอาเจียนมิหยุดตงฟางโซ่วพึมพำอย่างเหลือเชื่อ "เมื่อครู่สองคนนั้นระเบิดตัวเองหรือ?!""วิธีการตายน่าสยดสยองเช่นนี้ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก พวก
“ท่านฝึกฝนจนถึงขั้นได้ยอดฝีมือระดับสวรรค์แล้วหรือเพคะ?”ฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ถึงแม้จะพึ่งโอสถ แต่พลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับสวรรค์จริง ๆ น่าเสียดายที่ฤทธิ์ยามิค่อยเสถียรนัก”“โอสถที่ถึงกับเพิ่มพลังถึงระดับสวรรค์ได้ ท่านได้มาจากที่ใดกัน?”เสียนเฟยตกใจมาก แม้นางจะมิเข้าใจวรยุทธ์ แต่ก็รู้ว่าระดับสวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใดฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่ามาจากเงื้อมมือของปราชญ์โอสถแห่งหุบเขาเทพโอสถ!”“ว่ากระไรนะ?! เทพโอสถก็อยู่ที่นี่กับท่านงั้นหรือ?”“ถูกต้อง ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็ถูกข้าจับตัวมาปรุงยาเพิ่มพลังยุทธ์ให้กับข้าลับ ๆ”เสียนเฟยจึงเอ่ยพึมพำ “มิน่า ที่งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เทพโอสถจึงมิปรากฏตัว เมื่อต้นปีเขาเคยบอกว่าจะถวายโอสถอายุวัฒนะแก่ฝ่าบาทในงานเฉลิมพระชนมพรรษาของไทฮองไทเฮา ต่อมาฝ่าบาทส่งคนไปตามหาเขาก็หาได้มีข่าวคราวไม่ นึกมิถึงว่าจะถูกท่านจับตัวไว้!”“หึ ในใต้หล้านี้มีโอสถอายุวัฒนะเสียที่ไหน ข้าว่าฉินอู๋ต้าวเป็นจักรพรรดิจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว เมื่อข้าฝึกฝนยอดฝีมือระดับสวรรค์ได้มากพอ ข้าจะบุกเข้าวัง บีบให้ฉินอู๋ต้าวสละราชสมบัติ!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ฉางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลันมองไปที่นอกประตูเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาก็กระซิบตำหนิ "เจ้าอยากจะฆ่าพวกเราหรือไร บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว อย่าเอ่ยเรื่องนี้ออกมา!"เสียนเฟยสะอื้นไห้ สีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อเห็นดังนั้น ฉินอู๋ฉางก็ถอนหายใจเบา ๆ ดึงนางเข้ามาสวมกอดเสียนเฟยซบไหล่เขา ร้องไห้หนักกว่าเดิมฉินอู๋ฉางปลอบโยนสองสามคำ แล้วถามว่า "เจ้ายอมเสี่ยงโดนฝ่าบาทจับได้เพื่อมาถึงที่นี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซียวเอ๋อร์หรือ?""เขาถูกฝ่าบาทสั่งขังในคุกหลวง..."นางพูดยังมิทันจบ ฉินอู๋ฉางก็อุทาน "ว่ากระไรนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่!"เสียนเฟยก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากฟังนางเล่า ฉินอู๋ฉางก็ขมวดคิ้ว"ไฉนเซียวเอ๋อร์จึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เขียนจดหมายถึงหัวหน้าชนเผ่าโครยอ เนื้อความในจดหมายยังบอกให้ลงมือกำจัดองค์รัชทายาท ซ้ำยังให้สัญญาว่าเมื่อขึ้นครองราชย์จะยกเมืองให้เขาเพื่อกอบกู้บ้านเมือง เขามิรู้หรือว่านี่เป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกประหารชีวิต!!""แล้วเจ้ายังคิดแผนกระไรเช่นนี้ ให้คนเลียนแบบลายมือของเซียวเอ๋อร์ เขียนถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูง เจ้าคิดว่านี่จะหลอก
หลังจากมองอีกฝ่ายเดินออกไปจนลับสายตา สีหน้าของเสียนเฟยก็แปรปรวนนางมิคิดว่าฉินอู๋ต้าวจะสงสัย นี่มิใช่ลางดีนางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว!จากนั้นนางจึงกระซิบกับนางรับใช้ข้างกาย "ข้าจะออกจากวัง เจ้ารีบจัดการให้ข้าที!""บ่าวจะไปจัดการให้เพคะ พระสนมโปรดคอยสักครู่"นางรับใช้คำนับแล้วรีบเดินออกไปเสียนเฟยถอดชุดคลุมหงส์ออก และเปลี่ยนเป็นชุดนางกำนัลประมาณครึ่งชั่วยามต่อมาขันทีน้อยหลายคนก็แบกเกี้ยวมาที่หน้าประตูวังองครักษ์ที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็ยื่นมือออกมาขวาง"ท่านขันที ผู้ใดอยู่ในเกี้ยวหรือ?""เรียนรองหัวหน้าองครักษ์เฉิน ในเกี้ยวคือนางกำนัลคนสนิทของพระสนมเสียนเฟย นางมีธุระที่บ้าน พระสนมเสียนเฟยประทานอนุญาตให้นางออกจากวัง นี่คือป้ายประจำพระองค์ของพระสนมเสียนเฟย ขอรองหัวหน้าองครักษ์เฉินอำนวยความสะดวกด้วย"ขันทีน้อยคนหนึ่งพูดพลางยื่นป้ายประจำตัวของเสียนเฟยให้พร้อมกันนั้นก็ยัดเงินเล็กน้อยใส่มืออีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบองครักษ์มองดูแล้วก็เข้าใจความหมาย กล่าวว่า "เปิดม่านเกี้ยว ข้าจะตรวจตามระเบียบ""ขอรับ!"ขันทีน้อยเปิดม่านเกี้ยว ฝ่ายองครักษ์ก็มองเข้าไปพอเป็
หวังฉือกล่าวด้วยความเคร่งขรึม "ข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติไปหมดทุกอย่าง หากจดหมายเป็นของอ๋องหนิงจริง เหตุใดเขาจึงส่งจดหมายให้ข้ากับท่าน อีกทั้งยังให้เผยหยวนถวายฎีกาถอดถอนเขาต่อหน้าธารกำนัลอีก เขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเอง!"เนี่ยหงเองก็คิดมิตกเช่นกัน จึงกล่าวพึมพำ "หรือว่า… มีผู้อื่นใส่ร้ายอ๋องหนิง?"หวังฉือส่ายหน้าเล็กน้อย "ไม่มีทาง อ๋องหนิงเข้ากับคนในราชสำนักได้ทุกฝ่าย ไฉนจึงมีคนใส่ร้ายเขาเล่า"เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหวังฉือก็มืดครึ้มลง กล่าวอย่างเคร่งขรึม "หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่อ๋องหนิงสร้างขึ้นเอง เพื่อลากองค์รัชทายาทลงมาด้วย!"เนี่ยหงถามด้วยความสงสัย "ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"หวังฉืออธิบาย "ข้าก็พูดมิถูก แต่ข้ารู้สึกว่าจุดประสงค์ของอ๋องหนิงต้องเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน"เนี่ยหงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้า ๆ"หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพราะช่วงนี้อ๋องหนิงเสียท่าต่อองค์รัชทายาทหลายครั้งหลายครา คนที่เขาอยากจะแก้แค้นมากที่สุดก็คือองค์รัชทายาท""น่าเสียดายที่ยามนี้พวกเรายังมิรู้ว่าอ๋องหนิงจะทำการใดต่อไป ได้แต่คอยจับตาด