หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ
“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง
“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”
“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว
“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา
“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น
นอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เรื่องราวในอนาคตของเขาเปลี่ยนไป
ยามพลบค่ำหลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อย หลี่เหลียนฮวาไม่รอช้ารีบพูดคุยกับใต้เท้าหลี่ ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปตามที่นางคาดหวัง เพราะเขาตามใจนางเหมือนทุก ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ แม้จะแปลกใจในความคิดของบุตรสาว แต่เรื่องราวประหลาดหลายเดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เขาชินแล้ว
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาเสี่ยวหานและอาเฉินก็ได้ร่ำเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ จากอาจารย์พิเศษที่ใต้เท้าหลี่จัดหามาให้ หลังจากเลิกเรียนแล้วเขามักจะช่วยเหลืองานต่าง ๆ ภายในจวนอย่างไม่รีรอและตั้งใจ เพื่อเป็นการตอบแทนความกรุณาของใต้เท้าหลี่และทุก ๆ คน
“ดีจริง ๆ ต่อไปนี้ข้าคงไม่ต้องกังวลเวลาที่เจ้าอยู่คนเดียวอีกแล้วล่ะ” หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ พลางมองเขาจากไกล ๆ
“ทำไมข้าไปเรียนกับพวกเขาไม่ได้นะ” นางบ่นเบา ๆ แต่แม่บ้านจางได้ยิน
“คุณหนู กุลสตรีต้องเรียนอีกอย่างนะเจ้าคะ จะไปต่อยตีกับผู้อื่นเห็นจะไม่เหมาะ” นางปรามคุณหนูผู้ห้าวหาญ
ถึงในโลกความจริงจะพอได้เรียนการป้องกันตัวมาบ้างตอนปีหนึ่ง แต่พอมาอยู่ร่างหลี่เหลียนฮวาแล้วรู้สึกพละกำลังหายไป เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงซะอย่างนั้น ทำไงได้ร่างเด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ เมื่อใช้กำลังไม่ได้ต่อสู้ตรง ๆ ไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนมาใช้สมองแทนเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ
------------------------------------------------------------------------------
“จิ่วเอ๋อร์ ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กันเถอะ วันนี้แม่บ้านจางเตรียมขนมมากมายไว้ให้พวกเรากินเล่นด้วย เดี๋ยวรอเสี่ยวหานกับอาเฉินเรียนเสร็จแล้วเราออกไปพร้อมกัน” หลี่เหลียนฮวาชวนทุกคนไปเที่ยวที่สวนดอกไม้เป็นประจำ เพราะอากาศตรงนั้นเย็นสบาย มีลมพัดไอน้ำจากสระเข้ามาทางศาลาพักผ่อนตลอดเวลา ยามทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำและขอบฟ้าทำให้จิตใจได้ผ่อนคลาย
“อาเฉิน เสี่ยวหาน พวกเจ้าดูแลคุณหนูกับเสี่ยวจิ่วดี ๆ นะ” แม่บ้านจางกำชับก่อนจะส่งตะกร้าขนมให้ให้อาเฉินกับเสี่ยวหาน
“ขอรับ” ทั้งสองรับคำ
ทำไมวันนี้รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไร หลี่เหลียนฮวาเหมือนมีลางสังหรณ์
ระหว่างทางเดินไปที่สวนดอกไม้ พวกเขากำลังจะเดินสวนกับเด็กโตกว่าห้าคนอีกกลุ่มหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่และพู่สีครามที่ห้อยตรงเอวให้ความรู้สึกราวกับเป็นบุตรของขุนนางสกุลผู้ดี หากไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาคงจะได้วิ่งเล่นและทานขนมอย่างเอร็ดอร่อยที่ศาลายามบ่ายไปแล้ว ทว่านางทำขนมชิ้นหนึ่งหลุดมือ เจ้าก้อนกลม ๆ นั้นกลิ้งหลุน ๆ ไปยังเด็กกลุ่มนั้น คนข้างหน้าที่มัวแต่เดินไปคุยไปไม่ทันได้มอง จึงเหยียบขนมชิ้นนั้นแล้วลื่นหงายไปข้างหลัง
“พวกเจ้าแกล้งข้าหรือ” เขาโพล่งออกมาด้วยความโกรธ
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเจ็บมากหรือไม่” หลี่เหลียนฮวารู้สึกผิดจึงรีบขอโทษและข้าไปพยุงเขาลุกขึ้น
กระนั้น เขากลับรู้สึกไม่พอใจเมื่อนางไปแตะตัวเขา จึงผลักนางออกไป ด้วยพละกำลังที่มากกว่า หลี่เหลียนฮวาล้มไปอีกทาง นางใช้มือบังหน้าตนเองไว้จึงมีแผลจากก้อนหินบาด
เสี่ยวหานรีบมาพยุงนางลุกขึ้น ก่อนตรวจดูว่านางเจ็บที่ใดอีกหรือเปล่า ส่วนอาเฉิน เมื่อเห็นคนทำร้ายคุณหนูย่อมไม่เก็บอาการไม่อยู่ เขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ
“พวกเจ้า ทำไมยังไม่ขอโทษข้าอีก ทำข้าเจ็บตัวแล้วยังทำเสื้อผ้าของข้าเปื้อนดินไปหมดแล้ว”
“คุณหนูขอโทษเจ้าแล้ว แต่เจ้าผลักคุณหนู” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับพลางทำเสียงสะอื้น น้ำตาคลอ เพราะเห็นคนทำร้ายหลี่เหลียนฮวา
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าคนผู้นี้เป็นใคร ร่างกายของเขามีค่ายิ่งนัก หากเป็นอะไรไป แค่คำขอโทษของพวกเจ้าคงไม่พอหรอก” หนึ่งในนั้นตอบกลับมาด้วยความโอ้อวด หยิ่งยโส
“ข้ารู้ ๆ พวกเจ้าต้องเป็นบุตรขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินแน่ ๆ เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง ข้าขอโทษจริง ๆ เสื้อผ้านี้ข้าจะชดใช้ให้ เจ้าบอกข้ามาเถิดว่าเป็นบุตรของผู้ใด” หลี่เหลียนฮวาพยายามแก้สถานการณ์มาคุ
“นี่เจ้าไม่รู้จักเขาได้อย่างไร เขาเป็นถึงบุตรชายคนโตของสกุลเหยาเลยนะ เห็นทีเจ้าคงเป็นแค่บุตรสาวชาวบ้านทั่วไปกระมัง” หนึ่งในนั้นตอบเกทับ
ข้าขอมาเที่ยวเล่นในเมืองตามประสาเด็กน้อย ทำไมถึงมีเรื่องทุกครั้งที่ออกมานอกจวนขนาดนี้นะ หลี่เหลียนฮวาได้แต่คิดในใจพลางเอ่ยขอโทษเขาอีกครั้ง
“ข้าขอโทษจริง ๆ ที่ไม่รู้จักพวกเจ้า ข้าไม่ค่อยได้ออกมานอกบ้านเท่าใด” นางพูดตามตรงหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ ไหนเลยเหตุการณ์จะบานปลาย
“ข้าไม่รับคำขอโทษ” เขาตอบ
เสี่ยวหานที่อดทนหักห้ามใจและคอยดึงอาเฉินอยู่เดินก้าวออกมายืนข้างหน้าหลี่เหลียนฮวา
“คุณหนูข้าของโทษเจ้าแล้ว และเจ้าก็ทำให้นางบาดเจ็บเช่นกัน เจ้าควรรับคำขอโทษของนาง”
เด็กสกุลเหยาไม่พอใจที่ลูกชาวบ้านเช่นเขาพูดแบบนี้ เขาจึงผลักเสี่ยวหานล้มไปที่พื้น แต่ไหนแต่ไรมาคนเอาแต่ใจแบบเขาไม่มีใครกล้าขัดใจ ต่อให้ความผิดเขาจะมากมายแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดกล้าติเตียน
“เจ้า คนนิสัยไม่ดี” หลี่เหลียนฮวาโพล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว กำมือข้างหนึ่งเขกหน้าผากเขาไปหนึ่งครั้ง
แม้จำนวนคนฝั่งหลี่เหลียนฮวาจะมีน้อยกว่าแต่ก็พอจะสู้กับอีกฝ่ายได้สูสี เสี่ยวหานและอาเฉินรับมือกับฝ่ายนั้นสี่คน ส่วนหลี่เหลียนฮวาและจิ่วเอ๋อร์กำลังยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังกับนายน้อยสกุลเหยา
“ปล่อยจิ่วเอ๋อร์เดี๋ยวนี้นะ” หลี่เหลียนฮวาตะโกนใส่หูเขา ก่อนนางจะกระโดดดึงผมเกล้าของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า
เส้นทางมาสวนดอกไม้แห่งนี้ ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านไปผ่านมานัก เนื่องจากเป็นทางผ่านของเหล่าขุนนางชั้นสูงเท่านั้น แต่ยามนี้เป็นเวลาราชการ ขุนนางต่าง ๆ จึงอยู่ในวัง
“พวกเจ้าหยุดได้แล้ว!” เสียงหนึ่งตะโกนก้อง
เสียงดังราวฟ้ากัมปนาถทำให้ทุกคนพร้อมใจกันหยุดนิ่งอยู่กับที่ มือข้างหนึ่งของหลี่เหลียนฮวาที่กำผมของนายน้อยสกุลเหยาอยู่รีบปล่อยอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายสาม!” นายน้อยสกุลเหยาเสียงหลง
เย่ชิงหลงคือองค์ชายสามหรอกหรือ หลี่เหลียนฮวาคิดทบทวนเรื่องราว
“เย่ชิงหลง เจ้าช่วยข้าด้วย” นางขอความช่วยเหลือจากเขา
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นถึงได้เป็นเช่นนี้” เย่ชิงหลงถามนางด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพผมเผ้าของนาง
หลี่เหลียนฮวาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดแบบสรุปจบให้เขาฟัง ก่อนที่เขาจะหันไปทางนายน้อยสกุลเหยา
“พวกเจ้าเป็นถึงบุตรขุนนางชั้นสูงของแผ่นดินนี้ใยถึงประพฤติตนเช่นนี้”
“พวกนั้นทำข้าก่อนแล้วเจ้านั่นยังมาว่าข้าอีก”
“เจ้าคิดทบทวนให้ดีเถิด นางบอกว่าขอโทษเจ้าไปแล้ว แต่ใยเจ้าติดใจเอาความเช่นนี้”
ไม่ทันที่นายน้อยสกุลเหยาจะได้เอ่ยปากอีกครั้ง เขาพูดขึ้นเตือนสติอีกว่า
“หากเรื่องนี้รู้ถึงบิดาของเจ้า เขาจะอับอายการกระทำของเจ้าเพียงใด เจ้ารังแกแม้กระทั่งเด็กหญิง และนางเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลี่ไท่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเล่าเรื่องราวแก่บิดาของเจ้าเองแล้วมาขอโทษนางด้วยความจริงใจในคราวหลัง แยกย้ายกลับจวน” เย่ชิงหลงกล่าว
เมื่อฝ่ายนั้นแยกย้ายกลับจวน เย่ชิงหลงหันมาดูหลี่เหลียนฮวาและคนอื่น ๆ เขาคิดว่าแม้จะมีคนน้อยกว่าแต่โดยรวมแล้วอยู่ในสภาพดีกว่ากลุ่มนั้นมากโข อาจเป็นเพราะเด็กชายสองคนผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือไม่น้อย
“คุณหนู ท่านเจ็บมากไหม” เสี่ยวหานถามหลี่เหลียนฮวาด้วยความเป็นห่วง ส่วนอาเฉินก็หันมาดูน้องสาวของตน โชคดีนักที่นายน้อยสกุลเหยาผู้นั้นไม่ได้มีวิชาต่อสู้ใด ๆ เหมือนกับคนที่เหลือ ทำให้หลี่เหลียนฮวาและจิ่วเอ๋อร์ไม่บาดเจ็บ
“ไม่เป็นไร” นางตอบกลับให้เขาหายเป็นห่วง
“มือท่านเจ็บหรือไม่” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่มาก อย่างกังวลเลย ดูเจ้ากับอาเฉินเถอะ ได้แผลอีกแล้ว” นางกังวลใจ
เย่ชิงหลง เมื่อได้เห็นมือหลี่เหลียนฮวามีเลือดไหลก็รีบเดินเข้ามาแล้วนำผ้ามาพันไว้ สีหน้าเป็นห่วงนาง
“ฮวาฮวา เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่จวน จะได้คอยอธิบายเรื่องราวให้บิดาเจ้าฟัง” เย่ชิงหลงอาสาไปส่งนางโดยที่ไม่ได้ร้องขอ หลี่เหลียนฮวาคิดว่าเขาคงช่วยพูดกับบิดาของนางให้ใจเย็นลงได้บ้างเลยไม่ได้ปฏิเสธ
“ขอบพระทัยเพคะ องค์ชายสาม”
“เรียกข้า เย่ชิงหลงเช่นเดิมเถอะ ฮวาฮวา” เขาตอบกลับ
------------------------------------------------------------------------------------
จวนสกุลหลี่
ใต้เท้าหลี่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาหลังกลับมาจากวังหลวง เงยหน้ามองมาที่ประตูไม้หน้าจวน ยามประตูเปิดออก สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ความรู้สึกประเดประดัง คิดต่าง ๆ นานว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับบุตรสาว
หลี่เหลียนฮวาไม่รอช้าให้บิดาได้เอ่ยคำใด นางวิ่งเข้ามากอดเขาแล้วบอกว่านางไม่เป็นอะไรเลย เมื่อเขาเห็นนางยิ้มก็ค่อยเบาใจลง ทั้งเมื่อมองไปด้านหลังยังเห็นองค์ชายสามเดินตามมา และสภาพของคนที่เหลือ แม้จะโล่งใจไปเปราะหนึ่งแต่ในใจนั้นสงสัยทวีคูณ
“องค์ชาย ทำไมท่านถึงได้มาพร้อมนาง” เขาถาม
“ข้าบังเอิญผ่านมา เจอนางเกิดเรื่องนิดหน่อย เมื่อจัดการเรื่องราวแล้ว จึงเดินมาส่งนางที่จวน” เย่ชิงหลงตอบเขา จากนั้นเขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ใต้เท้าหลี่ฟัง
“ขอบพระทัยองค์ชายที่ช่วยเหลือ”
“วันพรุ่ง ข้าจะมาพร้อมกับเขา ท่านไม่ต้องกังวล”
หลังจากส่งองค์ชายกลับวังเรียบร้อยแล้ว เขาสั่งให้แม่บ้านจางดูแลคนที่เหลือ ส่วนตัวเขานั่งคุยกับบุตรสาวสักพักแล้วไปส่งนางที่เรือน
--------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น
นายน้อยสกุลเหยาและผองเพื่อนเดินทางมาที่จวนสกุลหลี่เพื่อขอโทษ หลี่เหลียนฮวาอย่างเป็นทางการ โดยมีใต้เท้าหลี่และองค์ชายสามเป็นพยาน เมื่อสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นายน้อยสกุลเหยาก็ขอลากลับเรือน
เจ้าพวกนี้ ทำไมถึงได้มองเสี่ยวหานเช่นนี้ คงไม่ได้คิดจะมาเอาคืนวันหลังหรอกนะ หลี่เหลียนฮวาเหลือบเห็นสายตาของนายน้อยสกุลเหยา จึงรู้สึกกังวลใจเป็นห่วงเสี่ยวหาน
ฝั่งเย่ชิงหลงเองเมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวกลับเช่นกัน
ใต้เท้าหลี่เรียกเสี่ยวหานและอาเฉินไปพูดคุยกันอยู่นาน แม้หลี่เหลียนฮวาจะถามว่ามีเรื่องอันใด พวกเขาก็ไม่เอ่ยปากบอก นางจึงเข้าใจว่าคงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวนางและมีความสำคัญจึงเก็บไว้เป็นความลับ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นหลี่เหลียนฮวาสังเกตุว่าเสี่ยวหานและอาเฉินฝึกหนักขึ้นและมีบาดแผลแทบทุกวัน แต่กระนั้นทั้งสองก็ไม่เคยปริปาก ดูเป็นคนเข้มแข็งและพึ่งพาได้แม้จะยังอายุเท่านี้
ข้าเองก็ต้องเริ่มออกกำลังบ้างแล้ว ร่างกายจะได้แข็งแรงบ้าง พออยู่ที่นี่แล้วแทบไม่ได้ใช้แรงเลยจริง ๆหลี่เหลียนฮวาคิดแล้วบอกจิ่วเอ๋อร์ว่า
“จิ่วเอ๋อร์ พี่ชายของเจ้าดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เจ้าเองก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองเช่นกัน แต่จะให้ไปเรียนแบบพี่ชายเจ้าคงจะไม่ไหว เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะคุณหนู” จิ่วเอ๋อร์ตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย
“ดีมาก เช่นนั้นมาเริ่มกันวันนี้เลย” นางรีบดึงแขนจิ่วเอ๋อร์ให้กลับเรือน
นอกจากหลี่เหลียนฮวาจะกังวลเรื่องเสี่ยวหานแล้ว นางยังเป็นห่วงจิ่วเอ๋อร์ไม่น้อย ทั้งรักและเอ็นดูจิ่วเอ๋อร์เหมือนน้องสาว ทุกวันนี้เมื่อมีขนมอร่อย ๆ นางจะให้จิ่วเอ๋อร์กินเยอะ ๆ หรือได้ไปที่ไหนสนุก ๆ จิ่วเอ๋อร์ก็จะได้ไปด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร ส่วนอาเฉิน นางหายห่วงเพราะในฝันนั้นเขาอยู่ดีมีสุขยิ่งกว่าใคร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนวันนี้ครบหนึ่งปีแล้วที่หลี่เหลียนฮวาอาศัยอยู่ในความฝันนี้ เด็ก ๆ ทุกคนเติบโตมาอย่างดี จิ่วเอ๋อร์เริ่มอ่านหนังสือออกบ้างแล้ว อาเฉินตัวสูงขึ้นเล็กน้อยและเพิ่งสอบผ่านชั้นเรียนการต่อสู้ขั้นแรกมาได้ ส่วนเสี่ยวหานนอกจากจะตัวสูงขึ้นเกือบเท่าอาเฉินที่อายุมากกว่าสองปี เขายังสอบผ่านเร็วกว่าอาเฉินหนึ่งขั้นด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ยามไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดในเมืองหรือกลับบ้านเพียงลำพัง กลุ่มเด็กยักษ์ก็ไม่มีใครกล้ารังแกเขา เสี่ยวหานแบ่งปันอาหารที่ได้มาจากการทำงานที่จวนแก่เด็กกลุ่มนี้เสมอและคอยชี้แนะไม่ให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กมีปัญหาตามคำแนะนำของหลี่เหลียนฮวา ทุกวันนี้พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันและกัน
เหมันตฤดูวนเวียนมาอีกครา แม่บ้านจางจึงพาทุกคนออกไปตลาดในเมืองเพื่อวัดตัวตัดเสื้อผ้าคลุมกันหนาว หลี่เหลียนฮวาถือโอกาสไปหาของกินและซื้อกระดาษกับพู่กัน
“เถ้าแก่ ข้าซื้อถังหูลู่สี่ไม้”
“ซาลาเปาห้าลูก นะเถ้าแก่”
“น้ำตาลปั้น พวกเจ้าอยากได้อันไหนเลือกเลย”
หลี่เหลียนฮวาและเด็ก ๆ เดินไปหาของกินร้านโน้นร้านนี้จนแม่บ้านจางแทบเดินตามไม่ทัน ขนมที่นางซื้อเกือบเต็มตะกร้า มือสองข้างถือถังหูลู่และน้ำตาลปั้น
เมื่อกินอิ่มเรียบร้อยก็ได้เวลาทำธุระ ระหว่างรอแม่บ้านจางคุยรายละเอียดกับเถ้าแก่ร้านขายผ้า หลี่เหลียนฮวาเดินมาฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อถุงเครื่องรางให้เสี่ยวหาน อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ ก่อนจะเดินไปซื้อกระดาษกับพู่กันให้ใต้เท้าหลี่
หลังเสร็จธุระเรียบร้อยต่างพากันหอบของพะรุงพะรังกลับจวนก่อนพลบค่ำ เสี่ยวหานมาส่งพวกเขาที่หน้าจวนแล้วแยกย้ายกลับบ้าน มือกุมถุงเครื่องรางที่ หลี่เหลียนฮวามอบให้เอาไว้ด้วยความดีใจ
“อาเฉิน เจ้ารู้ไหมว่าเสี่ยวหานไปไหน ข้าไม่เห็นเขามาเกือบอาทิตย์แล้ว ปกติเขาต้องมาเรียนกับเจ้าทุกสองสามวันมิใช่หรือ” หลี่เหลียนฮวาถามอาเฉิน
“อาทิตย์ก่อนเสี่ยวหานบอกว่าจะลาสองสามวันไปช่วยท่านลุงข้างบ้านตัดฟืนในป่าขอรับคุณหนู”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยไปดูเขาที่บ้านสักครั้ง ฝากขนมไปให้เขาด้วย” หลี่เหลียนฮวาวานให้อาเฉินแวะไปดูเสี่ยวหานที่บ้าน
“ขอรับคุณหนู” เขาตอบรับแล้วรีบจัดแจงข้าวของไปหาเสี่ยวหานที่บ้าน
ยามพลบค่ำ อาเฉินรีบเดินกลับจวนมาหาหลี่เหลียนฮวา
“คุณหนู ข้ารอเสี่ยวหานอยู่ทั้งวันแต่ไม่เห็นเขาเลย ถามท่านยายข้างบ้านได้ความว่าเขาเข้าป่าไปหลายวันแล้ว อย่างช้าบ่ายวันนี้เขาต้องถึงบ้านแล้ว ลูกชายของนางก็ยังไม่กลับมาเช่นเดียวกัน”
หลี่เหลียนฮวารู้สึกเป็นห่วงเสี่ยวหานและกังวล กลัวว่าเสี่ยวหานเกิดอะไรขึ้นมา รุ่งเช้านางจึงขอให้คนงานในจวนไปช่วยตามหาเสี่ยวหานอีกแรง ระหว่างเดินไปที่บ้านของเขา หลี่เหลียนฮวานึกภาพบางอย่างในความฝันครั้งนั้นได้จึงรีบวิ่งไปที่หน้าผา จากนั้นลงไปดูที่ริมทะเลสาบข้างล่าง ชะเง้อมองหาเขาซ้ายทีขวาทีไม่หยุดหย่อนจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม่บ้านจางจึงพานางกลับจวน นางตามหาเขาทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรงแล้วผล็อยหลับไป
หลี่เหลียนฮวาตื่นเช้าเตรียมตัวออกไปตามหาเขาอีกครั้ง จังหวะที่ประตูไม้บานใหญ่เปิดออก ทันทีที่เห็นเสี่ยวหาน นางรีบวิ่งเข้าไปกอดเขาทั้งน้ำตา อารมณ์ความเป็นห่วง ความกลัวต่าง ๆ นานาหายเป็นปลิดทิ้ง
ความฝันครั้งนั้น หลี่เหลียนฮวาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นางจำได้ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเสี่ยวหาน ชะตากรรมของเขาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะตื่นจากฝันแล้วนางยังคงเศร้าและน้ำตาเอ่อล้นไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจไปหลายวัน“เสี่ยวหาน เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”“ขอโทษที่ทำให้คุณหนูเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะขอรับ” เสี่ยวหานเห็นหลี่เหลียนฮวาร้องไห้ไม่หยุด และกอดเขาไม่ปล่อย จึงค่อย ๆ ลูบหัวนางช้า ๆหลังจากตั้งสติได้ หลี่เหลียนฮวาจึงค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง เสี่ยวหานเล่าว่าที่เขาหายไปหลายวันเพราะทางเดินป่าไม่ค่อยดีจึงเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอยู่หลายวันเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เสี่ยวหานใช้เวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่เรียนการต่อสู้ ทำงานช่วยแม่บ้านจางและพักที่ห้องอาเฉินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านของตนเท่าใดนัก เพื่อความสบายใจของหลี่เหลียนฮวาราวกับเหตุการณ์จริงยังไม่ได้เกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาจึงยังไม่ตื่นจากความฝัน ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางความคิดไปได้เมื่อได้พบเจอกันบ่อย เที่ยวเ
ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนางไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตาเมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่า
เช้าวันต่อมา“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรักเธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดีหวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน“ซวยแล้ว ๆ คาบ
สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื
เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข
ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด
ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่
เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด