แชร์

บทที่ 1.5 คำอธิษฐานดาวตก

ผู้เขียน: MACARONI/1Millionmilesaway
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-25 10:00:58

ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนาง

ไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตา

เมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะจมลงสู่ใต้ทะเลสาบอันกว้างใหญ่

หลี่เหลียนฮวารู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของเสี่ยวหานหายไป นางจึงลืมตามองหาเขาก่อนจะเห็นร่างที่ไร้สติกำลังจมดิ่งลงไป

ไม่นะเสี่ยวหาน ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นเช่นนี้ หลี่เหลียนฮวารีบดำน้ำลงไปเพื่อคว้ามือของเสี่ยวหานก่อนใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงเขาให้พ้นสู่ผิวน้ำ นางค่อย ๆ ประคองเขาเข้าหาฝั่งอย่างอยากลำบาก

“เสี่ยวหาน เสี่ยวหาน เจ้าฟื้นสิ” นางพยายามปลุกเขาพลางร้องไห้

หลี่เหลียนฮวารีบตั้งสติของตนเองก่อนจับชีพจรและฟังเสียงลมหายใจของเขา ก่อนคุกเข่าข้างลำตัวเขา เริ่มวางมือประสานและกดหน้าอกเพื่อช่วยเขา แม้ว่านางจะตัวเล็กและเริ่มไร้เรี่ยวแรงก็ไม่ทำให้นางยอมแพ้แต่อย่างใด พลางร้องเรียกเขาทั้งน้ำตา จนเขาเริ่มรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น

“เสี่ยวหาน เจ้า...” นางดีใจจนพูดไม่ออก

“คุณหนู” เสี่ยวหานมองดวงหน้าที่น้ำตาเอ่อล้น

หลี่เหลียนฮวาโล่งใจได้ไม่เท่าไร นางเห็นที่ไหล่ซ้ายของเสี่ยวหานเริ่มมีเลือดซึมออกมา ก็รีบฉีกชายกระโปรงมากดแผลห้ามเลือดเอาไว้ ก่อนจะพากันไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ

สายลมยามรุ่งสางอันเย็นยะเยือกและละอองหิมะที่โปรยปรายจากฟากฟ้าราวกับจะซ้ำเติมความเจ็บปวดของพวกเขา ไม่มีทางรู้เลยว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดมาช่วยพวกเขาได้ ร่างกายที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้าไม่สามารถหนีไปที่ใดได้อีกแล้ว ได้แต่รอคอยอย่างมีความหวัง

“ตรงโน้น มีคนอยู่ ข้างหน้านั้น” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ไป ๆ มีคนอยู่ตรงโน้น” ชายอีกคนพูดยืนยัน

ใครจะมาก็มาเถิด ข้าไม่มีแรงหนีแล้ว หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ ตอนนี้นางหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีและบาดเจ็บที่ขาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บไปแล้ว

เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาได้สักพักก็มาหยุดลงตรงหน้าหลี่เหลียนฮวาและเสี่ยวหาน นางเงยหน้ามองด้วยความอ่อนล้า

“ทหารวังหรือ” เสี่ยวหานถามเขาเสียงแหบ

“พวกเจ้า คุณหนูหลี่เหลียนฮวาใช่หรือไม่” ทหารนายหนึ่งถามขึ้นมา

เสี่ยวหานพยักหน้าแทนคำตอบ

“คุณหนูอยู่นี่ขอรับ” เขาตะโกนสุดเสียง

ทหารวังหลวงได้รับแจ้งข่าวจากอาเฉินที่ไปถึงวังหลวงก่อนหน้านี้ไม่นาน เมื่อใต้เท้าหลี่ทราบเรื่องก็ส่งทหารวังออกมาตามหาบุตรสาวและเสี่ยวหานทุกที่ที่เขาคิดว่าเสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาจะไป หากแต่เขานึกถึงครั้งนั้นที่บุตรสาวเขาร้องไห้เป็นห่วงเสี่ยวหานจะเป็นจะตายอยู่ที่ริมทะเลสาบ ก็ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาต้องมาดูที่นี่ด้วยตัวเอง

“เหลียนฮวา ลูกพ่อ” เขาทรุดตัวลงกอดบุตรสาวน้ำตารื้นที่เห็นนางปลอดภัย

“ท่านพ่อ เสี่ยวหาน” นางร้องไห้บอกเขาแล้วผล็อยหลับไปในอ้อมกอดบิดาด้วยความโล่งใจว่าจากนี้เสี่ยวหานจะปลอดภัยแล้ว

-------------------------------------------------------------------------------

จวนสกุลหลี่

หลี่เหลียนฮวาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า

“ท่านพ่อ”

“เหลียนฮวา เจ้าปลอดภัยแล้ว เจ็บที่ใดหรือไม่” ใต้เท้าหลี่ถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง

หลี่เหลียนฮวาส่ายหัว นางไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดที่ใดอาจจะเพราะนางเจ็บจนชาไปแล้ว หากแต่เมื่อนางขยับร่างกายก็เจ็บแปลบที่ขาจนร้องออกมา

“โอ๊ย”

“เหลียนฮวาเจ้าอย่าเพิ่งขยับตัวมาก ท่านหมอทำแผลให้เจ้าแล้ว อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะดีขึ้น” เขาปลอบนาง

“ท่านพ่อ เสี่ยวหาน”

ใต้เท้าหลี่หลบไปข้าง ๆ

“คุณหนู ข้าอยู่ตรงนี้” เสี่ยวหานตอบกลับมา

หลี่เหลียนฮวายิ้มให้เขาแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง น้ำตาของความโล่งใจรินไหล

“แล้วคนอื่น ๆ เล่าเจ้าคะ” นางถามใต้เท้าหลี่

“ปลอดภัยดีแล้ว เหลียนฮวา เจ้าพักก่อนดีกว่า จะได้หายเร็ว ๆ” ใต้เท้าหลี่บอกบุตรสาว

เขาเดินออกไปพร้อมกับเสี่ยวหานเพื่อให้หลี่เหลียนฮวาได้พักผ่อน ร่างกายของนางยังฟื้นไม่เต็มที่เพราะนางใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเสี่ยวหานและยังได้พิษไข้จากอากาศหนาวเย็นในวันนั้นด้วย หลังจากนั้นนางก็นอนหลับไปสองวัน

ด้านเสี่ยวหานเองก็กลับไปพักอยู่ที่เรือนและหลับไปหนึ่งวันเต็ม ร่างกายที่ฝึกหนักในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้เขาฟื้นกำลังได้เร็วกว่าหลี่เหลียนฮวา เขาอดทนไม่ยอมพักเพื่อเฝ้ารอนางฟื้น

สามวันต่อมา

“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์เห็นหลี่เหลียนฮวาจึงเรียกนางด้วยความสดใสเช่นเคย

“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้าหิวข้าว”

“เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องครัว

แม่บ้านจางรีบน้ำสำรับกับข้าวมาให้หลี่เหลียนฮวาถึงในห้องนอน

“คุณหนู ค่อย ๆ ทานนะเจ้าคะ” แม่บ้านจางมองนางด้วยความเป็นห่วงปนดีใจที่เห็นนางฟื้นสติ

“อื้อ” นางตอบกลับแล้วทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย

ใต้เท้าหลี่ที่มาหานางเมื่อเห็นว่านางกินอย่างมีความสุขก็โล่งใจที่บุตรสาวคนนี้กลับมาร่าเริงและแข็งแรงขึ้นแล้ว

กลุ่มชายชุดดำที่ลอบเข้ามาในจวนสกุลหลี่คืนนั้นถูกจับกุมไว้เพราะไม่สามารถสู้ทหารเฝ้ายามได้ ก่อนจะพ่ายแพ้เขายิงพลุไฟขึ้นฟ้าเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่เหลือ ทั้งหมดถูกจับกุมไปขังในคุกหลวงเพื่อรีดเค้นหาผู้ที่บงการเรื่องราวทั้งหมด และไม่สามารถสละชีพตนเองได้เพราะทหารหลวงยึดยาพิษไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้ใช้ ส่วนคนที่เหลือข้างนอกหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรองเช่นเคย และพวกนั้นไม่มีใครกล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วเพราะกำลังเหลือน้อยและคนที่อยู่เบื้องหลังตัดขาดการติดต่อไปชั่วคราวเนื่องจากกำลังโดนเพ่งเล็งจากเหล่าขุนนางฝ่ายซ้ายเช่นกัน

ด้วยความช่วยเหลือจากอาเฉิน ทหารหลวงสามารถไปช่วยบุตรหลานขุนนางคนอื่นที่อยู่ในโรงไม้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้อาเฉินยังได้คุณงามความดีในการช่วยเหลือเย่ชิงหมิงหรือองค์ชายห้าอย่างสุดกำลังเช่นกัน

เย่ชิงหมิงหลังจากที่รอดชีวิตมาได้เริ่มตั้งใจเรียนอย่างจริงจังและฝึกฝนวิชาต่อสู้เพิ่มเติมทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าใดนัก เขาชอบตามเย่ชิงหลงหรือพี่ชายรองไปเที่ยวนอกวังหลังมากกว่า นอกจากนี้เขายังมองเห็นความมุ่งมั่นของอาเฉินที่ตั้งใจช่วยเขาและไม่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังจนซาบซึ้งในน้ำใจ เอ่ยปากขอเป็นเพื่อนกับอาเฉินกลายเป็นสหายกันโดยปริยาย

หลี่เหลียนฮวาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ใต้เท้าหลี่ฟังโดยละเอียด เขาประทับใจความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด จิตใจดีของเสี่ยวหานและเพื่อตอบแทนที่เสี่ยงชีวิตช่วยบุตรสาวของเขาอย่างสุดความสามารถจึงรับเสี่ยวหานเป็นบุตรบุญธรรมและให้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหลี่

“หลี่หาน จากนี้ไปเจ้าจงตั้งใจเล่าเรียน” ใต้เท้าหลี่พูดกับเสี่ยวหาน

“ขอรับ”

“ท่านพ่อ เช่นนี้เขาก็กลายเป็นท่านพี่ของข้าน่ะสิเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาถามเขา

“เขาจะเป็นพี่ของเจ้า และเขาจะช่วยข้าดูแลเจ้า”

“ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง” เสี่ยวหานรับปากในใจไม่ได้คิดอื่นใดนอกจากอยากจะปกป้องหลี่เหลียนฮวาและสกุลหลี่ที่มีบุญคุณกับเขาอย่างท่วมท้น

นับจากนั้นมาเสี่ยวหานได้เข้ารับการฝึกร่วมกับทหารองครักษ์และร่วมชั้นเรียนกับองค์ชายห้า อายุรุ่นราวคราวเดียวกันและการเรียนการฝึกทำให้พวกเขาสนิทสนมกัน บัดนี้หากไปที่ไหนย่อมต้องเห็นพวกเขาสามคนอยู่ด้วยกันเสมอ

------------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันหนึ่ง

“คุณหนู ทำไมตอนนั้นท่านไม่ปล่อยมือข้า” เสี่ยวหานถามหลี่เหลียนฮวาด้วยความสงสัย

“เรียกชื่อข้าเฉย ๆ ก็ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นท่านพี่ของข้าแล้วนะ”

“เหลียน...เหลียนฮวา” เขาเรียกนางอย่างไม่คุ้นชิน

“อื้อ ข้าไม่มีทางปล่อยมือจากท่านหรอก ท่านก็ไม่ปล่อยมือข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ จากนี้ไปท่านต้องมีชีวิตที่ดีนะ ท่านพี่” นางยิ้มให้เขาอย่างสดใส

“ข้าจะปกป้องเจ้าตลอดไป เหลียนฮวา ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” เสี่ยวหานให้สัญญากับนาง

เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะเสี่ยวหาน จากนี้ไปเจ้าต้องมีชีวิตที่ดีนะ หลี่เหลียนฮวามองหน้าเขาแล้วเกี่ยวก้อยสัญญา

กาลเวลาผ่านไปห้าวสันตฤดูที่นางมีชีวิตอยู่ในความฝันของ หลี่เหลียนฮวา ดอกท้อเริ่มผลิบานทั่วทั้งเมือง สายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสว ปีนี้เสี่ยวหานเป็นผู้ที่ชวนหลี่เหลียนฮวาไปเที่ยวเทศกาลในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์และอาเฉิน ที่บัดนี้ได้เข้าร่วมสังกัดทหารอารักขาประจำตัวเย่ชิงหมิง แน่นอนว่าองค์ชายห้าผู้นี้ต้องไม่พลาดที่จะได้โอกาสเที่ยวเล่นในเมืองหลังจากคร่ำเคร่งร่ำเรียนตลอดทั้งเดือนราวกับรอคอยช่วงเวลานี้มานานแล้ว

ทุกคนเดินเล่นในเมืองและแวะเดินชมเทศกาลด้วยสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจ เย่ชิงหมิงรบเร้าอาเฉินให้พาไปดูละครตรงกลางเมือง เขาจึงแยกจากเสี่ยวหานและพาจิ่วเออร์ไปด้วย พลางคิดในใจว่าเงินเดือนที่เพิ่งได้มาวันก่อนคงจะหมดในวันนี้เพราะองค์ชายห้าแน่นอน เย่ชิงหมิงไม่เคยพกเงินสักอีแปะไม่ว่าจะไปที่ใด

เสี่ยวหานพาหลี่เหลียนฮวาไปที่ร้านขายเครื่องเขียนที่อยู่ด้านในก่อนจัดแจงของบางอย่างใส่ถุง พานางหลบผู้คนมาที่สวนดอกไม้ ยามนี้ดอกไม้ในสวนผลิบานหลากหลายสี เขาพานางเดินไปที่พุ่มดอกโบตั๋นสีขาวและรู้ว่านางต้องดีใจมากแน่ ๆ

“ท่านพี่ พุ่มโบตั๋นสีขาวปีนี้ดูเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากนัก ท่านว่าไหม” เสี่ยวหานยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน เขาแอบมาปลูกดอกโบตั๋นสีขาวเพิ่มโดยไม่ให้นางรู้ ทั้งคอยดูแลเอาใจอย่างสม่ำเสมอ หากว่างจากการเรียนและฝึกฝนเมื่อใด เขามักจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนบางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหายไปไหนในวันหยุด ความเอาใจใส่ของเขาทำให้ปีนี้ดอกโบตั๋นเติบโตและบานสะพรั่งอย่างสวยงาม

“เหลียนฮวา เจ้านั่งนิ่ง ๆ ตรงนี้” เขาบอกหลี่เหลียนฮวา

“ทำไมหรือ”

เสี่ยวหานหยิบเครื่องเขียนออกมา

“ข้าจะวาดรูปเจ้ากับดอกโบตั๋น เจ้าจะได้เก็บไว้ดู”

“ท่านพี่ ใกล้เสร็จหรือยังเจ้าคะ ข้าเมื่อยแล้ว” นางไม่เคยต้องนั่งนิ่งให้ผู้ใดวาดรูปมาก่อน

“เรียบร้อยแล้ว เจ้าดูสิว่าชอบไหม”

หลี่เหลียนฮวาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสี่ยวหานวาดรูปได้ อีกทั้งยังวาดรูปได้สวยขนาดราวกับเป็นจิตรกรในวังหลวง

“ท่านพี่ วาดรูปได้สวยนัก ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อน” นางสงสัย

เสี่ยวหานยิ้มให้นางแทนคำตอบ ทั้งคู่นั่งเล่นพูดคุยกันในสวนดอกไม้อยู่สองชั่วยาม ก่อนกลับจวนสกุลหลี่

“จิ่วเอ๋อร์ วันนี้ไปเที่ยวกับพี่เจ้าสนุกหรือไม่”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ วันหลังข้าไปกับคุณหนูดีกว่า ท่านพี่ตามใจองค์ชายห้ามากเกินไปแล้ว” จิ่วเออร์ตัดพ้อ

“จิ่วเอ๋อร์ นาน ๆ ทีข้าได้ออกมาเที่ยวนอกวังหลวง เจ้าต้องตามใจข้าบ้างสิ” เย่ชิงหมิงขอความเห็นใจจากนาง

“ท่านดูสีหน้าอาเฉินก่อน วันนี้ท่านใช้เงินของเขาจนหมดใช่หรือไม่” หลี่เหลียนฮวาถามเขาเมื่อเห็นอาเฉิน

“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเย่ชิงหลง คราวหน้าถ้าท่านไม่พกเงินมาสักอีแปะ ข้าจะให้เขาทิ้งท่านไว้ที่ตลาด” นางขู่เขา

“เจ้าช่างอำมหิตนัก ห้ามบอกท่านพี่เด็ดขาด ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงวังหลวงจะนำเงินมาคืนเขาสองเท่าเลย” เย่ชิงหมิงรับปาก เพราะไม่อยากโดนเย่ชิงหลงอบรมสามวันสามคืนที่สร้างความลำบากให้อาเฉิน

นับตั้งแต่เย่ชิงหมิงกลายเป็นสหายสนิทกับอาเฉิน เขาก็มักจะมีเรื่องวุ่นวายปวดหัวไม่น้อย ราวกับมีน้องชายตัวยุ่งเพิ่มอีกหนึ่งคน

“โอ๊ะ! นั่นท่านพี่ของท่านมาโน่นแล้ว” หลี่เหลียนฮวาชี้ไปทางด้านหลังเขา

“เจ้าอย่ามาล้อข้า วันนี้ท่านพี่ติดธุระ ไม่ออกมานอกวังหรอก” เย่ชิงหมิงแลบลิ้นใส่นาง

“เจ้าว่าอะไรนะ ชิงหมิง” เสียงคุ้นหูดังขึ้น

“ใครกัน ช่างบังอาจเลียนเสียงท่านพี่ข้า” เขาได้ยินเสียงนั้นแต่ก็ยังไม่เชื่อว่าพี่ชายของเขาจะออกมาเที่ยวได้

มือข้างหนึ่งจับหัวเขาให้หันมาข้างหลัง

“ชิงหมิง”

“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงมาได้ เสร็จธุระแล้วหรือ” เขายิ้มแห้งเมื่อเห็นใบหน้าของเย่ชิงหลง

“ธุระที่เจ้าว่าคือเรื่องที่เจ้าก่อไว้กับเสด็จแม่ใช่หรือไม่ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ธุระของข้า เจ้าต้องกลับวังหลวงเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ” เขาตอบพลางยิ้มให้น้องชาย

“แย่แล้ว อาเฉิน วิ่ง ๆ ป่านนี้เสด็จแม่ถือไม้เรียวรอข้าแล้วมั้ง เดี๋ยวข้าจะได้อดทานข้าวเย็นพอดี” พวกเขาวิ่งไปพลางหันมาโบกมือลาทุกคน

“เย่ชิงหลง ท่านมีธุระอันใดที่จวนสกุลหลี่หรือไม่” หลี่เหลียนฮวาถามเขา

“อื้ม ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับใต้เท้าหลี่ เชิญเจ้าตามสบายเถิด ฮวาฮวา ส่วนนี่ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเลยนำมาให้เจ้า”

“ขอบพระทัยเพคะ” นางกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะพาเย่ชิงหลงไปหาใต้เท้าหลี่ที่ศาลาในจวนแล้วขอตัวกลับเรือน

ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าไร้เมฆบดบัง ดวงจันทร์กลมโตสุกสกาวลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ หลี่เหลียนฮวาออกมานั่งชมจันทร์อยู่ด้านนอกเรือน นางคิดถึงวันแรกที่ตื่นขึ้นมาในร่างของหลี่เหลียนฮวา พบเจอผู้คนที่อยู่ในความฝัน เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอ ภาพต่าง ๆ ยังคงอยู่ในใจนางเสมอมา

“ท่านพี่ เดินชมจันทร์หรือ” นางเห็นเสี่ยวหานเดินเล่นจึงเรียกเขา

“รอดาวตกต่างหาก ข้าจะอธิษฐาน” เขาตอบนาง

“ท่านขออะไรหรือ” เขายิ้มให้นางแต่ไม่ตอบ

ทั้งสองนั่งชมจันทร์อยู่หน้าเรือนเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อเห็นดาวตกดวงหนึ่งต่างอธิษฐานในใจ

“เหลียนฮวา เจ้าเข้านอนเถิดดึกมากแล้ว” เสี่ยวหานบอกนาง

“อื้อ ท่านพี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาพลางมองหน้าเขาอยู่เนิ่นนานราวกับจะจดจำเขาไว้ในความทรงจำ นางยืนขึ้นก่อนหันตัวกลับเข้าเรือน

“เหลียนฮวา” เสี่ยวหานเรียกนางก่อนเอามือลูบหัวด้วยความเอ็นดู

ทั้งสองต่างยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายกลับเรือน

ข้าขออธิษฐานให้ท่านพี่มีชีวิตที่ดี มีแต่ความสุข อย่าได้พบเจอเรื่องร้าย ๆ อีกเลยนะเจ้าคะ หลี่เหลียนฮวาเข้านอนคืนนี้ด้วยความอิ่มเอมใจ

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.0 ภาพที่คุ้นเคย

    เช้าวันต่อมา“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรักเธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดีหวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน“ซวยแล้ว ๆ คาบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-26
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.1 พบกันอีกครั้งกับเรื่องราวใหม่ ๆ

    สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-27
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.2 ความอบอุ่นใจในยามเดียวดาย

    เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-28
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.3 เหตุการณ์ซ้ำรอย

    ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-29
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.4 ปกป้องคนสำคัญ

    ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-30
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.0 เที่ยวนอกเมืองวันหยุด

    เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.1 ฮูหยินผู้อาภัพ

    “ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-02
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.2 ท่านประมุขเปลี่ยนไป

    เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-03

บทล่าสุด

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.3 มิตรภาพผองเพื่อน

    เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.2 มนตร์ปีศาจจิ้งจอก

    เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.1 การรอคอยที่เนิ่นนาน

    ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.4 ห่วงหาอาวรณ์

    “เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.3 อยู่เคียงข้างกัน

    เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.2 อดีตที่หลอกหลอน

    หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.1 หัวใจที่ยังคงเจ็บปวด

    ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 5.4 ความทรงจำที่เลือนลาง

    หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 5.3 เริ่มใจอ่อนและหวั่นไหว

    หลี่หานคอยนั่งเฝ้าเหยากุ้ยเฟยอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืน พยายามถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านางเป็นคนเช่นไร หากแผนการครั้งนี้สามารถช่วยเหลือบิดา พี่ชายและตัวนางเองได้ ทำไมถึงไม่ทำ ทำไมถึงต้องทนรับความเจ็บปวดไว้กับตนเอง เรื่องของนางที่เขาพบเจอในก่อนหน้านี้ดูต่างจากตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเหยากุ้ยเฟยลืมตาตื่นนอนตอนเช้าเหมือนคนปกติราวกับเมื่อคืนวานไม่ได้โดนยาพิษเดือนหนาวทำไมข้ายังไม่ตื่นจากฝัน ทำไมข้ายังอยู่ที่นี่ เหยากุ้ยเฟยตัดพ้อทันทีที่เห็นเพดานของตำหนักเย็น เมื่อหันมาทางด้านซ้าย ใบหน้าคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งทำให้นางคิดว่า“หลี่หาน นี่ข้ากำลังฝันซ้อนฝันหรือย่างไร เหยากุ้ยเฟยเอื้อมลูบใบหน้าของเขา“ท่านทำอันใด” เขาสะดุ้งตื่นเพราะเพิ่งได้นอนเพียงหนึ่งก้านธูปเหยากุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นจึงหยิกแก้มตัวเอง“โอ๊ย! ไม่ได้ฝันหรอกหรือ แต่เจ้าดูจะเหมือนจริงมากเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่เจ้ามาอยู่ใกล้ข้าได้ถึงเพียงนี้หรอก” นางเอื้อมแตะที่แก้มเขาอีกครั้ง“เหยากุ้ยเฟย! ท่านไม่ได้ฝัน” หลี่หานบอกนาง“แล้วทำไ

DMCA.com Protection Status