ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน
“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วง
นางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง
“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้า
ลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง
“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”
“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วน
ไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง
“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”
“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา
“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่าพลางปลอบใจนาง
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอันใด ครั้งนี้ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้าให้ได้”
“อื้อ กินถังหูลู่กันไหม ร่างกายต้องการความหวาน” นางชวนเขา
ลู่เฟยเทียนจึงพานางไปเดินเล่นและหาของกินที่ตลาดเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
“ถังหูลู่ของเจ้า เอาซาลาเปาด้วยไหม เนื้อตุ๋นล่ะเจ้าอยากกินไหม” เขาถามนาง
“อื้อ ขอกินทุกอย่างที่มีเลยได้หรือไม่”
“ตามใจเจ้า ข้าเลี้ยงได้” เขาตอบพลางยิ้มให้นาง
ทั้งสองต่างพากันเดินชมนู่นนี่ทั่วทั้งเมืองก่อนขึ้นเขาไปนั่งชมดวงตะวันลับฟ้า
“ดีขึ้นบ้างหรือไม่” เขายังคงเป็นห่วงนาง
“อื้ม ขอบคุณท่านมากนะ คุณชายลู่”
ท้องฟ้าสีครามกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามยามที่ดวงอาทิตย์อัสดง สายลมพัดพาใบต้นแปะก๊วยร่วงหล่นลงมาดูสวยงาม ทั้งเมืองเริ่มจุดโคมไฟตามบ้านเรือน เผยให้เห็นแสงไฟยามค่ำคืน เมื่อมองจากด้านบนเขานั้นให้ความรู้สึกแตกต่าง ไป๋อิงอยากหยุดเวลาที่เงียบสงบไว้เพียงเท่านี้
“ค่ำแล้ว เรากลับกันเถิด ข้าจะไปส่งเจ้าที่สำนัก” เขาบอกนางพลางนั่งลงข้างหน้าแล้วชี้ให้นางขี่หลังเขา
“ลู่เฟยเทียน...” นางได้แต่มองเขาอย่างแปลกใจ ลู่เฟยเทียนไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนก็ยังคงทำแบบเดิมเสมอ แม้ตอนแรกนางจะรู้สึกว่าเขาดูเป็นคนประหลาดก็ตาม หากตื่นจากฝันแล้วเจอคนแบบเขาคงจะดีไม่น้อย
ลู่เฟยเทียนให้นางขี่หลังแล้วเดินมาส่งถึงหน้าประตูสำนักตามที่ได้บอกไว้ เขายื่นนกหวีดที่ผูกกับสร้อยแล้วส่งให้นาง
“พรุ่งนี้ข้าจะมารอเจ้าแต่รุ่งสาง” เขาบอกนางก่อนเดินกลับไป
“อื้อ”
----------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา
ไป๋อิงที่นอนหลับสนิททั้งคืนด้วยความเหนื่อยใจลืมตาตื่นด้วยความสดชื่น วันนี้นางพร้อมแล้วที่จะตั้งหลักสู้กับทุกสิ่งอย่างไม่ย่อท้อ เมื่อออกมาหน้าสำนักนางเห็นลู่เฟยเทียนยืนอยู่
“ซาลาเปาให้เจ้ากินมื้อเช้า” เขายื่นซาลาเปาให้นางสองลูก
ไป๋อิงหยิบมาถึงไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนจะกินไปเดินเล่นไปอย่างเบิกบานใจ
“เจ้าช่างเหมือนใครบางคนยิ่งนัก” ลู่เฟยเทียนพูดกับตัวเองเบา ๆ
“คุณชายลู่ ครั้งนี้ถ้าผ่านไปได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้าตอบแทนสักหนึ่งปีเลยดีหรือไม่”
“ถือว่าตกลง เจ้าอย่าได้ลืม” เขายิ้มมุมปาก
ก่อนวันเกิดเหตุหนึ่งวัน ลู่เฟยเทียนได้มาหาไป๋อิงที่สำนัก
“ไป๋อิง ข้าจะกลับมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด”
“อื้ม ข้าจะรอ” นางตอบเขาราวกับรู้ว่าครั้งนี้เขาจะมาช่วยนางได้แน่นอน
เมื่อถึงเวลาที่ลางบอกเหตุเริ่มต้นขึ้น ไป๋อิงทำทุกอย่างตามเดิมเพื่อพาทุกคนไปที่หลบภัย ก่อนจะเดินไปหาหรงหรง
“หรงหรง นี่ใช่แมวของหวังจางเหว่ยหรือไม่” ไป๋อิงถาม
“ใช่ ข้าพบระหว่างทางมาที่นี่”
ไป๋อิงรีบวิ่งเข้าเมืองและอุ้มแมวของหวังจางเหว่ยไปด้วย ในใจได้แต่ภาวนาให้เขาเชื่อนางแล้วรีบหนีให้ทันท่วงที นางรอเขาที่จุดเดิมเพื่อตะโกนเรียกเขา ก่อนไปดักรอเขาที่ห้าแยก
“หวังจางเหว่ย นี่แมวของเจ้า รีบหนีไปซะ” นางชูแมวของเขาขึ้นแล้วบอกให้เขารีบวิ่งหนีไปทางด้านขวา
“ลู่ลู่ของข้า” เขาดีใจน้ำตาไหลที่หาแมวของตนเจอก่อนจะวิ่งหนีไปตามทางที่นางบอกแต่โดยดี ระยะทางข้างหน้าอีกไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงที่หลบภัยแล้ว ไป๋อิงวิ่งหนีด้วยความหวัง แต่ทว่าโจรคนหนึ่งกระโดดขวางระหว่างหวังจางเหว่ยและไป๋อิง โจรหันมาทางนางด้วยจุดประสงค์บางอย่าง นางจึงบอกให้หวังจางเหว่ยรีบหนีไป
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” โจรตาบอดข้างหนึ่งสั่งนาง
ไป๋อิงไม่สนใจรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรู้สึกว่าไม่ว่าจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ไปไม่ถึงจุดหมายที่อยู่ข้างหน้าสักที
โธ่เอ๊ย กับดักฝัน เวลาจะวิ่งหนี ทำไมภาพต้องช้าขนาดนี้ แล้วจะวิ่งหนีทันได้อย่างไร ไป๋อิงนึกถึงเวลาที่นางวิ่งหนีในฝัน
พลันมือข้างหนึ่งคว้าที่ชายเสื้อของไป๋อิงได้ นางจึงหันมาเตะและปล่อยหมัดใส่โจรอย่างแรง
กับดักฝันอย่างที่สอง เตะต่อยอย่างนุ่มนวล แล้วอย่างนี้โจรจะเจ็บไหมเล่า ไป๋อิงได้แต่ท้อในใจ นางขอให้ใครสักคนมาช่วยนาง ใบหน้าของลู่เฟยเทียนปรากฎขึ้นในความคิด ไป๋อิงจึงรีบหยิบนกหวีดออกมาเป่า โดยที่นางไม่รู้เลยว่าเขาจะมาเมื่อใดและจะช่วยนางไว้ได้หรือไม่
สิ้นเสียงนกหวีดดัง แสงวาบจากปลายมีดพกลอยเข้ามาปักหัวของโจรตาบอดในทันใด ไป๋อิงมองขึ้นไปด้านบนหลังคาเห็นชายชุดดำปิดหน้าผู้หนึ่งกำลังวิ่งบนหลังคาก่อนกระโดดมาทางนาง
“อย่านะ” นางตะโกนเพราะคิดว่าคงวิ่งหนีไม่ทัน
“ไป๋อิง นี่ข้าเอง” เขาพูดกับนางก่อนขยับผ้าปิดครึ่งหน้าลง
“ลู่เฟยเทียน นี่เจ้า...” ก่อนที่ไป๋อิงจะได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ เขารีบจูงมือนางวิ่งไปทางข้างซ้าย
“เจ้าตัวใหญ่หน้าบากกำลังมาทางนี้”
ไป๋อิงแทบจะไม่ต้องถามต่อ นางรู้ว่าโจรหน้าบากคือคนที่ทำร้ายนางได้ จึงพยายามเร่งฝีเท้าหนีอย่างสุดกำลัง
เสียงหอกลอยลิ่วตัดผ่านอากาศ ลู่เฟยเทียนโอบร่างของไป๋อิงหลบไปอีกทางก่อนที่หอกปักลงพื้นด้วยความเร็วแสงเพื่อหยุดการหนีของทั้งสองคน ทางด้านบนมีลูกธนูพุ่งตรงมาหาลู่เฟยเทียนก่อนที่เขาจะใช้ดาบตวัดป้องกันตัว ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านบนหลังคาล้วนแต่มีกลุ่มโจรจ้องจะเอาชีวิตของเขา
ก่อนที่โจรบนหลังคาจะได้ยิงธนูดอกที่สอง ชายชุดดำอีกคนหนึ่งก็โผล่มาช่วยทั้งสองไว้พอดี ก่อนจะรีบวิ่งไปช่วยคนอื่น ๆ ต่อ ลู่เฟยเทียนไม่รอช้าหยิบมีดพกปาใส่โจรที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะหันกลับมารับคมดาบจากโจรหน้าบาก แต่พละกำลังของโจรหน้าบากนั้นมหาศาลนักแม้ว่าจะถูกลู่เฟยเทียนตัดกำลังไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งยังความโกรธจัดที่สู้กับลู่เฟยเทียนอยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งหนีไปที่อื่น
โจรหน้าบากใช้กำลังทั้งหมดฟาดดาบใส่ลู่เฟยเทียนจนทำให้ดาบของเขาสะบัดกระเด็นไปอีกทาง ไป๋อิงไม่รอช้าให้เขาได้ลงดาบอีกครั้งรีบวิ่งไปขวางข้างหน้าลู่เฟยเทียน
ทันทีที่เห็นนางวิ่งมา ลู่เฟยเทียนโอบเอวนางหมุนตัวกลับ ก่อนจะดึงปิ่นปักผมของนางมาเป็นอาวุธ แล้วตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอของโจรหน้าบาก เลือดของมันพุ่งทะลักออกมาไม่ขาดสายก่อนล้มลงไป จากนั้นเขาพาไป๋อิงไปที่หลบภัย ระหว่างทางได้พบกับชายชุดดำอีกคนหนึ่งที่มาแจ้งข่าว
“ข้าจะพาเจ้าไปที่หลบภัยก่อน หากข้างนอกปลอดภัยแล้วข้าจะกลับมารับเจ้า” ลู่เฟยเทียนบอกนาง
เมื่อถึงที่หลบภัยไป๋อิงรู้สึกเบาใจที่เห็นหวังจางเหว่ยนั่งพักอยู่ตรงมุมเสากับแมวของเขา คิดในใจว่าอีกประเดี๋ยวเรื่องราวร้าย ๆ ก็จะไป แล้วนางก็อาจจะตื่นจากฝัน หลังจากรอคอยผ่านไปสองชั่วยาม ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋อิงยังคงรอคอยลู่เฟยเทียนกับมาหานางอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งยังเป็นห่วงเขาเดินวนไปวนมาเป็นเวลานานแล้ว
หรงหรงที่เห็นนางเป็นกังวลจึงเดินมาหา
“ไป๋อิง เจ้านั่งพักบ้างเถิด เขาไม่เป็นอันใดหรอก” หรงหรงเอ่ย
“ป่านนี้ยังไม่เห็นเขา ข้ายังวางใจไม่ได้” นางตอบพลางชะเง้อมองไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ไป๋อิงเห็นคนผู้หนึ่งค่อย ๆ เดินอย่างอ่อนล้า
“ลู่เฟยเทียน” นางรีบวิ่งไปหาเขา
“เลือด ท่านบาดเจ็บที่ใด” นางถามเขา
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่เดินจนเหนื่อย แล้วก็ไม่ใช่เลือดข้า” เขาตอบนางให้หายร้อนใจ
ไป๋อิงประคองลู่เฟยเทียนไปนั่งพักก่อนที่เขาจะแจ้งข่าวแก่คนอื่น ๆ
“เวลานี้ในเมืองปลอดภัยแล้ว พวกท่านกลับเรือนให้สบายใจเถิด” เขาบอกทุกคนในที่หลบภัย
“โจรที่ยังรอดชีวิตถูกทางการจับกุมตัวไว้หมดแล้ว”
“อื้ม ท่านพักที่นี่ก่อน หายเหนื่อยแล้วเราค่อยกลับเข้าเมือง” นางพูดพลางเช็ดเลือดที่เปื้อนใบหน้าของเขา
ลู่เฟยเทียนยิ้มมุมปากก่อนจะขอพิงเสาเพื่อหลับตาสักพัก
---------------------------------------------------------------------
เมื่อมีเสียงเล่าลือว่ากลุ่มโจรพวกนี้จู่ ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ครั้นทำลายบ้านเมืองและคร่าชีวิตของชาวเมืองจนสาแก่ใจแล้วก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทางวังหลวงจึงคอยตามสืบข่าวนี้มานาน คาดการณ์ว่าเมืองที่อยู่ในแคว้นนี้อาจจะเป็นรายต่อไป จึงส่งกลุ่มรัตติกาลแฝงตัวหาข่าวตามเมืองต่าง ๆ คอยสอดแนมและวางแผนรับมือ เมื่อลู่เฟยเทียนส่งข่าวกลับไปถึงเวลาที่แน่ชัดของลางบอกเหตุ แผนการทั้งหมดจึงเริ่มต้นขึ้น กลุ่มรัตติกาลที่เป็นมือปราบฝีมือดีจากวังหลวงและทหารประจำเมืองร่วมมือกันเพื่อปกป้องชาวเมืองและจับกุมโจรทมิฬ ไม่ให้พวกมันเข่นฆ่าทำร้ายใครได้อีก
สองคืนก่อนหน้านั้น ลู่เฟยเทียนส่งกลุ่มชายชุดดำดักซุ่มตามจุดต่าง ๆ ที่เขาวางแผนเอาไว้รอบนอกเมือง คอยซุ่มโจมตีทำให้กำลังคนของกลุ่มโจรทมิฬถูกลดทอนลงไปบางส่วน และด้วยพละกำลังที่มากเกินคนของโจรพวกนี้ ราวกับรู้ว่าเรื่องสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น พวกมันเร่งบุกเข้ามาในเมืองหวังจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ทว่าบ้านเรือนกลับไร้ผู้คนราวกลับเป็นเมืองร้าง ทั้งยังมีกองทหารคอยตั้งรับอยู่ ทำให้ความโมโหเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ พวกมันฟาดดาบ ยิงธนู ปาหอกใส่ทหารไม่ยั้งจนแทบจะพลิกโอกาสให้กลับมาชนะได้แต่แล้วกลุ่มชายชุดดำที่เหลืออยู่และลู่เฟยเทียนเข้ามาช่วย สถานการณ์ได้พลิกผันอีกรอบ โจรตัวใหญ่หน้าบากจึงเดินดุ่ม ๆ มาทางลู่เฟยเทียน ทั้งสองสู้รบกันอยู่พักหนึ่ง ลู่เฟยเทียนก็สบโอกาสหนีไปอีกทาง ทิ้งให้โจรหน้าบากสะสมความโกรธจัดขึ้นไปอีก
ลู่เฟยเทียนในเวลานั้นไม่คิดที่จะสู้กับโจรหน้าบากให้ยืดเยื้อ เขาแค่อยากลดพละกำลังของมันลงเพื่อถ่วงเวลา แล้วรีบวิ่งไปช่วยไป๋อิงก่อนที่โจรหน้าบากจะตามมาทัน เขาไม่อยากเห็นภาพคืนวันนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
--------------------------------------------------------------
“ลู่เฟยเทียน ท่านตื่นแล้วหรือ เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท่านจะพักต่ออีกหรือไม่” ไป๋อิงถามเขา
“กลับสำนักเจ้ากันเถิด ข้าจะไปส่ง แม่หมอคงกำลังเป็นห่วงเจ้า”
“อื้อ”
ทั้งสองเดินกลับสำนักด้วยความโล่งใจ ในที่สุดเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นวนไปวนมาได้สิ้นสุดลงเสียที ไป๋อิงคิดในใจว่าคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่นางจะตื่นจากฝัน
“ลู่เฟยเทียน ท่านอยากได้อะไรหรือไม่” นางถามเขา
“เอาไว้พรุ่งนี้ วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนแล้วนอนให้เต็มอิ่มเถิด” เขาตอบพลางลูบหัวนาง ผมยาวสีดำของไป๋อิงที่ไม่มีปิ่นปักผมปลิวไสว
“พรุ่งนี้เกรงว่าไม่ได้ อาจจะสายไป ต้องวันนี้เท่านั้น”
“เจ้ารู้อันใดมาหรือ” ลู่เฟยเทียนรู้สึกแปลกใจ
“เปล่า ข้าแค่อยากตอบแทนท่าน”
“เวลานี้ในเมืองคงจะไม่มีใครทำอะไรมากนัก เจ้ามานั่งเล่นเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
“อื้อ”
ลู่เฟยเทียนพานางไปที่หอสูง เขาหยิบสุราที่เก็บไว้ตรงมุมมาหนึ่งมาดื่มพลางชี้ไปที่ดวงดาวท่ามกลางผืนฟ้ากว้างใหญ่
ไป๋อิงทอดสายตามองไปที่ดวงดาวระยิบระยับ นางถอนหายใจยาวนึกถึงเรื่องที่นางพบเจอ
“ลู่เฟยเทียน ท่านเป็นใครหรือ” นางถามเขาเพราะเห็นเขาแต่งกายเหมือนชายชุดดำคนอื่น ๆ
“กลุ่มรัตติกาล มือปราบจากวังหลวง ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มที่มาเมืองนี้” เขาตอบนางสบาย ๆ
“มิน่าเล่า แต่ท่านควรจะหลบซ่อนตัวไม่ใช่หรือ เหตุใดข้าเห็นท่านทั้งวันเพียงนั้น”
“จะหาข่าวก็ต้องกลมกลืนไปกับชาวเมือง” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“รวมถึงการต้องเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่หอโคมแดงด้วยน่ะหรือ”
“เรื่องนั้นก็ใช่ หรงหรงก็เป็นสายข่าวข้าเหมือนกัน เจ้าสบายใจได้”
“นั่นเรื่องของท่าน ข้าไม่ได้สงสัยตรงนั้น” ไป๋อิงเริ่มเลิ่กลั่ก นางรีบถามเรื่องอื่นต่อ
“ถ้าเช่นนั้น แบบใดคือตัวจริงของท่าน”
“แบบที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เจ้าเวลานี้”
“ขี้เมาน่ะหรือ” นางแกล้งตอบเขากลบเกลื่อน
“ไป๋อิง เจ้านี่ เดี๋ยวนะเจ้าหน้าแดงอีกแล้ว ไม่สบายหรือ” เขาแกล้งถามต่อพลางเอามือแตะหน้าผากนาง
“ท่านเมาจนตาฝ้าฟางแล้วลู่เฟยเทียน”
“เอาล่ะ ดึกดื่นแล้ว เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่สำนักเยว่เทียน”
“อื้อ”
ทั้งสองต่างพากันเดินผ่านสถานที่หลายแห่งที่คุ้นเคยก่อนจะมาถึงหน้าสำนัก
“ไป๋อิง รุ่งเช้าข้าจะมารอเจ้าที่นี่” ลู่เฟยเทียนบอกนาง
“อื้ม” ไป๋อิงมองหน้าเขาก่อนจะยิ้มให้ราวกับเป็นการเอ่ยลา
ไป๋อิงยืนมองเขาจนลับตาก่อนกลับเข้าสำนัก เพื่อบอกลาเมิ่งเจียอีกคน
ค่ำคืนนี้คงจะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว หวังว่าพวกท่านจะอยู่ดีมีสุขในความฝันนี้ นางมองดวงดาวบนฟ้าก่อนนอนหลับใหล
------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา
“ไป๋อิง วันนี้เจ้าไม่ออกไปข้างนอกหรือ” เสียงเมิ่งเจียดังมา
เมื่อได้ยินเสียง นางรีบลืมตาแล้วมองไปรอบห้อง
นี่ข้ายังอยู่ในฝันหรือ ไป๋อิงคิดในใจนึกเหตุผลไม่ออกว่าทำไมนางจึงยังคงอยู่ในฝันนี้ต่อ
“ไป๋อิง ลู่เฟยเทียนมารอเจ้าที่หน้าประตูแล้ว” เมิ่งเจียบอกนางอีกรอบเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” นางรีบตอบก่อนหันไปพูดกับลู่เฟยเทียน
“ท่านคงเจอคนผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าเจอนางแล้ว” เขาตอบพลางยิ้มเขิน
“ดวงชะตาของนางซับซ้อนนัก ราวกับมีชะตาของคนหลายคนรวมอยู่ด้วย ข้ามองไม่ชัดเท่าใด แต่เร็ว ๆ นี้ฤกษ์หมั้นหมายปรากฏชัด คืนที่จันทร์เต็มดวง เดือนเจ็ด”
“เดือนเจ็ดหรือ” เขาถามด้วยความสงสัย
“ใช่ ท่านต้องคอยดูแลนางให้ดีนะคุณชายลู่” เมิ่งเจียฝากฝังเขา
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ไป๋อิงแวะไปหาเมิ่งเจียก่อนออกมาหาลู่เฟยเทียน
“ไปเที่ยวกัน วันนี้ข้าเลี้ยง” ลู่เฟยเทียนบอกนางให้ทำตัวตามสบาย
เขาพานางเดินไปทุกที่ที่นางอยากไป ก่อนแวะที่ร้านปิ่นปักผม
“เจ้าชอบอันไหน ข้าจะซื้อให้แทนอันเก่า” เขาถามนางพลางชี้ไปที่ปิ่นปักผมหลากหลายแบบ
“สวยไปหมด เลือกไม่ถูก” นางตอบด้วยความลังเลใจ
ลู่เฟยเทียนจึงหยิบปิ่นปักผมดอกไม้สีขาวให้นางลอง เมื่อเห็นสีหน้าพอใจของไป๋อิง เขาก็ค่อย ๆ ปักปิ่นให้นาง ก่อนจัดผมให้เรียบร้อย
โบราณว่าอย่างไรนะ เขาซื้อปิ่นปักผมให้ข้า ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง แต่ไม่หรอก ไม่น่าใช่ ไป๋อิงทะเลาะกับตัวเองในใจ
คืนนั้น ไป๋อิงมองดูปิ่นปักผมที่ลู่เฟยเทียนซื้อให้ก่อนหลับตานอนอย่างมีความสุข
เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง
“ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง
เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด
“ฮูหยิน เจ้าจะลงเขาไปเที่ยวตลาดในเมืองหรือ” ประมุขเว่ยถาม ฮูหยินพลางเก็บของเตรียมพร้อม“ใช่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปด้วย” ฮูหยินถามกลับ“ข้าต้องไปกับเจ้าอยู่แล้ว ข้าเป็นสามีเจ้า”“แต่ข้าไปกับเพ่ยเพ่ยสองคนเป็นปกติ”“มีข้าไปด้วยไม่อุ่นใจกว่าหรือ” เขารีบบอกอุ่นใจหรือ พูดมาได้ ถึงจะผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี ฮูหยินจึงตอบเขาไปว่า“ตามใจท่าน” นางเหนื่อยจะห้ามเขาแล้วเมื่อลงมาถึงตลาดฮูหยินก็เดินไปที่ร้านขายซาลาเปา ต่อด้วยร้านเนื้อตุ๋น ร้านหนังสือ สุดท้ายแวะเข้าร้านเหล้า“เถ้าแก่ เหล้าไผ่เขียวสองไห” ฮูหยินสั่งเถ้าแก่อย่างที่เคยสั่งประจำ“ฮูหยิน เดี๋ยวนี้เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” ประมุขเว่ยถามนางเพราะไม่เคยเห็นนางดื่มมาก่อน“ไม่ใช่ว่าจะได้มาที่นี่บ่อยเสียหน่อย อีกอย่างสุราร้านนี้รสชาติดี เดี๋ยวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ดื่มแล้ว” ฮูหยินยิ้มให้เขาแล้วนึกถึงวันที่ตื่นจากฝัน นางจะหาสุราชั้นดีขนาดนี้ได้ท
ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทราและดวงดาราหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆครึ้มสีดำ บรรยากาศในป้อมเทียมฟ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงร้องคร่ำครวญของชายผู้หนึ่งดังมากจากไกล ๆ“เพ่ยเพ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินเรียกนางเข้ามาถาม“เจ้าค่ะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ว่ากันว่าเป็นเสียงของท่านประมุข” นางตอบพลางหันซ้ายหันขวา“เว่ยซีฮัน เขาเป็นอันใด” ฮูหยินไม่รอช้ารีบสวมชุดคลุมแล้ววิ่งไปที่เรือนของถิงถิงแม้ว่าเว่ยซีฮันคนที่เมื่อตอนกลางวันจะใจร้ายกับนาง แต่พอคิดว่าเขาคือเหรินฮ่าวหราน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ท่านแม่ เว่ยซีฮันเป็นอันใดหรือ” นางถามฮูหยินผู้เฒ่า“ข้าไม่รู้ เขาร้องเจ็บปวด ข้าใจคอไม่ดี”“ท่านหมอออกไปต่างเมืองขอรับ” ทหารมือขวาของประมุขเว่ยบอกฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินเว่ยเดินเข้าไปข้างในเรือน นางเห็นประมุขเว่ยกำลังนอนดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนางเห็นถิงถิงเดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำเช่นไรฮูหยินเว่ยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาแต่เพื่อความไม
แขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักหลวง หอจันทร์ครามและป้อมเทียมฟ้ากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของปราสาทดาราโรย ประมุขเว่ยมักจะมาที่นี่พร้อมกับฮูหยินและอนุทั้งสองตามปกติเช่นทุกปี เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามจากคนในวังหลวง ทว่าปีนี้ฮูหยินเว่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขาเตรียมคำตอบให้กับวังหลวงว่า ‘นางไม่สบาย ท่านหมอให้พักผ่อน’ แท้จริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สบาย หากปฏิเสธไป ประมุขคนอื่น ๆ ต้องหาจุดอ่อนโจมตีป้อมเทียมฟ้า เขาจึงฝืนมางานนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคนสนิทยังคงตามหาท่านหมอไม่เจอ“ประมุขเว่ย ท่านสบายดีหรือ” สวีซือประมุขหอจันทร์ครามเดินเข้ามาทักทายเขา รอยยิ้มเสแสร้งทำให้ประมุขเว่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน“แน่นอน ท่านก็เห็นมิใช่หรือ”“ฮูหยินเว่ยเล่า นางไม่มาด้วยหรือ”“ท่านสนใจเรื่องภายในของป้อมเทียมฟ้าตั้งแต่เมื่อใด”“ข้าพบนางสองสามครั้ง พูดคุยถูกคอ นิสัยคล้ายกัน เห็นนางมักจะแวะซื้อของกิน ซื้อหนังสือมาอ่าน ยามนี้ดูมีความสุขมากนัก นางอยู่เรือนล่างเขานี้เอ
หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นจากความฝันเพราะได้ยินเว่ยซีฮันเรียกชื่อจริงของเธอ เมื่อหันไปมองรอบห้องก็พบว่ากลับเข้าสู่โลกของความจริงแล้ว“อาเซียง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ไป๋เยว่ซินถาม“เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” เธอตอบกลับพลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น“ซินซิน เมื่อกี้นี้ปลุกฉันเหรอ”“เปล่านะ วันนี้วันหยุด ตื่นสายได้นี่”“อื้ม ๆ”“ว่าแต่ ฝันเรื่องอะไรถึงได้ตกใจตื่น”“มานี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” หลิวลี่เซียงเล่าความฝันของฮูหยินเว่ยให้ฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอรู้สึกว่าเหรินฮ่าวหรานก็อยู่ในฝันด้วยเช่นกัน“อาเซียง แปลกมาก เธอบอกว่าเริ่มฝันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ”“อื้ม จำไม่ค่อยได้ หาดูในสมุดบันทึกก่อน” หลิวลี่เซียงตอบพลางลุกขึ้นมาหาสมุดบันทึกบนโต๊ะ“เธอเจอเหตุการณ์ลึกลับแล้วล่ะ” ไป๋เยว่ซินแกล้ง“ซินซิน หาไม่เจอเลย เธอเห็นสมุดเล่มนั้นบ้างไหม”“เล่มไหน ปกติก็เก็บของไว้ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ&rdqu
เช้าวันต่อมาหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นเพราะเมื่อวานไปเที่ยวกับเหรินฮ่าวหรานมา แต่แล้วก็ต้องพบว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาในห้องหอพัก เมื่อมองไปรอบ ๆ เธอเห็นสิ่งของต่าง ๆ หรูหราโอ่อ่า ด้านหน้ามีชุดและเครื่องประดับหลากหลายชิ้นวางอยู่ หลิวลี่เซียงจึงหยิกแก้มตัวเองหนึ่งทีโอ๊ย! เจ็บ อย่าบอกนะว่าอยู่ในฝันอีกแล้ว หลิวลี่เซียงคิด“ฮองเฮา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกห้องฮองเฮาเหรอ รอบนี้ได้อยู่ในวังเชียวหรือ หลิวลี่เซียงพยายามปรับตัวให้เป็นปกติ“เจ้าเข้ามาข้างในได้”“ฮองเฮา”ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรต่อ หลิวลี่เซียงก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางด้วยความคิดถึง“จิ่วเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่”“เพคะ” นางตอบงง ๆ“ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าดูโตเป็นสาวแล้วนะ”“คุณหนู ท่านดูแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์กระซิบเบา ๆ“คุณหนู อย่าบอกนะว่าหลี่เหลียนฮวา&rdqu
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด