ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทราและดวงดาราหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆครึ้มสีดำ บรรยากาศในป้อมเทียมฟ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงร้องคร่ำครวญของชายผู้หนึ่งดังมากจากไกล ๆ
“เพ่ยเพ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินเรียกนางเข้ามาถาม
“เจ้าค่ะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ว่ากันว่าเป็นเสียงของท่านประมุข” นางตอบพลางหันซ้ายหันขวา
“เว่ยซีฮัน เขาเป็นอันใด” ฮูหยินไม่รอช้ารีบสวมชุดคลุมแล้ววิ่งไปที่เรือนของถิงถิง
แม้ว่าเว่ยซีฮันคนที่เมื่อตอนกลางวันจะใจร้ายกับนาง แต่พอคิดว่าเขาคือเหรินฮ่าวหราน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ท่านแม่ เว่ยซีฮันเป็นอันใดหรือ” นางถามฮูหยินผู้เฒ่า
“ข้าไม่รู้ เขาร้องเจ็บปวด ข้าใจคอไม่ดี”
“ท่านหมอออกไปต่างเมืองขอรับ” ทหารมือขวาของประมุขเว่ยบอกฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินเว่ยเดินเข้าไปข้างในเรือน นางเห็นประมุขเว่ยกำลังนอนดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนางเห็นถิงถิงเดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำเช่นไร
ฮูหยินเว่ยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาแต่เพื่อความไม
แขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักหลวง หอจันทร์ครามและป้อมเทียมฟ้ากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของปราสาทดาราโรย ประมุขเว่ยมักจะมาที่นี่พร้อมกับฮูหยินและอนุทั้งสองตามปกติเช่นทุกปี เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามจากคนในวังหลวง ทว่าปีนี้ฮูหยินเว่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขาเตรียมคำตอบให้กับวังหลวงว่า ‘นางไม่สบาย ท่านหมอให้พักผ่อน’ แท้จริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สบาย หากปฏิเสธไป ประมุขคนอื่น ๆ ต้องหาจุดอ่อนโจมตีป้อมเทียมฟ้า เขาจึงฝืนมางานนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคนสนิทยังคงตามหาท่านหมอไม่เจอ“ประมุขเว่ย ท่านสบายดีหรือ” สวีซือประมุขหอจันทร์ครามเดินเข้ามาทักทายเขา รอยยิ้มเสแสร้งทำให้ประมุขเว่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน“แน่นอน ท่านก็เห็นมิใช่หรือ”“ฮูหยินเว่ยเล่า นางไม่มาด้วยหรือ”“ท่านสนใจเรื่องภายในของป้อมเทียมฟ้าตั้งแต่เมื่อใด”“ข้าพบนางสองสามครั้ง พูดคุยถูกคอ นิสัยคล้ายกัน เห็นนางมักจะแวะซื้อของกิน ซื้อหนังสือมาอ่าน ยามนี้ดูมีความสุขมากนัก นางอยู่เรือนล่างเขานี้เอ
หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นจากความฝันเพราะได้ยินเว่ยซีฮันเรียกชื่อจริงของเธอ เมื่อหันไปมองรอบห้องก็พบว่ากลับเข้าสู่โลกของความจริงแล้ว“อาเซียง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ไป๋เยว่ซินถาม“เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” เธอตอบกลับพลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น“ซินซิน เมื่อกี้นี้ปลุกฉันเหรอ”“เปล่านะ วันนี้วันหยุด ตื่นสายได้นี่”“อื้ม ๆ”“ว่าแต่ ฝันเรื่องอะไรถึงได้ตกใจตื่น”“มานี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” หลิวลี่เซียงเล่าความฝันของฮูหยินเว่ยให้ฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอรู้สึกว่าเหรินฮ่าวหรานก็อยู่ในฝันด้วยเช่นกัน“อาเซียง แปลกมาก เธอบอกว่าเริ่มฝันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ”“อื้ม จำไม่ค่อยได้ หาดูในสมุดบันทึกก่อน” หลิวลี่เซียงตอบพลางลุกขึ้นมาหาสมุดบันทึกบนโต๊ะ“เธอเจอเหตุการณ์ลึกลับแล้วล่ะ” ไป๋เยว่ซินแกล้ง“ซินซิน หาไม่เจอเลย เธอเห็นสมุดเล่มนั้นบ้างไหม”“เล่มไหน ปกติก็เก็บของไว้ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ&rdqu
เช้าวันต่อมาหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นเพราะเมื่อวานไปเที่ยวกับเหรินฮ่าวหรานมา แต่แล้วก็ต้องพบว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาในห้องหอพัก เมื่อมองไปรอบ ๆ เธอเห็นสิ่งของต่าง ๆ หรูหราโอ่อ่า ด้านหน้ามีชุดและเครื่องประดับหลากหลายชิ้นวางอยู่ หลิวลี่เซียงจึงหยิกแก้มตัวเองหนึ่งทีโอ๊ย! เจ็บ อย่าบอกนะว่าอยู่ในฝันอีกแล้ว หลิวลี่เซียงคิด“ฮองเฮา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกห้องฮองเฮาเหรอ รอบนี้ได้อยู่ในวังเชียวหรือ หลิวลี่เซียงพยายามปรับตัวให้เป็นปกติ“เจ้าเข้ามาข้างในได้”“ฮองเฮา”ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรต่อ หลิวลี่เซียงก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางด้วยความคิดถึง“จิ่วเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่”“เพคะ” นางตอบงง ๆ“ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าดูโตเป็นสาวแล้วนะ”“คุณหนู ท่านดูแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์กระซิบเบา ๆ“คุณหนู อย่าบอกนะว่าหลี่เหลียนฮวา&rdqu
“ท่านพ่อ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาบอกลาใต้เท้าหลี่ก่อนหันไปพูดกับแม่บ้านจาง“ดูแลท่านพ่อดี ๆ นะ”จากนั้นนางก็เดินทางกลับวังหลวง ทว่าระหว่างทางโดนลอบโจมตีจากกลุ่มชายชุดดำที่หายสาบสูญไปนาน“หลี่หาน” นางร้องเรียกเขา“จิ่วเอ๋อร์ดูแลฮองเฮา” เขาบอกจิ่วเอ๋อร์ก่อนจะออกไปสู้กับคนผู้หนึ่งที่ฝีมือดาบเก่งกาจหลี่เหลียนฮวาไปหลบอยู่ที่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่กับจิ่วเอ๋อร์และนางกำนัล ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนางหมายจะเอาชีวิต หลี่หานจึงรีบผละออกจากการต่อสู้เพื่อมาปกป้อง แต่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นเช่นนั้น พลันชายชุดดำสองคนกระโดดเข้ามาขวาง เขาจึงขว้างมีดเล่มเล็กเล็งไปที่จุดสำคัญของคนผู้นั้น ก่อนหันกลับมารับการโจมตีของศัตรูฝ่ายตรงข้ามพยายามตัดขาดไม่ให้หลี่หานช่วยเหลือฮองเฮาได้ จึงใช้กำลังคนสามต่อหนึ่งสู้กับหลี่หาน เขาจึงไม่สามารถปลีกตัวจากการต่อสู้นี้ได้ หลี่เหลียนฮวาที่เห็นเช่นนั้น ก็ก้มลงหยิบดาบเล่มใหญ่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้แล้วเก็บมีดเล่มเล็กของหลี่หานให้จิ่วเอ๋อร์ถือไว้“จ
หลี่หานถูกสั่งลงโทษโบยด้วยความร้ายแรงสำหรับองครักษ์ที่ทำผิดกฎ โดยไม่มีการสืบสาวหาความถูกผิด แส้ที่โบยลงบนแผ่นหลังของเขาจะมีจำนวนครั้งมากกว่าคนทั่วไปสองเท่าเพราะหมายถึงการทรยศต่อความไว้ใจของฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกเหล่าองครักษ์ด้วยตนเอง เป็นบุคคลที่เติบโตและอยู่เคียงข้างกันกับเขาหลี่หานถูกนำตัวไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตื่นดีและมึนงงจากฤทธิ์ยา ผู้ที่ทำการลงแส้ปรากฏตัวขึ้นในลานลงโทษของเหล่าองครักษ์ เสียงแส้หวายกระทบบาดเนื้อหนังของเขาอยู่นาน แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของหลี่หานเลยแม้แต่น้อย เมื่อครบจำนวนครั้งเขาจึงถูกนำตัวไปขังไว้ในคุกใต้ดินห้องสุดท้ายหลี่เหลียนฮวาคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น พลางซักไซ้ไล่เรียงเหตุการณ์ทั้งหมดกับจิ่วเอ๋อร์ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากอะไร นางจำได้เพียงว่านอนทานยาแล้วหลับไปตามปกติ หากแต่ยาที่ได้รอบนี้คล้ายฤทธิ์จะมากนัก แม้จะทานยาก็ต้องรู้สึกตัวหากมีคนเข้ามาในห้องแต่ครานี้กลับไม่ตื่นขึ้นจนเกิดเรื่องร้ายแรง“จิ่วเอ๋อร์ หลี่หานเป็นเช่นไรบ้าง”“ฮองเฮา บทลงโทษจบไปแล้ว เวลานี้ถูกคุมขังในคุกใต้ดินเพคะ”
คืนวันสิ้นปี“เจ้าส่งคนไปกักตัวเหยากุ้ยเฟยไว้ที่ตำหนัก ห้ามนางมาร่วมงาน หากผู้ใดถามให้บอกว่านางไม่สบาย” เสนาบดีเหยาสั่งทหารผู้หนึ่งให้กันเหยากุ้ยเฟยออกจากการลอบโจมตีครั้งนี้เขาเดินทางมาร่วมงานด้วยใจฮึกเหิมหมายจะจัดการเรื่องราวในราชสำนักให้เป็นไปตามแผน แต่ทว่าเขาไม่รู้ตัวเลยว่าแผนอันยิ่งใหญ่ที่วางไว้ ฮ่องเต้ได้ล่วงรู้หมดแล้วฮ่องเต้พาฮองเฮามาที่นั่งหน้าพระแท่นตามธรรมเนียม โดยมีหัวหน้าองครักษ์และหลี่หานตามประกบไม่ห่างสองฝั่งซ้ายขวา เมื่อนั่งที่เรียบร้อยแล้ว เหล่าขุนนางและแขกสูงศักดิ์ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานก็เข้าประจำที่นั่งของตนแบ่งออกเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาอาหารของคาวหวานมากมายถูกนำออกมาวางเรียงรายบนโต๊ะ รวมทั้งเหล้าหมัก สุราชั้นดีที่ฮ่องเต้ประทานแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานวันสิ้นปีค่ำคืนนี้หลี่เหลียนฮวามองไปที่หลี่หาน เพียงแค่ทั้งสองสบตากันก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ ก่อนจะหันไปหาฮ่องเต้“ฝ่าบาท ข้าไม่เคยเห็นงานส่งท้ายปียิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”“ข้ามีอาหารของโปรดมาให้เจ้าด้วย” เขาคีบแล้วมาวางไว้
หลิวลี่เซียง ดีแค่ไหนแล้วที่ยังรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ทำไมถึงไม่ตื่นจากฝันแทนเล่า ทำไมฝันต่อกันแถมเปลี่ยนมาเป็นฝั่งตัวร้ายเสียด้วย ความฝันนี่เล่นงานข้าแทบทุกครั้งจริงเชียว ครานี้เป็นเหยากุ้ยเฟย ข้าจะเอาตัวรอดในตำหนักเย็นเช่นไรดี เฮ้อ! เหยากุ้ยเฟยถอนหายใจอยู่สองสามครั้ง“พระสนม ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นำยามาให้พระองค์” ทหารผู้หนึ่งกล่าวกับนาง“แม้แต่แผลก็ต้องทำเองหรือ เฮ้อ!” เหยากุ้ยเฟยพูดกับตัวเองพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้งเหยากุ้ยเฟยถอดเสื้อออกแล้วส่องกระจก แผลจากลูกธนูในคืนนั้นเริ่มดีขึ้นแล้ว นางค่อย ๆ ใส่ยาลงบนแผล“โอ๊ย! แสบ” เหยากุ้ยเฟยอุทานเสียงหลงทันที่ที่ยาสัมผัสผิวหนังของนาง ก่อนจะค่อย ๆ พันผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยยังดีที่ได้เรียนปฐมพยาบาลมาบ้าง ไม่คิดว่าจะได้ใช้ที่นี่เมื่อทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหยากุ้ยเฟยเดินสำรวจรอบ ๆ ตำหนัก เวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างใน ตำหนักอันกว้างขวางดูอ้างว้างราวกับป่าช้า ด้านนอกมีเพียงทหารยามยืนเฝ้าอยู่สี่คนเพื่อกันไม่ให้มีผู้ใดมาพบนาง และไม่ให้นางออกนอกตำหนัก ทุก ๆ
หลี่หานรู้สึกตัวตอนที่เหยากุ้ยเฟยงัวเงียลงมาจากเตียง จึงไม่ได้ขยับตัวหนีทำท่านั่งหลับตาต่อไป เขาอยากรู้ว่านางจะทำอันใด แต่พอรู้สึกได้ว่าไออุ่นจากใบหน้าของนางขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทั้งยังยกมือขึ้นมาเพื่อสัมผัสใบหน้าของเขา หลี่หานจึงรีบจับข้อมือของนางไว้แล้วลืมตามองคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หาน คิดถึงเจ้าเหลือเกิน” น้ำเสียงของนางโหยหาราวกับไม่พบเจอกันนาน ทันทีที่พูดจบนางหลับตาแล้วทิ้งตัวลงในอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขา“เหลวไหล” เขาพูดออกมาเบา ๆ ทั้งยังคิดในใจว่าสนมผู้นี้เหลวไหลสิ้นดี สตรีร้ายกาจเช่นนี้ นางกำลังคิดวางแผนอันใดไว้ในใจ แล้วนางจะต้องคิดถึงเขาไปทำไมหลี่หานไม่อาจทนให้สนมผู้ที่เคยใส่ร้ายฮองเฮากับเขานอนหลับต่อในอ้อมแขนต่อไปได้จึงวางนางไว้บนพื้น ทิ้งให้เหยากุ้ยเฟยผู้นี้นอนขดตัวไร้ผ้าห่มกาย แล้วเดินไปนั่งพิงเสาฝั่งตรงข้าม คิดหลายสิ่งหลายอย่างในใจ หากแต่ไม่ยอมออกไปข้างนอกเพราะอย่างน้อยนอนข้างในตำหนักก็ยังมีกะละมังไฟเช้าวันต่อมาเหยากุ้ยเฟยตื่นสายกว่าปกติเพราะอาการมึนค้าง จากฤทธิ์สุราชั้นดี เมื่อได้ยินเสียงของขันทีที่มาตรวจตราประจำทุกเช
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด