เช้าวันต่อมา
เมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่
“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”
“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”
หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย
“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง
“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาว
แต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว
“ไป๋เยว่ซิน”
เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ
“ซือมู่เฉิน”
“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ
“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคน
เรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควร
หลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทางด้านหลังแล้วเรียกเหรินฮ่าวหรานมาด้วย หลิวลี่เซียงที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลัก
“อาเซียง เป็นอะไรมากไหม ค่อย ๆ” ไป๋เยว่ซินลูบหลังเธอ
“อื้ม ไม่เป็นไร”
“วันนี้รบกวนพวกเธอด้วยนะ” เหรินฮ่าวหรานบอกทั้งสองคน
ทั้งเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงต่างนั่งทานข้าวเงียบ ๆ เพราะซือมู่เฉินกับไป๋เยว่ซินกำลังพูดคุยอย่างจริงจัง
“ซือมู่เฉิน นายบอกกับที่บ้านไปสิว่าไม่ว่าง ต้องไปที่ไหนก็บอกไป” ไป๋เยว่ซินบอกเขา เธอคิดว่าเรื่องแค่นี้เขาน่าจะจัดการได้ เพราะทุกครั้งเขามักจะบ่ายเบี่ยงตลอด
“ครั้งนี้ไม่ได้ ต้องทำตามที่บ้านบอกจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องไปพบพ่อกับแม่พร้อมฉัน เธอจะเอาอย่างนั้นหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง แล้วนายไปทำอะไรให้พวกท่านจับได้ล่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“เปล่าสักหน่อย พ่ออาจจะส่งคนมาตามพวกเราแล้วก็รายงานไปก็ได้”
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ งั้นให้อาเซียงไปด้วย” ไป๋เยว่ซินยืนยันว่าจะพาเพื่อนไปด้วย
“ถ้างั้นเพื่อความสบายใจ เดี๋ยวให้เสี่ยวหรานไปด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ยเสี่ยวหราน” ซือมู่เฉินหันมาขอร้องเหรินฮ่าวหราน
“อื้อ” เหรินฮ่าวหรานตอบสั้น ๆ ทำให้เขาแปลกใจเพราะปกติเหรินฮ่าวหรานมักจะไม่มายุ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการหมั้นหมายของทั้งสองคน
“ถ้างั้น วันเสาร์นี้ไปที่บ้านพักตากอากาศของฉันแล้วกัน” ซือมู่เฉินบอกทุกคน
เช้าวันเสาร์
คนขับรถของไป๋เยว่ซินมารับเธอและหลิวลี่เซียงที่หอพักก่อนขับรถไปส่งพวกเธอที่บ้านพักตากอากาศของซือมู่เฉินที่อยู่นอกเมือง
“อาเซียง ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน ถือว่าไปพักผ่อนนอกเมืองวันหยุดแล้วกันนะ”
“อื้อ ไม่เป็นไร”
“ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้แม่ต้องบังคับให้มาให้ได้ด้วยก็ไม่รู้”
“คงอยากให้พวกเธอสนิทกันมากขึ้นหรือเปล่า แบบไปเที่ยวกัน ทานข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้” หลิวลี่เซียงพยายามคิด
“ตอนนี้คงต้องตามน้ำไปก่อน เรียบจบเมื่อไหร่จะไปขอยกเลิกงานแต่งเลย” ไป๋เยว่ซินกระซิบกับเพื่อนสาวก่อนยิ้มมีเลศนัย
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพักตากอากาศของซือมู่เฉินเรียบ ก็เห็นเขามายืนรอรับที่หน้าบ้านแล้ว
“ยินดีต้อนรับ” เขาพูดอย่างอารมณ์เตรียมพร้อมเป็นเจ้าบ้าน ก่อนจะพาเดินไปเก็บของในห้องนอนของแต่ละคน
“นี่เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันพามาที่บ้านนี้” ซือมู่เฉินอวดไป๋เยว่ซิน
“เหรอ ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ” เธอแซวเขา
หลิวลี่เซียงที่กำลังเก็บของอยู่อีกห้องหนึ่งทอดสายตามองไปทางด้านนอก เธอเห็นเหรินฮ่าวหรานกำลังเดินเล่นในสวน แผ่นหลังของเขาทำให้หลิวลี่เซียงนึกถึงลู่เฟยเทียน ทำให้เธอมองเขาไม่ละสายตา
คล้ายกับคนถูกมองรู้สึกตัวจึงหันกลับมาแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่ง หลิวลี่เซียงถึงกับตกใจรีบก้มตัวหลบ เขาเห็นท่าทางของเธอจึงยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้ามาที่บ้าน
“อาเซียงใกล้ ๆ นี้มีที่เที่ยวด้วย พรุ่งนี้เราไปหมู่บ้านบนเขากันไหม” ไป๋เยว่ซินเดินมาถามเธอที่ห้อง
“แน่นอนอยู่แล้ว ออกมาเที่ยวข้างนอกทั้งทีเนอะ”
“ตรงนี้ถ่ายรูปสวยมาก ดูรีวิวสิ” ไป๋เยว่ซินพูดด้วยความตื่นเต้นพลางปัดหน้าจอมือถือ
“ทั้งสองคน จะแอบไปเที่ยวกันแค่สองคนไม่ได้นะ เดี๋ยวแผนไม่สำเร็จ ฉันไปด้วย” ซือมู่เฉินเดินผ่านมาพอดีกล่าวขึ้น
“นายนี่นะจะเที่ยวป่าเที่ยวเขา” ไป๋เยว่ซินขำ
“เธอรู้จักฉันน้อยไป ไป๋เยว่ซิน” เขาตอบโต้
“เอาน่า ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” หลิวลี่เซียงตัดบทก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกัน
“นายว่าเราต้องทำอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามแผนเที่ยววันนี้
“สวนสนุก คนที่พ่อส่งมาตามพวกเราอยู่หลังต้นไม้โน่นแน่ะ” ซือมู่เฉินพูดเสร็จแล้วโบกมือให้เขา
“เฮ้อ” ไป๋เยว่ซินถอนหายใจ
-------------------------------------------------------------------------
สวนสนุกแห่งหนึ่ง
“อาเซียง เราไปถ่ายรูปกัน” ไป๋เยว่ซินคล้องแขนหลิวลี่เซียงก่อนเดินไปที่รูปปั้นตัวการ์ตูนเพื่อถ่ายรูปกันสนุกสนาน
“ไป๋เยว่ซิน เธอจะมัวแต่ตัวติดกับหลิวลี่เซียงไม่ได้นะ เดี๋ยวทางนั้นจะไม่มีรูปส่งไปให้พ่อดู”
“นี่นายกลัวคุณลุงขนาดนี้เลยเหรอ”
“เธอไม่กลัวเหรอ ดุจะตาย แม่ยังช่วยไม่ได้เลยนะ” เขาตอบพลางนึกหน้าของพ่อยามที่เขาขัดคำสั่ง
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ฮ่าวหรานฝากเพื่อนรักของฉันด้วย” ไป๋เยว่ซินถอนหายใจแล้ววานให้เหรินฮ่าวหรานเดินมาพร้อมกันกับหลิวลี่เซียง
“อื้ม” เขาเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าหันมามองหลิวลี่เซียงอารมณ์ดี
“เธอไปเล่นม้าหมุนไหม หรือว่ารถรางดี” ซือมู่เฉินชวนไป๋เยว่ซิน
ทว่าไป๋เยว่ซินมองมาที่หลิวลี่เซียงก่อนพยักหน้าให้กันราวกับรู้ใจ
“รถไฟเหาะดีกว่า” เธอลากเขาไปซื้อตั๋วอย่างตื่นเต้น
หลังจากได้ตั๋วมาแล้วไป๋เยว่ซินแจกจ่ายให้กับทั้งสามคนก่อนไปเข้าแถวรอเล่นรอบถัดไป
“ซือมู่เฉิน คนของพ่อนายนี่แน่นอนจริง ๆ ถึงกับตามมาขึ้นเครื่องเล่นด้วย”
“อื้อ” เขาตอบสั้น ๆ ขณะหลับตาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง มือทั้งสองข้างจับตัวล็อคไว้แน่น
ทางด้านหลิวลี่เซียงที่นั่งคู่กันกับเหรินฮ่าวหรานนั้นดูสบาย ๆ เหมือนกับรอเล่นสิ่งที่ชอบ ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยตามประสา
รถไฟเหาะเคลื่อนที่ไปตามรางเรียบก่อนค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปที่สูงอย่างช้า ๆ แล้วจากนั้นทิ้งตัวด้วยความเร็วสูงมายังเบื้องล่าง ก่อนจะเข้าโค้งไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตีลังกาบ้าง
“ซือมู่เฉิน นายไหวหรือเปล่า” ไป๋เยว่ซินรู้สึกว่าที่นั่งข้าง ๆ เธอนิ่งเงียบผิดวิสัยของคนช่างจ้อ จึงหันไปดูเขา ก่อนจะเห็นว่าดวงตาเขาเบิกกว้าง หน้าตายู่ยี่พยายามข่มความกลัวอย่างสุดฤทธิ์
“ม่ายยยยยยย” ในที่สุดซือมู่เฉินก็เปิดปากร้องโหวกเหวกตลอดทางจนไป๋เยว่ซินต้องปิดหู
ตัดภาพมาที่หลิวลี่เซียงและเหรินฮ่าวหราน ทั้งสองสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เล่นรถไฟเหาะ ก่อนจะหันมายิ้มให้กันโดยไม่รู้ตัว
“ซือมู่เฉิน ลงมาได้แล้ว” ไป๋เยว่ซินสะกิดเขา
“อื้อ”
“นายคงกลัวมากสินะ” ไป๋เยว่ซินถาม
“ไม่ใช่สักหน่อย แค่นี้สบายมาก”
“พี่ หน้าตาดูไม่ได้เลย” เหรินฮ่าวหรานมองเขาด้วยความเวทนา เขารู้ว่าซือมู่เฉินกลัวเครื่องเล่นพวกนี้แต่ก็ยังปากไม่ตรงกับใจ
“งั้นไปเล่นเรือไวกิ้งต่อ” ไป๋เยว่ซินดึงเขาไปซื้อตั๋วด้วย
“ฮ่าวหราน พี่นายจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หลิวลี่เซียงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนนี้ไป๋เยว่ซินกำลังสนุกกับการแกล้งซือมู่เฉิน
“ช่วยไม่ได้” เหรินฮ่าวหรานยิ้มมุมปาก
หลังจากเล่นสนุกสนานทั้งวันทั้งสี่คนก็กลับมาที่บ้านพักตากอากาศเพื่อพักผ่อนก่อนจะไปเที่ยวหมู่บ้านบนเขาในวันพรุ่งนี้
“ซินซิน แกล้งเขาเยอะไปไหม”
“ไม่เลย ๆ แค่นี้ยังน้อยไป” ไป๋เยว่ซินหัวเราะเบา ๆ
--------------------------------------------------------------------------
หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเขา
“อาเซียงที่นี่มีให้เช่าชุดโบราณด้วย ไปลองกันเถอะ” ไป๋เยว่ซินชวนหลิวลี่เซียงเช่าชุดโบราณมาใส่เพื่อถ่ายรูปและเดินเล่นรอบหมู่บ้าน
เมื่อทั้งสองคนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็เดินคล้องแขนกันออกมาจากร้านก่อนเดินไปดูตรงโน้นที ถ่ายรูปตรงนี้ทีกันสองคน อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะต่างชอบเที่ยวและผจญภัย
“เสี่ยวหราน ดูท่าเราจะถูกสองคนนั้นเมินแล้ว”
“ปล่อยไปเถอะน่า หรือพี่อยากเป็นเหมือนเมื่อวาน เดี๋ยวผมบอกไป๋เยว่ซินให้” เหรินฮ่าวหรานแกล้งถาม
“อย่าแม้แต่จะคิด”
“นึกว่าจะแน่” เหรินฮ่าวหรานหัวเราะ
หลิวลี่เซียงพาไป๋เยว่ซินนั่งพักที่ม้านั่งต้นต้นแปะก๊วยเพื่อพักเหนื่อยจากการเดินเล่นรอบหมู่บ้าน เหรินฮ่าวหรานที่เดินตามหลังมาได้เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกเหมือนคุ้นเคย
“เสี่ยวหราน รอด้วย” ซือมู่เฉินที่เดินหอบขาลากค่อย ๆ ตามเขามาร้องเรียก
“ซือมู่เฉิน นายมาพอดีเลย ถ่ายรูปให้ฉันหน่อย” ไป๋เยว่ซินที่เห็นเขามาถึงก็รู้สึกอยากแกล้ง
“ไป๋เยว่ซิน เธอ... ได้สิ” ซือมู่เฉินพยายามทำตัวปกติ เพราะถือคติต่อหน้าผู้หญิงอ่อนแอไม่ได้ แม้ขาแทบจะไม่เป็นใจแล้วก็ตาม
เหรินฮ่าวหรานเห็นหลิวลี่เซียงนั่งอยู่จึงเดินเข้าไปคุยด้วย
“วิวสวยดีนะ เธอชอบไหม”
“อื้อ อยู่ตรงนี้แล้วคิดถึงวันเก่า ๆ” เธอตอบพลางนึกถึงความฝันของไป๋อิงที่ได้นั่งเล่นใต้ต้นแปะก๊วยกับลู่เฟยเทียน
“สวยงามเหมือนในความฝัน” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปทิวทัศน์
“อาเซียงกลับกันเถอะ” ไป๋เยว่ซินชวนเธอไปเปลี่ยนชุดก่อนกลับ
“ขอบคุณที่พามาเที่ยวนะ ซือมู่เฉิน” ไป๋เยว่ซินขอบคุณเขาด้วยความจริงใจเพราะสองวันนี้เธอได้เที่ยวอย่างมีความสุขจริง ๆ
“ดีแล้วที่เธอชอบ ไว้ครั้งหน้ามาด้วยกันใหม่” เขาตอบ
หลังจากนั้นพวกเขาต่างแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปเรียนในวันรุ่งขึ้น
“ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง
เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด
“ฮูหยิน เจ้าจะลงเขาไปเที่ยวตลาดในเมืองหรือ” ประมุขเว่ยถาม ฮูหยินพลางเก็บของเตรียมพร้อม“ใช่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปด้วย” ฮูหยินถามกลับ“ข้าต้องไปกับเจ้าอยู่แล้ว ข้าเป็นสามีเจ้า”“แต่ข้าไปกับเพ่ยเพ่ยสองคนเป็นปกติ”“มีข้าไปด้วยไม่อุ่นใจกว่าหรือ” เขารีบบอกอุ่นใจหรือ พูดมาได้ ถึงจะผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี ฮูหยินจึงตอบเขาไปว่า“ตามใจท่าน” นางเหนื่อยจะห้ามเขาแล้วเมื่อลงมาถึงตลาดฮูหยินก็เดินไปที่ร้านขายซาลาเปา ต่อด้วยร้านเนื้อตุ๋น ร้านหนังสือ สุดท้ายแวะเข้าร้านเหล้า“เถ้าแก่ เหล้าไผ่เขียวสองไห” ฮูหยินสั่งเถ้าแก่อย่างที่เคยสั่งประจำ“ฮูหยิน เดี๋ยวนี้เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” ประมุขเว่ยถามนางเพราะไม่เคยเห็นนางดื่มมาก่อน“ไม่ใช่ว่าจะได้มาที่นี่บ่อยเสียหน่อย อีกอย่างสุราร้านนี้รสชาติดี เดี๋ยวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ดื่มแล้ว” ฮูหยินยิ้มให้เขาแล้วนึกถึงวันที่ตื่นจากฝัน นางจะหาสุราชั้นดีขนาดนี้ได้ท
ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทราและดวงดาราหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆครึ้มสีดำ บรรยากาศในป้อมเทียมฟ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงร้องคร่ำครวญของชายผู้หนึ่งดังมากจากไกล ๆ“เพ่ยเพ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินเรียกนางเข้ามาถาม“เจ้าค่ะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ว่ากันว่าเป็นเสียงของท่านประมุข” นางตอบพลางหันซ้ายหันขวา“เว่ยซีฮัน เขาเป็นอันใด” ฮูหยินไม่รอช้ารีบสวมชุดคลุมแล้ววิ่งไปที่เรือนของถิงถิงแม้ว่าเว่ยซีฮันคนที่เมื่อตอนกลางวันจะใจร้ายกับนาง แต่พอคิดว่าเขาคือเหรินฮ่าวหราน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ท่านแม่ เว่ยซีฮันเป็นอันใดหรือ” นางถามฮูหยินผู้เฒ่า“ข้าไม่รู้ เขาร้องเจ็บปวด ข้าใจคอไม่ดี”“ท่านหมอออกไปต่างเมืองขอรับ” ทหารมือขวาของประมุขเว่ยบอกฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินเว่ยเดินเข้าไปข้างในเรือน นางเห็นประมุขเว่ยกำลังนอนดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนางเห็นถิงถิงเดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำเช่นไรฮูหยินเว่ยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาแต่เพื่อความไม
แขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักหลวง หอจันทร์ครามและป้อมเทียมฟ้ากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของปราสาทดาราโรย ประมุขเว่ยมักจะมาที่นี่พร้อมกับฮูหยินและอนุทั้งสองตามปกติเช่นทุกปี เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามจากคนในวังหลวง ทว่าปีนี้ฮูหยินเว่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขาเตรียมคำตอบให้กับวังหลวงว่า ‘นางไม่สบาย ท่านหมอให้พักผ่อน’ แท้จริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สบาย หากปฏิเสธไป ประมุขคนอื่น ๆ ต้องหาจุดอ่อนโจมตีป้อมเทียมฟ้า เขาจึงฝืนมางานนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคนสนิทยังคงตามหาท่านหมอไม่เจอ“ประมุขเว่ย ท่านสบายดีหรือ” สวีซือประมุขหอจันทร์ครามเดินเข้ามาทักทายเขา รอยยิ้มเสแสร้งทำให้ประมุขเว่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน“แน่นอน ท่านก็เห็นมิใช่หรือ”“ฮูหยินเว่ยเล่า นางไม่มาด้วยหรือ”“ท่านสนใจเรื่องภายในของป้อมเทียมฟ้าตั้งแต่เมื่อใด”“ข้าพบนางสองสามครั้ง พูดคุยถูกคอ นิสัยคล้ายกัน เห็นนางมักจะแวะซื้อของกิน ซื้อหนังสือมาอ่าน ยามนี้ดูมีความสุขมากนัก นางอยู่เรือนล่างเขานี้เอ
หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นจากความฝันเพราะได้ยินเว่ยซีฮันเรียกชื่อจริงของเธอ เมื่อหันไปมองรอบห้องก็พบว่ากลับเข้าสู่โลกของความจริงแล้ว“อาเซียง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ไป๋เยว่ซินถาม“เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” เธอตอบกลับพลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น“ซินซิน เมื่อกี้นี้ปลุกฉันเหรอ”“เปล่านะ วันนี้วันหยุด ตื่นสายได้นี่”“อื้ม ๆ”“ว่าแต่ ฝันเรื่องอะไรถึงได้ตกใจตื่น”“มานี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” หลิวลี่เซียงเล่าความฝันของฮูหยินเว่ยให้ฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอรู้สึกว่าเหรินฮ่าวหรานก็อยู่ในฝันด้วยเช่นกัน“อาเซียง แปลกมาก เธอบอกว่าเริ่มฝันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ”“อื้ม จำไม่ค่อยได้ หาดูในสมุดบันทึกก่อน” หลิวลี่เซียงตอบพลางลุกขึ้นมาหาสมุดบันทึกบนโต๊ะ“เธอเจอเหตุการณ์ลึกลับแล้วล่ะ” ไป๋เยว่ซินแกล้ง“ซินซิน หาไม่เจอเลย เธอเห็นสมุดเล่มนั้นบ้างไหม”“เล่มไหน ปกติก็เก็บของไว้ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ&rdqu
เช้าวันต่อมาหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นเพราะเมื่อวานไปเที่ยวกับเหรินฮ่าวหรานมา แต่แล้วก็ต้องพบว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาในห้องหอพัก เมื่อมองไปรอบ ๆ เธอเห็นสิ่งของต่าง ๆ หรูหราโอ่อ่า ด้านหน้ามีชุดและเครื่องประดับหลากหลายชิ้นวางอยู่ หลิวลี่เซียงจึงหยิกแก้มตัวเองหนึ่งทีโอ๊ย! เจ็บ อย่าบอกนะว่าอยู่ในฝันอีกแล้ว หลิวลี่เซียงคิด“ฮองเฮา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกห้องฮองเฮาเหรอ รอบนี้ได้อยู่ในวังเชียวหรือ หลิวลี่เซียงพยายามปรับตัวให้เป็นปกติ“เจ้าเข้ามาข้างในได้”“ฮองเฮา”ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรต่อ หลิวลี่เซียงก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางด้วยความคิดถึง“จิ่วเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่”“เพคะ” นางตอบงง ๆ“ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าดูโตเป็นสาวแล้วนะ”“คุณหนู ท่านดูแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์กระซิบเบา ๆ“คุณหนู อย่าบอกนะว่าหลี่เหลียนฮวา&rdqu
“ท่านพ่อ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาบอกลาใต้เท้าหลี่ก่อนหันไปพูดกับแม่บ้านจาง“ดูแลท่านพ่อดี ๆ นะ”จากนั้นนางก็เดินทางกลับวังหลวง ทว่าระหว่างทางโดนลอบโจมตีจากกลุ่มชายชุดดำที่หายสาบสูญไปนาน“หลี่หาน” นางร้องเรียกเขา“จิ่วเอ๋อร์ดูแลฮองเฮา” เขาบอกจิ่วเอ๋อร์ก่อนจะออกไปสู้กับคนผู้หนึ่งที่ฝีมือดาบเก่งกาจหลี่เหลียนฮวาไปหลบอยู่ที่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่กับจิ่วเอ๋อร์และนางกำนัล ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนางหมายจะเอาชีวิต หลี่หานจึงรีบผละออกจากการต่อสู้เพื่อมาปกป้อง แต่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นเช่นนั้น พลันชายชุดดำสองคนกระโดดเข้ามาขวาง เขาจึงขว้างมีดเล่มเล็กเล็งไปที่จุดสำคัญของคนผู้นั้น ก่อนหันกลับมารับการโจมตีของศัตรูฝ่ายตรงข้ามพยายามตัดขาดไม่ให้หลี่หานช่วยเหลือฮองเฮาได้ จึงใช้กำลังคนสามต่อหนึ่งสู้กับหลี่หาน เขาจึงไม่สามารถปลีกตัวจากการต่อสู้นี้ได้ หลี่เหลียนฮวาที่เห็นเช่นนั้น ก็ก้มลงหยิบดาบเล่มใหญ่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้แล้วเก็บมีดเล่มเล็กของหลี่หานให้จิ่วเอ๋อร์ถือไว้“จ
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด