/ โรแมนติก / ห้วงฝันใต้แสงจันทรา / บทที่ 2.3 เหตุการณ์ซ้ำรอย

공유

บทที่ 2.3 เหตุการณ์ซ้ำรอย

last update 최신 업데이트: 2024-11-29 10:00:36

ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้น

ทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆ

หอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง

“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนาง

คงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น

“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง

“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี

“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจ

ย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด หากจะพูดอันใดออกไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขึ้นคงจะเหมือนกับตอนแรกที่ข้ามาที่นี่สินะ ต้องลองดูอีกสักหน่อย

“ท่านคงจะกำลังสุขสำราญ ข้าขอตัว” นางกล่าวแล้วรีบเดิน

“เดี๋ยวก่อน หอโคมแดงห้ามสตรีเข้ามา ข้าคงปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้” ลู่เฟยเทียนกล่าวพลางคว้าแขนนางไว้

ไม่ต้องพิธีรีตองอันใดแล้ว ตัดบทไปเลยแล้วกัน ไป๋อิงตัดสินใจ

“คุณชายลู่ ท่านคงจะสงสัยใช่หรือไม่ เราหาที่คุยกันเงียบ ๆ ดีไหม”

“เช่นนั้น เจ้าตามข้าเข้าห้องแล้วกัน” ลู่เฟยเทียนตอบ

“ข้างนอกไม่มีที่ให้ท่านคุยกับข้าเงียบ ๆ แล้วหรือ” นางถามให้แน่ใจ

“เงียบสุดต้องเป็นที่ห้องโปรดของข้าอยู่แล้ว รีบตามข้ามาดีกว่า” หลังจากพูดเสร็จเขาก็เดินนำหน้านางไปที่ห้องนั้น ระหว่างทางเจอสตรีคนเดิมหยุดทักทายเขา แล้วก็ไปตามหรงหรงมาหาเขาที่ห้องเช่นเคย

ไป๋อิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเขาฟังอย่างที่เคยเล่ามาและบอกวันที่แน่นอนได้ด้วยจนทำให้ทั้งสองคนแปลกใจ จะว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยังได้ เมื่อออกมาจากหอโคมแดง ลู่เฟยเทียนจึงถามนาง

“ไป๋อิง ทำไมเจ้าถึงมั่นใจวันที่จะเกิดเหตุเช่นนั้น”

“เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง” นางตอบจริงจัง

“เอาเป็นว่าข้าเชื่อเจ้า เช่นนั้นเรามาวางแผนกันดีกว่า” เขาบอกนาง

“อื้อ” ไป๋อิงตอบแล้วเดินตามเขาไป

ลู่เฟยเทียนพานางมาสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาเคยพานางมาฝึกก่อนจะหยิบนกหวีดออกมา

“ไป๋อิง เก็บไว้ดี ๆ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะมาหาให้เร็วที่สุด”

“อื้อ”

“ส่วนนี่ มีดพกของข้า”

ไป๋อิงพยักหน้า เขาสอนการป้องกันตัว สอนเส้นทางที่ใช้หนี เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงคำพูดทุกอย่างที่เขาเคยพูด ยังคงเหมือนเดิม

“ไป๋อิง ครั้งนั้น ข้าไม่อยู่หรือ” จู่ ๆ ลู่เฟยเทียนถามนาง

“เจ้าบอกว่ามีธุระที่นอกเมืองสองสามวัน”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่นางไม่ทันสังเกตเห็น เขาเดินไปส่งนางที่หน้าสำนักเช่นเคย

“รุ่งเช้า ข้าจะมารอเจ้าที่นี่”

“อื้อ แล้วไปทานข้าวที่หอโคมแดง” นางตอบก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก

“อื้อ” เขาพยักหน้าตอบนาง พลางคิดในใจว่าเรื่องนี้คงเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่แปลกที่นางมักจะรู้ล่วงหน้าเสมอว่าเขาคิดจะทำอันใดหรือพูดสิ่งใดกับนาง

ทุกวันลู่เฟยเทียนจะมารอนางตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะทบทวนการฝึกให้นาง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นในวันใด เขาจึงเร่งออกเดินทางไปทำธุระนอกเมืองเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยนางได้ทันเวลา

“ไป๋อิง ข้าจะไม่อยู่สองสามวัน แต่จะกลับมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด เจ้ารอข้านะ” เขาบอกนางแต่ในใจนั้นรู้สึกกังวลและเป็นห่วง

“ข้าจะปกป้องตัวเองให้ได้ ท่านจะมาเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดใช่หรือไม่” นางถามเขาแน่ใจ

“อื้ม” เขาตั้งใจว่าจะต้องช่วยนางให้ได้

----------------------------------------------------------------------------

ไม่กี่วันต่อมา

ไป๋อิงนึกได้ว่าครั้งก่อนหวังจางเหว่ยตามหาอะไรบางอย่างโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง นางจึงไปแอบดูเขาที่จวน

ทรัพย์สมบัติหรือ เท่าที่ดู เหมือนเขาจะขนไปซ่อนเกือบหมดแล้ว คนรักหรือ ก็ไม่มี ไป๋อิงได้แต่คิดเพราะมองไม่เห็นว่าสิ่งใดที่เขาเป็นห่วงมากถึงเพียงนั้น นางแอบสังเกตการณ์จนตะวันกำลังจะลับฟ้า

ทว่าเสียงนกฝูงใหญ่กำลังส่งเสียงร้องบินวนท้องฟ้า ไป๋อิงรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์นั้นกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และคงมีความคลาดเคลื่อนบางอย่างทำให้เกิดเหตุล่วงหน้าหนึ่งวัน นางจึงร้องบอกทุกคนแถวนั้นให้รีบไปซ่อนตัวก่อนวิ่งไปที่หอโคมแดงเพื่อแจ้งข่าวหรงหรงและกลับไปหาเมิ่งเจียที่สำนัก กว่าจะแจ้งข่าวทุกคนเรียบร้อยก็กินเวลานานนัก

เมื่อพาทุกคนมายังที่หลบภัยได้แล้ว นางก็เริ่มมองหาหวังจางเหว่ย และเรื่องราวก็เป็นอย่างที่นางคิด ครั้งนี้เขาไม่อยู่ที่หลบภัย นางคิดว่าหากรายละเอียดตรงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป เขาจะต้องกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ที่ตลาด

ไป๋อิงรีบวิ่งไปดักเขาที่ตรอกเดิมที่เขาต้องมา เพื่อรั้งเขาไม่ให้วิ่งหนี สักพักนางได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง

“หวังจางเหว่ยเจ้าหาสิ่งใด” นางรีบถามเขา

“แมวของข้า ท่านแม่ให้มา ข้าหาไม่เจอ” เขาตอบ

“ที่แท้ก็แมวเองหรือ” ไป๋อิงนึกได้ว่านางเห็นหรงหรงอุ้มอยู่ที่หลบภัย

“แมวสีส้ม ผูกกระดิ่งที่คอใช่หรือไม่ หรงหรงดูแลอยู่”

“ใช่ ๆ ของข้า” เขาตอบดีความดีใจ

“เช่นนั้น เจ้ารีบไปที่หลบภัย พวกโจรใกล้เข้ามาแล้ว” นางบอกเขาพลางพาเขาวิ่งหนี แต่ทางด้านขวาที่จะต้องหนี บัดนี้มีโจรมาทางนั้นพอดี

หรือว่าเวลาที่คลาดเคลื่อนทำให้เหตุการณ์เปลี่ยน ไป๋อิงคิดในใจแล้วพาเขาวิ่งไปทางอื่น แต่ตลอดทางที่หนีก็เจอแต่กลุ่มโจรเต็มไปหมด และตอนนี้พวกมันก็หัวเสียมากด้วยที่ไม่เจอชาวเมือง ของมีค่า ไม่มีอันใดเลย ทั้งยังโดนทหารดักจับอยู่ทุกทิศทาง

หลังจากที่ดูดีแล้วว่าทางเดินตรอกตรงข้ามปลอดภัย นางจึงพาเขาหนีไปทางนั้น แต่แล้วก็มีโจรร่างใหญ่กำยำ มีรอยบากที่ตาข้างซ้ายเข้ามาขวางระหว่างนางและหวังจางเหว่ย ทั้งยังทำท่าจะมาจับตัวนาง ไป๋อิงจึงบอกให้หวังจางเหว่ยรีบหนีไป

หากเขารอดไปได้ ข้าคงได้ตื่นจากฝันร้ายเสียที ไป๋อิงกลั้นใจที่จะยอมแลก นางวิ่งหนีไปอีกฝั่งก่อนที่จะนึกได้ว่านางมีนกหวีดของลู่เฟยเทียน ครั้นจะหยิบออกมาเป่า กลับหาไม่เจอ บางทีอาจจะหล่นหายระหว่างที่วิ่งหนีก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็วิ่งหนีไม่ได้อีกต่อไป เพราะทางข้างหน้ามีโจรอีกคนหนึ่งยืนขวางอยู่ นางจึงได้แต่หยิบมีดพกออกมาแทงไปที่โจรหน้าบากตามที่ลู่เฟยเทียนสอนมา

“นังนี่ กล้าแทงข้าหรือ” เขาตวาดเสียงดุดัน โมโหที่โดนหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ทำให้ร่างกายมีรอยแผล

ห่างไปแค่เพียงหนึ่งลี้ ลู่เฟยเทียนมองเห็นไป๋อิงและกำลังมาช่วยนาง แต่ทว่าโจรหน้าบากกลับฟาดดาบเล่มใหญ่ใส่ไป๋อิงต่อหน้าต่อตาเขา ร่างของนางค่อย ๆ ล้มลงก่อนทุกอย่างจะดับมืด

---------------------------------------------------------------------

ลู่เฟยเทียนได้สติมองเห็นรอบตัวค่อย ๆ สว่างขึ้น เขาเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ที่หอโคมแดง เห็นใครบางคนกำลังชะเง้อมองอยู่นอกกำแพงจึงรีบวิ่งไป

เมื่อมาถึงใต้ต้นแปะก๊วย ก็เห็นไป๋อิงกำลังปีนขึ้นมา แต่เมื่อนางเห็นเขา นางจึงตกใจลื่นตกต้นไม้ โชคดีที่ลู่เฟยเทียนรับได้ทันท่วงที

“ไป๋อิง ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บมากหรือไม่” เขากอดนางไม่ยอมปล่อย

“เอ่อ ลู่เฟยเทียน ข้าไม่เป็นอันใด ขอบคุณที่ท่านช่วยรับข้าเมื่อครู่” ไป๋อิงบอกเขาพลางขยับตัวหนี นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้น นางแค่ลื่นตกต้นไม้

โดนฟันเมื่อคืนยังจะดูเจ็บกว่า หรือไม่เจ็บนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงจำไม่ได้ แล้วนี่ข้าวนกลับมาที่เดิมอีกแล้วหรือ ไป๋อิงได้แต่คิดในใจ แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าลู่เฟยเทียนรู้ได้เช่นไรว่านางแอบเข้ามาที่หอโคมแดง

“คุณชายลู่ ข้ามีธุระ ข้าขอตัว” นางเดินหนีไปอีกทาง

“ไป๋อิง เจ้ารอก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” เขาคว้าข้อมือนางอย่างอ่อนโยน แล้วพานางเดินไปที่ห้อง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนี้ ไป๋อิงยังคงค่อย ๆ อธิบายลู่เฟยเทียนและหรงหรงเช่นเดิม นางไม่บอกวันเวลาที่แน่นอนแต่ให้ยึดลางบอกเหตุเป็นหลัก เผื่อไว้ว่าจะเกิดเรื่องล่วงหน้าหรือช้ากว่าก็จะไม่ต้องกังวลมากนัก ครั้งที่ผ่านมานางใช้เวลานานกว่าจะบอกทุกคนได้ว่าเวลาร่นเข้ามาเร็วขึ้น

หลังจากพูดคุยหารือเรียบร้อยแล้ว ลู่เฟยเทียนจึงพานางไปที่ตลาดก่อนซื้อนกหวีดและสร้อยคออันหนึ่ง เขาผูกนกหวีดไว้กับสร้อยคอก่อนสวมให้ไป๋อิง

“นกหวีดนี้ ผูกไว้กับสร้อยแล้ว ไม่หล่นหายแน่นอน” เขาบอกนาง

รู้ได้เช่นไรนะว่าข้าทำหาย ไป๋อิงเริ่มฉุกคิดได้ว่าเขารู้เรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ลู่เฟยเทียนพานางซื้อของเสร็จแล้วก็เดินไปส่งที่สำนัก ก่อนบอกว่ารุ่งเช้าจะมารอนาง เมื่อเห็นว่าไป๋อิงไม่เดินเข้าสำนักสักที เขาจึงถามนาง

“เจ้ารออันใดหรือ ทำไมยังไม่เข้าเรือน” เขาถามอย่างสงสัย

“ท่าน ไม่ได้จะให้มีดพกกับข้าหรือ” นางถามเขาเพราะปกติเขาจะต้องให้นางเก็บไว้

“มีดพกหรือ ไม่มีหรอก”

“ไม่มีงั้นหรือ แล้วนี่คืออันใด” ไป๋อิงชี้ไปที่มีดพกที่เขาซ่อนไว้ข้างในเสื้อ แต่ลู่เฟยเทียนกลับทำเฉไฉบอกว่าไม่มี

“เจ้าเข้าไปได้แล้ว หรือจะให้ข้าเข้าไปด้วย” เขาบอกนางพลางเลิกคิ้วแล้วยิ้มมุมปาก

“ไม่ ไม่ ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ เจอกันรุ่งสาง” นางรีบบอกเขาก่อนเปิดประตูเข้าสำนัก

ลู่เฟยเทียนยืนมองนางจนลับตาแล้วเดินจากไป

-------------------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมา

ลู่เฟยเทียนมายืนรอไป๋อิงข้างหน้าสำนัก วันนี้เขาพานางไปเดินเล่นรอบนอก ทางเดินขึ้นเขามีต้นแปะก๊วยเรียงรายกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมอย่างสวยงาม ทั้งสองทอดสายตามองกลับมายังบ้านเรือนผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง ต่างคนต่างพากันถอนหายใจและจมอยู่ในห้วงความคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“คุณชายลู่ ท่านเชื่อข้าหรือไม่” นางถามเขาเพราะอยากรู้

“ข้าเชื่อเจ้า”

“ท่านไม่สงสัยหรือ”

“ข้าเชื่อเจ้า” เขาพูดย้ำ

“ทำไมเล่า” ไป๋อิงไม่คิดว่าเขาจะเชื่อนางมากขนาดนี้ เพราะอย่างไรนางก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา ถึงแม้นางจะรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากเพราะจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาไม่น่าจะจำได้ อีกทั้งความฝันนี้ยังเป็นเรื่องของนาง

“ราวกับคุ้นเคยยิ่งนัก” เขาตอบสั้น ๆ พลางสบตาไป๋อิง

จู่ ๆ ใจของไป๋อิงก็เต้นรัวขึ้นจนนางต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ท่านจะฝึกการป้องกันตัวให้ข้าหรือ”

“ข้าว่าเจ้าควรฝึกวิ่งให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย” เขาไม่รอช้าพูดพร่ำทำเพลงเริ่มสั่งให้นางวิ่งขึ้นเขาลงเขาอยู่หลายครั้ง

“คุณชายลู่ วันนี้พอแค่นี้ก่อนได้หรือไม่ ข้าไม่ไหวแล้ว” ไม่ทันได้พูดจบ ไป๋อิงก็เข่าอ่อนทิ้งตัวลงกับพื้น

“เช่นนั้นย่อมได้ พรุ่งนี้ข้าจะสอนป้องกันตัว แต่เจ้าก็ต้องฝึกวิ่งเช่นเดิม วันนี้กลับเข้าเมืองกันก่อน”

“อื้อ” ไป๋อิงตอบแต่ลุกไม่ขึ้น

“อย่าบอกนะว่าเจ้า...”

“หมดแรง ลุกไม่ไหวแล้ว ขาข้าไม่รู้สึกแล้ว” นางตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เพราะไม่เคยต้องฝึกวิ่งทรหดเช่นนี้มาก่อน

ลู่เฟยเทียนนั่งลงข้างหน้านางก่อนบอกให้นางขี่หลัง ไป๋อิงไม่เกรงใจรีบทำตามที่เขาบอก นางอยากให้เขาได้เหนื่อยบ้างเพราะเขาเอาแต่สั่ง แล้วก็นั่งดูนางวิ่งไปวิ่งมา

ได้เวลาเอาคืนแล้ว ไป๋อิงคิดในใจ แต่ลู่เฟยเทียนกลับยินดี ไม่บ่น ไม่ว่าอะไรแม้แต่น้อย เขาไปส่งนางทั้งอย่างนี้จนถึงหน้าประตูสำนัก

“ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้า” นางกล่าวกับเขา

“ข้ายินดี” เขาตอบพลางยิ้มให้นาง

----------------------------------------------------------------------

ก่อนเกิดเหตุการณ์สามวัน

ไป๋อิงและลู่เฟยเทียนยังคงฝึกฝนและใช้ชีวิตตามปกติ แต่วันนี้เขาพานางมาเลี้ยงเนื้อตุ๋นร้านเดิมและเดินเล่นในตลาด เพื่อให้กำลังใจที่นางฝึกหนักในเวลาไม่กี่วัน

“คุณชายลู่ ข้าซื้อถังหูลู่ให้ท่าน” ไป๋อิงยื่นให้เขาก่อนยิ้มให้

เขายิ้มแล้วรับของมา นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเดินไปส่งนางที่หน้าสำนัก แต่วันนี้เขากลับเข้าไปพบเมิ่งเจียด้วย

“อ้าว คุณชายลู่ สบายดีหรือไม่” เมิ่งเจียถามเขาสีหน้ายิ้มแย้ม

เขาพยักหน้าแล้วยิ้มตอบนาง

“ท่านเจอแล้วใช่หรือไม่ นางผู้นั้น” นางถามเขาราวกับรู้ว่าเขามาหานางทำไม

“ข้าพบนางแล้ว รอไว้จบเรื่องนี้ข้าจะมาหาท่านอีกครั้ง” เขาบอกเมิ่งเจียก่อนจะขอตัวกลับ

“คุณชายลู่ ท่านไม่ต้องออกไปธุระนอกเมืองหรือ” ไป๋อิงถามเขาตอนเดินมาส่งเขาหน้าสำนัก

“ไม่มีเหตุที่ต้องไป” เขาตอบสั้น ๆ

“อื้อ” นางได้แต่สับสนว่าทำเรื่องราวครั้งนี้ถึงได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

หลังจากที่ลู่เฟยเทียนกลับไปแล้ว ไป๋อิงที่ยังคงสงสัยเรื่องที่เมิ่งเจียถามเขาจึงเอ่ยปากถาม

“ท่านป้า นางคือใครหรือเจ้าคะ”

“ไป๋อิงเอ๋ย ไป๋อิง เจ้าเด็กคนนี้ ปกติก็ออกจะฉลาดรู้ทัน” เมิ่งเจียส่ายหัวแล้วรีบเดินเข้าเรือนนอนไม่ยอมบอกนาง

มีแต่คนน่าสงสัย ทั้งท่านป้า ทั้งลู่เฟยเทียน ไป๋อิงได้แต่คิดในใจเพราะไม่มีใครยอมบอกนางสักคน

-------------------------------------------------------------------------

วันเกิดเหตุ

ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดได้ตรงวันเวลาเดิม เมื่อเห็นลางบอกเหตุ นางก็รีบทำตามที่ได้วางแผนไว้และพาทุกคนไปซ่อนที่หลบภัย ไป๋อิงรีบมองหาหรงหรงก็พบว่าแมวของหวังจางเหว่ยอยู่กับนาง จึงออกจากที่หลบภัยไปตามหาเขา โดยยึดเส้นทางที่ใช้เมื่อตอนครั้งแรก

เมื่อไป๋อิงเจอเขากำลังหาแมวอยู่ นางใช้วิธีตะโกนเรียกชื่อเขาเพื่อให้เขาวิ่งหนี ก่อนไปรอเขาที่ห้าแยกศาลากลางเมือง คิดในใจว่าหากทำตามกำหนดการณ์เดิม จะทำให้หลบจากโจรหน้าบากผู้นั้นได้

“หวังจางเหว่ย ข้ารู้ว่าเจ้าหาแมวส้มผูกกระดิ่ง ตอนนี้อยู่กับหรงหรง ในที่หลบภัย” ไป๋อิงรีบพูดสรุปเพื่อไม่ให้เสียเวลาหลบหนี

“ข้าไม่เชื่อ แมวข้าจะไปอยู่กับนางได้อย่างไร เจ้าอย่าโกหกข้าสิ” เขาตอบ

“อ้าว! แย่ละ ครั้งที่แล้วยังเชื่อข้าอยู่เลย” ไป๋อิงได้แต่อึ้ง

หวังจางเหว่ยไม่สนใจนางพยายามตามหาแมวต่อไป

“ตามใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไปทางนี้เจ้าไม่รอดแน่ พวกโจรกำลังไล่ตามมาทางนั้น” นางบอกเขาด้วยความเหนื่อยใจหวังว่าเขาจะเชื่อ แต่เขากลับไม่ฟังนางแม้แต่น้อยแล้วรีบวิ่งหายไปก่อนที่นางจะตามเขาทัน

“เฮ้อ” ไปอิ๋งได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ นางเห็นโจรหน้าบากกำลังวิ่งมาจึงวิ่งหนีไปอีกทางแต่ไม่ทันไรนางก็ได้ยินเสียงดังจากตรอกข้าง ๆ

“อย่าทำอะไรข้าเลย ข้ายอมแล้ว”

เสียงของหวังจางเหว่ยนี่ นางกำลังจะวิ่งไปช่วยเขาอีกแค่เพียงไม่กี่ก้าวแต่ก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่เห็นดาบเล่มใหญ่ฟันฉับลงมา เสียงร้องโหยหวนของเขา ภาพที่เขาล้มทั้งยืนและเลือดที่สาดกระเซ็นทั่วกำแพงทำให้นางกลัวจนหมดแรงยืน ขาพับนั่งลงกับพื้นก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะดำมืดราวกับครั้งก่อน

관련 챕터

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.4 ปกป้องคนสำคัญ

    ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่

    최신 업데이트 : 2024-11-30
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.0 เที่ยวนอกเมืองวันหยุด

    เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง

    최신 업데이트 : 2024-12-01
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.1 ฮูหยินผู้อาภัพ

    “ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง

    최신 업데이트 : 2024-12-02
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.2 ท่านประมุขเปลี่ยนไป

    เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด

    최신 업데이트 : 2024-12-03
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.3 เขาคือคนผู้นั้น

    “ฮูหยิน เจ้าจะลงเขาไปเที่ยวตลาดในเมืองหรือ” ประมุขเว่ยถาม ฮูหยินพลางเก็บของเตรียมพร้อม“ใช่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปด้วย” ฮูหยินถามกลับ“ข้าต้องไปกับเจ้าอยู่แล้ว ข้าเป็นสามีเจ้า”“แต่ข้าไปกับเพ่ยเพ่ยสองคนเป็นปกติ”“มีข้าไปด้วยไม่อุ่นใจกว่าหรือ” เขารีบบอกอุ่นใจหรือ พูดมาได้ ถึงจะผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี ฮูหยินจึงตอบเขาไปว่า“ตามใจท่าน” นางเหนื่อยจะห้ามเขาแล้วเมื่อลงมาถึงตลาดฮูหยินก็เดินไปที่ร้านขายซาลาเปา ต่อด้วยร้านเนื้อตุ๋น ร้านหนังสือ สุดท้ายแวะเข้าร้านเหล้า“เถ้าแก่ เหล้าไผ่เขียวสองไห” ฮูหยินสั่งเถ้าแก่อย่างที่เคยสั่งประจำ“ฮูหยิน เดี๋ยวนี้เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” ประมุขเว่ยถามนางเพราะไม่เคยเห็นนางดื่มมาก่อน“ไม่ใช่ว่าจะได้มาที่นี่บ่อยเสียหน่อย อีกอย่างสุราร้านนี้รสชาติดี เดี๋ยวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ดื่มแล้ว” ฮูหยินยิ้มให้เขาแล้วนึกถึงวันที่ตื่นจากฝัน นางจะหาสุราชั้นดีขนาดนี้ได้ท

    최신 업데이트 : 2024-12-04
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.4 หลีกหนีจากคนใจร้าย

    ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทราและดวงดาราหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆครึ้มสีดำ บรรยากาศในป้อมเทียมฟ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงร้องคร่ำครวญของชายผู้หนึ่งดังมากจากไกล ๆ“เพ่ยเพ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินเรียกนางเข้ามาถาม“เจ้าค่ะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ว่ากันว่าเป็นเสียงของท่านประมุข” นางตอบพลางหันซ้ายหันขวา“เว่ยซีฮัน เขาเป็นอันใด” ฮูหยินไม่รอช้ารีบสวมชุดคลุมแล้ววิ่งไปที่เรือนของถิงถิงแม้ว่าเว่ยซีฮันคนที่เมื่อตอนกลางวันจะใจร้ายกับนาง แต่พอคิดว่าเขาคือเหรินฮ่าวหราน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ท่านแม่ เว่ยซีฮันเป็นอันใดหรือ” นางถามฮูหยินผู้เฒ่า“ข้าไม่รู้ เขาร้องเจ็บปวด ข้าใจคอไม่ดี”“ท่านหมอออกไปต่างเมืองขอรับ” ทหารมือขวาของประมุขเว่ยบอกฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินเว่ยเดินเข้าไปข้างในเรือน นางเห็นประมุขเว่ยกำลังนอนดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนางเห็นถิงถิงเดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำเช่นไรฮูหยินเว่ยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาแต่เพื่อความไม

    최신 업데이트 : 2024-12-05
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.5 รู้สึกตัวในความฝัน

    แขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักหลวง หอจันทร์ครามและป้อมเทียมฟ้ากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของปราสาทดาราโรย ประมุขเว่ยมักจะมาที่นี่พร้อมกับฮูหยินและอนุทั้งสองตามปกติเช่นทุกปี เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามจากคนในวังหลวง ทว่าปีนี้ฮูหยินเว่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขาเตรียมคำตอบให้กับวังหลวงว่า ‘นางไม่สบาย ท่านหมอให้พักผ่อน’ แท้จริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สบาย หากปฏิเสธไป ประมุขคนอื่น ๆ ต้องหาจุดอ่อนโจมตีป้อมเทียมฟ้า เขาจึงฝืนมางานนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคนสนิทยังคงตามหาท่านหมอไม่เจอ“ประมุขเว่ย ท่านสบายดีหรือ” สวีซือประมุขหอจันทร์ครามเดินเข้ามาทักทายเขา รอยยิ้มเสแสร้งทำให้ประมุขเว่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน“แน่นอน ท่านก็เห็นมิใช่หรือ”“ฮูหยินเว่ยเล่า นางไม่มาด้วยหรือ”“ท่านสนใจเรื่องภายในของป้อมเทียมฟ้าตั้งแต่เมื่อใด”“ข้าพบนางสองสามครั้ง พูดคุยถูกคอ นิสัยคล้ายกัน เห็นนางมักจะแวะซื้อของกิน ซื้อหนังสือมาอ่าน ยามนี้ดูมีความสุขมากนัก นางอยู่เรือนล่างเขานี้เอ

    최신 업데이트 : 2024-12-06
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 4.0 ในที่สุดก็รู้ใจกัน

    หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นจากความฝันเพราะได้ยินเว่ยซีฮันเรียกชื่อจริงของเธอ เมื่อหันไปมองรอบห้องก็พบว่ากลับเข้าสู่โลกของความจริงแล้ว“อาเซียง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ไป๋เยว่ซินถาม“เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” เธอตอบกลับพลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น“ซินซิน เมื่อกี้นี้ปลุกฉันเหรอ”“เปล่านะ วันนี้วันหยุด ตื่นสายได้นี่”“อื้ม ๆ”“ว่าแต่ ฝันเรื่องอะไรถึงได้ตกใจตื่น”“มานี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” หลิวลี่เซียงเล่าความฝันของฮูหยินเว่ยให้ฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอรู้สึกว่าเหรินฮ่าวหรานก็อยู่ในฝันด้วยเช่นกัน“อาเซียง แปลกมาก เธอบอกว่าเริ่มฝันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ”“อื้ม จำไม่ค่อยได้ หาดูในสมุดบันทึกก่อน” หลิวลี่เซียงตอบพลางลุกขึ้นมาหาสมุดบันทึกบนโต๊ะ“เธอเจอเหตุการณ์ลึกลับแล้วล่ะ” ไป๋เยว่ซินแกล้ง“ซินซิน หาไม่เจอเลย เธอเห็นสมุดเล่มนั้นบ้างไหม”“เล่มไหน ปกติก็เก็บของไว้ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ&rdqu

    최신 업데이트 : 2024-12-07

최신 챕터

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.4 ผีเสื้อสีขาว

    “เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.3 มิตรภาพผองเพื่อน

    เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.2 มนตร์ปีศาจจิ้งจอก

    เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.1 การรอคอยที่เนิ่นนาน

    ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.4 ห่วงหาอาวรณ์

    “เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.3 อยู่เคียงข้างกัน

    เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.2 อดีตที่หลอกหลอน

    หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.1 หัวใจที่ยังคงเจ็บปวด

    ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 5.4 ความทรงจำที่เลือนลาง

    หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด

DMCA.com Protection Status