Home / โรแมนติก / ห้วงฝันใต้แสงจันทรา / บทที่ 2.2 ความอบอุ่นใจในยามเดียวดาย

Share

บทที่ 2.2 ความอบอุ่นใจในยามเดียวดาย

last update Last Updated: 2024-11-28 10:00:58

เช้าวันต่อมา

“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย

“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ

“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”

“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ

“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”

“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้า” ไป๋อิงซึ้งใจอย่างน้อยก็มีคนคอยช่วยนาง

หากจะถามวันเวลาที่เกิดเรื่องนั้น ไป๋อิงย่อมจำเวลาได้ไม่แน่นอน นางจำได้เพียงว่าก่อนเกิดเหตุสามชั่วยาม ก่อนดวงอาทิตย์อัสดง ฝูงนกที่มาจากทางเหนือบินวนบนท้องฟ้าส่งเสียงร้องดังระงม

ทุก ๆ วัน ไป๋อิงพยายามที่จะส่งข่าวให้หวังจางเหว่ยรู้และเชื่อใจนาง แต่ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ต่างจากชาวเมืองที่ศรัทธาและไว้ใจเมิ่งเจีย พวกเขาเหล่านั้นเตรียมพร้อมที่จะหนีเสมอ เมิ่งเจียไม่ได้ดูแค่เพียงลายมือหรือหาฤกษ์ยามมงคล นางยังคงเป็นที่ปรึกษา ที่พึ่งทางใจให้คนไร้หนทางอีกด้วย แม้ว่าอดีตนางจะมีญาณทิพย์มากกว่าตอนนี้ก็ตาม ทั้งยังมีข่าวจากพ่อค้าต่างเมืองเลื่องลือมาว่าหลายหมู่บ้านทางตอนเหนือโดนกลุ่มโจรทมิฬปล้นฆ่า น้อยคนนักที่จะหนีออกมาได้เพราะพวกมันบุกโจมตียามที่ทุกคนหลับใหลในคืนเดือนแรมไร้แสงจันทรา

วันนี้ไป๋อิงพยายามที่จะเตือนหวังจางเหว่ยอีกครั้ง แต่รอบ ๆ จวนสกุลหวังนั้นเต็มไปด้วยทหารยามที่เขาจ้างมาเพราะรู้สึกว่าพักนี้มีคนมาสร้างความวุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง นางจึงได้แต่รอให้คุณชายผู้นี้ออกมาข้างนอก

หลังจากด้อม ๆ มอง ๆ รอเขาข้างหน้าจวนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม นางก็เห็นเขาที่แต่งตัวหรูหราเดินออกมาจากจวนพร้อมทหารสองคน นางค่อย ๆ เดินตามเขาไปจนถึงตรอกแห่งหนึ่ง

หอโคมแดง เห็นทีต้องแอบเข้าไป จะให้ปลอมตัวเป็นชายคงจะไม่เนียน หน้าสวยขนาดนี้ หรือว่าจะแต่งเป็นเหล่าพี่สาว ไม่น่าได้ เดี๋ยวคนเข้าใจผิด เรื่องจะไปกันใหญ่ สุดท้ายนางก็คิดว่าจะปลอมเป็นสาวใช้ในหอโคมแดงแทน

ด้านหน้าหอมีคนยืนเฝ้าอยู่ นางจำได้ว่าสองคนนี้มักจะเป็นคนคอยดูหน้าหออยู่เสมอ พวกเขาคงจำหน้าทุกคนในหอโคมแดงได้เป็นอย่างดี นางจึงเลี่ยงไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพง

“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนาง

“ลู่เฟยเทียน ท่านอีกแล้วหรือ ท่านตามข้ามาหรืออย่างไร” ไป๋อิงตกใจที่มักเจอเขาอย่างไม่คาดหมาย

“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี

“ท่านคงจะกำลังสุขสำราญ ข้าขอตัว” นางกล่าวแล้วรีบเดิน

“เดี๋ยวก่อน หอโคมแดงห้ามสตรีเข้ามา ข้าคงปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้” ลู่เฟยเทียนกล่าวพลางคว้าแขนนางไว้

“ข้าปลอมตัวเป็นสาวใช้แล้ว ถ้าท่านไม่พูด พวกเขาก็ไม่รู้”

“แต่ถ้าข้าพูด...”

“ท่านต้องการอันใดหรือ คุณชาย” นางรีบตัดบทก่อนเขาพูดจบ

“เรื่องที่เจ้าคิดจะทำ ข้าไปด้วย” เขาตอบ

ไป๋อิงนิ่งคิดไปชั่วขณะ

“เรื่องหวังจางเหว่ยใช่หรือไม่ จะถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ เอาไว้ข้าจะบอกเจ้าทีหลัง ตามข้ามาที่ห้อง แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างได้หรือไม่” เขาให้ข้อเสนอนาง

ไป๋อิงได้แต่พยักหน้าแล้วเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย คิดในใจว่าถ้าลู่เฟยเทียนเชื่อสิ่งที่นางพูด เรื่องก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ เขาก็แค่ปล่อยนางไป

ระหว่างทางเดินไปที่ห้อง ไป๋อิงได้ยินเสียงทักทายจากหญิงสาวทักลู่เฟยเทียนตลอดทาง ราวกับเขาเป็นแขกประจำของหอโคมแดง

“คุณชายลู่ ให้ข้าตามท่านพี่หรงหรงหรือไม่เจ้าคะ นางบ่นคิดถึงท่านหลายวันแล้ว” หญิงสาวผู้หนึ่งถามเขา

“อื้ม ให้นางรีบมาหาข้าเลยแล้วกัน” เขาตอบพลางยิ้มให้นาง

เขาพูดอันใดนะ แล้วจะคุยเรื่องหวังจางเหว่ยอย่างไร ถ้าอยากเจอนางนักก็ปล่อยข้าไปสิ ไป๋อิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย

เมื่อเข้ามาที่ห้องแล้ว ไป๋อิงจึงรีบถามเขา

“คุณชายลู่ ดูเหมือนท่านจะอยากเจอนางมาก ข้าขอตัวไปธุระของข้า ไม่รบกวนท่านจะดีกว่า” นางกล่าวชัดเจน

“เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยไป๋อิง เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใดหรือ” เขาแกล้งถาม

“ข้ายังไม่ได้คิดอันใดเลยเจ้าค่ะ”

“แล้วทำไมเจ้าต้องหน้าแดง เจ้ามีพิรุธนะ ไป๋อิง”

“ข้าแต่งหน้ามาเจ้าค่ะ” นางรีบตอบ

ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้เถียงกันไปมากกว่านี้ เสียงหวานจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้น

“คุณชายลู่ หรงหรงเข้าไปนะเจ้าคะ”

“มานั่งนี่สิหรงหรง” เขาบอกนางก่อนยิ้มให้

คนผู้นี้ ยิ้มมากเกินไปแล้ว

“ไป๋อิง เจ้าเล่าให้ข้าฟัง”

“แต่นาง..”

“นางจะฟังเรื่องนี้ด้วย” เขาตอบ

ไป๋อิงจึงได้แต่เล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้ทั้งสองคนฟัง

“ที่แท้ ข่าวลือก็มาจากท่านเองหรอกหรือ” หรงหรงถามนาง

“เวลานี้ท่านอาจจะไม่เชื่อข้า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ท่านจะรู้ว่าข้าพูดความจริง” ไป๋อิงบอกนางด้วยความแน่วแน่

“เราทั้งสองคนเชื่อเจ้า” หรงหรงกล่าว

“หากเป็นแค่เพียงเรื่องที่เจ้าพูดข้าคงจะไม่เชื่อมากนัก แต่ข้าได้ข่าวเรื่องเมืองทางตอนเหนือมาเช่นกัน คาดว่าในไม่ช้าเมืองนี้ก็อาจจะโดนแบบเดียวกัน จึงแจ้งไปทางวังหลวงเป็นการด่วนเพื่อให้ที่นั่นส่งทหารมาปราบกองโจรทันท่วงที” เขาอธิบายไป๋อิงอย่างจริงจัง แวบหนึ่งสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนยิ้มมุมปากให้นาง

“แต่ข้าสงสัย ทำไมถึงไม่หนีไปก่อน” หรงหรงถามนาง

“วันเวลานั้นข้าไม่รู้แน่ชัด จำได้แต่เพียงว่าเห็นฝูงนกบินจากทางเหนือ บินวนบนท้องฟ้าก่อนดวงอาทิตย์จะลับตา ไม่ว่าจะทางใดเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นเสมอ” ไป๋อิงพูดพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหาน

“พวกท่านไม่ต้องกังวล ทุกคนจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัย รีบแพร่กระจายข่าวนี้และรีบหนีเมื่อเห็นสัญญาณ” นางพูดให้ความมั่นใจ

“หวังจางเหว่ย เกี่ยวอันใดกับเขาหรือ เจ้าดูร้อนใจนัก” ลู่เฟยเทียนถามนางเพราะเป็นห่วง

“เขาช่างเป็นคนดื้อดึง ทำให้ข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าเลยต้องพยายามให้เขาเชื่อ แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ” ไป๋อิงตอบอย่างหมดหวัง

“แม่นาง อย่าเพิ่งกังวล ข้าและเหล่าพี่น้องหอโคมแดงจะพยายามช่วยโน้มน้าวใจเขา” หรงหรงรับปากนาง

“ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยข้า หากรอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้จะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”

“อย่าลืมข้าด้วยล่ะ” เสียงลู่เฟยเทียนดังขึ้น

“คุณชายลู่ เป็นห่วงนางก็อย่างแกล้งนางให้มากนัก” หรงหรงปรามเขาเสียงเรียบ

ห่วงข้าหรือ ทำไมกัน ไป๋อิงคิดในใจ

“เช่นนั้นข้าขอตัว พวกท่านจะได้อยู่กันสองคน” หรงหรงกล่าวแล้วเดินออกจากห้อง

“คุณชาย ท่านไม่อยู่กับนางหรือ”

“เสร็จธุระแล้ว ไปตลาดกันเถอะ” เขาชวนนาง

“แต่ข้ายังไม่ได้ไปหาหวังจางเหว่ย”

“เรื่องนั้นปล่อยให้หรงหรงจัดการ” เขาตอบก่อนจับมือนางเดินออกจากหอโคมแดง

---------------------------------------------------------------------

ลู่เฟยเทียนเดินไปที่ร้านขายของ เขาหยิบนกหวีดอันเล็กขึ้นมาก่อนจ่ายเงินให้เถ้าแก่

“ไป๋อิง เจ้าเก็บไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ข้าจะมาหาเจ้า” เขายื่นนกหวีดอันหนึ่งให้นาง

แม้ไม่รู้ว่าทำไมเขาทำเช่นนี้ แต่นางรู้สึกอบอุ่นใจราวกับว่าหากเกิดเหตุใดจะมีคนผู้หนึ่งคอยช่วยนางเสมอ

“ไป๋อิง เปลี่ยนจากเนื้อตุ๋นเป็นถังหูลู่ได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้า” เขายิ้มอ้อนนาง

“ท่านชอบถึงเพียงนี้เลยหรือ” นางถามเขาด้วยความสงสัย

“ข้าชอบ... ถังหูลู่” เขากระซิบตอบนาง

ไป๋อิงหยิบให้เขาไม้หนึ่งก่อนจะเห็นภาพทับซ้อนของเสี่ยวหานและเหรินฮ่าวหราน แล้วเผลอยิ้มออกมา

ลู่เฟยเทียนเดินไปส่งไป๋อิงที่สำนัก ก่อนที่นางจะเข้าไปข้างใน เขายื่นมีดพกเล่มเล็กไว้ให้นาง

“เจ้าเก็บไว้ เผื่อจำเป็นต้องใช้ป้องกันตนเอง”

นางพยักหน้าแล้วขอบคุณเขาก่อนเดินเข้าสำนัก

ลู่เฟยเทียนยืนส่งนางจนลับตาแล้วก็กลับออกไป

“คนที่ข้าพบใต้ต้นแปะก๊วยงั้นหรือ” เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนยิ้มมุมปาก

ไป๋อิงรีบไปหาเมิ่งเจียแล้วเล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟัง ก่อนจะถามความคืบหน้าว่านางเตรียมเรื่องไปถึงไหนแล้วบ้าง

“ข้าให้คนจัดการเรียบร้อย ถึงวันนั้นทุกคนจะปลอดภัยแน่นอน เจ้าก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน” เมิ่งเจียปลอบนาง

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักก่อนนะเจ้าคะ”

ไป๋อิงหยิบนกหวีดและมีดพกขึ้นมาดู ก่อนจะสังเกตเห็นด้ามมีดพกมีตัวหนังสือสลักอยู่

รัตติกาล’ ชื่อของใคร คืออันใด นางมองดูมีดพกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังนึกไม่ออก ทั้งยังไม่รู้ว่าลู่เฟยเทียนเกี่ยวกับนางอย่างไร ตอนที่ฝันครั้งแรกนางจำได้ว่าไม่มีเขาในฝัน

ไป๋อิงนั่งชมจันทร์เต็มดวงอยู่ด้านนอกเรือน เมื่อเห็นดาวตกดวงหนึ่ง นางก็รีบกุมมือหลับตาแล้วอธิษฐาน ก่อนหยิบนกหวีดมาดูอีกครั้ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาคู่หนึ่งกำลังนั่งมองนางจากบนหลังคา หลังจากนางเข้านอน เขาก็หยิบเหล้าออกมาหนึ่งไหก่อนเอนกายนอนบนหลังคาท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง

เช้าวันรุ่งขึ้น

ลู่เฟยเทียนมารอไป๋อิงที่หน้าสำนักราวกับรู้ว่านางจะออกไปที่ใด เขาบอกความคืบหน้าเรื่องหวังจางเหว่ยกับนางก่อนจะบอกนางว่าไม่มีอันใดต้องกังวล ดูท่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ช่างเถอะ ถึงจะเตรียมพร้อมอย่างไร ในวันนั้นก็มักจะมีเหตุอยู่ดี ข้าแค่ต้องหาทางหนีไว้พร้อมแล้วก็ฝึกป้องกันตัวสักหน่อย ไป๋อิงคิดในใจ

“เจ้ามากับข้า เอามีดพกมาด้วยหรือไม่” เขาถาม

“อื้อ อยู่นี่” นางยกขึ้นมา

“นกหวีดเล่า” เขาถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“อยู่นี่” นางตอบเขา ลู่เฟยเทียนยิ้มมุมปาก

“ดี วันนี้ข้าจะสอนเจ้าสองสามอย่าง เอาไว้ป้องกันตนเอง”

อย่างกับรู้ใจ อ่านความคิดข้าหรือเปล่านะ ไป๋อิงแปลกใจแต่ก็ยอมเชื่อฟังสิ่งที่เขาสอน พวกเขาทั้งสองคนฝึกกันอยู่สองชั่วยามก่อนจะพักทานข้าว

“ข้าจะเลี้ยงเจ้าเป็นการตอบแทน คุณชายลู่” ไป๋อิงเดินนำเขาไปที่ร้านบะหมี่

“หวังว่าท่านจะไม่ถือ” นางหยิบเงินในถุงจ่ายเถ้าแก่

“สบายมาก” เขาตอบยิ้มแย้ม

หลังจากทานอิ่มและเดินสำรวจตรอกซอยทั้งหมดในเมืองแล้ว เขาถือโอกาสเดินไปส่งนางที่สำนักเยว่เทียน พร้อมบอกว่า

“รุ่งเช้า ข้าจะมารอเจ้าที่นี่ ไปฝึกต่อแล้วเลี้ยงข้าวข้าด้วย”

“ฝึกได้ แต่ข้าเลี้ยงท่านทุกวันไม่ไหว” นางตอบตามตรงเพราะสำนักเยว่เทียนนั้นขัดสนเงินทองมาสักพักแล้ว

“เช่นนั้นไปที่หอโคมแดงกับข้า”

“ท่านบ้าไปแล้วหรือ จะให้ข้าไปหอโคมแดงได้เช่นไร” นางรีบค้านด้วยความตกใจข้อเสนอของเขา

“แต่ที่นั่น ข้าจะกินเท่าใดก็ได้ ไม่ต้องจ่ายสักอีแปะ มีแต่ของที่เจ้าชอบด้วย”

“ท่านเป็นเจ้าของหรือเจ้าคะ ถึงจะทำเช่นนั้น”

“ความลับ ไว้ข้าบอกเจ้าทีหลัง เอาเป็นว่าเจ้าตกลง” เขาสรุปเอาเองเรียบร้อยก่อนหันหลังเดินกลับอย่างอารมณ์ดี

พิลึกคน เฮ้อ ไป๋อิงได้แต่ถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็ช่วยนางฝึกป้องกันตนเอง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ลู่เฟยเทียนจะมารอนางที่หน้าประตูสำนักเยว่เทียนทุกเช้าก่อนจะพานางไปฝึก เดินเที่ยวในตลาด ทบทวนเส้นทางหนี ดูสถานที่หลบภัย เตือนชาวเมือง ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

“ไป๋อิง ข้ามีธุระนอกเมืองสองสามวัน ระหว่างนี้ เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ” เข้าบอกนางด้วยความเป็นห่วง

“อื้อ ข้าจำที่ท่านสอนได้หมดแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล” ไป๋อิงตอบเขาให้สบายใจ

นางคิดว่าเขาช่วยนางมาขนาดนี้ก็ดีแล้ว เพราะในฝันครั้งนั้นไม่มีใครช่วยนางได้เลย อย่างน้อยหวังจางเหว่ยก็ดูจะเชื่อคำพูดของหรงหรงอยู่ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น นางแค่ต้องสู้สุดกำลัง

--------------------------------------------------------------------

สองวันมานี้ไม่มีลู่เฟยเทียนมารอรับ ทำให้ใจของไป๋อิงดูเหงาหงอยเล็กน้อย นางจึงไปเดินเล่นพูดคุยกับชาวเมืองและฝึกตามที่เขาเคยสอนเอาไว้ทั้งวันจนตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า แต่แล้วนางได้ยินเสียงนกร้องดังระงม จึงเงยหน้ามองท้องฟ้านกฝูงนั้นบินวนไปวนมาเหนือประตูเมือง ทำให้นางรู้ว่าวันนั้นมาถึงแล้ว

“ดูนั่น! ฝูงนก ท้องฟ้า ทุกคนรีบหนีไปที่หลบภัยเร็วเข้า” นางตะโกนพลางชี้ไปที่ท้องฟ้า

“แย่แล้ว เร็วเข้าเถ้าแก่”

“คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ”

เมื่อชาวเมืองนึกถึงคำทำนายของเมิ่งเจีย ทุกคนต่างรีบร้องตะโกนบอกกันแล้วพากันเก็บข้าวของไปที่หลบภัย

ไป๋อิงวิ่งกลับมาที่สำนักแล้วบอกเมิ่งเจียว่าถึงเวลาแล้วและช่วยกันเก็บของก่อนไปส่งที่หลบภัยให้ทันภายในสามชั่วยาม

เวลานี้ชาวเมืองต่างวิ่งหนีขวักไขว่ ดูจากสถานการณ์น่าจะมีเวลาเหลือเฟือที่จะหลบซ่อนตัว นางสังเกตเห็นทหารประจำเมือง บ้างช่วยพาชาวเมืองไปที่หลบภัย บ้างซุ่มรอตามจุดต่าง ๆ พร้อมที่จะรับการโจมตีของกลุ่มโจรทมิฬเหมือนกับพวกเขาวางแผนรับมืออย่างดี

ผ่านไปสองชั่วยามแล้วหลังเกิดลางบอกเหตุ ไป๋อิงอยู่ที่หลบภัยรวมกับคนอื่น ๆ นางพยายามมองหาหวังจางเหว่ยแต่ก็ไม่เห็นเขา

“เมิ่งเจีย ท่านเห็นหวังจางเหว่ยหรือไม่”

“ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เห็นเขา ท่านยาย ท่านเห็นคุณชายหวังจางเหว่ยหรือไม่” เมิ่งเจียถามทุกคน เมื่อไป๋อิงเห็นว่าหวังจางเหว่ยไม่อยู่ที่นั่น นางจึงรีบวิ่งกลับเข้ามาในเมืองเพื่อตามหาเขา

เจ้าหวังจางเหว่ย อย่าให้ข้าได้เจอนะ จะทุบสักหนึ่งฝ่ามือ เจ้าหายไปที่ใดกัน ไป๋อิงได้แต่บ่นในใจพลางคิดว่าหากช่วยเขาไม่ได้ นางอาจจะต้องติดอยู่ในความฝันตลอดไป นางถามทหารที่วิ่งผ่านมา

“คุณชายหวัง เมื่อครู่อยู่ที่ตลาดในเมือง เขากำลังหาอะไรบางอย่าง เจ้ารีบไปซ่อนก่อนเถิด” ทหารหนุ่มบอกนาง ไป๋อิงไม่รอช้าวิ่งไปดูที่ตลาด นางจำเป็นต้องพาเขาไปที่ปลอดภัยให้ได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าภัยอันตรายได้คืบคลานมาแล้ว เสียงฝีเท้าดังกระหึ่มมาจากทางเหนือ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้แก่ทุกคน

“หวังจางเหว่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ รีบหนีไปได้แล้ว พวกโจรกำลังมาถึงแล้ว” นางตะโกนบอกเขา

หวังจางเหว่ยเห็นนางก็วิ่งไปอีกทาง ไป๋อิงวิ่งตามเขาแต่แล้วก็พลัดกันที่ห้าแยกศาลากลางเมือง

“เจ้าคนดื้อด้าน” นางทำอันใดไม่ได้นอกจากจะพยายามตามหาเขาต่อไป

“หยุด!” เสียงทุ้มดุดันดังมาจากข้างหลังไป๋อิง นางหันไปมองเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ถือดาบกำลังวิ่งมาทางนาง

หยุดก็ตายน่ะสิ ไป๋อิงรีบวิ่งหนีลัดเลาะตามทางที่ลู่เฟยเทียนเคยบอก แต่ราวกับทางที่เห็นเมื่อกลางวันกับกลางคืนจะไม่เหมือนกัน จึงทำให้นางวิ่งวนจนมาถึงห้าแยกอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นหวังจางเหว่ยวิ่งหนีโจรออกมาทางด้านซ้าย

ไป๋อิงนึกได้ว่าในฝันหากอยากรอดต้องหนีไปทางด้านขวา จึงรีบวิ่งไปคว้าแขนเขาให้หนีไปทางด้านขวา หวังจางเหว่ยมัวแต่ดึงดันไม่ยอมจนทำให้โจรที่วิ่งตามไป๋อิงตามทันพวกเขา แล้วดาบเล่มใหญ่ก็ฟันลงมาที่ร่างของหวังจางเหว่ยในทันใด

“ไม่!” เสียงของไป๋อิ่งดังลั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดลงไป

Related chapters

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.3 เหตุการณ์ซ้ำรอย

    ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด

    Last Updated : 2024-11-29
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 2.4 ปกป้องคนสำคัญ

    ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่

    Last Updated : 2024-11-30
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.0 เที่ยวนอกเมืองวันหยุด

    เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง

    Last Updated : 2024-12-01
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.1 ฮูหยินผู้อาภัพ

    “ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง

    Last Updated : 2024-12-02
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.2 ท่านประมุขเปลี่ยนไป

    เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด

    Last Updated : 2024-12-03
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.3 เขาคือคนผู้นั้น

    “ฮูหยิน เจ้าจะลงเขาไปเที่ยวตลาดในเมืองหรือ” ประมุขเว่ยถาม ฮูหยินพลางเก็บของเตรียมพร้อม“ใช่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปด้วย” ฮูหยินถามกลับ“ข้าต้องไปกับเจ้าอยู่แล้ว ข้าเป็นสามีเจ้า”“แต่ข้าไปกับเพ่ยเพ่ยสองคนเป็นปกติ”“มีข้าไปด้วยไม่อุ่นใจกว่าหรือ” เขารีบบอกอุ่นใจหรือ พูดมาได้ ถึงจะผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี ฮูหยินจึงตอบเขาไปว่า“ตามใจท่าน” นางเหนื่อยจะห้ามเขาแล้วเมื่อลงมาถึงตลาดฮูหยินก็เดินไปที่ร้านขายซาลาเปา ต่อด้วยร้านเนื้อตุ๋น ร้านหนังสือ สุดท้ายแวะเข้าร้านเหล้า“เถ้าแก่ เหล้าไผ่เขียวสองไห” ฮูหยินสั่งเถ้าแก่อย่างที่เคยสั่งประจำ“ฮูหยิน เดี๋ยวนี้เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” ประมุขเว่ยถามนางเพราะไม่เคยเห็นนางดื่มมาก่อน“ไม่ใช่ว่าจะได้มาที่นี่บ่อยเสียหน่อย อีกอย่างสุราร้านนี้รสชาติดี เดี๋ยวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ดื่มแล้ว” ฮูหยินยิ้มให้เขาแล้วนึกถึงวันที่ตื่นจากฝัน นางจะหาสุราชั้นดีขนาดนี้ได้ท

    Last Updated : 2024-12-04
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.4 หลีกหนีจากคนใจร้าย

    ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทราและดวงดาราหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆครึ้มสีดำ บรรยากาศในป้อมเทียมฟ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงร้องคร่ำครวญของชายผู้หนึ่งดังมากจากไกล ๆ“เพ่ยเพ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินเรียกนางเข้ามาถาม“เจ้าค่ะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ว่ากันว่าเป็นเสียงของท่านประมุข” นางตอบพลางหันซ้ายหันขวา“เว่ยซีฮัน เขาเป็นอันใด” ฮูหยินไม่รอช้ารีบสวมชุดคลุมแล้ววิ่งไปที่เรือนของถิงถิงแม้ว่าเว่ยซีฮันคนที่เมื่อตอนกลางวันจะใจร้ายกับนาง แต่พอคิดว่าเขาคือเหรินฮ่าวหราน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ท่านแม่ เว่ยซีฮันเป็นอันใดหรือ” นางถามฮูหยินผู้เฒ่า“ข้าไม่รู้ เขาร้องเจ็บปวด ข้าใจคอไม่ดี”“ท่านหมอออกไปต่างเมืองขอรับ” ทหารมือขวาของประมุขเว่ยบอกฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินเว่ยเดินเข้าไปข้างในเรือน นางเห็นประมุขเว่ยกำลังนอนดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนางเห็นถิงถิงเดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำเช่นไรฮูหยินเว่ยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาแต่เพื่อความไม

    Last Updated : 2024-12-05
  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 3.5 รู้สึกตัวในความฝัน

    แขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักหลวง หอจันทร์ครามและป้อมเทียมฟ้ากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของปราสาทดาราโรย ประมุขเว่ยมักจะมาที่นี่พร้อมกับฮูหยินและอนุทั้งสองตามปกติเช่นทุกปี เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามจากคนในวังหลวง ทว่าปีนี้ฮูหยินเว่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขาเตรียมคำตอบให้กับวังหลวงว่า ‘นางไม่สบาย ท่านหมอให้พักผ่อน’ แท้จริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สบาย หากปฏิเสธไป ประมุขคนอื่น ๆ ต้องหาจุดอ่อนโจมตีป้อมเทียมฟ้า เขาจึงฝืนมางานนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคนสนิทยังคงตามหาท่านหมอไม่เจอ“ประมุขเว่ย ท่านสบายดีหรือ” สวีซือประมุขหอจันทร์ครามเดินเข้ามาทักทายเขา รอยยิ้มเสแสร้งทำให้ประมุขเว่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน“แน่นอน ท่านก็เห็นมิใช่หรือ”“ฮูหยินเว่ยเล่า นางไม่มาด้วยหรือ”“ท่านสนใจเรื่องภายในของป้อมเทียมฟ้าตั้งแต่เมื่อใด”“ข้าพบนางสองสามครั้ง พูดคุยถูกคอ นิสัยคล้ายกัน เห็นนางมักจะแวะซื้อของกิน ซื้อหนังสือมาอ่าน ยามนี้ดูมีความสุขมากนัก นางอยู่เรือนล่างเขานี้เอ

    Last Updated : 2024-12-06

Latest chapter

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.4 ผีเสื้อสีขาว

    “เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.3 มิตรภาพผองเพื่อน

    เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.2 มนตร์ปีศาจจิ้งจอก

    เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.1 การรอคอยที่เนิ่นนาน

    ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.4 ห่วงหาอาวรณ์

    “เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.3 อยู่เคียงข้างกัน

    เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.2 อดีตที่หลอกหลอน

    หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.1 หัวใจที่ยังคงเจ็บปวด

    ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 5.4 ความทรงจำที่เลือนลาง

    หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด

DMCA.com Protection Status