เช้าวันต่อมา
“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”
“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”
“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”
“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา
“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา
“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ
“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”
“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรัก
เธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดี
หวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ
“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ
“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน
“ซวยแล้ว ๆ คาบอาจารย์สุดโหด” เธอรีบกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วสูงก่อนปั่นจักรยานไปคณะ
พักเที่ยงหลิวลี่เซียงมีนัดทานข้าที่โรงอาหารพร้อมกันกับไป๋เยว่ซิน เธอมานั่งรอที่โต๊ะก่อนจะคิดถึงเรื่องราวในฝันที่ผ่านมา
ทำไมถึงได้ฝันเรื่องหลี่เหลียนฮวาอีกครั้งนะ แถมเข้าไปอยู่ในฝัน เล่นจริงเจ็บจริงไม่น้อย เหมือนจะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ก็แค่หลับฝันไปหนึ่งคืนงั้นเองเหรอ หลิวลี่เซียงคิดทบทวนไปมาถึงความสมเหตุสมผลแต่ก็หาคำตอบไม่ได้
“อาเซียง สั่งข้าวแล้วยัง” ไป๋เยว่ซินถามตอนเดินมาที่โต๊ะ
“อื้อ เรียบร้อย กินเหมือนกันใช่ไหม”
“อื้อ”
ทั้งสองคนทานข้าวเที่ยงด้วยกันพลางพูดคุยเรื่องงานเทศกาลของมหาวิทยาลัย คณะต่าง ๆ จะมีร้านขายของเล็ก ๆ ในเทศกาลนี้ด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ไป๋เยว่ซินถามเรื่องเมื่อตอนเช้า
“อาเซียง เมื่อเช้าเรียกชื่อใครนะ”
“อ่อ จิ่วเอ๋อร์ คนในฝันน่ะ เรื่องมันยาวมาก เอาไว้เลิกเรียนจะเล่าให้ฟังนะ” หลิวลี่เซียงตอบก่อนหันไปมองข้าง ๆ
เธอเห็นเหรินฮ่าวหรานกำลังนั่งกินแตงโมอยู่อย่างเอร็ดอร่อยก็นึกถึงเสี่ยวหานแล้วเผลอยิ้มออกมา
“อาเซียง มองฮ่าวหรานจนเขามองกลับมาแล้วไหมนั่น” ไป๋เยว่ซินสะกิดแขนเธอเบา ๆ
เหรินฮ่าวหรานรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องเขาอยู่จึงหันมามอง เขาเห็นหลิวลี่เซียงยิ้มให้เขา
“เธอชอบนายคนนี้เหรอ มองตาไม่กระพริบแถมยิ้มให้เขาด้วย” ไป๋เยว่ซินแซวเพื่อนที่กำลังหน้าแดง
“เปล่านะ ซินซิน แค่นึกถึงใครบางคนเฉย ๆ เดี๋ยวเย็นนี้เล่าให้ฟัง”
“อื้อ” เธอพยักหน้า
หลังจากที่เรียนวิชาตอนบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลิวลี่เซียงแวะไปที่ชมรมศิลปะ เพราะประธานชมรมนัดสมาชิกใหม่ทุกคนมาทำความรู้จักกับรุ่นพี่ แม้สมาชิกในชมรมจะมีไม่มากก็ตาม
เธอเดินเข้ามานั่งรออยู่ตรงมุมห้องชมรมและทำความรู้จักกับรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เหรินฮ่าวหรานและซือมู่เฉินก็เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย หลังจากที่แนะนำชมรมและสมาชิกชมรมเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ เหลือเพียงเหรินฮ่าวหรานที่เดินไปหยิบอุปกรณ์มาเตรียมวาดรูปสีน้ำมัน
“นี่ ฉันให้เธอ” เหรินฮ่าวหรานยื่นของในถุงผ้าให้เธอ
หลิวลี่เซียงรับมาแล้วเปิดดูของในถุงผ้า
“แตงโมเหรอ เป็นลูกเลยนี่นะ” หลิวลี่เซียงถามกลับ
“อื้อ เมื่อตอนกลางวันเธอมองฉัน ไม่ได้อยากกินแตงโมเหรอ”
“เอ่อ คือ... ใช่ ๆ ขอบคุณนะ” หลิวลี่เซียงไม่อยากอธิบายยืดยาวจึงรับของมาแล้วกล่าวขอบคุณเขา
หลังจากนำของมาให้เธอแล้ว เขาก็ไปนั่งที่ประจำใส่หูฟังเพลงแล้วเริ่มลงสีบนผืนผ้าใบ
หลิวลี่เซียงไม่กล้าอยู่กับเขาสองคนจึงขอตัวกลับหอพัก
----------------------------------------------------------------------
งานเทศกาลมหาวิทยาลัย
“อาเซียง ร้านขายของกินเต็มไปหมดเลย” ไป๋เยว่ซินตื่นเต้น
“อื้อ ไปดูตรงโน้นกันเถอะ ฉันอยากกินอันนั้นอ่ะ” หลิวลี่เซียงพาเธอเดินมาทางด้านซ้ายของงาน
เธอเอื้อมมือไปหยิบถังหูลู่ด้วยความอยากกิน แต่มีมืออีกข้างหนึ่งของใครบางคนกำลังเอื้อมมือจับถังหูลู่ไม้เดียวกัน
ในร้านมีตั้งหลายไม้ ทำไมต้องมาเลือกไม้เดียวกัน เธอจึงเงยหน้ามองเขา
“เหรินฮ่าวหราน!” เธออุทานตกใจ
“เธอเองเหรอ” เขาตอบเนิบ ๆ
“อันนี้นายเอาไปละกัน เดี๋ยวฉันเอาอันใหม่” หลิวลี่เซียงยื่นถังหูลู่ไม้นั้นให้เขา
ภาพเหตุการณ์ในวันที่หลี่เหลียนฮวาไปเที่ยวในตลาดและซื้อถังหูลู่ให้เสี่ยวหานผุดขึ้นมา เธอมองเห็นภาพหน้าของเสี่ยวหานบนใบหน้าของ เหรินฮ่าวหราน ทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อยและทำให้เขาแปลกใจไปด้วย
“หลิวลี่เซียง เป็นอะไรไป” เขาถาม
“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร อันนี้ให้นายละกัน ฉันไปละ” เธอรีบยื่นให้เขาก่อนรีบเดินไปอีกทาง
“อ้าวอาเซียง ไม่กินละเหรอ” ไป๋เยว่ซินถามเพราะสงสัย
“อื้อ ๆ เอาไว้วันหลังก็ได้”
“งั้นไปตรงนั้น ฉันได้กลิ่นซาลาเปา” ไป๋เยว่ซินชวน
“ซินซิน ขอสองลูก หิวไม่ไหวแล้ว” หลิวลี่เซียงบอกเพื่อน
“อื้อ ถือไปเลยมั้ย” เธอยื่นให้เพื่อนก่อนจ่ายเงิน
เมื่อหันกลับมาหลิวลี่เซียงมองเห็นเหรินฮ่าวหรานอีกครั้งและกำลังเดินมาทางนี้
งานออกจะกว้างทำไมยังเดินมาทางเดียวกันอีกนะ หลิวลี่เซียงคิดในใจ
ด้านเหรินฮ่าวหรานที่เดินมาทางนี้มองเห็นเธอถือซาลาเปาสองมือก็เข้าใจว่าเธอคงชอบซาลาเปามาก เขายิ้มให้เธอเพื่อทักทายตามประสาแต่กลับทำให้เธอรู้สึกเขินขึ้นมา ก่อนที่เขาจะรู้ว่าเธอหน้าแดง หลิวลี่เซียงก็หันขวับไปอีกทางแล้วรีบเดินจนลืมไป๋เยว่ซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อาเซียง เดี๋ยวก่อน” ไป๋เยว่ซินรีบเดินตาม
“ซินซิน โทษที รีบเดินไปหน่อย”
“รีบเดินหรือรีบหลบหน้าใคร เธอมีพิรุธนะ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเพื่อน
“เปล่า ๆ แค่อยากรีบหาที่นั่งกินซาลาเปาเฉย ๆ เอ! ตรงนั้นซือมู่เฉินนี่” หลิวลี่เซียงชี้ไปที่ในงาน
ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ ไป๋เยว่ซินรีบดึงแขนเธอเดินไปอีกทางจนแทบจะถึงประตู
“ซินซิน นี่เธอหลบหน้าซือมู่เฉินเหรอ” หลิวลี่เซียงถามกลับ
“จะว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ ยังไม่อยากเจอหน้าคนเจ้าชู้”
“เฮ้อ ไหน ๆ ก็เดินมาจนถึงทางออกแล้วกลับหอกันดีกว่า” เธอเก็บซาลาเปาใส่ถุงแล้วปั่นจักรยานกลับหอพร้อมกัน
------------------------------------------------------------------------
หลิวลี่เซียงแวะมาที่ชมรมศิลปะเพราะวันนี้รุ่นพี่จะสอนเทคนิคการวาดรูปด้วยสีน้ำมัน เธอมีแผนที่จะหัดวาดรูปจึงเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
“หลิวลี่เซียง ไปนั่งคู่กับเหรินฮ่าวหราน” รุ่นพี่คนหนึ่งบอกเธอ
หลิวลี่เซียงค่อย ๆ เดินมาหาเขาพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อทักทายเขา
เมื่อมองไปที่ผืนผ้า เธอเห็นเขาวาดรูปดอกโบตั๋นค้างไว้ แม้จะยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีก็ดูสวยงามมากทีเดียว
“เธอจะลองวาดรูปดอกโบตั๋นไหม” เขาถามเมื่อเห็นเธอสนใจภาพของเขา
“อื้อ” หลิวลี่เซียงตอบด้วยความดีใจ
เหรินฮ่าวหรานตั้งใจสอนเธอด้วยความใจเย็น หลังจากนั้นเธอจึงแวะมาที่ชมรมอีกสองสามวันเพื่อวาดรูปดอกโบตั๋นให้เสร็จ โดยมีเหรินฮ่าวหรานคอยสอนทุกขั้นตอน จนในที่สุดภาพวาดสีน้ำมันชิ้นแรกของเธอก็เสร็จเรียบร้อย
“ขอบคุณนะ” เธอกล่าวขอบคุณเขาที่ช่วยสอนเรื่องวาดภาพ
“อื้อ” เขาตอบสั้น ๆ
โบตั๋นในความทรงจำ หลิวลี่เซียงถือภาพดอกโบตั๋นกลับหอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ข้างหลังเธอเหรินฮ่าวหรานมองตามแล้วยิ้มมุมปาก จากนั้นเขากลับมานั่งวาดภาพเดิมที่ค้างไว้
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดวงจันทร์กลมโตเหมือนคืนนั้น หลิวลี่เซียงมานั่งชมจันทร์ที่ริมหน้าต่างเหมือนเช่นเคย เสียงขลุ่ยเพลงเดิมที่คุ้นเคยขับกล่อมให้เธอหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว
สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื
เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข
ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด
ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่
เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง
“ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง
เช้าวันต่อมาหลังจากที่ดูแลงานบ้านและฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเว่ยก็หยิบหนังสือนิยายมาหนึ่งเล่ม“เพ่ยเพ่ย วันนี้เจ้าไปช่วยงานห้องครัวแล้วกัน” ฮูหยินเว่ยบอกสาวรับใช้ของตน“เจ้าค่ะ”ฮูหยินเว่ยปีนขึ้นไปบนต้นดอกท้อแล้วหามุมเหมาะ ๆ นอนพิงก่อนกางหนังสืออ่าน นางเลือกอ่านหนังสือที่นี่เผื่อว่าประมุขจะแวะมาดูนางตามที่บอก หากไม่เจอนางอาจจะโมโหแล้วสั่งลงโทษนางจริง ๆขณะกำลังอ่านนิยายด้วยความสนุก นางได้ยินเสียงเย้าหยอกของสามีภรรยาคู่หนึ่งแว่วมา แม้จะไม่เห็นหน้าของทั้งคู่นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงไม่ได้สนใจแล้วอ่านนิยายต่อ“ท่านพี่ เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามเขา“ฮูหยิน นางขัดคำสั่งข้า ไม่ยอมอยู่เรือน” เขาตอบด้วยความโมโห“ท่านควรจะมองให้ดีก่อนจะกล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินตอบกลับพลางอ่านนิยายไปด้วยประมุขเว่ยมองตามเสียงของนางไปทั่วทุกทิศ ไม่คาดคิดว่านางจะขึ้นมาอ่านหนังสือบนต้นไม้“ว้าย! ฮูหยิน” ถิงถิงแกล้งทำเสียงตกใจเมื่อมองเห็นนางก่อนจะชี้ให้ประมุขเว่ยด
“ฮูหยิน เจ้าจะลงเขาไปเที่ยวตลาดในเมืองหรือ” ประมุขเว่ยถาม ฮูหยินพลางเก็บของเตรียมพร้อม“ใช่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปด้วย” ฮูหยินถามกลับ“ข้าต้องไปกับเจ้าอยู่แล้ว ข้าเป็นสามีเจ้า”“แต่ข้าไปกับเพ่ยเพ่ยสองคนเป็นปกติ”“มีข้าไปด้วยไม่อุ่นใจกว่าหรือ” เขารีบบอกอุ่นใจหรือ พูดมาได้ ถึงจะผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี ฮูหยินจึงตอบเขาไปว่า“ตามใจท่าน” นางเหนื่อยจะห้ามเขาแล้วเมื่อลงมาถึงตลาดฮูหยินก็เดินไปที่ร้านขายซาลาเปา ต่อด้วยร้านเนื้อตุ๋น ร้านหนังสือ สุดท้ายแวะเข้าร้านเหล้า“เถ้าแก่ เหล้าไผ่เขียวสองไห” ฮูหยินสั่งเถ้าแก่อย่างที่เคยสั่งประจำ“ฮูหยิน เดี๋ยวนี้เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” ประมุขเว่ยถามนางเพราะไม่เคยเห็นนางดื่มมาก่อน“ไม่ใช่ว่าจะได้มาที่นี่บ่อยเสียหน่อย อีกอย่างสุราร้านนี้รสชาติดี เดี๋ยวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ดื่มแล้ว” ฮูหยินยิ้มให้เขาแล้วนึกถึงวันที่ตื่นจากฝัน นางจะหาสุราชั้นดีขนาดนี้ได้ท
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด
หลี่หานคอยนั่งเฝ้าเหยากุ้ยเฟยอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืน พยายามถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านางเป็นคนเช่นไร หากแผนการครั้งนี้สามารถช่วยเหลือบิดา พี่ชายและตัวนางเองได้ ทำไมถึงไม่ทำ ทำไมถึงต้องทนรับความเจ็บปวดไว้กับตนเอง เรื่องของนางที่เขาพบเจอในก่อนหน้านี้ดูต่างจากตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเหยากุ้ยเฟยลืมตาตื่นนอนตอนเช้าเหมือนคนปกติราวกับเมื่อคืนวานไม่ได้โดนยาพิษเดือนหนาวทำไมข้ายังไม่ตื่นจากฝัน ทำไมข้ายังอยู่ที่นี่ เหยากุ้ยเฟยตัดพ้อทันทีที่เห็นเพดานของตำหนักเย็น เมื่อหันมาทางด้านซ้าย ใบหน้าคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งทำให้นางคิดว่า“หลี่หาน นี่ข้ากำลังฝันซ้อนฝันหรือย่างไร เหยากุ้ยเฟยเอื้อมลูบใบหน้าของเขา“ท่านทำอันใด” เขาสะดุ้งตื่นเพราะเพิ่งได้นอนเพียงหนึ่งก้านธูปเหยากุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นจึงหยิกแก้มตัวเอง“โอ๊ย! ไม่ได้ฝันหรอกหรือ แต่เจ้าดูจะเหมือนจริงมากเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่เจ้ามาอยู่ใกล้ข้าได้ถึงเพียงนี้หรอก” นางเอื้อมแตะที่แก้มเขาอีกครั้ง“เหยากุ้ยเฟย! ท่านไม่ได้ฝัน” หลี่หานบอกนาง“แล้วทำไ