ความฝันครั้งนั้น หลี่เหลียนฮวาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นางจำได้ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเสี่ยวหาน ชะตากรรมของเขาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะตื่นจากฝันแล้วนางยังคงเศร้าและน้ำตาเอ่อล้นไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจไปหลายวัน
“เสี่ยวหาน เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”
“ขอโทษที่ทำให้คุณหนูเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะขอรับ” เสี่ยวหานเห็นหลี่เหลียนฮวาร้องไห้ไม่หยุด และกอดเขาไม่ปล่อย จึงค่อย ๆ ลูบหัวนางช้า ๆ
หลังจากตั้งสติได้ หลี่เหลียนฮวาจึงค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง เสี่ยวหานเล่าว่าที่เขาหายไปหลายวันเพราะทางเดินป่าไม่ค่อยดีจึงเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอยู่หลายวัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เสี่ยวหานใช้เวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่เรียนการต่อสู้ ทำงานช่วยแม่บ้านจางและพักที่ห้องอาเฉินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านของตนเท่าใดนัก เพื่อความสบายใจของหลี่เหลียนฮวา
ราวกับเหตุการณ์จริงยังไม่ได้เกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาจึงยังไม่ตื่นจากความฝัน ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางความคิดไปได้
เมื่อได้พบเจอกันบ่อย เที่ยวเล่นด้วยกัน พูดคุยกันทุกวันพวกเขาต่างรู้สึกสนิทสนมผูกพันกันมากขึ้น
“เสี่ยวหาน นี่แตงโมที่เจ้าชอบ” หลี่เหลียนฮวาชวนเขามากินแตงโมที่ศาลาหลังจากเลิกเรียน
“ส่วนนี่ซาลาเปาสองลูกของอาเฉินแล้วก็อันนี้ข้าให้เจ้าจิ่วเอ๋อร์” นางจัดแจงของทานเล่นให้ทุกคนอย่างเคยชิน
เรื่องราวในชีวิตประจำวันดำเนินไปได้ด้วยดีจนทำให้หลี่เหลียนฮวาลืมความฝันไปเสียสนิท จนเมื่อได้เห็นใบแป๊ะก๊วยสีเหลืองร่วงหล่นจากต้น ความกลัวของนางจึงเริ่มก่อตัวอีกครา
“เสี่ยวหาน ปีนี้เจ้าไม่ต้องเข้าป่าหาฟืนได้หรือไม่ เหมันตฤดูครั้งนี้ เจ้าอยู่ที่จวนนี้เถิด” หลี่เหลียนฮวาบอกเขาแกมขอร้อง
เสี่ยวหานเข้าใจว่าทำไมหลี่เหลียนฮวาพูดกับเขาเช่นนี้ นางคงกลัวว่าจะเกิดเรื่องเหมือนครั้งก่อนที่เขาไปหาฟืนในป่า เขาไม่อยากเห็นนางต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะเขา จึงรับปากอย่างง่ายดาย
---------------------------------------------------------------------------
ใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงพื้นเป็นสัญญาณเปลี่ยนผ่านกาลเวลา เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวในวังหลวง บัดนี้ถึงคราผลัดแผ่นดินเช่นเดียวกัน
“เหลียนฮวา เวลานี้เจ้าอยู่ในจวนอย่าได้ออกไปที่ใด ข้าต้องไปที่วังหลวงจะไม่ได้พบเจ้าสักระยะ” ใต้เท้าหลี่บอกกับบุตรสาวก่อนรีบเดินทางไปวังหลวง
ข่าวคราวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้เริ่มกระจายไปนอกวังหลวงผู้คนต่างพากันไว้ทุกข์ตามธรรมเนียม ขุนนางต่าง ๆ กำลังวุ่นวายกับการขึ้นครองบัลลังก์ขององค์รัชทายาท หากแต่เรื่องราวทั้งหมดมีเท่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย
เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน กลุ่มชายชุดดำฉวยโอกาสเข้าโจมตีวังหลวงหมายจะเอาชีวิตองค์รัชทายาทและขัดขวางการขึ้นครองราชย์ บัดนี้เหล่าขุนนาง ทหาร ต่างมีหน้าที่ปกป้องเชื้อพระวงศ์ให้รอดจากการลอบทำร้ายครั้งนี้ แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าจุดประสงค์ของคนเหล่านี้คืออะไร แต่การกระทำเช่นนี้คือการก่อกบฏ
ชาวบ้านที่รู้ข่าวย่อมหวาดกลัวพากันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ถนนหนทางไร้ผู้คน บรรยากาศวังเวงเงียบสงัด
ใต้เท้าหลี่ขอกำลังทหารยามมาเฝ้าที่จวนสกุลหลี่และคอยดูแลบุตรสาวของเขา ผู้คนในจวนต่างวางแผนเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะหลี่เหลียนฮวา เริ่มฤดูหนาวครั้งใดมักมีเรื่องอยู่ร่ำไป
กระนั้นกลุ่มชายชุดดำก็ไม่สามารถโจมตีวังหลวงที่มีกองทหารหลายพันนายคอยสับเปลี่ยนเฝ้ายามอารักขาความปลอดภัยทั้งวันทั้งคืนได้ดังใจ ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวในช่วงแผ่นดินมีการเปลี่ยนผ่านและอาศัยความวุ่นวายทางการเมือง ใต้เท้าหลี่ผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย จึงรู้สึกสงสัยคนบางกลุ่มที่ต้องการสืบทอดอำนาจและความยิ่งใหญ่ เพียงแต่ยังหาหลักฐานที่เชื่อมโยงกันไม่ได้
เหล่าขุนนางฝ่ายซ้ายเริ่มวางกับดักเพื่อจับกุมกลุ่มชายชุดดำนี้ได้ทีละคน แต่การสืบสาวเรื่องราวไม่เกิดผลอันใด คนพวกนั้นไม่ปริปากพูดมูลเหตุจูงใจหรือเปิดเผยข้อมูลของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง นอกจากนั้นยังยอมสละชีวิตตนเองกินยาพิษที่พกไว้ติดตัว ไม่ยอมให้ตนต้องโดนคุมขังอีกต่อไป ส่วนคนที่เหลือข้างนอกต่างพากันเก็บตัวเงียบเพื่อรอคำสั่งต่อไป
ราวกับช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและตึงเครียดได้ค่อย ๆ คลี่คลาย ผู้คนจึงเริ่มกลับมาทำมาหากินและใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่มีใครรู้เลยว่ากลุ่มชายชุดดำกำลังวางแผนอย่างลับ ๆ
---------------------------------------------------------------------------
ณ จวนสกุลหลี่
“คุณหนูนายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่บ้านจางรีบมาแจ้งหลี่เหลียนฮวา
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ อยู่ที่ศาลาใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ นายท่านรอคุณหนูอยู่ที่เดิมเจ้าค่ะ”
หลี่เหลียนฮวารีบวิ่งไปหาใต้เท้าหลี่เพราะนางไม่ได้เจอเขาหลายอาทิตย์แล้ว
“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้านึกเป็นห่วงเจ้าเลยกลับมาที่จวนก่อนผู้ใด” ใต้เท้าหลี่กอดบุตรสาวด้วยความคิดถึง
“ข้าก็คิดถึงท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม้ใต้เท้าหลี่จะเป็นเพียงแค่คนในฝันแต่หลี่เหลียนฮวาก็รู้สึกรักและเคารพเขา ความรู้สึกนั้นเหมือนเป็นความรู้สึกของหลี่เหลียนฮวาตัวจริง
“ข้าแวะมาหาเจ้าเพื่อดูหน้าให้หายคิดถึง แต่ข้ายังมีธุระในวังหลวงที่ต้องทำให้เรียบร้อย อีกสองสามวันเจอกันอีกนะเหลียนฮวา”
พวกเขาทั้งสองทานข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อก่อนใต้เท้าหลี่จะกลับไปที่วังหลวงอีกครั้ง
เรื่องราวในวังหลวงผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างสมพระเกียรติ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่นั่นนำมาซึ่งความไม่พอใจของกลุ่มชายชุดดำที่เหลืออยู่ พวกเขาเริ่มวางแผนที่จะจับครอบครัวของขุนนางเพื่อมาเป็นเครื่องต่อรอง
แม้เหตุการณ์จะคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ใต้เท้าหลี่ก็ยังให้ตรึงกองกำลังอารักขาบางส่วนไว้เผื่อจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะไม่รู้ว่าจำนวนคนในกลุ่มชายชุดดำยังเหลืออยู่อีกเท่าใด เขาตั้งใจเข้าไปจัดการเรื่องราวทุกอย่างนี้ในวังหลวงร่วมกับเหล่าขุนนางอื่น ๆ และในคืนนี้เองที่กลุ่มชายชุดดำเริ่มแผนจับตัวประกัน
กลางดึกกลุ่มชายชุดดำแอบเข้าไปที่จวนสกุลหลี่เพื่อจับตัวหลี่เหลียนฮวา บุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าหลี่ผู้เป็นผู้นำในการวางแผนจับกุมพวกเขา
เสียงเปิดประตูเบา ๆ ดังมาจากด้านนอกเรือนของหลี่เหลียนฮวา โชคดีที่คืนนี้นางนอนไม่หลับ เมื่อได้ยินเสียงผิดวิสัย นางจึงรีบจัดผ้าห่มแล้วรีบไปซ่อนข้างหลังกระจกบานใหญ่ตรงมุมห้อง ถือไม้ท่อนใหญ่ที่วางอยู่ ข้าง ๆ ไว้กับตัว
คนรูปร่างสูงผู้หนึ่งค่อย ๆ ย่องเข้ามาในห้องนอนก่อนจะจับตัวคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อวางยาสลบ หลี่เหลียนฮวาแทบจะหยุดหายใจไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ชายผู้นี้เพียงแค่สัมผัสผ้าห่มที่อุ่น ๆ อยู่ก็รู้แล้วว่าเมื่อสักครู่มีคนอยู่ที่นี่ เขากวาดตามองหานางแม้รอบห้องจะมีแต่ความมืดมิด
เขาสังเกตว่าห้องนอนนี้ไม่กว้างมาก ทางเข้าออกมีทางเดียวคือทางที่เขาเข้ามา หากจะหนีทางหน้าต่างคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะข้างนอกยังมีกลุ่มของเขาเฝ้าอยู่ บุตรสาวสกุลหลี่ผู้นี้ต้องอยู่ภายในห้องนี้อย่างแน่นอน
“เจ้ารีบออกมาจะดีกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในห้องนี้ อย่าทำข้าเสียเวลา” ชายผู้นั้นพูดเชิงข่มขู่นาง
เรื่องอันใดข้าจะออกไปง่าย ๆ เข้ามาสิ ข้าจะฟาดให้ดู แม้จะกลัวแต่หลี่เหลียนฮวาก็พร้อมที่จะสู้สุดใจ
เขาเดินไปหานางตรงฉากกั้น ตู้เก็บของ แล้วเดินตรงไปที่กระจก นางกลั้นใจจังหวะที่เขาก้มหน้ามาทางด้านหลัง ยกไม้รอแล้วตีไปที่หัวหนึ่งครั้งจนชายผู้นั้นร้องโอ๊ย เขาจึงไม่รอช้ารีบคว้าตัวนางมาเพื่อวางยาสลบ หลี่เหลียนฮวาดิ้นสุดกำลังพลางร้องสุดเสียงและตะโกนให้คนช่วย หวังจะมีสักคนได้ยินเสียงของนาง
เมื่อได้ยินเสียงหลี่เหลียนฮวา ทหารที่เฝ้าจวนอยู่ก็รีบวิ่งกรูเข้ามาที่เรือน แต่โดนพรรคพวกของชายผู้นี้ที่อยู่ด้านนอกมาสกัดกั้นไว้ ชายผู้นี้จึงฉวยโอกาสหลบไปอีกทางโดยไม่รู้ว่ามีคนแอบตามมา
เสี่ยวหานและอาเฉินที่เดินเล่นอยู่ใกล้ ๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องของหลี่เหลียนฮวา พวกเขาก็รีบวิ่งมาหานางเช่นกัน ด้านหน้าทหารเฝ้ายามและกองกำลังชุดดำต่อสู้กัน ส่วนอีกฝั่งพวกเขาเห็นนางถูกชายคนหนึ่งอุ้มพาดบ่าออกไป
ระหว่างทางหลี่เหลียนฮวาไม่ได้สลบอย่างที่ชายผู้นี้เข้าใจ นางมองทางที่ถูกพาเขาพามาตลอดทางและเห็นเสี่ยวหานกับอาเฉินกำลังแอบตามมาติด ๆ หลังจากเดินทางมาสักพัก ชายผู้นี้พานางไปซ่อนไว้ที่โรงไม้ในหมู่บ้าน ด้านในมีบุตรหลานของขุนนางที่ถูกจับมาอีกสองสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเด็กน้อย เขานำหลี่เหลียนฮวาไปขังไว้อีกกรงที่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ แล้วปิดประตูกรงไว้ก่อนออกมาด้านนอกเพื่อรวมกลุ่มกับคนเฝ้ายามสามสี่คน
กรงขังไม่จำเป็นต้องมีความแน่นหนาอันใดเพราะพวกเขาคิดว่าทายาทของขุนนางนั้นไม่มีทางสู้และไม่สามารถหนีออกมาได้ บัดนี้โดนยาสลบนอนหลับไม่รู้เรื่อง ยกเว้นหลี่เหลียนฮวา
เจ้าโจรพวกนี้ ร้ายกาจยิ่งนัก ทำแบบนี้กับเด็ก ๆ ได้อย่างไร นางคิดในใจก่อนหยิบมีดพกด้ามเล็กที่ซ่อนอยู่ออกมา ค่อย ๆ เลื่อยเชือกคล้องประตู จังหวะเดียวกันกับที่เสี่ยวหานและอาเฉินลอบเข้ามาเจอพอดิบพอดี
“เสี่ยวหาน อาเฉิน รีบไปตามคนมาช่วยพวกเขากัน” หลี่เหลียนฮวาบอกก่อนจะเดินออกไป
“พวกเจ้า รอข้าด้วย” เสียงจากมุมกรงขังดังมา
หลี่เหลียนฮวามองไปทางต้นเสียงแล้วตกใจ
“เย่ชิงหมิง เจ้า” นางรีบไปพยุงตัวเขาแล้วให้อาเฉินที่ร่างกายสูงใหญ่ที่สุดเป็นคนประคอง
พวกเขาทั้งสี่คน ค่อย ๆ เดินออกทางหลังอย่างช้า ๆ ก่อนที่คนอีกกรงหนึ่งตื่นมาพอดีแล้วร้องไห้เสียงดัง จังหวะที่พวกเขาออกไปได้แล้วชายคนหนึ่งก็เข้ามาพอดี เมื่อเห็นกรงที่ขังหลี่เหลียนฮวาว่างเปล่าเขาส่งเสียงบอกคนที่อยู่ด้านนอกสามคน
“วิ่ง!” เสี่ยวหานสั่งทุกคนก่อนวิ่งนำหน้า เขาจูงมือหลี่เหลียนฮวาไปด้วย เพื่อที่จะให้เย่ชิงหมิงที่กำลังสะลึมสะลือตื่น อาเฉินจึงตบหลังเย่ชิงหมิงไปหนึ่งฝ่ามือจนเขาสะดุ้งเฮือกลืมตาตื่น แล้ววิ่งตามหลังเสี่ยวหาน พวกเขาตั้งใจจะตรงดิ่งไปทางวังหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ
ชายชุดดำปามีดบินเล่มเล็กเพื่อหยุดพวกเขา คมมีดเฉียดขาหลี่เหลียนฮวาไปนิดหนึ่ง
“โอ๊ย!” นางร้องเสียงหลงตัวโอนเอนเสียสมดุล เสี่ยวหานที่จับมือนางไม่ปล่อยมองตาอาเฉินราวกับส่งสารบางอย่างก่อนล้มกลิ้งไปตามทางพร้อมหลี่เหลียนฮวา
“โอ๊ย! เจ็บ” นางร้องอีกครั้งเมื่อกลิ้งมาจนถึงพื้นราบ
“คุณหนู ขาท่าน มีแผลเล็กน้อย” เสี่ยวหานฉีกเสื้อผ้าแล้วนำมาพันแผลให้นาง
“อดทนไว้ก่อนนะขอรับ ยิ่งถึงวังหลวงเร็วเท่าใดยิ่งปลอดภัย”
“อื้อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก ไปต่อเถอะ”
ทั้งสองกลิ้งตกลงมาตามทางที่มีหิมะปกคลุม แม้จะไม่มีบาดแผลบนร่างกายมากแต่ก็ระบมไม่น้อย การวิ่งในป่าที่ไม่ใช่ทางเดินนั้นยากลำบากนัก ทั้งสองจึงได้แต่ค่อย ๆ ไปตามทางที่แสงจันทร์สาดส่องถึงเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอย่างอื่น
เมื่อหนีมาได้ไกลพอสมควรและไม่เห็นวี่แววของชายชุดดำ เสี่ยวหานจึงให้หลี่เหลียนฮวาได้หยุดพักสักครู่หนึ่ง
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่จวนสกุลหลี่จนถึงตอนนี้ได้ผ่านมาแล้วประมาณสองชั่วยาม ท้องฟ้าเริ่มส่องแสงบาง ๆ เป็นสัญญาณให้พวกเขารีบวิ่งหนีอีกครั้งก่อนจะชายชุดดำตามมาเจอ
ด้านอาเฉินและเย่ชิงหมิงหนีไปตามทางเดิมและคอยหลบพวกชายชุดดำไปด้วย
“นี่เจ้า ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่ไหวแล้ว” เย่ชิงหมิงกล่าว
“ข้าขอพักก่อน เจ้าได้ยินหรือไม่”
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากอาเฉิน อีกทั้งขาสองข้างไม่มีเรี่ยวแรงวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว เขาทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว คนอย่างเขานั้นอยู่แต่ในรั้ววังหลวง เรียนหนังสือ ต่อให้วิ่งเล่นหรือฝึกดาบกับเย่ชิงหลงก็ไม่เคยต้องเหนื่อยหนาสาหัสเช่นนี้มาก่อน ไหนจะยาสลบที่ยังไม่จางดีเท่าไหร่ทำให้ทั้งเหนื่อยทั้งสะลึมสะลือยากจะฝืนใจแม้ถูกไล่ตามอยู่
อาเฉินที่ได้ยินเสียงเขาฟุบลงกับพื้นไม่พูดพร่ำทำเพลง พยุงเขาขึ้นหลังแล้วแบกเขาวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดพัก เขาอดทนต่อความเหนื่อยยากทั้งหลายพาเย่ชิงหมิงหนีไปตามที่ตั้งใจ อีกแค่ไม่กี่อึดใจก็จะถึงวังหลวงแล้ว เขาจะได้รีบหาคนไปช่วยคุณหนูกับเสี่ยวหาน และบอกเรื่องคนอื่น ๆ ที่โดนจับไปด้วย ทั้งยังเรื่องการต่อสู้ที่จวน อาเฉินนึกเป็นห่วงแม่บ้านจางและ จิ่วเอ๋อร์
หลังจากเสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาวิ่งมาตามทางสักพักก็เริ่มกลับเข้าเส้นทางลัดที่จะไปวังหลวงได้แล้ว พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นตามแผน หากนับถึงเวลานี้ทางอาเฉินน่าจะใกล้ถึงวังหลวงแล้ว ถ้าไปตามทางนี้ต่อจะต้องได้พบกับทหารวังหลวงที่สวนทางมาอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาจะได้หายห่วงไปสักนิดหนึ่ง
“พวกมันอยู่ตรงนั้น” เสียงดังมาจากอีกทางหนึ่งไม่ไกลนัก
“เสี่ยวหาน วิ่ง ๆ” หลี่เหลียนฮวาตกใจรีบบอกเสี่ยวหาน
พูดไม่ทันขาดคำ ธนูดอกหนึ่งพุ่งทะลุป่ามาทางพวกเขา เสี่ยวหานที่หันมามองข้างหลังพอดีจึงได้เอี้ยวตัวหลบไปอย่างหวุดหวิดแล้วจูงมือ หลี่เหลียนฮวาวิ่งต่อ
เสียงพลุจากฟากตัวเมืองดังขึ้นมีแสงไฟพวยพุ่งราวกับเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง กลุ่มชายชุดดำเมื่อเห็นพลุก็พูดคุยสื่อสารบางอย่างกันอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเร่งฝีเท้าตามพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อพวกเขาวิ่งตามทางลัดมาได้สักพัก เสี่ยวหานได้ยินเสียงที่มาอีกจากอีกฟาก ภาวนาให้เป็นทหารวังหลวง แต่เมื่อมองดี ๆ แล้วกลับเป็นชายชุดดำสามคน พวกเขาจึงหยุดวิ่งก่อนมองหาทางหนี กลุ่มชายชุดดำจากทั้งสองทางบีบให้พวกเขาถอยร่นเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าผา
ที่นี่อีกแล้วหรือ หน้าผา เสี่ยวหาน ไม่ได้นะ ข้าขอร้อง ใครสักคนมาช่วยพวกเราที ได้โปรด หลี่เหลียนฮวาพร่ำขอร้องอยู่ในใจ ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
“พวกเจ้าหนีไม่พ้นแล้ว มานี่ ๆ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ข้าบอกให้มานี่” เขาตะคอก
เสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาไม่ขยับตัวใด ๆ ทั้งสองยืนจับมือกันด้วยความกลัว
เสียงผิวปากดังมาจากทางด้านบน กลุ่มชายชุดดำหันไปมองทางต้นเสียงแล้วพยักหน้าแล้วเดินต้อนทั้งสองคนไปที่ริมผายกดาบเตรียมฟันลงมา เสี่ยวหานรีบเอาตัวมาขวางด้านหน้าหลี่เหลียนฮวา แล้วจับมือนางไว้แน่นกว่าเดิม ชายคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ ยกคันธนูขึ้นมาเล็งที่เสี่ยวหาน ลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งตรงมาที่เขา
เสี่ยวหานข้าขอโทษ ข้าต้องปกป้องเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอี้ยวตัวมาบังข้างหน้าเขา แต่ไฉนเลยเสี่ยวหานกลับเอี้ยวตัวกลับมาด้านหน้านางอีกครั้ง
“เสี่ยวหาน!” หลี่เหลียนฮวาร้องตกใจ
เขามองนางเป็นครั้งสุดท้าย สายตาบ่งบอกว่าเขาจะต้องปกป้องนางสุดชีวิต
แรงจากธนูดอกนี้มหาศาลทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะตกหน้าผา เขาจึงปล่อยมือจากหลี่เหลียนฮวาแต่นางกลับกุมมือเขาแน่นกว่าเดิมเพื่อพยายามรั้งเขาไว้ ทว่าพื้นดินยามหิมะตกนี้ไม่อาจยืนให้มั่นคงได้เลย นางจึงร่วงหล่นจากหน้าผาไปพร้อมกับเขา
ข้านึกออกแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดในฝันครั้งแรก ที่เขาตกหน้าผาและจมทะเลสาบยามเหมันตฤดูที่หนาวเย็นเป็นเพราะข้าหรอกหรือ ไม่นะ ท่านเทพเทวาช่วยเขาด้วย ได้โปรดช่วยเขาด้วย หลี่เหลียนฮวาร้องไห้
ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนางไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตาเมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่า
เช้าวันต่อมา“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรักเธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดีหวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน“ซวยแล้ว ๆ คาบ
สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื
เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข
ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด
ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่
เช้าวันต่อมาเมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาวแต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว“ไป๋เยว่ซิน”เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ“ซือมู่เฉิน”“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคนเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควรหลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทาง
“ฮูหยิน ถึงเวลาต้องไปร่วมงานแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เอ่ยเรียกเจ้านายของตน“ฮูหยิน”“อื้ม รอข้าก่อน” เสียงหนึ่งดังมาจากเตียงนอนรอข้าก่อนงั้นหรือ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ ไปได้นะ หลิวลี่เซียง เธอพูดในใจเมื่อได้ยินคนเรียกเช่นนั้น อาจจะเพราะช่วงนี้ฝันว่าอยู่ในยุคโบราณมากไปหน่อยหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มเข้าใจได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่จึงหลับตานอนต่อ“ฮูหยิน พิธีมงคลจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกไม่ไหวเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนพบว่าเจ้านายของนางยังคงนอนอยู่บนเตียง“ฮูหยิน ท่านประมุขมีคำสั่งให้ฮูหยินไปร่วมงานเจ้าค่ะ”โอ๊ย ปลุกทำไมนักหนา หรือว่า หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหยิกแก้มตัวเองไปหนึ่งที“โอ๊ย เจ็บ” เธอร้องเบา ๆ พลางลูบหน้าตัวเองก่อนมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้ากำลังน้ำตาคลอเบ้า“ฮูหยิน ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ”เฮ้อ คราวนี้เข้าฝันมาเป็นใครอีกนะหลิวลี่เซียง
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด
หลี่หานคอยนั่งเฝ้าเหยากุ้ยเฟยอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืน พยายามถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านางเป็นคนเช่นไร หากแผนการครั้งนี้สามารถช่วยเหลือบิดา พี่ชายและตัวนางเองได้ ทำไมถึงไม่ทำ ทำไมถึงต้องทนรับความเจ็บปวดไว้กับตนเอง เรื่องของนางที่เขาพบเจอในก่อนหน้านี้ดูต่างจากตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเหยากุ้ยเฟยลืมตาตื่นนอนตอนเช้าเหมือนคนปกติราวกับเมื่อคืนวานไม่ได้โดนยาพิษเดือนหนาวทำไมข้ายังไม่ตื่นจากฝัน ทำไมข้ายังอยู่ที่นี่ เหยากุ้ยเฟยตัดพ้อทันทีที่เห็นเพดานของตำหนักเย็น เมื่อหันมาทางด้านซ้าย ใบหน้าคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งทำให้นางคิดว่า“หลี่หาน นี่ข้ากำลังฝันซ้อนฝันหรือย่างไร เหยากุ้ยเฟยเอื้อมลูบใบหน้าของเขา“ท่านทำอันใด” เขาสะดุ้งตื่นเพราะเพิ่งได้นอนเพียงหนึ่งก้านธูปเหยากุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นจึงหยิกแก้มตัวเอง“โอ๊ย! ไม่ได้ฝันหรอกหรือ แต่เจ้าดูจะเหมือนจริงมากเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่เจ้ามาอยู่ใกล้ข้าได้ถึงเพียงนี้หรอก” นางเอื้อมแตะที่แก้มเขาอีกครั้ง“เหยากุ้ยเฟย! ท่านไม่ได้ฝัน” หลี่หานบอกนาง“แล้วทำไ