ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม
“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว
“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร
“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว
“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”
“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”
หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป
“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขาเป็นเพื่อน ก็ตามใจเจ้า” ใต้เท้าหลี่ตอบอนุญาต
ขณะทั้งคู่กำลังฝึกเขียนอักษร แม่บ้านจางเดินถือถาดขนมหวานหลากหลายอย่าง นางวางพู่กันลงแล้วมองตามถาดขนมไม่วางตา
หลังจากทานขนมจนอิ่มแล้ว หลี่เหลียนฮวาเริ่มฝึกเขียนต่อ
“จิ่วเอ๋อร์ นี่ชื่อของเจ้า เก็บไว้ดี ๆ นะ” นางยื่นกระดาษที่มีชื่อของจิ่วเอ๋อร์ให้ พลางคิดจะสอนจิ่วเอ๋อร์และอาเฉินเขียนอักษรหลังลับตาใต้เท้าหลี่และแม่บ้านจาง เพราะคิดว่าทั้งสองคนจำเป็นต้องรู้อักษรถึงจะมีชีวิตที่ดีได้
“คุณหนู ตรงนั้น” จิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่ริมรั้วของจวน
“นั่น เสี่ยวหานนี่ ท่านพ่อ ให้เขาเข้ามาได้ไหมเจ้าคะ”
ใต้เท้าหลี่พยักหน้าแล้วให้อาเฉินไปเปิดประตู
เสี่ยวหานเดินมาที่ศาลาแล้วทำความเคารพใต้เท้าหลี่และสวัสดีทุกคน วันนี้หน้าตาของเขาดูแจ่มใส ไม่มอมแมมเหมือนเมื่อครั้งก่อน เขาถือไข่ไก่ใส่ตะกร้ามาให้เพื่อตอบแทนที่ช่วยเหลือเขา
ใต้เท้าหลี่เห็นเช่นนั้นรู้สึกได้ว่าเขาดูจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรู้ความ เมื่อถามอายุก็ได้ความว่าเดือนหน้าแปดขวบ ดูจากอัธยาศัยของบุตรสาวก็รู้สึกได้ว่านางได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกคนแล้ว
“เสี่ยวหาน ขนมนี้ ข้าให้เจ้า” หลี่เหลียนฮวายื่นขนมให้เขาสีหน้ายิ้มแย้ม หวังว่าเจ้าจะกินอิ่มนอนหลับนะ เสี่ยวหาน นางคิดในใจ
“พวกเจ้านั่งเล่นกันตรงนี้ ข้าต้องเข้าเมืองไปทำธุระเสียหน่อย” ใต้เท้าหลี่บอกบุตรสาวที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มไปแล้ว นางไม่เคยทำให้เขาต้องกังวลแม้แต่น้อย แม้นางจะไม่มีมารดาคอยอบรมเลี้ยงดูแต่ก็มีทุกคนอยู่เคียงข้าง ทำให้นางเติบโตมาอย่างดี
“เสี่ยวหาน นี่ชื่อของเจ้า ข้าเขียนให้” นางยื่นกระดาษใบนั้นให้เขา
“ชื่อข้าหรือ” เขาเพิ่งจะเคยเห็นว่าชื่อตนเองนั้นเขียนอย่างไร
“ใช่ ชื่อเจ้า มานี่สิ เขียนแบบนี้ ข้าจะเขียนให้เจ้าดู” นางสอนเขาเขียนชื่อทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝึกเขียนอักษรจริงจังครั้งแรก สายตาของแม่บ้านจางเกิดความสงสัยและทึ่งในความสามารถของนางที่เรียนรู้ได้รวดเร็ว
แม่บ้านจางคิดในใจว่าตั้งแต่วันนั้น คุณหนูของนางเริ่มแปลกไป แต่แปลกไปในทางที่ดีขึ้น นางควรจะกังวลหรือเปล่านะ แต่เมื่อนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับใต้เท้าหลี่ เขาก็ได้แต่ยิ้ม ทั้งยังบอกนางว่าดีแล้ว ๆ
ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า นกโผบินส่งเสียงจิ๊บ ๆ ระหว่างกลับรังเหมือนเป็นเสียงเตือนพวกเขาว่าถึงเวลาต้องแยกย้าย หมดเวลาสนุกในวันนี้แล้ว
“เสี่ยวหาน เช้าวันพรุ่งนี้เราไปเที่ยวในเมืองกัน เจ้ามาที่เรือนก่อนแล้วเราค่อยออกไปพร้อมกัน” หลี่เหลียนฮวานัดเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่นางลืมมองไปที่แม่บ้านจาง ซึ่งทำหน้าตกใจว่าคุณหนูของเขาถึงขั้นนัดเพื่อนเที่ยวแล้วหรือ กุลสตรีนางนี้ช่างไม่เหมือนใคร เป็นเพราะนายท่านตามใจมากไป
พอหลี่เหลียนฮวานึกขึ้นได้ นางรีบหันไปหาแม่บ้านจางแล้วบอกว่า
“พรุ่งนี้ร้านซาลาเปาจะทำไส้ใหม่ ถังหูลู่ลดราคา ข้าอยากกิน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมของให้คุณหนูแต่เช้านะเจ้าคะ”
หน้าตาน่ารักของคุณหนูไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ นางได้แต่ตกปากรับคำและออกไปเป็นเพื่อนเหมือนทุกครั้ง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาสี่เดือนแล้ว หลี่เหลียนฮวานั่งคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ศาลา ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ยังอยู่ในฝันของหลี่เหลียนฮวา ข้าจะตื่นจากฝันเมื่อใดหนอ หรือว่าเพราะยังไม่ถึงวันนั้น
“จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน ไปสวนดอกไม้กัน ข้าอยากชมดอกไม้หลากสี” หลี่เหลียนฮวา เอ่ยปากชวนทั้งสอง เนื่องจากสวนดอกไม้อยู่ในละแวกจวน ทั้งยังเป็นสวนที่ครอบครัวนางสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ฮูหยินของใต้เท้ายังอยู่ ทั้งสามคนสามารถไปเที่ยวเล่นกันตามลำพังได้ และทุกคนก็รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลี่ ผู้มีจิตใจอารี ชาวบ้านทุกคนล้วนเป็นมิตรกับคนในจวนนี้
เมื่อหลี่เหลียนฮวาเดินมาถึงสวนดอกไม้ นางก็ได้แต่ตะลึงในความสวยงามของดอกไม้นานาชนิด ๆ ที่ผลิบานในวสันตฤดู
“จิ่วเอ๋อร์ โบตั๋นดอกสีชมพูเข้ากับเจ้าดีนะ” นางพูดพลางเด็ดโบตั๋นชมพูให้จิ่วเอ๋อร์ หลี่เหลียนฮวามักจะปฏิบัติกับจิ่วเอ๋อร์เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง คอยดูแลและสอนหลาย ๆ อย่างให้
“อาเฉิน สวนนี้มีดอกโบตั๋นสีขาวหรือไม่” นางถามพลางมองหา
“เหมือนข้าจะเคยเห็น เดี๋ยวข้าไปหาก่อน” อาเฉินเดินหายลับไปในสวนดอกไม้ ก่อนจะกลับมาบอกนางว่าดอกโบตั๋นสีขาวอยู่ด้านในสวน
ท่ามกลางดอกโบตั๋นสีขาว หลี่เหลียนฮวามองเห็นเด็กชายผู้หนึ่งยืนอยู่ ดูท่าทางคุ้น ๆ เหมือนใครบางคน เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นเสี่ยวหาน
“คุณหนู” เสี่ยวหานทักทายนางด้วยอารมณ์แจ่มใสเช่นเคย
“อื้อ เสี่ยวหาน เจ้ามาทำอันใดที่นี่” นางถามเขาด้วยความอยากรู้
“ข้ามาดูดอกโบตั๋นสีขาว ดอกไม้ที่นี่สวยงามแตกต่างจากที่อื่น”
“ยังมีสวนดอกไม้ที่อื่นอีกหรือ”
“มีอีกสองสามที่ แต่ที่นี่สวยที่สุดและที่อื่นไม่มีดอกโบตั๋นสีขาว”
“เจ้าชอบถึงเพียงนั้นเลยหรือ” หลี่เหลียนฮวารู้สึกแปลกใจที่เขาชอบดอกไม้ขนาดนี้
“เมื่อก่อนท่านยายของข้าชอบพาข้ามานั่งเล่นตรงนี้ ท่านยายบอกว่าที่แห่งนี้อยู่ใจกลางสวนดอกไม้ เงียบสงบและไม่มีผู้ใดเข้ามา ชีวิตราวกับเหมือนอยู่ในความฝัน”
“เจ้าคงคิดถึงท่านยายมากสินะ เจ้านำดอกโบตั๋นนี้กลับไปสักสองสามดอกเถิด” หลี่เหลียนฮวาเห็นท่าทางเขาเมื่อพูดถึงท่านยายแล้วรู้สึกสงสารจึงให้เขาตัดดอกไม้กลับไปด้วย
“ดูเหมือนเจ้าก็ชอบ” เขาพูดพลางยื่นให้นางดอกหนึ่ง
สถานการณ์คุ้น ๆ นะ ดอกโบตั๋นสีขาวกลางสวน ข้าเคยฝันแบบนี้หรือเปล่านะ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ
“ขอบใจ” นางขอบคุณเขา
หลังจากเดินเล่นในสวนจนพอใจแล้วเสี่ยวหานก็เดินมาส่งพวกเขาที่หน้าจวนก่อนแยกย้ายกลับบ้าน
“จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน ไปทานข้าวกัน พวกเจ้าหิวหรือไม่” นางถาม
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
ทั้งสองคนต่างตอบพร้อมกัน แล้วก็พากันไปทานข้าวเย็นที่แม่บ้านจางเตรียมไว้ให้แล้วกินหมดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
-----------------------------------------------------------------------
“คุณหนู วันนี้ข้าจะไปตลาดในเมือง คุณหนูอยากไปหรือไม่เจ้าคะ” แม่บ้านจางถามนาง
“ไปสิ รอข้าด้วย จิ่วเอ๋อร์ อาเฉินเร็วเข้า ไปเที่ยวกัน” หลี่เหลียนฮวาเร่งให้ทั้งสองรีบเตรียมตัว
แม่บ้านจางได้แต่อมยิ้มกับความรีบเร่งของทั้งสามคนที่อยากไปเที่ยวเล่นในเมือง
“พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์รีบบอก
“ไปกันเถอะ” หลี่เหลียนฮวาคว้าแขนของจิ่วเอ๋อร์แล้วเดินโลดเต้นไปพร้อมกัน ส่วนอาเฉินถือตะกร้าช่วยแม่บ้านจางเหมือนอย่างเคย
ตลาดใจกลางเมืองแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกวัน วสันตฤดูนี้ทำให้ผู้คนดูสดชื่นรื่นเริงไม่น้อย ท้องฟ้าปลอดโปร่งและสายลมที่พัดพากลีบดอกท้อสีชมพูปลิวว่อนให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน บรรยากาศเช่นนี้ทำให้หลี่เหลียนฮวารู้สึกคิดถึงโลกความเป็นจริง แต่พอนึกได้ว่าต้องเปลี่ยนความฝันนี้เพื่อช่วยเสี่ยวหาน แม้จะเป็นแค่ความฝันก็ตาม นางรีบดึงสติกลับมา ช่วยเสี่ยวหาน และตื่นจากฝัน
“แม่บ้านจาง เจ้ามีธุระกับเถ้าแก่ไม่ใช่หรือ เดี๋ยวข้าไปรอที่ร้านน้ำชาตรงโน้นกับจิ่วเอ๋อร์”
“คุณหนูรออยู่ที่นั่นอย่าไปไหนนะเจ้าคะ” นางกำชับ
“อื้อ ไปกันเถอะ จิ่วเอ๋อร์” หลี่เหลียนฮวาพาจิ่วเอ๋อร์เดินตรงมายังร้านน้ำชา ข้าง ๆ เป็นร้านหนังสือ บริเวณหน้าต่างร้าน มีต้นดอกท้อสูงใหญ่ต้นหนึ่งกำลังผลิดอกบานสะพรั่ง ที่แท้ กลีบดอกสีชมพูที่ปลิวไปตามสายลมมาจากไม้ใหญ่ต้นนี้ นางให้จิ่วเอ๋อร์นั่งทานขนมรอที่ร้านน้ำชา ก่อนเดินเข้าร้านหนังสือข้าง ๆ สายตาไล่เรียงอ่านชื่อหนังสือแต่ละเล่มด้วยความใคร่รู้ก่อนเลือกนิยายที่ถูกใจมาเล่มหนึ่ง
ขณะที่หลี่เหลียนฮวากำลังอ่านนิยายอย่างเพลิดเพลิน สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่นางเพราะแปลกใจที่เห็นเด็กผู้หญิงอ่านหนังสือ เขาเดินมาใกล้ ๆ พลันมองเห็นนางอ่านหนังสือไปอมยิ้มไป แล้วคิดสงสัยว่านางเป็นบุตรสาวขุนนางตระกูลใด
“เจ้าอ่านหนังสืออันใดหรือ” เขาถามหลี่เหลียนฮวา
ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กสาว เขาจึงเดินเข้ามาใกล้อีก ทำให้ร่างกายที่สูงกว่าบังแสงอาทิตย์ที่ส่องหน้าหนังสือ หลี่เหลียนฮวาจึงเงยหน้ามองหาต้นตอของสิ่งที่มารบกวนนาง แล้วหันไปอีกทางก่อนอ่านหนังสือต่อ
“นี่เจ้า กล้าเมินเราหรือ” เขาถามอีกครั้ง ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้านางด้วยอารมณ์แปลกใจเล็กน้อย เพราะทั้งชีวิตของเขามีแต่ผู้ให้ความสนใจอยู่รายล้อม
ทำไมนะ เจ้าเด็กนี่ต้องมากวนข้าด้วย นางได้แต่คิดในใจแล้วพูดกับเขาว่า
“เจ้า มีเรื่องอันใดกับข้าหรือไม่”
“ข้าพูดกับเจ้า แต่เจ้าไม่ตอบข้า”
“ข้าอ่านหนังสือกำลังสนุก ไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอก”
“เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่สนใจข้า”
เอ่อ แล้วข้าผิดตรงไหน ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย หลี่เหลียนฮวากำลังคิดว่าเขาเป็นใคร ในฝันนางไม่คุ้นเลยว่าเคยเห็นเขาหรือเปล่า
“ไม่เห็นแปลกตรงไหน ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย” นางตอบ
สิ้นเสียงนาง เขารู้สึกเจ็บจี๊ดในใจที่โดนเมินอย่างเย็นชา จึงโพล่งออกมาว่า
“ข้าคือเย่ชิงหมิง เจ้าไปถามบิดาของเจ้า จะได้รู้ว่าข้าคือผู้ใด” เขาตอบพลางยืดอกภาคภูมิใจในตระกูลของตนเอง
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอลา” นางไม่อยากยืนเถียงกับเด็กน้อยผู้นี้อีกต่อไป จึงบอกลาแล้วเดินออกมาหาจิ่วเอ๋อร์ หางตามองเห็นเขายืนนิ่งราวรูปปั้น เด็กเอาแต่ใจหรือเปล่านะ แต่ข้าไม่อยากวุ่นวายกับใครเลยจริง ๆ
“คุณหนู ทานขนมก่อนไหมเจ้าคะ พี่เฉินบอกว่าท่านแม่ใกล้เสร็จธุระแล้ว” จิ่วเอ๋อร์บอกนางพลางยื่นขนมให้ชิ้นหนึ่ง
“คุณหนู มีคนยืนมองคุณหนูอยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่เด็กชายคนนั้น
หลี่เหลียนฮวามองตามนิ้วน้อย ๆ ของนาง ไม่ต้องบอกก็รู้ เจ้าเด็กคนนั้นสินะ
เขาเดินกระฟัดกระเฟียดมาหาเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าเขาในร้านน้ำชา หลี่เหลียนฮวาได้ยินเสียงเขาพูดเบา ๆ
“ท่านพี่ เด็กคนนั้นไม่สนใจข้า นางไม่รู้ด้วยว่าข้าเป็นใคร”
สายตาสุขุมและใบหน้าที่อ่อนโยนมองมาหานางก่อนพูดปลอบน้องชายของตน
“ชิงหมิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ วันนี้เราออกมาเที่ยวข้างนอกมีสถานะอันใด หากนางเป็นเพียงชาวบ้านย่อมต้องไม่เคยเห็นหรือรู้จักเจ้าเป็นธรรมดา เจ้าใจเย็นเสียหน่อยเถิด”
เมื่อพูดกับน้องชายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเดินมาหาหลี่เหลียนฮวาที่โต๊ะ
“ข้าขอโทษแทนน้องชายข้าด้วย เห็นเจ้าอ่านหนังสือได้ จึงอยากสนทนาเป็นเพื่อน เขาค่อนข้างอารมณ์อ่อนไหว อย่าได้ถือสา” เขาพูดจบพลางยิ้มให้
หลี่เหลียนฮวาพยักหน้ารับคำแล้วเพิ่งนึกได้ว่าการที่นางอ่านหนังสือได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่นี่เพราะนางอายุเพียงเจ็ดขวบ
“เจ้าชื่ออะไร เป็นบุตรสาวของผู้ใดหรือ” เขาถามเพราะอยากรู้เรื่องของนางเช่นกัน และคิดว่านางคงจะเป็นบุตรสาวขุนนางตระกูลใหญ่
ถ้าตอบแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นไหมนะ แต่ดูแล้วเขาก็ไม่น่าเป็นคนไม่ดีอะไร หลี่เหลียนฮวาคิดก่อนบอกเขาว่า
“ข้าชื่อหลี่เหลียนฮวา บุตรสาวของหลี่ไท่ น้องชายเจ้าชื่อเย่ชิงหมิงแล้วเจ้าชื่ออะไร”
“เย่ชิงหลง” เขาตอบยิ้มมุมปาก ในใจคิดว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจนัก หลี่เหลียนฮวา หลี่ไท่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายงั้นหรือ
“เอ๊ะ แม่บ้านจางมาแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน” หลี่เหลียนฮวาเอ่ยลา
“หวังว่าข้าจะได้พบเจ้าอีก ฮวาฮวา” เขาตอบ
อึ๋ย ฮวาฮวา ทำไมเรียกชื่อข้าเช่นนี้นะ นางเดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก่อนรีบจูงแขนจิ่วเอ๋อร์ออกจากร้าน เมื่อหันหน้ามองก็เห็นเขายืนยิ้มให้
“แม่บ้านจาง เจ้าเห็นร้านขายแตงโมหรือไม่ ข้าอยากกินแล้วก็จะซื้อไปฝากเสี่ยวหานด้วย”
“อยู่ทางโน้นเจ้าค่ะ คุณหนูจะเอาไปให้เขาที่บ้านเองไหมเจ้าคะ วันนี้ข้าว่าง ไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้”
“ดีเลย ซื้อไปให้ทุกคนที่จวนเลยแล้วกัน ให้เถ้าแก่ไปส่งนะ” หลี่เหลียนฮวาตื่นเต้นที่จะได้ไปบ้านเสี่ยวหาน
เมื่อซื้อแตงโมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่เหลียนฮวาหอบแตงโมลูกหนึ่งมุ่งหน้าไปบ้านของเสี่ยวหานอย่างอารมณ์ดี
ขณะที่ทุกคนเดินตามทางหมู่บ้านมาเรื่อย ๆ ก็บังเอิญเจอเสี่ยวหานระหว่างทางพอดี หลี่เหลียนฮวาสังเกตุว่าเสื้อของเขาเปื้อนรอยอะไรบางอย่าง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขา นางก็ยิ่งเห็นว่าหน้าตาของเขามีรอยแผล คิ้วปากแตก นางจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรีบเร่ง
“เสี่ยวหาน เกิดอันใดขึ้น ใครทำเจ้า” นางถามเขาด้วยความร้อนรน
“พวกนั้นที่เคยทำข้า” เขาตอบพลางเบี้ยวหน้าด้วยความเจ็บ
“เฮ้อ ไปที่จวนข้า ข้าจะทำแผลให้” นางบอกเขาแล้วหันไปบอกแม่บ้านจาง “ให้เขาไปอยู่กับอาเฉินสักสองสามวันได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ คุณหนู เดี๋ยวข้าดูแลเขาเอง อาเฉิน เจ้าช่วยประคองเสี่ยวหานหน่อย” แม่บ้านจางสั่งลูกชายแล้วใช้ผ้าซับเลือดที่คิ้วให้เขา
การเดินทางกลับจวนสกุลหลี่มีทางลัดหนึ่งทางจากตรงนี้ เพื่อย่นระยะเวลาแม่บ้านจางจึงพาทุกคนค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปทางป่าอีกด้านหนึ่ง
ถัดจากหมู่บ้านมีป่าไผ่อยู่สองข้างทาง ตรงกลางเป็นทางเดินที่ชาวบ้านถางทางไว้เพื่อใช้สัญจร นอกจากทางนี้จะเป็นทางตรงไปตลาดในเมืองแล้ว ยังเป็นทางแยกไปทะเลสาบที่ชาวบ้านมักไปหาปลาอยู่เป็นประจำ เมื่อเดินมาจนสุดทางป่าไผ่จะพบหน้าผายื่นออกไปยังด้านทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เมื่อเดินตามทางเล็ก ๆ ต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอทางแยกไปยังสถานที่สำคัญในเมืองหลวง
อาเฉินพยุงเสี่ยวหานไปตรงชะง่อนผา ให้เขาได้สูดอากาศบริสุทธิ์พลางรอจิ่วเอ๋อร์และหลี่เหลียนฮวาเดินตามมา
โอย เหนื่อยจังเลย ขาสั้น ๆ คู่นี้กับร่างกายเหมือนจะหมดแรงแล้ว หลี่เหลียนฮวาบ่นในใจก่อนเงยหน้าขึ้นมองข้างหน้า
หลี่เหลียนฮวามองไปที่เสี่ยวหาน เขายืนรอนางที่หน้าผาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือดที่ไหลจากคิ้วข้างซ้าย ภาพที่เห็นนั้นกระตุ้นให้นางนึกถึงเรื่องในฝัน เสี่ยวหาน หน้าผาในป่า ทะเลสาบ ที่แห่งนี้เองหรือ เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นตรงนี้หรือ เสี่ยวหานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าอีกครั้ง ข้าสัญญา เสี่ยวหาน
หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร
ต้นไม้ยอดหญ้าที่เริ่มผลิใบในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา สถานที่แห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยมาพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว ร้านรวงริมถนนทางด้านขวาเริ่มประดับดอกไม้หลายหลากสีและตกแต่งบริเวณร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าหลิวลี่เซียง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปีสาม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินเล่นเที่ยวชมธรรมชาติและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เธอคิดว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะออกไปเดินเล่นแต่เช้าในสวนแห่งนี้ แล้วตอนขากลับค่อยแวะซื้อหนังสือมาอ่านสักเล่ม แม้ว่าในห้องจะมีหนังสือที่ดองเก็บไว้มากมายก็ตามขณะเดินเล่นอยู่รอบนอกสวน ท้องฟ้าที่แจ่มใสตั้งแต่ช่วงเช้ากลับมีเค้าลางก้อนเมฆเริ่มก่อตัว สายลมพัดพากลิ่นไอดินมาตรงที่หลิวลี่เซียงยืนอยู่ เธอจึงเดินจ้ำอ้าวไปร้านหนังสือในซอยก่อนเม็ดฝนจะโปรยปรายลงมาขออภัย ร้านอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราวฝนเม็ดใหญ่เริ่มหล่นกระทบพื้น เธอควานหาร่มพับในกระเป๋าก่อนนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่หอพัก พลันเหลือบเห็นแสงสลัวจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จึงตัดสินใจไปหลบฝนในร้านแห่งนี้“มอคค่าเย็นเพิ่มหวานหนึ่งแก้วค่ะ”หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เธ
“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องห
หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร
ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขา
“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องห
ต้นไม้ยอดหญ้าที่เริ่มผลิใบในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา สถานที่แห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยมาพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว ร้านรวงริมถนนทางด้านขวาเริ่มประดับดอกไม้หลายหลากสีและตกแต่งบริเวณร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าหลิวลี่เซียง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปีสาม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินเล่นเที่ยวชมธรรมชาติและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เธอคิดว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะออกไปเดินเล่นแต่เช้าในสวนแห่งนี้ แล้วตอนขากลับค่อยแวะซื้อหนังสือมาอ่านสักเล่ม แม้ว่าในห้องจะมีหนังสือที่ดองเก็บไว้มากมายก็ตามขณะเดินเล่นอยู่รอบนอกสวน ท้องฟ้าที่แจ่มใสตั้งแต่ช่วงเช้ากลับมีเค้าลางก้อนเมฆเริ่มก่อตัว สายลมพัดพากลิ่นไอดินมาตรงที่หลิวลี่เซียงยืนอยู่ เธอจึงเดินจ้ำอ้าวไปร้านหนังสือในซอยก่อนเม็ดฝนจะโปรยปรายลงมาขออภัย ร้านอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราวฝนเม็ดใหญ่เริ่มหล่นกระทบพื้น เธอควานหาร่มพับในกระเป๋าก่อนนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่หอพัก พลันเหลือบเห็นแสงสลัวจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จึงตัดสินใจไปหลบฝนในร้านแห่งนี้“มอคค่าเย็นเพิ่มหวานหนึ่งแก้วค่ะ”หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เธ