ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม
“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว
“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร
“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว
“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”
“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”
หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป
“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขาเป็นเพื่อน ก็ตามใจเจ้า” ใต้เท้าหลี่ตอบอนุญาต
ขณะทั้งคู่กำลังฝึกเขียนอักษร แม่บ้านจางเดินถือถาดขนมหวานหลากหลายอย่าง นางวางพู่กันลงแล้วมองตามถาดขนมไม่วางตา
หลังจากทานขนมจนอิ่มแล้ว หลี่เหลียนฮวาเริ่มฝึกเขียนต่อ
“จิ่วเอ๋อร์ นี่ชื่อของเจ้า เก็บไว้ดี ๆ นะ” นางยื่นกระดาษที่มีชื่อของจิ่วเอ๋อร์ให้ พลางคิดจะสอนจิ่วเอ๋อร์และอาเฉินเขียนอักษรหลังลับตาใต้เท้าหลี่และแม่บ้านจาง เพราะคิดว่าทั้งสองคนจำเป็นต้องรู้อักษรถึงจะมีชีวิตที่ดีได้
“คุณหนู ตรงนั้น” จิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่ริมรั้วของจวน
“นั่น เสี่ยวหานนี่ ท่านพ่อ ให้เขาเข้ามาได้ไหมเจ้าคะ”
ใต้เท้าหลี่พยักหน้าแล้วให้อาเฉินไปเปิดประตู
เสี่ยวหานเดินมาที่ศาลาแล้วทำความเคารพใต้เท้าหลี่และสวัสดีทุกคน วันนี้หน้าตาของเขาดูแจ่มใส ไม่มอมแมมเหมือนเมื่อครั้งก่อน เขาถือไข่ไก่ใส่ตะกร้ามาให้เพื่อตอบแทนที่ช่วยเหลือเขา
ใต้เท้าหลี่เห็นเช่นนั้นรู้สึกได้ว่าเขาดูจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรู้ความ เมื่อถามอายุก็ได้ความว่าเดือนหน้าแปดขวบ ดูจากอัธยาศัยของบุตรสาวก็รู้สึกได้ว่านางได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกคนแล้ว
“เสี่ยวหาน ขนมนี้ ข้าให้เจ้า” หลี่เหลียนฮวายื่นขนมให้เขาสีหน้ายิ้มแย้ม หวังว่าเจ้าจะกินอิ่มนอนหลับนะ เสี่ยวหาน นางคิดในใจ
“พวกเจ้านั่งเล่นกันตรงนี้ ข้าต้องเข้าเมืองไปทำธุระเสียหน่อย” ใต้เท้าหลี่บอกบุตรสาวที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มไปแล้ว นางไม่เคยทำให้เขาต้องกังวลแม้แต่น้อย แม้นางจะไม่มีมารดาคอยอบรมเลี้ยงดูแต่ก็มีทุกคนอยู่เคียงข้าง ทำให้นางเติบโตมาอย่างดี
“เสี่ยวหาน นี่ชื่อของเจ้า ข้าเขียนให้” นางยื่นกระดาษใบนั้นให้เขา
“ชื่อข้าหรือ” เขาเพิ่งจะเคยเห็นว่าชื่อตนเองนั้นเขียนอย่างไร
“ใช่ ชื่อเจ้า มานี่สิ เขียนแบบนี้ ข้าจะเขียนให้เจ้าดู” นางสอนเขาเขียนชื่อทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝึกเขียนอักษรจริงจังครั้งแรก สายตาของแม่บ้านจางเกิดความสงสัยและทึ่งในความสามารถของนางที่เรียนรู้ได้รวดเร็ว
แม่บ้านจางคิดในใจว่าตั้งแต่วันนั้น คุณหนูของนางเริ่มแปลกไป แต่แปลกไปในทางที่ดีขึ้น นางควรจะกังวลหรือเปล่านะ แต่เมื่อนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับใต้เท้าหลี่ เขาก็ได้แต่ยิ้ม ทั้งยังบอกนางว่าดีแล้ว ๆ
ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า นกโผบินส่งเสียงจิ๊บ ๆ ระหว่างกลับรังเหมือนเป็นเสียงเตือนพวกเขาว่าถึงเวลาต้องแยกย้าย หมดเวลาสนุกในวันนี้แล้ว
“เสี่ยวหาน เช้าวันพรุ่งนี้เราไปเที่ยวในเมืองกัน เจ้ามาที่เรือนก่อนแล้วเราค่อยออกไปพร้อมกัน” หลี่เหลียนฮวานัดเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่นางลืมมองไปที่แม่บ้านจาง ซึ่งทำหน้าตกใจว่าคุณหนูของเขาถึงขั้นนัดเพื่อนเที่ยวแล้วหรือ กุลสตรีนางนี้ช่างไม่เหมือนใคร เป็นเพราะนายท่านตามใจมากไป
พอหลี่เหลียนฮวานึกขึ้นได้ นางรีบหันไปหาแม่บ้านจางแล้วบอกว่า
“พรุ่งนี้ร้านซาลาเปาจะทำไส้ใหม่ ถังหูลู่ลดราคา ข้าอยากกิน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมของให้คุณหนูแต่เช้านะเจ้าคะ”
หน้าตาน่ารักของคุณหนูไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ นางได้แต่ตกปากรับคำและออกไปเป็นเพื่อนเหมือนทุกครั้ง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาสี่เดือนแล้ว หลี่เหลียนฮวานั่งคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ศาลา ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ยังอยู่ในฝันของหลี่เหลียนฮวา ข้าจะตื่นจากฝันเมื่อใดหนอ หรือว่าเพราะยังไม่ถึงวันนั้น
“จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน ไปสวนดอกไม้กัน ข้าอยากชมดอกไม้หลากสี” หลี่เหลียนฮวา เอ่ยปากชวนทั้งสอง เนื่องจากสวนดอกไม้อยู่ในละแวกจวน ทั้งยังเป็นสวนที่ครอบครัวนางสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ฮูหยินของใต้เท้ายังอยู่ ทั้งสามคนสามารถไปเที่ยวเล่นกันตามลำพังได้ และทุกคนก็รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลี่ ผู้มีจิตใจอารี ชาวบ้านทุกคนล้วนเป็นมิตรกับคนในจวนนี้
เมื่อหลี่เหลียนฮวาเดินมาถึงสวนดอกไม้ นางก็ได้แต่ตะลึงในความสวยงามของดอกไม้นานาชนิด ๆ ที่ผลิบานในวสันตฤดู
“จิ่วเอ๋อร์ โบตั๋นดอกสีชมพูเข้ากับเจ้าดีนะ” นางพูดพลางเด็ดโบตั๋นชมพูให้จิ่วเอ๋อร์ หลี่เหลียนฮวามักจะปฏิบัติกับจิ่วเอ๋อร์เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง คอยดูแลและสอนหลาย ๆ อย่างให้
“อาเฉิน สวนนี้มีดอกโบตั๋นสีขาวหรือไม่” นางถามพลางมองหา
“เหมือนข้าจะเคยเห็น เดี๋ยวข้าไปหาก่อน” อาเฉินเดินหายลับไปในสวนดอกไม้ ก่อนจะกลับมาบอกนางว่าดอกโบตั๋นสีขาวอยู่ด้านในสวน
ท่ามกลางดอกโบตั๋นสีขาว หลี่เหลียนฮวามองเห็นเด็กชายผู้หนึ่งยืนอยู่ ดูท่าทางคุ้น ๆ เหมือนใครบางคน เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นเสี่ยวหาน
“คุณหนู” เสี่ยวหานทักทายนางด้วยอารมณ์แจ่มใสเช่นเคย
“อื้อ เสี่ยวหาน เจ้ามาทำอันใดที่นี่” นางถามเขาด้วยความอยากรู้
“ข้ามาดูดอกโบตั๋นสีขาว ดอกไม้ที่นี่สวยงามแตกต่างจากที่อื่น”
“ยังมีสวนดอกไม้ที่อื่นอีกหรือ”
“มีอีกสองสามที่ แต่ที่นี่สวยที่สุดและที่อื่นไม่มีดอกโบตั๋นสีขาว”
“เจ้าชอบถึงเพียงนั้นเลยหรือ” หลี่เหลียนฮวารู้สึกแปลกใจที่เขาชอบดอกไม้ขนาดนี้
“เมื่อก่อนท่านยายของข้าชอบพาข้ามานั่งเล่นตรงนี้ ท่านยายบอกว่าที่แห่งนี้อยู่ใจกลางสวนดอกไม้ เงียบสงบและไม่มีผู้ใดเข้ามา ชีวิตราวกับเหมือนอยู่ในความฝัน”
“เจ้าคงคิดถึงท่านยายมากสินะ เจ้านำดอกโบตั๋นนี้กลับไปสักสองสามดอกเถิด” หลี่เหลียนฮวาเห็นท่าทางเขาเมื่อพูดถึงท่านยายแล้วรู้สึกสงสารจึงให้เขาตัดดอกไม้กลับไปด้วย
“ดูเหมือนเจ้าก็ชอบ” เขาพูดพลางยื่นให้นางดอกหนึ่ง
สถานการณ์คุ้น ๆ นะ ดอกโบตั๋นสีขาวกลางสวน ข้าเคยฝันแบบนี้หรือเปล่านะ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ
“ขอบใจ” นางขอบคุณเขา
หลังจากเดินเล่นในสวนจนพอใจแล้วเสี่ยวหานก็เดินมาส่งพวกเขาที่หน้าจวนก่อนแยกย้ายกลับบ้าน
“จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน ไปทานข้าวกัน พวกเจ้าหิวหรือไม่” นางถาม
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
ทั้งสองคนต่างตอบพร้อมกัน แล้วก็พากันไปทานข้าวเย็นที่แม่บ้านจางเตรียมไว้ให้แล้วกินหมดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
-----------------------------------------------------------------------
“คุณหนู วันนี้ข้าจะไปตลาดในเมือง คุณหนูอยากไปหรือไม่เจ้าคะ” แม่บ้านจางถามนาง
“ไปสิ รอข้าด้วย จิ่วเอ๋อร์ อาเฉินเร็วเข้า ไปเที่ยวกัน” หลี่เหลียนฮวาเร่งให้ทั้งสองรีบเตรียมตัว
แม่บ้านจางได้แต่อมยิ้มกับความรีบเร่งของทั้งสามคนที่อยากไปเที่ยวเล่นในเมือง
“พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์รีบบอก
“ไปกันเถอะ” หลี่เหลียนฮวาคว้าแขนของจิ่วเอ๋อร์แล้วเดินโลดเต้นไปพร้อมกัน ส่วนอาเฉินถือตะกร้าช่วยแม่บ้านจางเหมือนอย่างเคย
ตลาดใจกลางเมืองแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกวัน วสันตฤดูนี้ทำให้ผู้คนดูสดชื่นรื่นเริงไม่น้อย ท้องฟ้าปลอดโปร่งและสายลมที่พัดพากลีบดอกท้อสีชมพูปลิวว่อนให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน บรรยากาศเช่นนี้ทำให้หลี่เหลียนฮวารู้สึกคิดถึงโลกความเป็นจริง แต่พอนึกได้ว่าต้องเปลี่ยนความฝันนี้เพื่อช่วยเสี่ยวหาน แม้จะเป็นแค่ความฝันก็ตาม นางรีบดึงสติกลับมา ช่วยเสี่ยวหาน และตื่นจากฝัน
“แม่บ้านจาง เจ้ามีธุระกับเถ้าแก่ไม่ใช่หรือ เดี๋ยวข้าไปรอที่ร้านน้ำชาตรงโน้นกับจิ่วเอ๋อร์”
“คุณหนูรออยู่ที่นั่นอย่าไปไหนนะเจ้าคะ” นางกำชับ
“อื้อ ไปกันเถอะ จิ่วเอ๋อร์” หลี่เหลียนฮวาพาจิ่วเอ๋อร์เดินตรงมายังร้านน้ำชา ข้าง ๆ เป็นร้านหนังสือ บริเวณหน้าต่างร้าน มีต้นดอกท้อสูงใหญ่ต้นหนึ่งกำลังผลิดอกบานสะพรั่ง ที่แท้ กลีบดอกสีชมพูที่ปลิวไปตามสายลมมาจากไม้ใหญ่ต้นนี้ นางให้จิ่วเอ๋อร์นั่งทานขนมรอที่ร้านน้ำชา ก่อนเดินเข้าร้านหนังสือข้าง ๆ สายตาไล่เรียงอ่านชื่อหนังสือแต่ละเล่มด้วยความใคร่รู้ก่อนเลือกนิยายที่ถูกใจมาเล่มหนึ่ง
ขณะที่หลี่เหลียนฮวากำลังอ่านนิยายอย่างเพลิดเพลิน สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่นางเพราะแปลกใจที่เห็นเด็กผู้หญิงอ่านหนังสือ เขาเดินมาใกล้ ๆ พลันมองเห็นนางอ่านหนังสือไปอมยิ้มไป แล้วคิดสงสัยว่านางเป็นบุตรสาวขุนนางตระกูลใด
“เจ้าอ่านหนังสืออันใดหรือ” เขาถามหลี่เหลียนฮวา
ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กสาว เขาจึงเดินเข้ามาใกล้อีก ทำให้ร่างกายที่สูงกว่าบังแสงอาทิตย์ที่ส่องหน้าหนังสือ หลี่เหลียนฮวาจึงเงยหน้ามองหาต้นตอของสิ่งที่มารบกวนนาง แล้วหันไปอีกทางก่อนอ่านหนังสือต่อ
“นี่เจ้า กล้าเมินเราหรือ” เขาถามอีกครั้ง ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้านางด้วยอารมณ์แปลกใจเล็กน้อย เพราะทั้งชีวิตของเขามีแต่ผู้ให้ความสนใจอยู่รายล้อม
ทำไมนะ เจ้าเด็กนี่ต้องมากวนข้าด้วย นางได้แต่คิดในใจแล้วพูดกับเขาว่า
“เจ้า มีเรื่องอันใดกับข้าหรือไม่”
“ข้าพูดกับเจ้า แต่เจ้าไม่ตอบข้า”
“ข้าอ่านหนังสือกำลังสนุก ไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอก”
“เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่สนใจข้า”
เอ่อ แล้วข้าผิดตรงไหน ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย หลี่เหลียนฮวากำลังคิดว่าเขาเป็นใคร ในฝันนางไม่คุ้นเลยว่าเคยเห็นเขาหรือเปล่า
“ไม่เห็นแปลกตรงไหน ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย” นางตอบ
สิ้นเสียงนาง เขารู้สึกเจ็บจี๊ดในใจที่โดนเมินอย่างเย็นชา จึงโพล่งออกมาว่า
“ข้าคือเย่ชิงหมิง เจ้าไปถามบิดาของเจ้า จะได้รู้ว่าข้าคือผู้ใด” เขาตอบพลางยืดอกภาคภูมิใจในตระกูลของตนเอง
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอลา” นางไม่อยากยืนเถียงกับเด็กน้อยผู้นี้อีกต่อไป จึงบอกลาแล้วเดินออกมาหาจิ่วเอ๋อร์ หางตามองเห็นเขายืนนิ่งราวรูปปั้น เด็กเอาแต่ใจหรือเปล่านะ แต่ข้าไม่อยากวุ่นวายกับใครเลยจริง ๆ
“คุณหนู ทานขนมก่อนไหมเจ้าคะ พี่เฉินบอกว่าท่านแม่ใกล้เสร็จธุระแล้ว” จิ่วเอ๋อร์บอกนางพลางยื่นขนมให้ชิ้นหนึ่ง
“คุณหนู มีคนยืนมองคุณหนูอยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่เด็กชายคนนั้น
หลี่เหลียนฮวามองตามนิ้วน้อย ๆ ของนาง ไม่ต้องบอกก็รู้ เจ้าเด็กคนนั้นสินะ
เขาเดินกระฟัดกระเฟียดมาหาเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าเขาในร้านน้ำชา หลี่เหลียนฮวาได้ยินเสียงเขาพูดเบา ๆ
“ท่านพี่ เด็กคนนั้นไม่สนใจข้า นางไม่รู้ด้วยว่าข้าเป็นใคร”
สายตาสุขุมและใบหน้าที่อ่อนโยนมองมาหานางก่อนพูดปลอบน้องชายของตน
“ชิงหมิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ วันนี้เราออกมาเที่ยวข้างนอกมีสถานะอันใด หากนางเป็นเพียงชาวบ้านย่อมต้องไม่เคยเห็นหรือรู้จักเจ้าเป็นธรรมดา เจ้าใจเย็นเสียหน่อยเถิด”
เมื่อพูดกับน้องชายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเดินมาหาหลี่เหลียนฮวาที่โต๊ะ
“ข้าขอโทษแทนน้องชายข้าด้วย เห็นเจ้าอ่านหนังสือได้ จึงอยากสนทนาเป็นเพื่อน เขาค่อนข้างอารมณ์อ่อนไหว อย่าได้ถือสา” เขาพูดจบพลางยิ้มให้
หลี่เหลียนฮวาพยักหน้ารับคำแล้วเพิ่งนึกได้ว่าการที่นางอ่านหนังสือได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่นี่เพราะนางอายุเพียงเจ็ดขวบ
“เจ้าชื่ออะไร เป็นบุตรสาวของผู้ใดหรือ” เขาถามเพราะอยากรู้เรื่องของนางเช่นกัน และคิดว่านางคงจะเป็นบุตรสาวขุนนางตระกูลใหญ่
ถ้าตอบแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นไหมนะ แต่ดูแล้วเขาก็ไม่น่าเป็นคนไม่ดีอะไร หลี่เหลียนฮวาคิดก่อนบอกเขาว่า
“ข้าชื่อหลี่เหลียนฮวา บุตรสาวของหลี่ไท่ น้องชายเจ้าชื่อเย่ชิงหมิงแล้วเจ้าชื่ออะไร”
“เย่ชิงหลง” เขาตอบยิ้มมุมปาก ในใจคิดว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจนัก หลี่เหลียนฮวา หลี่ไท่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายงั้นหรือ
“เอ๊ะ แม่บ้านจางมาแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน” หลี่เหลียนฮวาเอ่ยลา
“หวังว่าข้าจะได้พบเจ้าอีก ฮวาฮวา” เขาตอบ
อึ๋ย ฮวาฮวา ทำไมเรียกชื่อข้าเช่นนี้นะ นางเดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก่อนรีบจูงแขนจิ่วเอ๋อร์ออกจากร้าน เมื่อหันหน้ามองก็เห็นเขายืนยิ้มให้
“แม่บ้านจาง เจ้าเห็นร้านขายแตงโมหรือไม่ ข้าอยากกินแล้วก็จะซื้อไปฝากเสี่ยวหานด้วย”
“อยู่ทางโน้นเจ้าค่ะ คุณหนูจะเอาไปให้เขาที่บ้านเองไหมเจ้าคะ วันนี้ข้าว่าง ไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้”
“ดีเลย ซื้อไปให้ทุกคนที่จวนเลยแล้วกัน ให้เถ้าแก่ไปส่งนะ” หลี่เหลียนฮวาตื่นเต้นที่จะได้ไปบ้านเสี่ยวหาน
เมื่อซื้อแตงโมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่เหลียนฮวาหอบแตงโมลูกหนึ่งมุ่งหน้าไปบ้านของเสี่ยวหานอย่างอารมณ์ดี
ขณะที่ทุกคนเดินตามทางหมู่บ้านมาเรื่อย ๆ ก็บังเอิญเจอเสี่ยวหานระหว่างทางพอดี หลี่เหลียนฮวาสังเกตุว่าเสื้อของเขาเปื้อนรอยอะไรบางอย่าง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขา นางก็ยิ่งเห็นว่าหน้าตาของเขามีรอยแผล คิ้วปากแตก นางจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรีบเร่ง
“เสี่ยวหาน เกิดอันใดขึ้น ใครทำเจ้า” นางถามเขาด้วยความร้อนรน
“พวกนั้นที่เคยทำข้า” เขาตอบพลางเบี้ยวหน้าด้วยความเจ็บ
“เฮ้อ ไปที่จวนข้า ข้าจะทำแผลให้” นางบอกเขาแล้วหันไปบอกแม่บ้านจาง “ให้เขาไปอยู่กับอาเฉินสักสองสามวันได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ คุณหนู เดี๋ยวข้าดูแลเขาเอง อาเฉิน เจ้าช่วยประคองเสี่ยวหานหน่อย” แม่บ้านจางสั่งลูกชายแล้วใช้ผ้าซับเลือดที่คิ้วให้เขา
การเดินทางกลับจวนสกุลหลี่มีทางลัดหนึ่งทางจากตรงนี้ เพื่อย่นระยะเวลาแม่บ้านจางจึงพาทุกคนค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปทางป่าอีกด้านหนึ่ง
ถัดจากหมู่บ้านมีป่าไผ่อยู่สองข้างทาง ตรงกลางเป็นทางเดินที่ชาวบ้านถางทางไว้เพื่อใช้สัญจร นอกจากทางนี้จะเป็นทางตรงไปตลาดในเมืองแล้ว ยังเป็นทางแยกไปทะเลสาบที่ชาวบ้านมักไปหาปลาอยู่เป็นประจำ เมื่อเดินมาจนสุดทางป่าไผ่จะพบหน้าผายื่นออกไปยังด้านทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เมื่อเดินตามทางเล็ก ๆ ต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอทางแยกไปยังสถานที่สำคัญในเมืองหลวง
อาเฉินพยุงเสี่ยวหานไปตรงชะง่อนผา ให้เขาได้สูดอากาศบริสุทธิ์พลางรอจิ่วเอ๋อร์และหลี่เหลียนฮวาเดินตามมา
โอย เหนื่อยจังเลย ขาสั้น ๆ คู่นี้กับร่างกายเหมือนจะหมดแรงแล้ว หลี่เหลียนฮวาบ่นในใจก่อนเงยหน้าขึ้นมองข้างหน้า
หลี่เหลียนฮวามองไปที่เสี่ยวหาน เขายืนรอนางที่หน้าผาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือดที่ไหลจากคิ้วข้างซ้าย ภาพที่เห็นนั้นกระตุ้นให้นางนึกถึงเรื่องในฝัน เสี่ยวหาน หน้าผาในป่า ทะเลสาบ ที่แห่งนี้เองหรือ เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นตรงนี้หรือ เสี่ยวหานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าอีกครั้ง ข้าสัญญา เสี่ยวหาน
หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร
ความฝันครั้งนั้น หลี่เหลียนฮวาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นางจำได้ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเสี่ยวหาน ชะตากรรมของเขาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะตื่นจากฝันแล้วนางยังคงเศร้าและน้ำตาเอ่อล้นไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจไปหลายวัน“เสี่ยวหาน เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”“ขอโทษที่ทำให้คุณหนูเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะขอรับ” เสี่ยวหานเห็นหลี่เหลียนฮวาร้องไห้ไม่หยุด และกอดเขาไม่ปล่อย จึงค่อย ๆ ลูบหัวนางช้า ๆหลังจากตั้งสติได้ หลี่เหลียนฮวาจึงค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง เสี่ยวหานเล่าว่าที่เขาหายไปหลายวันเพราะทางเดินป่าไม่ค่อยดีจึงเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอยู่หลายวันเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เสี่ยวหานใช้เวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่เรียนการต่อสู้ ทำงานช่วยแม่บ้านจางและพักที่ห้องอาเฉินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านของตนเท่าใดนัก เพื่อความสบายใจของหลี่เหลียนฮวาราวกับเหตุการณ์จริงยังไม่ได้เกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาจึงยังไม่ตื่นจากความฝัน ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางความคิดไปได้เมื่อได้พบเจอกันบ่อย เที่ยวเ
ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนางไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตาเมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่า
เช้าวันต่อมา“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรักเธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดีหวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน“ซวยแล้ว ๆ คาบ
สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื
เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข
ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด
ไป๋อิงที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของลู่เฟยเทียน“ไป๋อิง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เขาถามนางด้วยความเป็นห่วงนางกอดลู่เฟยเทียนอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการคนปลอบใจ ภาพที่นางเห็นนั้นช่างน่ากลัวเกินบรรยาย เขาจึงโอบกอดนางและค่อย ๆ ลูบหัวนางให้ใจเย็นลง“ลู่เฟยเทียน” นางเรียกชื่อเขาน้ำตานองหน้าลู่เฟยเทียนไม่อยากให้นางต้องคิดมากจึงพูดแกล้งนาง“ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องปีนต้นแปะก๊วยหรอก เดี๋ยวข้าพาเจ้าเดินเข้าข้างหน้า”“อื้อ” ไป๋อิงเดินตามเขามาโดยไม่สงสัยว่าเขารู้ว่านางมาที่นี่ทำไมเพราะสติของนางยังคงกลับมาไม่ครบถ้วนไป๋อิงที่กำลังเหม่อลอยและเศร้าสร้อยนั่งฟังลู่เฟยเทียนพูดคุยหารือกับหรงหรงอย่างเงียบ ๆ หลังจากหรงหรงออกจากห้องไปเขาจึงถามไป๋อิง“ไป๋อิง เจ้าเป็นอันใดถึงได้เงียบงันเช่นนี้”“ข้า... เพิ่งจะพบเจอเรื่องที่น่ากลัวมา” นางมองหน้าเขา“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ลู่เฟยเทียนตั้งใจฟังเรื่องที่นางเล่
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด