“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง
“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา
“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย
“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย
“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”
คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่
“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”
หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องหน้าให้กว้างขึ้น เธอจึงสังเกตเห็นผู้คนมากมาย บ้างกวาดพื้นอยู่ บ้างตัดต้นไม้อยู่ ผู้หญิงหลายคนเดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้ ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่เปิดออก
“คุณหนู สายแล้ว ต้องรีบอาบน้ำให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินกุลีกุจอเข้ามาหาเธอ
“ใครนะ เดี๋ยวก่อน ๆ” หลิวลี่เซียงคิดว่าถึงจะเป็นความฝัน แต่เรื่องราวที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอรีบยื่นมือออกไปห้ามทุกคน
“เอ๊ะ! มือใคร ทำไมเล็กจัง แล้วทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้” เธอตกใจที่มองเห็นมือเล็ก ๆ จึงลองกำ ๆ แบ ๆ มือทั้งสองข้างหลายรอบทดสอบดูว่าใช่มือตัวเองหรือเปล่า แล้วรีบวิ่งเข้าห้อง
เธอเหลือบเห็นกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ภาพที่สะท้อนจากกระจกคือเด็กหญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบ เธอจึงเดินถอยหน้าถอยหลังอีกรอบ ลองจับหน้าตัวเองแล้วลองหยิกแขนดู
“โอ๊ย!” ดูเหมือนความฝันแต่ทำไมเจ็บจริงแบบนี้ ตื่นสิ หลิวลี่เซียง ตื่นได้แล้ว แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงของหญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนู ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“อื้อ เหมือนจะไม่สบาย วันนี้ขอนอนพักสักวันนะ”
“เสี่ยวจิ่ว แม่จะไปหานายท่าน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูนะ”
หลิวลี่เซียงคิดหนักว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร เพราะเมื่อวานเธอยังนั่งดูพระจันทร์ริมหน้าต่างห้องอยู่เลย
แต่ว่าทำไมเด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป้าคนนั้น แล้วก็คนในกระจกนี่ หลิวลี่เซียงจ้องมองไปที่บานกระจกอีกครั้งเพื่อพยายามนึกว่าเคยเห็นทุกคนจากที่ไหน พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
“จิ่วเอ๋อร์” เธอส่งเสียงเรียกเบา ๆ
“เจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
นั่นไง ใช่จริง ๆ ด้วย ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งดังมาจากทางประตู
“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือ” เขาถามพลางเดินมาใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง
ชัดเลยทีนี้ นี่ฉันเข้ามาอยู่ในความฝันตัวเองเหรอนี่ เหลียนฮวา หรือ หลี่เหลียนฮวา ลูกสาวคนเดียวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลี่ไท่ เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว เธอก็สวมบทเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบตามน้ำไป
“ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” เธอตอบกลับ
“อากาศวันนี้หนาวเย็นยิ่งนัก เช่นนั้น เจ้าพักอยู่ที่เรือนเถิด อาการดีขึ้นแล้ว วันหลังพ่อจะพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมือง” เขาบอกนางก่อนเดินไปพร้อมกำชับทุกคนให้คอยอยู่ดูแลนาง
เยี่ยมเลย ค่อยยังชั่ว ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย พอให้มีเวลาปะติดปะต่อเรื่อง
“จิ่วเอ๋อร์ ขอกระดาษกับพู่กันที” หลิวลี่เซียงเขียนชื่อคนที่จำได้คร่าว ๆ ลงไปในกระดาษ เราคือหลี่เหลียนฮวา เด็กคนนั้นคือจิ่วเอ๋อร์ อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ป้าคนนั้นคือแม่บ้านจาง ที่นี่จวนสกุลหลี่ ท่านพ่อหลี่ไท่
“คุณหนูเขียนอันใดหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์มองกระดาษด้วยความสงสัย
ตายละ ลืมไปว่าอายุเท่านี้เพิ่งจะหัดเขียนตัวอักษร
“ข้าแค่นึกอยากขีด ๆ เล่น จิ่วเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะนอนพักแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” จิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วค่อย ๆ เดินออกไป
เมื่ออยู่คนเดียวหลิวลี่เซียงก็เริ่มเขียนเรื่องราวความฝันที่พอจะนึกออกก่อนเก็บไว้ในลิ้นชักพลางคิดในใจว่านอนหลับไปแล้วพรุ่งนี้คงได้ตื่นจากฝัน
สองวันต่อมา
“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์ถามไถ่ พลันทำให้คนที่อยู่ด้านในลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
ตื่นมาก็ยังคงอยู่ในฝันสินะ เฮ้อ
หลังจากเปลี่ยนชุด ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลี่ไท่จึงพาหลี่เหลียนฮวาไปเดินเล่นในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์ อาเฉินและแม่บ้านจาง
เมื่อก้าวพ้นประตูไม้บานใหญ่ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยลานหิมะขาวโพลนปกคลุมถนนหนทาง แสงแดดอุ่น ๆ สะท้อนระยิบระยับ เกล็ดหิมะโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ๆ ท้องฟ้าสีครามประดับลายด้วยเมฆสีขาวที่ล่องลอยไปตามสายลม
สวยงามมม สุดยอดดด หลี่เหลียนฮวาคิดในใจเมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบร้านค้าต่าง ๆ มากมายราวกับอยู่ในฉากหนังยุคโบราณ นางเดินไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความตื่นเต้น
“นายท่าน วันนี้ร้านเสื้อผ้านัดไปรับของแล้ว ข้าขอตัวสักครู่นะเจ้าคะ” แม่บ้านจางเอ่ยขึ้นก่อนรีบเดินไปอีกทางพร้อมอาเฉิน ลูกชายของนาง
“เหลียนฮวา ที่ติดผมลายดอกบัวช่างเหมาะกับเจ้า ชอบหรือไม่” หลี่ไท่ถามนาง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางตอบกลับพลางยิ้มด้วยความสดใส หลังจากซื้อที่ติดผมเรียบร้อยแล้ว นางชวนเขาเดินมาที่ร้านขายถังหูลู่
“ท่านพ่อ ขอสี่ไม้ได้ไหมเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาอ้อนเขาเพราะกำลังหิวหลังจากเดินเล่นมาเกือบชั่วยาม ซึ่งท่านพ่อของนางก็มักจะตามใจบุตรสาวผู้นี้อยู่เป็นนิจ
“จิ่วเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า” นางยื่นถังหูลู่ไม้หนึ่งให้จิ่วเอ๋อร์
เมื่อได้ของกินอร่อย เขาก็พานางเดินมาทางสวนดอกไม้เพื่อนั่งเล่นต่ออีกสักพักก่อนกลับบ้าน
ด้านหน้าสวนดอกไม้มีทะเลสาบที่เวลานี้กลายเป็นน้ำแข็ง ศาลาริมน้ำทางด้านซ้ายมีเด็กชายผู้หนึ่งนั่งตัวสั่นเทา เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
หลี่เหลียนฮวาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ พินิจมองเขาอย่างถ้วนถี่ เด็กผู้นี้เหมือนหลุดจากภวังค์ หันมามองนางกับถังหูลู่ในมือ แววตาใสซื่อและหน้าตามอมแมมทำให้นางรู้สึกสงสารจึงยื่นถังหูลู่ให้เขาหนึ่งไม้ ก่อนขอผ้าคลุมกันหนาวหนึ่งตัวมาห่มให้เขา
“ใส่ไว้นะจะได้ไม่หนาว แล้วก็กินให้อร่อย ถ้าเจ้าหิวก็มาที่จวนสกุลหลี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้คนเป็นพ่ออย่าง หลี่ไท่มองบุตรสาวด้วยความเอ็นดูและแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของนาง
แม้นางจะเป็นเด็ก แต่บัดนี้นางมักจะทำอะไรเหมือนผู้ใหญ่เกินวัย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี เขาให้เงินเด็กชายผู้นี้หนึ่งถุงไว้ใช้จ่าย
หลังจากนั้นทุกคนเดินกลับบ้าน โดยมีสายตาของเด็กผู้นั้นมองตามอย่างไม่วางตา
เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่เหลียนฮวา แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเขากับนางช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ความยากจน อดอยากหิวโหย สลัดตัวหนีอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดาต้องอยู่ตัวคนเดียวช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินข้าวสักชาม ทั้งอากาศในวันนี้หนาวเหน็บจนเนื้อตัวแทบด้านชาไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อได้พบนางก็ราวกับเหมือนแสงหนึ่งส่องสว่างมาที่ใจของเขา ผ้าคลุมกันหนาวตัวนี้อบอุ่นยิ่งนัก
เมื่อหลี่เหลียนฮวากลับมาถึงบ้านแล้ว อดนึกถึงเด็กคนนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เงินถุงนั้นน่าจะพออยู่ไปได้สักเดือน ไม่น่ามีปัญหาอะไร
หลังจากใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาได้สองอาทิตย์ นางก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่าความฝันนี้จะจบลงเมื่อไร
วันเวลาผ่านพ้นไปแต่ละวัน ทำให้นางแทบจะลืมว่ากำลังหลงใหลอยู่ในความฝัน ชีวิตวัยเด็กของหลี่เหลียนฮวาทำให้นางดูสนุกไม่น้อย เพราะโลกความจริงตอนนี้นางต้องรีบปั่นการบ้านหลายวิชา
เรื่องของหลี่เหลียนฮวา ที่ฝันตอนนั้นมีอะไรอีกนะ นอกจากเกิดมาเป็นลูกขุนนางชั้นสูงแล้ว ชีวิตก็เรียบง่าย สุขสบายดี แต่ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง นางคิดในใจพลางนึกเรื่องราวทั้งหมดแต่ก็นึกไม่ออก
“จิ่วเอ๋อร์ ไปเที่ยวในเมืองกันเถอะ ข้าอยากกินซาลาเปา” นางหันไปชวนจิ่วเอ๋อร์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ
“คุณหนู แต่วันนี้นายท่านเข้าวัง”
“แม่บ้านจางล่ะ ไปกับนางก็ได้ อาเฉินก็ด้วย”
“เจ้าค่ะ คุณหนูรอตรงนี้ก่อน”
บรรยากาศร้านค้าในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้น ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่อย่างเช่นเคย หลี่เหลียนฮวาเดินตรงดิ่งไปที่ร้านซาลาเปาตรงหัวมุมถนน กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยไปทั่วทั้งซอย
“ซาลาเปาสิบลูก หมั่นโถวอีกสิบ” หลี่เหลียนฮวาพูดด้วยความมุ่งมั่น แล้วยื่นเงินจ่ายพ่อค้า จากนั้นแจกให้กับจิ่วเอ๋อร์ และอาเฉินคนละสองลูก
“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ร้องบอกหลี่เหลียนฮวาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ด้านหลังมีกลุ่มเด็กผู้ชายตัวใหญ่กว่าเขาไล่ตามมาติด ๆ แม้ทั้งสองมือของหลี่เหลียนฮวาจะถือซาลาเปาไว้นางก็สามารถเอี้ยวตัวหลบเด็กชายคนแรกไปได้ แต่ทว่าขาทั้งสองข้างเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เมื่อแรงของกลุ่มเด็กที่วิ่งตามหลังมาเฉี่ยวมือข้างหนึ่ง ก็เพียงพอที่ร่างกายของนางจะโอนเอนแล้วล้มลง ซาลาเปาสองลูกที่อยู่ในมือตกพื้นกลิ้งหลุน ๆ ทำให้แม่บ้านจางและทุกคนร้องเสียงหลง
ไม่นะ ซาลาเปาของข้า เจ้าเด็กพวกนี้ หลี่เหลียนฮวารู้สึกเสียดายที่ทำซาลาเปาหลุดมือทั้ง ๆ ที่นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณหนู เป็นอันใดไหมเจ้าคะ” แม่บ้านจางรีบเข้ามาพยุง ปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัวและตรวจดูร่างกายของนาง
“ซาลาเปาของข้า” หลี่เหลียนฮวายกมือบอกไม่เป็นอะไร แล้วชี้นิ้วไปที่ซาลาเปาบนพื้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนู ในตะกร้ายังมีอีกเยอะเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าเด็กคนแรกนั้นหน้าคุ้น ๆ รีบตามไปดูหน่อยอาเฉิน” หลี่เหลียนฮวาสั่งเขาแล้วรีบวิ่งตามไปพร้อมจิ่วเอ๋อร์ ทิ้งให้แม่บ้านจางยืนมึนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามมา
เมื่อไล่ตามมาสักพักก็เห็นเด็กตัวใหญ่กลุ่มนี้กำลังยื้อแย่งของจากเด็กตัวเล็ก คนหนึ่งคว้าแขนข้างซ้าย คนหนึ่งเกาะขาขวาไว้ ส่วนอีกคนพยายามแกะมือของเขาออก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเด็กยักษ์ หยุด!” หลี่เหลียนฮวาตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นางรีบวิ่งไปดึงแขนคนที่ตัวโตสุดออกมา
ฮึบ! ทำไมดึงไม่ออก ฮึบ! ทำไมไม่มีแรงขนาดนี้ นางคิดในใจลืมไปว่าตัวนางเองก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงเจ็ดขวบ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
“คุณหนู ๆ ” อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งตามมาได้แต่ร้องเรียกทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นคุณหนูของพวกเขารีบวิ่งเข้าไป
“อาเฉิน ช่วยเด็กคนนี้ที จิ่วเอ๋อร์ รออยู่ตรงนั้น” นางบอกจิ่วเอ๋อร์เช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เข้ามา นางยังเด็กเกินไป แต่จิ่วเอ๋อร์ไม่ฟังคำ วิ่งเข้ามาเกาะแขนเจ้าเด็กยักษ์อีกข้าง
อาเฉินจับเจ้าเด็กยักษ์คนหนึ่งเหวี่ยงไปข้าง ๆ แล้วจับอีกคนที่กำลังดึงผมหลี่เหลียนฮวาอยู่แล้วทุ่มไปข้างหน้า
ต่างฝ่ายต่างชุลมุนตะลุมบอนกันได้สักพัก เมื่อกลุ่มเด็กยักษ์เห็นว่าจวนเจียนจะแพ้สู้ไม่ได้ก็ต่างพากันหนีไป
สภาพของทั้งเด็กชายผู้นี้ แม้จะดูมอมแมมซอมซ่อ แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้ว เขาคือเด็กที่หลี่เหลียนฮวาเจอเมื่อครั้งก่อน นางพยุงตัวเขามานั่งอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ใหญ่ ถามว่าเขาเจ็บปวดตรงไหน มีบาดแผลอะไรหรือไม่ตามความเคยชิน
“ข้าเจ็บเล็กน้อย ทนได้” เขาตอบกลับมา
“เกิดเรื่องอันใด ทำไมคนพวกนั้นทำเจ้าเช่นนี้” นางถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่รู้ พวกนั้นทำแบบนี้ตลอด” เขาตอบกลับอย่างใส่ซื่อ
“เฮ้อ เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเองบ้างนะ มิเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นจะมารังแกเจ้าอยู่เรื่อยไป” หลี่เหลียนฮวารู้สึกสงสารเขาจับใจ
“ตายแล้วคุณหนู” เสียงแม่บ้านจางอุทานด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามคุณหนูทัน
เอ่อ สภาพตอนนี้ จากคุณหนูกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่ ทั้งหน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน แม่บ้านจางต้องตกใจมากแน่ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจก่อนรีบบอกให้นางหายกังวลใจ
“แม่บ้านจาง เจ้าช่วยพาเด็กคนนี้ไปทำแผลที่บ้านได้หรือไม่”
“แต่คุณหนู...”
“เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง กลับจวนกันก่อนเถอะ” นางทำเสียงอ้อนก่อนหันไปบอกเด็กผู้นั้น
“กลับจวนกับข้า ไปทายา จะได้หายเจ็บ”
เขาพยักหน้าตอบกลับแทนคำพูด แล้วเดินตามนางกลับจวน
“แม่บ้านจาง เรื่องนี้ห้ามให้ท่านพ่อรู้นะ เห็นไหม ข้าไม่เป็นอะไรเลย”
“แต่คุณหนู อย่างไรก็ต้องแจ้งนายท่านนะเจ้าคะ”
“ไม่ได้ ท่านพ่อจะต้องดุพวกเขาแล้วก็เป็นห่วงข้ามากแน่ ๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” หลี่เหลียนฮวาพยายามหว่านล้อมแม่บ้านสุดกำลังเพื่อไม่ให้เรื่องถึงหูใต้เท้าหลี่
“เจ้าค่ะ คุณหนู” นางตอบรับแล้วหันไปหาอาเฉินกับเสี่ยวจิ่ว สองพี่น้องผู้เป็นลูกของนางและเด็กผู้นั้นที่มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะทายาให้ทั้งสามพลางดุไปด้วย
หลี่เหลียนฮวามองดูเขา จู่ ๆ นึกได้ว่าเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน หน้าตาท่าทางคลับคล้ายคลับคลา นางจึงเอ่ยปากถามชื่อแซ่เขา
“เจ้าชื่ออะไร บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด”
“ท่านยายเรียกข้าว่าเสี่ยวหาน ท่านยายไม่อยู่แล้ว ข้าอยู่บ้านคนเดียว หลังหมู่บ้านทางโน้น”
“ทำแผลเสร็จแล้ว เจ้ากลับบ้านดี ๆ ถ้าเจอเจ้าพวกนั้นกลับมาที่นี่นะ นี่ขนม ข้าว พอให้เจ้าอิ่มไปหลายมื้อ หากเจ้าหิวมาที่นี่นะ” นางพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ให้คนไปส่งเขาได้หรือไม่ แม่บ้านจาง”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
หลังจากเสี่ยวหานกลับไปหลี่เหลียนฮวาหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ
“อาเฉินวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ส่วนจิ่วเอ๋อร์ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัว” หลี่เหลียนฮวาพูดกับทั้งสองเหมือนเป็นผู้ใหญ่ สร้างความฉงนใจให้กับแม่บ้านจางอีกครา
“ทานข้าวเย็นกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” นางรีบพูด
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้ว นางก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะรู้สึกเมื่อยเนื้อตัวจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อกลางวัน
หลี่เหลียนฮวาเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาราระยิบระยับประดับฟ้า ไม่มีแสงไฟจากที่ใดรบกวน
นางนึกถึงเสี่ยวหานและเรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้
เสี่ยวหาน เสี่ยวหานเหรอ หน้าตาแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้ เสี่ยวหาน เจ้าใช่คนเดียวกับเด็กคนนั้นหรือไม่นะ ใช่หรือไม่แล้วอย่างไร ครั้งนี้ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอ๋ย หลี่เหลียนฮวา เห็นทีการได้ฝันเรื่องนี้อีกครั้งจะสามารถช่วยเสี่ยวหานได้ เรื่องราวครานี้จะต้องเปลี่ยนไป ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เสี่ยวหาน
หลังจากคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมุ่งมั่น หลี่เหลียนฮวาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขา
หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร
ความฝันครั้งนั้น หลี่เหลียนฮวาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นางจำได้ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเสี่ยวหาน ชะตากรรมของเขาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะตื่นจากฝันแล้วนางยังคงเศร้าและน้ำตาเอ่อล้นไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจไปหลายวัน“เสี่ยวหาน เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”“ขอโทษที่ทำให้คุณหนูเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะขอรับ” เสี่ยวหานเห็นหลี่เหลียนฮวาร้องไห้ไม่หยุด และกอดเขาไม่ปล่อย จึงค่อย ๆ ลูบหัวนางช้า ๆหลังจากตั้งสติได้ หลี่เหลียนฮวาจึงค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง เสี่ยวหานเล่าว่าที่เขาหายไปหลายวันเพราะทางเดินป่าไม่ค่อยดีจึงเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอยู่หลายวันเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เสี่ยวหานใช้เวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่เรียนการต่อสู้ ทำงานช่วยแม่บ้านจางและพักที่ห้องอาเฉินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านของตนเท่าใดนัก เพื่อความสบายใจของหลี่เหลียนฮวาราวกับเหตุการณ์จริงยังไม่ได้เกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาจึงยังไม่ตื่นจากความฝัน ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางความคิดไปได้เมื่อได้พบเจอกันบ่อย เที่ยวเ
ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนางไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตาเมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่า
เช้าวันต่อมา“อาเซียง ตื่นได้แล้ว วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”“อาเซียง ได้ยินไหมเนี่ย ตื่นได้แล้ว”“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้ารู้แล้ว”“หลิวลี่เซียง นี่เธอพูดว่าอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามย้ำอีกครั้งและรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนคนนี้นอนขี้เซา“จิ่วเอ... เอ๋!” หลิวลี่เซียงรีบลืมตา“ซินซินเหรอ” เธอจับหน้าไป๋เยว่ซินแล้วดึงแก้มเบา ๆ“โอ๊ย! อาเซียง มาดึงแก้มกันทำไม”“ซินซิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย” หลิวลี่เซียงกอดเพื่อนรักเธอไม่คิดว่าวันนี้จะได้ตื่นจากฝันของหลี่เหลียนฮวา หลิวลี่เซียงใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาหลายปี ความรู้สึกทุกอย่าง เธอยังคงจำได้ดีหวังว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงนะ เธอคิดในใจ“อาเซียง แปดโมงครึ่งแล้ว เธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้หรือยัง” ไป๋เยว่ซินเตือนเพื่อนอีกรอบ“มีเรียนเหรอ วันนี้วันอะไร” เธอถามเพื่อนพลางกดมองดูมือถือ ก่อนหันไปดูตารางเรียน“ซวยแล้ว ๆ คาบ
สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตาการค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถื
เช้าวันต่อมา“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”“ข
ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้นทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆหอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนางคงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
หลี่หานค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับอยู่ที่เดิม เขามองเห็นหน้าของเหยากุ้ยเฟยกำลังแดงและนางกำลังหลับตา“เหยากุ้ยเฟย” เขากระซิบข้างหูนาง“เจ้า! เคยทำแบบนี้กับผู้ใด”“ไม่เคย” หลี่หานตอบด้วยแววตาที่ใสซื่อ“หลี่หานการละครหรืออย่างไร”“อื้ม คนพวกนั้นไปแล้ว” เขาชี้ให้ดูว่าไม่มีผู้ใดคอยแอบตาม“ใครเขาจะอยู่ดูเล่า เจ้าปล่อยข้าได้หรือยัง” นางถามเขาเพราะมือทั้งสองข้างยังอยู่ที่เดิมจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินกลับตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยกันตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่-------------------------------------------------------------------------เช้าวันต่อมาม้าเร็วจากเมืองชายแดนส่งสารเรื่องกองทัพของอ๋องชิงหมิงให้ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง“ถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะประกาศให้เหล่าเสนาบดีรับรู้ว่าในเวลานี้กองทัพของอ๋องชิงหมิงและอ๋องจิ้งเมืองชายแดนกำลังถูกล้อมโด