Home / โรแมนติก / ห้วงฝันใต้แสงจันทรา / บทที่ 1.1 พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์

Share

บทที่ 1.1 พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์

Author: MACARONI/1Millionmilesaway
last update Last Updated: 2024-11-22 11:29:46

“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง

“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา

“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย

“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย

“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”

คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่

“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”

หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องหน้าให้กว้างขึ้น เธอจึงสังเกตเห็นผู้คนมากมาย บ้างกวาดพื้นอยู่ บ้างตัดต้นไม้อยู่ ผู้หญิงหลายคนเดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้ ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่เปิดออก

“คุณหนู สายแล้ว ต้องรีบอาบน้ำให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินกุลีกุจอเข้ามาหาเธอ

“ใครนะ เดี๋ยวก่อน ๆ” หลิวลี่เซียงคิดว่าถึงจะเป็นความฝัน แต่เรื่องราวที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอรีบยื่นมือออกไปห้ามทุกคน

“เอ๊ะ! มือใคร ทำไมเล็กจัง แล้วทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้” เธอตกใจที่มองเห็นมือเล็ก ๆ จึงลองกำ ๆ แบ ๆ มือทั้งสองข้างหลายรอบทดสอบดูว่าใช่มือตัวเองหรือเปล่า แล้วรีบวิ่งเข้าห้อง

เธอเหลือบเห็นกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ภาพที่สะท้อนจากกระจกคือเด็กหญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบ เธอจึงเดินถอยหน้าถอยหลังอีกรอบ ลองจับหน้าตัวเองแล้วลองหยิกแขนดู

“โอ๊ย!” ดูเหมือนความฝันแต่ทำไมเจ็บจริงแบบนี้ ตื่นสิ หลิวลี่เซียง ตื่นได้แล้ว แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงของหญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณหนู ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”

“อื้อ เหมือนจะไม่สบาย วันนี้ขอนอนพักสักวันนะ”

“เสี่ยวจิ่ว แม่จะไปหานายท่าน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูนะ”

หลิวลี่เซียงคิดหนักว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร เพราะเมื่อวานเธอยังนั่งดูพระจันทร์ริมหน้าต่างห้องอยู่เลย

แต่ว่าทำไมเด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป้าคนนั้น แล้วก็คนในกระจกนี่ หลิวลี่เซียงจ้องมองไปที่บานกระจกอีกครั้งเพื่อพยายามนึกว่าเคยเห็นทุกคนจากที่ไหน พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว

“จิ่วเอ๋อร์” เธอส่งเสียงเรียกเบา ๆ

“เจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

นั่นไง ใช่จริง ๆ ด้วย ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งดังมาจากทางประตู

“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือ” เขาถามพลางเดินมาใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง

ชัดเลยทีนี้ นี่ฉันเข้ามาอยู่ในความฝันตัวเองเหรอนี่ เหลียนฮวา หรือ หลี่เหลียนฮวา ลูกสาวคนเดียวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลี่ไท่ เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว เธอก็สวมบทเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบตามน้ำไป

“ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” เธอตอบกลับ

“อากาศวันนี้หนาวเย็นยิ่งนัก เช่นนั้น เจ้าพักอยู่ที่เรือนเถิด อาการดีขึ้นแล้ว วันหลังพ่อจะพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมือง” เขาบอกนางก่อนเดินไปพร้อมกำชับทุกคนให้คอยอยู่ดูแลนาง

เยี่ยมเลย ค่อยยังชั่ว ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย พอให้มีเวลาปะติดปะต่อเรื่อง

“จิ่วเอ๋อร์ ขอกระดาษกับพู่กันที” หลิวลี่เซียงเขียนชื่อคนที่จำได้คร่าว ๆ ลงไปในกระดาษ เราคือหลี่เหลียนฮวา เด็กคนนั้นคือจิ่วเอ๋อร์ อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ป้าคนนั้นคือแม่บ้านจาง ที่นี่จวนสกุลหลี่ ท่านพ่อหลี่ไท่

“คุณหนูเขียนอันใดหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์มองกระดาษด้วยความสงสัย

ตายละ ลืมไปว่าอายุเท่านี้เพิ่งจะหัดเขียนตัวอักษร

“ข้าแค่นึกอยากขีด ๆ เล่น จิ่วเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะนอนพักแล้ว”

“เจ้าค่ะ คุณหนู” จิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วค่อย ๆ เดินออกไป

เมื่ออยู่คนเดียวหลิวลี่เซียงก็เริ่มเขียนเรื่องราวความฝันที่พอจะนึกออกก่อนเก็บไว้ในลิ้นชักพลางคิดในใจว่านอนหลับไปแล้วพรุ่งนี้คงได้ตื่นจากฝัน

สองวันต่อมา

“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์ถามไถ่ พลันทำให้คนที่อยู่ด้านในลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย

ตื่นมาก็ยังคงอยู่ในฝันสินะ เฮ้อ

หลังจากเปลี่ยนชุด ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลี่ไท่จึงพาหลี่เหลียนฮวาไปเดินเล่นในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์ อาเฉินและแม่บ้านจาง

เมื่อก้าวพ้นประตูไม้บานใหญ่ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยลานหิมะขาวโพลนปกคลุมถนนหนทาง แสงแดดอุ่น ๆ สะท้อนระยิบระยับ เกล็ดหิมะโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ๆ ท้องฟ้าสีครามประดับลายด้วยเมฆสีขาวที่ล่องลอยไปตามสายลม

สวยงามมม สุดยอดดด หลี่เหลียนฮวาคิดในใจเมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบร้านค้าต่าง ๆ มากมายราวกับอยู่ในฉากหนังยุคโบราณ นางเดินไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความตื่นเต้น

“นายท่าน วันนี้ร้านเสื้อผ้านัดไปรับของแล้ว ข้าขอตัวสักครู่นะเจ้าคะ” แม่บ้านจางเอ่ยขึ้นก่อนรีบเดินไปอีกทางพร้อมอาเฉิน ลูกชายของนาง

“เหลียนฮวา ที่ติดผมลายดอกบัวช่างเหมาะกับเจ้า ชอบหรือไม่” หลี่ไท่ถามนาง

“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางตอบกลับพลางยิ้มด้วยความสดใส หลังจากซื้อที่ติดผมเรียบร้อยแล้ว นางชวนเขาเดินมาที่ร้านขายถังหูลู่

“ท่านพ่อ ขอสี่ไม้ได้ไหมเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาอ้อนเขาเพราะกำลังหิวหลังจากเดินเล่นมาเกือบชั่วยาม ซึ่งท่านพ่อของนางก็มักจะตามใจบุตรสาวผู้นี้อยู่เป็นนิจ

“จิ่วเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า” นางยื่นถังหูลู่ไม้หนึ่งให้จิ่วเอ๋อร์

เมื่อได้ของกินอร่อย เขาก็พานางเดินมาทางสวนดอกไม้เพื่อนั่งเล่นต่ออีกสักพักก่อนกลับบ้าน

ด้านหน้าสวนดอกไม้มีทะเลสาบที่เวลานี้กลายเป็นน้ำแข็ง ศาลาริมน้ำทางด้านซ้ายมีเด็กชายผู้หนึ่งนั่งตัวสั่นเทา เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

หลี่เหลียนฮวาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ พินิจมองเขาอย่างถ้วนถี่ เด็กผู้นี้เหมือนหลุดจากภวังค์ หันมามองนางกับถังหูลู่ในมือ แววตาใสซื่อและหน้าตามอมแมมทำให้นางรู้สึกสงสารจึงยื่นถังหูลู่ให้เขาหนึ่งไม้ ก่อนขอผ้าคลุมกันหนาวหนึ่งตัวมาห่มให้เขา

“ใส่ไว้นะจะได้ไม่หนาว แล้วก็กินให้อร่อย ถ้าเจ้าหิวก็มาที่จวนสกุลหลี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้คนเป็นพ่ออย่าง หลี่ไท่มองบุตรสาวด้วยความเอ็นดูและแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของนาง

แม้นางจะเป็นเด็ก แต่บัดนี้นางมักจะทำอะไรเหมือนผู้ใหญ่เกินวัย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี เขาให้เงินเด็กชายผู้นี้หนึ่งถุงไว้ใช้จ่าย

หลังจากนั้นทุกคนเดินกลับบ้าน โดยมีสายตาของเด็กผู้นั้นมองตามอย่างไม่วางตา

เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่เหลียนฮวา แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเขากับนางช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ความยากจน อดอยากหิวโหย สลัดตัวหนีอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดาต้องอยู่ตัวคนเดียวช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินข้าวสักชาม ทั้งอากาศในวันนี้หนาวเหน็บจนเนื้อตัวแทบด้านชาไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อได้พบนางก็ราวกับเหมือนแสงหนึ่งส่องสว่างมาที่ใจของเขา ผ้าคลุมกันหนาวตัวนี้อบอุ่นยิ่งนัก

เมื่อหลี่เหลียนฮวากลับมาถึงบ้านแล้ว อดนึกถึงเด็กคนนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เงินถุงนั้นน่าจะพออยู่ไปได้สักเดือน ไม่น่ามีปัญหาอะไร

หลังจากใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาได้สองอาทิตย์ นางก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่าความฝันนี้จะจบลงเมื่อไร

วันเวลาผ่านพ้นไปแต่ละวัน ทำให้นางแทบจะลืมว่ากำลังหลงใหลอยู่ในความฝัน ชีวิตวัยเด็กของหลี่เหลียนฮวาทำให้นางดูสนุกไม่น้อย เพราะโลกความจริงตอนนี้นางต้องรีบปั่นการบ้านหลายวิชา

เรื่องของหลี่เหลียนฮวา ที่ฝันตอนนั้นมีอะไรอีกนะ นอกจากเกิดมาเป็นลูกขุนนางชั้นสูงแล้ว ชีวิตก็เรียบง่าย สุขสบายดี แต่ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง นางคิดในใจพลางนึกเรื่องราวทั้งหมดแต่ก็นึกไม่ออก

“จิ่วเอ๋อร์ ไปเที่ยวในเมืองกันเถอะ ข้าอยากกินซาลาเปา” นางหันไปชวนจิ่วเอ๋อร์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ

“คุณหนู แต่วันนี้นายท่านเข้าวัง”

“แม่บ้านจางล่ะ ไปกับนางก็ได้ อาเฉินก็ด้วย”

“เจ้าค่ะ คุณหนูรอตรงนี้ก่อน”

บรรยากาศร้านค้าในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้น ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่อย่างเช่นเคย หลี่เหลียนฮวาเดินตรงดิ่งไปที่ร้านซาลาเปาตรงหัวมุมถนน กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยไปทั่วทั้งซอย

“ซาลาเปาสิบลูก หมั่นโถวอีกสิบ” หลี่เหลียนฮวาพูดด้วยความมุ่งมั่น แล้วยื่นเงินจ่ายพ่อค้า จากนั้นแจกให้กับจิ่วเอ๋อร์ และอาเฉินคนละสองลูก

“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ร้องบอกหลี่เหลียนฮวาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ด้านหลังมีกลุ่มเด็กผู้ชายตัวใหญ่กว่าเขาไล่ตามมาติด ๆ แม้ทั้งสองมือของหลี่เหลียนฮวาจะถือซาลาเปาไว้นางก็สามารถเอี้ยวตัวหลบเด็กชายคนแรกไปได้ แต่ทว่าขาทั้งสองข้างเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เมื่อแรงของกลุ่มเด็กที่วิ่งตามหลังมาเฉี่ยวมือข้างหนึ่ง ก็เพียงพอที่ร่างกายของนางจะโอนเอนแล้วล้มลง ซาลาเปาสองลูกที่อยู่ในมือตกพื้นกลิ้งหลุน ๆ ทำให้แม่บ้านจางและทุกคนร้องเสียงหลง

ไม่นะ ซาลาเปาของข้า เจ้าเด็กพวกนี้ หลี่เหลียนฮวารู้สึกเสียดายที่ทำซาลาเปาหลุดมือทั้ง ๆ ที่นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

“คุณหนู เป็นอันใดไหมเจ้าคะ” แม่บ้านจางรีบเข้ามาพยุง ปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัวและตรวจดูร่างกายของนาง

“ซาลาเปาของข้า” หลี่เหลียนฮวายกมือบอกไม่เป็นอะไร แล้วชี้นิ้วไปที่ซาลาเปาบนพื้น

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนู ในตะกร้ายังมีอีกเยอะเจ้าค่ะ”

“แต่ว่าเด็กคนแรกนั้นหน้าคุ้น ๆ รีบตามไปดูหน่อยอาเฉิน” หลี่เหลียนฮวาสั่งเขาแล้วรีบวิ่งตามไปพร้อมจิ่วเอ๋อร์ ทิ้งให้แม่บ้านจางยืนมึนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามมา

เมื่อไล่ตามมาสักพักก็เห็นเด็กตัวใหญ่กลุ่มนี้กำลังยื้อแย่งของจากเด็กตัวเล็ก คนหนึ่งคว้าแขนข้างซ้าย คนหนึ่งเกาะขาขวาไว้ ส่วนอีกคนพยายามแกะมือของเขาออก

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเด็กยักษ์ หยุด!” หลี่เหลียนฮวาตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นางรีบวิ่งไปดึงแขนคนที่ตัวโตสุดออกมา

ฮึบ! ทำไมดึงไม่ออก ฮึบ! ทำไมไม่มีแรงขนาดนี้ นางคิดในใจลืมไปว่าตัวนางเองก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงเจ็ดขวบ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“คุณหนู ๆ ” อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งตามมาได้แต่ร้องเรียกทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นคุณหนูของพวกเขารีบวิ่งเข้าไป

“อาเฉิน ช่วยเด็กคนนี้ที จิ่วเอ๋อร์ รออยู่ตรงนั้น” นางบอกจิ่วเอ๋อร์เช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เข้ามา นางยังเด็กเกินไป แต่จิ่วเอ๋อร์ไม่ฟังคำ วิ่งเข้ามาเกาะแขนเจ้าเด็กยักษ์อีกข้าง

อาเฉินจับเจ้าเด็กยักษ์คนหนึ่งเหวี่ยงไปข้าง ๆ แล้วจับอีกคนที่กำลังดึงผมหลี่เหลียนฮวาอยู่แล้วทุ่มไปข้างหน้า

ต่างฝ่ายต่างชุลมุนตะลุมบอนกันได้สักพัก เมื่อกลุ่มเด็กยักษ์เห็นว่าจวนเจียนจะแพ้สู้ไม่ได้ก็ต่างพากันหนีไป

สภาพของทั้งเด็กชายผู้นี้ แม้จะดูมอมแมมซอมซ่อ แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้ว เขาคือเด็กที่หลี่เหลียนฮวาเจอเมื่อครั้งก่อน นางพยุงตัวเขามานั่งอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ใหญ่ ถามว่าเขาเจ็บปวดตรงไหน มีบาดแผลอะไรหรือไม่ตามความเคยชิน

“ข้าเจ็บเล็กน้อย ทนได้” เขาตอบกลับมา

“เกิดเรื่องอันใด ทำไมคนพวกนั้นทำเจ้าเช่นนี้” นางถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่รู้ พวกนั้นทำแบบนี้ตลอด” เขาตอบกลับอย่างใส่ซื่อ

“เฮ้อ เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเองบ้างนะ มิเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นจะมารังแกเจ้าอยู่เรื่อยไป” หลี่เหลียนฮวารู้สึกสงสารเขาจับใจ

“ตายแล้วคุณหนู” เสียงแม่บ้านจางอุทานด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามคุณหนูทัน

เอ่อ สภาพตอนนี้ จากคุณหนูกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่ ทั้งหน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน แม่บ้านจางต้องตกใจมากแน่ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจก่อนรีบบอกให้นางหายกังวลใจ

“แม่บ้านจาง เจ้าช่วยพาเด็กคนนี้ไปทำแผลที่บ้านได้หรือไม่”

“แต่คุณหนู...”

“เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง กลับจวนกันก่อนเถอะ” นางทำเสียงอ้อนก่อนหันไปบอกเด็กผู้นั้น

“กลับจวนกับข้า ไปทายา จะได้หายเจ็บ”

เขาพยักหน้าตอบกลับแทนคำพูด แล้วเดินตามนางกลับจวน

“แม่บ้านจาง เรื่องนี้ห้ามให้ท่านพ่อรู้นะ เห็นไหม ข้าไม่เป็นอะไรเลย”

“แต่คุณหนู อย่างไรก็ต้องแจ้งนายท่านนะเจ้าคะ”

“ไม่ได้ ท่านพ่อจะต้องดุพวกเขาแล้วก็เป็นห่วงข้ามากแน่ ๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” หลี่เหลียนฮวาพยายามหว่านล้อมแม่บ้านสุดกำลังเพื่อไม่ให้เรื่องถึงหูใต้เท้าหลี่

“เจ้าค่ะ คุณหนู” นางตอบรับแล้วหันไปหาอาเฉินกับเสี่ยวจิ่ว สองพี่น้องผู้เป็นลูกของนางและเด็กผู้นั้นที่มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะทายาให้ทั้งสามพลางดุไปด้วย

หลี่เหลียนฮวามองดูเขา จู่ ๆ นึกได้ว่าเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน หน้าตาท่าทางคลับคล้ายคลับคลา นางจึงเอ่ยปากถามชื่อแซ่เขา

“เจ้าชื่ออะไร บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด”

“ท่านยายเรียกข้าว่าเสี่ยวหาน ท่านยายไม่อยู่แล้ว ข้าอยู่บ้านคนเดียว หลังหมู่บ้านทางโน้น”

“ทำแผลเสร็จแล้ว เจ้ากลับบ้านดี ๆ ถ้าเจอเจ้าพวกนั้นกลับมาที่นี่นะ นี่ขนม ข้าว พอให้เจ้าอิ่มไปหลายมื้อ หากเจ้าหิวมาที่นี่นะ” นางพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ให้คนไปส่งเขาได้หรือไม่ แม่บ้านจาง”

“เจ้าค่ะ คุณหนู”

หลังจากเสี่ยวหานกลับไปหลี่เหลียนฮวาหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ

“อาเฉินวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ส่วนจิ่วเอ๋อร์ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัว” หลี่เหลียนฮวาพูดกับทั้งสองเหมือนเป็นผู้ใหญ่ สร้างความฉงนใจให้กับแม่บ้านจางอีกครา

“ทานข้าวเย็นกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” นางรีบพูด

หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้ว นางก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะรู้สึกเมื่อยเนื้อตัวจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อกลางวัน

หลี่เหลียนฮวาเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาราระยิบระยับประดับฟ้า ไม่มีแสงไฟจากที่ใดรบกวน

นางนึกถึงเสี่ยวหานและเรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้

เสี่ยวหาน เสี่ยวหานเหรอ หน้าตาแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้ เสี่ยวหาน เจ้าใช่คนเดียวกับเด็กคนนั้นหรือไม่นะ ใช่หรือไม่แล้วอย่างไร ครั้งนี้ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอ๋ย หลี่เหลียนฮวา เห็นทีการได้ฝันเรื่องนี้อีกครั้งจะสามารถช่วยเสี่ยวหานได้ เรื่องราวครานี้จะต้องเปลี่ยนไป ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เสี่ยวหาน

หลังจากคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมุ่งมั่น หลี่เหลียนฮวาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป

Related chapters

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.2 ดอกโบตั๋นสีขาว

    ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขา

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.3 ฤดูหนาวที่เวียนมาอีกครา

    หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.0 บทเริ่มต้นของโชคชะตา

    ต้นไม้ยอดหญ้าที่เริ่มผลิใบในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา สถานที่แห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยมาพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว ร้านรวงริมถนนทางด้านขวาเริ่มประดับดอกไม้หลายหลากสีและตกแต่งบริเวณร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าหลิวลี่เซียง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปีสาม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินเล่นเที่ยวชมธรรมชาติและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เธอคิดว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะออกไปเดินเล่นแต่เช้าในสวนแห่งนี้ แล้วตอนขากลับค่อยแวะซื้อหนังสือมาอ่านสักเล่ม แม้ว่าในห้องจะมีหนังสือที่ดองเก็บไว้มากมายก็ตามขณะเดินเล่นอยู่รอบนอกสวน ท้องฟ้าที่แจ่มใสตั้งแต่ช่วงเช้ากลับมีเค้าลางก้อนเมฆเริ่มก่อตัว สายลมพัดพากลิ่นไอดินมาตรงที่หลิวลี่เซียงยืนอยู่ เธอจึงเดินจ้ำอ้าวไปร้านหนังสือในซอยก่อนเม็ดฝนจะโปรยปรายลงมาขออภัย ร้านอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราวฝนเม็ดใหญ่เริ่มหล่นกระทบพื้น เธอควานหาร่มพับในกระเป๋าก่อนนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่หอพัก พลันเหลือบเห็นแสงสลัวจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จึงตัดสินใจไปหลบฝนในร้านแห่งนี้“มอคค่าเย็นเพิ่มหวานหนึ่งแก้วค่ะ”หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เธ

Latest chapter

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.3 ฤดูหนาวที่เวียนมาอีกครา

    หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเองดี ๆ”“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นนอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เร

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.2 ดอกโบตั๋นสีขาว

    ใต้เท้าหลี่พาหลี่เหลียนฮวาเดินมาที่ศาลาข้างเรือน ปกติแล้วทั้งสองคนจะชอบมานั่งเล่นที่ศาลานี้ยามว่างอยู่บ่อย ๆ ใต้เท้าหลี่ชอบสอนบุตรสาวเขียนอักษร ทานขนมหวานและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ฟัง ต่างจากบุตรสาวบ้านอื่น ๆ ที่เรียนเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม“เหลียนฮวา วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อของเจ้า” ใต้เท้าหลี่กล่าว“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับแม้จะรู้ว่าต้องเขียนเช่นไร“ดีมาก เจ้าช่างมีพรสวรรค์ อยากเขียนอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยปากชมบุตรสาว“ชื่อของท่านพ่อ จิ่วเอ๋อร์ อาเฉิน แม่บ้านจาง เสี่ยวหานเจ้าค่ะ” นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว“อื้ม เสี่ยวหานคือผู้ใดกัน เจ้ารู้จักเขาตอนไหน”“เสี่ยวหาน เด็กคนนั้นที่ข้าให้ถังหูลู่เจ้าค่ะ ข้าเจอเขาเมื่อวันก่อน ข้าบอกเขาว่าถ้าหิวให้มาที่จวน”หลังจากนั้น หลี่เหลียนฮวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบางส่วน ตัดส่วนที่เกิดการยื้อแย่งชุลมุนกันออกไป“ดี ๆ จวนเรามีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้เขา หากเจ้าถือว่าเขา

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.1 พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์

    “คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องห

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 1.0 บทเริ่มต้นของโชคชะตา

    ต้นไม้ยอดหญ้าที่เริ่มผลิใบในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา สถานที่แห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยมาพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว ร้านรวงริมถนนทางด้านขวาเริ่มประดับดอกไม้หลายหลากสีและตกแต่งบริเวณร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าหลิวลี่เซียง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปีสาม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินเล่นเที่ยวชมธรรมชาติและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เธอคิดว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะออกไปเดินเล่นแต่เช้าในสวนแห่งนี้ แล้วตอนขากลับค่อยแวะซื้อหนังสือมาอ่านสักเล่ม แม้ว่าในห้องจะมีหนังสือที่ดองเก็บไว้มากมายก็ตามขณะเดินเล่นอยู่รอบนอกสวน ท้องฟ้าที่แจ่มใสตั้งแต่ช่วงเช้ากลับมีเค้าลางก้อนเมฆเริ่มก่อตัว สายลมพัดพากลิ่นไอดินมาตรงที่หลิวลี่เซียงยืนอยู่ เธอจึงเดินจ้ำอ้าวไปร้านหนังสือในซอยก่อนเม็ดฝนจะโปรยปรายลงมาขออภัย ร้านอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราวฝนเม็ดใหญ่เริ่มหล่นกระทบพื้น เธอควานหาร่มพับในกระเป๋าก่อนนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่หอพัก พลันเหลือบเห็นแสงสลัวจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จึงตัดสินใจไปหลบฝนในร้านแห่งนี้“มอคค่าเย็นเพิ่มหวานหนึ่งแก้วค่ะ”หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เธ

DMCA.com Protection Status