เมื่อควบม้ามาถึงเรือนเฟยเฟิ่ง หิมะที่หยุดตกไปก่อนหน้ากลับโปรยปรายลงมาอีกหน มีทหารมารออยู่ภายในห้องโถง เพื่อรอนางกลับมาจริง ๆ เผิงฉือถูกสั่งให้เตรียมห่อผ้าเอาไว้ล่วงหน้า หลินซือเยว่สั่งให้นางเย็บห่อผ้าแบบสมัยใหม่ เป็นเป้ผ้าขนาดใหญ่ใส่ของได้เยอะ แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือเผิงฉือกลับเตรียมเป้ของตัวเองเอาไว้ด้วย
“คุณหนูไปไหนข้าไปด้วยเจ้าคะ”
“ป้าเผิง การถูกเนรเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่อาจรู้ได้”
“ข้าไม่กลัว ข้าเสียครอบครัวไปหมดแล้ว ที่มีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะคุณหนูนะเจ้าคะ หากไม่มีคุณหนูข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” เผิงฉือตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“ป้าเผิงท่านคิดดีแล้วหรือ”
“ข้าคิดดีแล้วเจ้าค่ะ”
หลินซือเยว่ไม่อาจฝืนใจผู้อื่นได้ นางหันไปมองรอบกาย “แล้วหลินอ้ายล่ะ”
“หลินอ้ายมีสัญญาซื้อขายตัวกับตระกูลหลิน ยังไงก็ต้องถูกเนรเทศไปกับตระกูลหลินเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันนี่แหละ”
เสื้อกันหนาวอย่างอุ่นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ ผ้าห่มอย่าหนากับของใช้บางอย่าง หลินอ้ายเป็นคนหอบหิ้วตามไปด้วย ทหารได้ตรวจตราเรือนเฟยเฟิ่ง ไม่พบว่ามีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว นั่นเพราะหลินซือเยว่ให้เผิงฉือนำไปขาย และเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินให้หมด เพื่อที่จะได้เก็บซ่อนเอาไว้กับตัวได้ง่าย เหลือเงินไม่กี่สิบตำลึงพกติดใส่ถุงเงินไว้ เพื่อให้พวกทหารได้ยึดเอาไปพอเป็นพิธี
คุกเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาในทันที หลังจากหลินซือเยว่ถูกนำตัวเข้ามาในห้องขัง นางกวาดสายตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะทำการคำนับแก่ฮูหยินเฒ่า นายท่านใหญ่กับฮูหยิน และบิดามารดาของนาง นางคำนับได้ถูกคน โดยไม่ต้องให้ใครแนะนำ
ฮูหยินเฒ่ากำลังจะเอ่ยถาม แต่เสียงลูกสะใภ้คนรองของนางก็ดังกลบขึ้นเสียก่อน
“เจ้าคือเยว่เอ๋อร์หรอกหรือ” เถียนฮูหยินไม่คิดว่าจะได้พบเจอบุตรสาวตัวเองในคุกเช่นนี้
หลินซือเยว่หันมามองผู้เอ่ยถามตนเอง นางเอียงหน้าลงเล็กน้อยคล้ายประเมินว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “เจ้าค่ะท่านแม่” นางเอ่ยเสียงเรียบ มองสบสายตากับบิดาเล็กน้อย เห็นท่านมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แทบไม่กล้ามองหน้านางด้วยซ้ำ
เถียนฮูหยินสะท้านในใจขึ้นมา นางจำบุตรสาวแทบไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเองในทันที “เยว่เอ๋อร์ลำบากเจ้าแล้ว มานี่มา มาทำความรู้จักกับน้องสาวของเจ้า นี่คือซูฮวา” เถียนฮูหยินดึงมือของบุตรสาวคนโต มาทำความรู้จักกับบุตรสาวคนเล็กของตนเอง
“นี่คือป้าเผิงเจ้าค่ะ นางเลี้ยงดูข้ามาได้สิบปีแล้ว” หลินซือเยว่ผายมือไปทางเผิงฉือ
“เอ่อ ข้า ขอบคุณท่านมาก” เถียนฮูหยินน้ำตาคลอเบ้าในทันที “ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจเลี้ยงดูบุตรสาวของตนเองได้ ลำบากท่านแล้ว”
เผิงฉือมองออกถึงความเสียใจที่อยู่ในแววตาของเถียนฮูหยิน “เป็นวาสนาของข้ามากกว่า”
“ท่านไม่ใช่คนตระกูลหลินไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้” หลินเต๋อมองว่านางเป็นคนนอก
เผิงฉือยิ้มอ่อนให้เขา “คุณหนูไปไหนข้าไปด้วย แม้ตายก็ไม่แยกจากกันเจ้าค่ะ”
คำตอบเช่นนี้ทำให้ทุกคนหน้าถอดสีกันหมด ช่างเป็นคนนอกตระกูลที่รักใคร่หลินซือเยว่ยิ่งนัก
คนอื่น ๆ ในตระกูลต่างลอบมองพวกนางเงียบ ๆ หลินจื่อรั่วหันไปทางมารดาแล้วกระซิบถามเสียงค่อย “นางเป็นคนปัญญาอ่อนไม่ใช่หรือท่านแม่”
หวางฮูหยินเองก็ตอบบุตรสาวไม่ได้เหมือนกัน
หลินซือเยว่ไม่ได้สนใจผู้อื่นมากนัก ภายในห้องขังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความหดหู่ สิ้นหวัง ไหนเลยจะมีใครมาสนใจคนอย่างนางได้ สงสารก็แต่วิญญาณสองดวงในเรือนเฟยเฟิ่ง ยังไม่ทันจะได้ช่วยตามหาคน ก็มีเหตุให้ต้องออกจากเมืองหลวงไปเสียแล้ว
“เอามานี่ !” ทหารนายหนึ่งเข้ามาแย่งห่อผ้าห่มจากมือของหลินอ้าย
“เอาไปไม่ได้นะ นี่ของคุณหนูรอง !” หลินอ้ายยื้อเอาไว้สุดชีวิต
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์นำของมีค่าติดตัวไปด้วย”
“นี่เรียกของมีค่าได้อย่างไรพี่ชาย เป็นเพียงผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวเท่านั้น ช่วงนี้หิมะตกทุกวันอีกด้วย หากไม่มีผ้าห่มเสื้อกันหนาว พวกเราจะรอดตายกันได้อย่างไร”
“นั่นมีเป็นเรื่องของเจ้า โอ๊ย !” ทหารผู้นั้นรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มเข้าที่ฝ่ามือ จึงรีบปล่อยห่อผ้าในทันที “เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ”
“พี่ชายข้ายังไม่ได้ทำอะไรท่านเลยนะ” หลินอ้ายเองก็เกิดกลัว รีบวางห่อผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวลงบนพื้น
ทหารนายนั้นยื่นมือไปแตะห่อผ้าอีกหน เขาสะดุ้งด้วยความเจ็บรีบชักมือกลับ ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ใครเล่นตลกกับเขาก็ไม่รู้ หรือว่ามีสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นในห้องขังแห่งนี้ รีบเดินถอยหลังออกจากห้องขัง ปิดประตูลงกลอนแล้วรีบเดินจากไป
หลินอ้ายคลานไปหยิบห่อผ้าขึ้นมา นำไปวางไว้ด้านข้างกับเผิงฉือ ตัวเขาเองก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
หลินซือเยว่ล้วงห่อผ้าหยิบเสื้อกันหนาวแบบบุนวม เป็นชุดที่นางสั่งตัดขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งได้มอบให้เผิงฉือกับหลินอ้ายได้สวมใส่ไว้ก่อนหน้า หากมองผิวเผินคงเป็นชุดธรรมดาทั่วไป แต่ด้านในนั้นนางอัดแน่นไปด้วยปุยนุ่นอย่างหนา นางหยิบชุดที่เป็นของตัวเองออกมา
“สวมเอาไว้ เสื้อของเจ้าบางนัก” นางคลุมให้น้องสาวที่นั่งปากสั่นอยู่ด้านข้าง
“ขอบคุณพี่รอง” หลินซูฮวาไม่คิดว่านางจะได้รับเสื้อกันหนาวแสนอุ่นจากพี่สาวคนนี้
หลินเฉินมองหน้าหลินจางเหว่ยบุตรชายของตน สลับกับมองไปยังผ้าห่มผืนนั้น ก่อนหันไปมองหลานชายวัยห้าขวบเจ็ดขวบ ผู้ใหญ่ยังพอทนไหวแต่เด็กทั้งสองยังเล็กนัก “เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะแบ่งผ้าห่มให้หลาน ๆ ได้หรือไม่”
เมื่อนายท่านใหญ่เป็นคนเอ่ยขอ ทุกคนจึงมองไปทางหลินซือเยว่กันหมด พร้อมกับเฝ้ารอว่านางจะมอบให้หรือไม่ แต่นางกลับทำนิ่งเฉยไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา
หลินเต๋อผู้เป็นบิดาคิดว่านางไร้ผู้สั่งสอน ไม่รู้จักการแบ่งปันผู้อื่น “เยว่เอ๋อร์มอบผ้าห่มให้หลานชายไปเถอะ”
หลินซือเยว่หันไปมองหน้าบิดาของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้าแทบไม่กล้าพูดกับนางตรง ๆ ครั้นพี่ชายของตนเอ่ยปากขอผ้าห่ม เขาถึงยอมเปิดปากพูดกับนาง
หลินเต๋อ “...?” เขาไม่เข้าใจเหตุใดบุตรสาวจึงมองตนเองด้วยสายตาผิดหวังเช่นนี้
“ป้าเผิงให้ผ้าห่ม” นางเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็หลับตาพิงลูกกรงไป
เผิงฉือรื้อผ้าห่มออกมามอบให้เด็กน้อยทั้งสองคน นึกเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะระหว่างทางต้องลำบากกว่านี้เป็นแน่ มองไปรอบ ๆ ตัว พบว่าทุกคนล้วนสวมใส่ชุดหน้าหนาวอยู่ก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นอยู่ภายในห้องขังจึงไม่มีปัญหาใด แต่ยามได้ออกเดินทางข้างนอกนั่น จะมีคนรอดไปถึงชายแดนสักกี่คนกัน ยิ่งมีทั้งเด็กทั้งคนชราเช่นนี้ด้วย
จีหวังลี่มารดาของเด็กทั้งสองคนหันไปทางบ้านรอง หลินซือเยว่หลับตาไม่สนใจ จึงเอ่ยผ่านบิดามารดาของนางแทน “ขอบคุณคุณหนูรอง” นางรับผ้าห่มมาจากเผิงฉือ แล้วจัดการปูลงบนพื้น ให้บุตรชายทั้งสองได้นอน แล้วพับทบขึ้นเพื่อคลุมตัวให้
หลินเต๋อกับเถียนฮูหยินทำเพียงพยักหน้าให้นาง ฮูหยินเฒ่ามองเหตุการณ์ภายในห้องขังอย่างเงียบ ๆ รู้สึกพูดไม่ออกกับภาพลักษณ์ของหลินซือเยว่ คนตระกูลหลินไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางหายจากอาการปัญญาอ่อนแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขา ไม่ได้ใส่ใจในตัวของนางแม้แต่น้อย กระทั่งข่าวคราวยังไม่คิดถามไถ่ถึง พอเกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้ กลับต้องดึงนางเข้ามาพัวพันด้วย นางไม่เคยได้รับความยุติธรรมมาก่อน หญิงชราจึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดคุยกับหลินซือเยว่ได้ เพราะไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรนั่นเอง
ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างลำบากยากเย็น ครั้นตื่นเช้าขึ้นมาทุกคนก็ถูกต้อนออกมาด้านนอกคุกหลวง ตั้งแถวเดินขบวนเนรเทศออกจากเมืองหลวงไป หลินซือเยว่มองดูสภาพอากาศของวันนี้ นางหยั่งรู้เรื่องดินฟ้าอากาศ จึงรู้ว่าวันนี้ยังคงมีหิมะตกแบบบางเบา หากแต่มีเครื่องนุ่งห่มหนาหน่อย ก็ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
“เหตุใดถึงมีผู้อื่นร่วมเดินทางด้วยเล่า” หลินเฉินเอ่ยถามทหารที่คุ้มกันขบวนเนรเทศตรงหน้า
“มีนักโทษอีกกลุ่มความผิดร้ายแรงต้องโทษเนรเทศ เลยให้เดินทางไปพร้อมกันในคราวเดียว” นายทหารตอบ แล้วยกมือขึ้นให้ทุกคนตรวจตราขบวนให้พร้อม
หลินเฉินหันไปทางน้องชายและลูกชาย “คนพวกนั้นถูกล่ามโซ่ไว้ เกรงว่าจะเป็นพวกอันตราย บอกทุกคนให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นในขบวนเด็ดขาด”
“ขอรับท่านพ่อ” หลินจางเหว่ยหันไปกำชับภรรยาของตน ให้บอกต่อกับบ่าวรับใช้ด้านหลัง
“ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่” หลินเต๋อเองก็ส่งต่อเรื่องนี้ให้คนในครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่ในขบวนจนครบ
หลินเฉินยังมีสหายอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาต่างเตรียมของใช้มามอบให้ระหว่างทาง แต่ก่อนหน้าต้องจ่ายค่าน้ำชาให้แก่ทหารที่คุ้มกันขบวนไปด้วย ลูกสะใภ้ของเขาจีหวังลี่ นั้นมีบ้านเดิมอยู่ในเมืองหลวง ทางบ้านรู้ว่านางถูกจับกุมกะทันหัน ไม่อาจนำของมีค่าติดตัวไปได้ จึงได้ให้คนนำของกินของใช้และตั๋วเงินมามอบให้ระหว่างทาง
เนื่องจากทหารได้รับตั๋วเงินจำนวนมาก จึงทำเป็นมองไม่เห็นการส่งมอบของใช้เหล่านี้ การเดินทางไปชายแดนใช้เวลาปกติครึ่งเดือน แต่เนื่องจากเดินทางในฤดูหนาว อีกทั้งหิมะยังตกไม่หยุดอยู่แบบนี้ พวกเขาจึงไม่รังเกียจที่จะรับสินบนเอาไว้ “ท่านพ่อพวกเราไม่มีใครนำของมาให้บ้างหรือ” หลินซูฮวาเห็นคนบ้านใหญ่ได้รับของมากมาย แถมยังแบกไว้บนหลังกันแทบทุกคน อีกทั้งยังมีรถม้าให้ด้วยอีกสามคัน เกรงว่าด้านในรถม้าจะมีอาหารแห้งบรรจุเอาไว้เต็มคันรถ มีเพียงครอบครัวของนาง ที่ไม่มีใครนำของมามอบให้ นอกจากพี่รองของนางที่คนติดตามสองคน มีกระเป๋าผ้าแปลก ๆ อยู่บนหลัง
หลินเต๋อ “...?” สหายของเขานั้นย่อมมี แต่เป็นสหายกินหาใช่สหายตายไม่
“ท่านพี่ช่างเลือกคบเก่งจริง ๆ” เถียนฮูหยินอดประชดสามีตัวเองไม่ได้
หลินซือเยว่ถึงกับอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนหน้านางนึกภาพบิดามารดาไม่ออกด้วยซ้ำ พอได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันเช่นนี้ จึงพอจะมองออกอยู่บ้าง บิดาของนางนั้นค่อนข้างไร้ความสามารถ และกลัวภรรยายิ่งนัก
“พวกทหารคุ้มกันมีอาหารให้กับทุกคนเพียงพออยู่แล้ว หากไม่พอจริง ๆ ข้าไปขอพี่ใหญ่มาให้พวกเจ้าสามแม่ลูกก็ได้”
หลินซือเยว่ “...?” บิดาผู้โง่เขลาของนางคิดง่ายเกินไป
เถียนฮูหยิน “พี่ใหญ่ของท่านมีถึงสามภรรยาสองบุตรหลานอีกสี่คน ยังต้องดูแลท่านแม่ด้วย ของแค่นั้นมีหรือจะเหลือตกมาถึงข้ากับลูก ๆ ได้”
“เจ้าก็อย่าพูดมากไปนักเลย เอาไว้ถึงยามนั้นก่อนค่อยคิดก็แล้วกัน”
เผิงฉือหันไปมองหลินอ้ายเล็กน้อย เคราะห์ดีที่นางกับหลินอ้ายติดตามหลินซือเยว่ ตั๋วเงินราวสี่พันตำลึงนั้น คุณหนูของนางเก็บไว้เองสามพันตำลึง ที่เหลือฝากไว้ที่นางเก้าร้อยตำลึง และอีกหนึ่งร้อยตำลึงให้ไว้ที่หลินอ้าย หลินซือเยว่ให้เหตุผลว่า การกระจายเงินเก็บไว้นั้น เผื่อฉุกเฉินเกิดเรื่องร้ายกับคนใดคนหนึ่งเข้า ที่เหลืออีกสองคนก็ยังพอช่วยบรรเทาได้ หลินอ้ายนั้นไม่อาจมอบหน้าที่ความรับผิดชอบให้ได้มากนัก จึงให้เก็บไว้แค่หนึ่งร้อยตำลึงเป็นพอ
10 : ออกเดินทางท่ามกลางหิมะ จวนแม่ทัพโจว หลังจากหลินซือเยว่จากไปแล้ว ช่วงดึกท่านหมอเจินได้เดินทางกลับมาพอดี เขาได้ตรวจดูอาการของโจวจื่อถง ปรากฏว่าร่างกายของชายหนุ่มดีขึ้นถึงสามส่วน ชุยเหลียงรีบนำกระดาษที่หลินซือเยว่ให้ไว้มอบให้เขาตรวจดู หลังจากนั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ท่านหมอเจินดวงตาฉายแววยินดีออกมา “นี่เป็นหมอเทวดาท่านไหนกัน” “ไม่ใช่หมอเทวดาที่ไหนหรอก เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น” “แล้วนางอยู่ที่ไหน ข้าต้องการหารือเรื่องรักษากับนาง” ชุยเหลียง “ท่านหมอเจินนี่หมายความว่า” “เจ้าโง่นัก อาการของคุณชายใหญ่ดีขึ้นหลังนางฝังเข็มให้ นั่นหมายความว่านางรักษาได้ผล แล้วรูปแบบการฝังเข็มเช่นนี้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าสามารถฝังเข็มรักษาแบบนี้ได้” ชุยเหลียงได้รับคำยืนยันเช่นนี้ เกิดนึกเสียดายในโอกาสรักษาของคุณชายใหญ่ จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านหมอเจินได้รับรู้ หลังฟังจบท่านหมอเจินมีเพียงคำพูดเดียว คือน่าเสียดายจริง ๆ แต่ว่าเขายังมีความหวังอยู่ เพราะหลินซือเยว่ได้แนะนำวิธีการรักษาไว้อย่างละเอียด เพ
11 : ช่วยจูฮูหยิน เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ทหารได้ต้อนให้คนในขบวนเดินทางต่อ ตอนนั้นบิดาของหลินซือเยว่ไปปลดทุกข์อยู่ รถม้าของนางจึงรั้งอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย ผ่านไปราวสองเค่อคนตระกูลหยางก็ร่นมาอยู่ตรงหน้าของพวกนาง เพราะมีพวกเขานั่งขวางหน้า รถม้าของบ้านรองจึงต้องหยุดตามไปด้วย “พี่ชายฮูหยินของพวกข้าไม่ไหวแล้ว ท่านโปรดหยุดพักก่อนเถอะ” นายทหารผู้หนึ่งเอ่ยขอร้องกับทหารที่คุ้มกันขบวน “ได้อย่างไร หากหยุดพัก วันนี้พวกเราไปไม่ถึงที่หมายแน่ พวกเจ้าอยากตายอยู่กลางหิมะนี่หรืออย่างไร” “เช่นนั้นหยุดพักสักครู่ได้หรือไม่” บุรุษผู้นี้คืออดีตแม่ทัพหยางห่าวอู๋ และผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น คือจูฮุ่ยชิวภรรยาเอกของเขา “ไม่ได้ ! รีบลุกขึ้นเร็วเข้า” “เจ้านี่มัน !” “ห่าวหรานอย่าก่อเรื่อง !” หยางห่าวหรานชะงักหลังได้ยินเสียงบิดา กำหมัดเข้าหากันแน่นกัดฟันเสียงดังกรอด หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงได้เอ่ยออกไป “พี่ชายท่านนี้มารดาของข้าป่วยหนัก ได้โปรดช่วยเหลือด้วยเถอะ” ขอร้องอย่างไรถึงเหมือนออกคำสั่งก็ไม่ปาน หลินซือเยว่นับนิ
12 : ไปไม่ถึงที่พัก สองพ่อลูกตระกูลหยาง อยู่ใกล้กับครอบครัวของหลินเต๋อมากที่สุด เขาได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านหม่าเอ่ยอย่างชัดเจน และได้ยินหลินซือเยว่ตอบโต้ คล้ายไม่สนใจไยดีผู้เป็นย่าของตนเอง “นางทำไม่ถูกจริง ๆ นางควรมอบยาให้ท่านย่าของนาง” หยางห่าวอู๋เอ่ยเบา ๆ กับบุตรชาย หยางห่าวหรานไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสตรีอายุสิบห้าสิบหกปีผู้นี้ จะหาญกล้าต่อกรกับคนในตระกูลได้ ทำให้เขาต้องหันกลับมามองนางเสียใหม่ “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” เขาก้มหน้าลงมองมารดาที่นอนลืมตาอยู่ข้างบิดา มองผ้าห่มหนาผืนหนึ่งที่ได้รับมาจากบนรถม้า จูฮูหยินขยับตัวเล็กน้อย “ข้าดีขึ้นแล้วล่ะยาคุณหนูหลินใช้ได้ดีมาก นางยังมอบให้ข้าติดตัวไว้ด้วย ผ้าห่มนี่นางก็ยกให้ข้า” ขวดยาสีขาวถูกหยิบออกมาจากสาบเสื้อ มอบให้สองพ่อลูกดู หยางห่าวหรานหยิบออกมาเปิดจุกขวด ดมกลิ่นยาที่อยู่ด้านใน “เป็นยาลดไข้จริงด้วย” “เจ้านอนพักต่อเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทางต่อ” หยางหาวอู๋ลูบเส้นผมของภรรยาอย่างเบามือ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ ก่อนเลื่อนตัวลงไปนอนบนพื้นด้านข้างกับภรรยา
13 : หยางห่าวหรานป่วยจนหมดสติ หลินซือเยว่เห็นจูฮูหยินเดินตรงมาทางตัวเอง ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก “คุณหนูหลินเจ้าช่วยไปดูลูกชายของข้าได้หรือไม่ เขาไม่สบายจนหมดสติไปแล้ว” มือไม้สั่นเทาไปหมดไม่รู้ว่าด้วยความหนาวเย็น หรือว่าความหวาดกลัวเรื่องความเป็นตายของบุตรชาย “พี่ฮุ่ยชิว” เถียนฮูหยินรีบลงมาจากรถม้า แล้วเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ หลินซือเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ท่านแม่ท่านนับญาติกับคนแปลกหน้าง่ายเกินไปไหม “เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะช่วยลูกชายของท่านป้าฮุ่ยชิวได้หรือไม่” ไม่ทันไรข้าก็มีป้าเพิ่มมาอีกคนแล้วรึ “ข้าขอไปดูก่อน ป้าเผิงเอากระเป๋าของข้ามาด้วย” “เจ้าค่ะคุณหนู” หยางห่าวอู๋ให้คนในตระกูลหยางเดินทางไปก่อน เขากับภรรยาอยู่รอเฝ้าลูกชายเอง คราวแรกไม่มีใครยอมขยับตัว ทหารที่คุ้มกันนับสิบคนจึงชักดาบออกจากฝัก เห็นดังนั้นพวกเขาไม่อาจสร้างปัญหา ให้แก่แม่ทัพกับรองแม่ทัพของตนเองได้ “ไม่ใช่ว่าข้าบอกแล้วรึว่าให้อยู่ดูคนป่วยได้แค่สองคน” จี๋ไห่ผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินเข้ามาขวางหน้าของหลินซือเยว่
14 : สวดส่งวิญญาณ ฮูหยินเฒ่าได้ยินว่าหลานสาวบ้านรองของตน กำลังจะทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ก็โมโหจนหน้าสั่น “นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้ารองกับเมียไม่คิดห้ามนางเลยรึ” “เห็นว่าเพราะคุณหนูรองอยู่อารามเต๋ามานาน เลยเรียนรู้เรื่องพิธีกรรมของเต๋ามาด้วย นางบอกว่าสามารถสวดส่งวิญญาณได้ขอรับ” พ่อบ้านหม่ารายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ เป็นสตรีในตระกูลใหญ่กลับต้องไปสวดส่งวิญญาณ ราวกับนักพรตเต๋าก็ไม่ปาน “เหลวไหลสิ้นดี !” หลินเฉินส่ายหน้าไปมา แต่พอมองสถานการณ์ในตอนนี้ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตรอดไปได้ เรื่องสมควรหรือไม่นั้น คงไม่สลักสำคัญอีกต่อไป “บุตรสาวน้องรองผู้นี้เรียนอะไรไม่เรียน ดันไปเรียนวิชาต้มตุ๋นมา น่าขายหน้าจริง ๆ” หวางฮูหยินเย้นหยันบ้านรองดัง ๆ ตั้งใจให้คนอื่นในตระกูลหลินได้ยิน “นั่นสิท่านแม่ พวกบ่าวไพร่ก็หูตามืดบอด ยอมทำตามไปได้” หลินจื่อรั่วไม่ถูกชะตากับหลินซือเยว่อยู่ก่อนหน้าแล้ว เหตุเพราะเรื่องแต่งงาน ท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจสมหวังได้ เป็นเพราะตัวซวยตัวนี้จริง ๆ บ่าวไพร่บางคนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ต่างก็เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย พวกเขาไม่
15 : จี๋ไห่ได้รับข่าวร้าย เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอฉือ จี๋ไห่ได้รับข่าวร้ายทันที อนุภรรยาที่รักของเขาคลอดยาก นางเจ็บท้องถึงสองวันสองคืน พอคลอดออกมาได้ กลับตกเลือดอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเอ่ยแนะนำให้มาหาหลินซือเยว่ นางรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจช่วยเหลืออนุภรรยาของเขาได้ จี๋ไห่ต้องหลบสายตาผู้คนมาหาหลินอ้าย ให้เขาส่งข้อความหาหลินซือเยว่ให้มาพบเขาที เหตุเพราะเหล่านักโทษต้องถูกคุม อยู่ในลานกว้างของวัดใหญ่ประจำอำเภอ ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เอง “เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญนางออกมาที” นอกจากใช้ป้ายชื่อเชิญหลินซือเยว่แล้ว ยังต้องการให้นายทหาร ได้เห็นป้ายผ่านทางนี้ด้วย “บอกว่าข้ารออยู่ด้านข้างวัดใหญ่ใต้ต้นพุทราป่า หลินอ้ายเหลือบมองป้ายชื่อเล็กน้อย ก่อนจะรับมาถือไว้แล้วหันหลังไปหาเผิงฉือ ให้นางไปรายงานเรื่องนี้กับหลินซือเยว่ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะเจ้าคะ คนแบบนั้นไม่คู่ควร” เผิงฉือไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร เขาไม่ได้เลวจนให้อภัยไม่ได้ ป้าเผิงเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า” หลินซือเยว่เอ่ยแล้วรอให
16 : ชายแดนเมืองเหลียง ซุนต้าหลงได้ขอกำลังทหารจากอำเภอฉือเพิ่ม เนื่องจากคนของเขาได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ล้มตายก็นับสิบกว่าคน ก่อนหน้าเขาได้ให้หมอประจำอำเภอ มารักษาเหล่าทหารคุ้มกันแล้ว แต่บางคนไม่สามารถเดินทางต่อได้อีกหลายวัน เขาจำต้องให้หมอรักษานักโทษที่บาดเจ็บ จากการต่อสู้กับโจรป่าด้วย ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้คงได้ตายกลางทางเสียก่อน หากตายเพราะเหตุสุดวิสัยคงไม่เป็นไร แต่เกิดตายเพราะเขาเพิกเฉยไม่รักษาอาการบาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องจะปิดบังเบื้องบนเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีนักโทษนับสิบคนที่บาดเจ็บหนัก เดินทางไกลต่อจากนี้ค่อนข้างอันตราย จึงเพิ่มรถม้าไร้หลังคาสามคันให้คนเหล่านั้นได้นั่งไป ขบวนนักโทษออกเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น อีกทั้งคนตระกูลหยาง ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตรวนอีกต่อไป ในแต่ละวันพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายโดยไร้อุปสรรคใด ทว่าหลังผ่านไปสองวัน คนบาดเจ็บหนักไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ซุนต้าหลงกลับไม่ยอมให้หมอที่ติดตามเขา มาดูอาการให้คนป่วย คนเจ็บหนักนั้นมีทั้งคนตระกูลหลินและตระกูลหยาง ญาติของพวกเขาต่
17 : นางบำเรอในค่ายทหาร เช้าวันต่อมาทหารได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่ มามอบให้เหล่านักโทษที่เพิ่งมาใหม่ เป็นชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบมีปักป้ายชื่อของแต่ละคน พร้อมกับหน่วยที่พวกเขาต้องเข้าไปทำงาน บุรุษนั้นมีตั้งแต่เลี้ยงม้า ดูแลโรงฝึก ขนถ่ายอาวุธ หรือดูแลคลังเสบียง สตรีสูงวัยกับเด็กมีหน้าที่ทำครัวในหน่วยเสบียง ทว่าสตรีที่ยังสาวนั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นนางบำเรอให้แก่ทหารในค่ายจริง ๆ บุตรสาวอนุทั้งสองของหลินเฉินถูกจับแยกกับมารดา พวกนางขวัญเสียจนร้องไห้ วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของท่านย่าของพวกนาง สตรีที่ถูกนำไปเป็นนางบำเรอ ฝั่งตระกูลหลินมีจีหวังลี่ภรรยาของหลินจางเหว่ย อนุทั้งสองคนของหลินเฉิน หลินจื่อรั่ว แล้วก็หลินซือเยว่ ส่วนฝั่งตระกูลหยาง มีอยู่ราวสี่คน “ท่านพ่อข้าไม่ไป ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” หลังรู้ว่าตัวเองได้รับหน้าที่อันใด หลินจื่อรั่วก็กรีดเสียงร้องโวยวายดังลั่นค่ายทหาร “จื่อรั่ว !” หลินเฉินอยากจะเข้าไปช่วยบุตรสาวแทบตาย แต่ถูกหอกของนายทหารขวางเอาไว้ “ท่านพ่อ ! ปล่อยข้า !” ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา เตะเข้าที่ข้อพับเข่าของนาง แล้วสับสันมือลงไปบนต้นคอ ร่า
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา