หลายวันต่อมา
เกิดเหตุร้ายขึ้นที่ประตูวังหลวง มีคนร้ายจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปภายในวังหลัง ทำร้ายพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้จนเกือบสูญเสียเด็กในครรภ์ หลังจับกุมคนร้ายได้บางส่วน พวกมันต่างซัดทอดไปยังที่ปรึกษาเว่ยเว่ย เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
หลินเฉินในยามนั้นปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาด ว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ แต่จดหมายที่อยู่บนตัวของคนร้าย กลับเป็นลายมือของเขาอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก สั่งปลดหลินเฉินออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาเว่ยเว่ย และลงโทษคนตระกูลหลินทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางทั้งหลาย มีราชโองการให้ยึดทรัพย์สินของตระกูลหลินทั้งหมด และเนรเทศคนตระกูลหลินออกไปยังชายแดน ห้ามกลับเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอีกตลอดชีวิต
หลังรับราชโองการ คนตระกูลหลินถึงกับล้มทั้งยืน ไม่ทันได้เก็บข้าวของอันใด ทหารก็บุกเข้ามายึดทรัพย์สินและจับกุมทุกคนไปห้องขัง เสียงร้องไห้ของสตรีบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของบุรุษ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนทั้งตระกูลสามสิบกว่าชีวิต ถูกขังรวมไว้ด้วยกัน ไม่แบ่งแยกชายหญิงแต่อย่างใด พรุ่งนี้พวกเขาก็จะถูกต้อนให้เดินทางออกจากเมืองหลวงไป
“ท่านแม่เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามันไร้ความสามารถ ถูกคนอื่นหมายหัวยังไม่รู้ตัว ทำให้ทุกคนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” หลินเฉินคุกเข่าลงตรงหน้าของมารดา
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เหตุการณ์นี้มีคนวางแผนมาเป็นอย่างดี ปิดทางหนีทีไล่พวกเราจนหมด เป็นคราวเคราะห์ของตระกูลหลินเข้าแล้ว” ฮูหยินเฒ่าดวงตาเหม่อลอยไม่อาจโกรธเคืองบุตรชายของตนเองได้
“คราวเคราะห์หรือ ใช่แล้ว เพราะนางหลินซือเยว่คนนั้น หากนางไม่กลับมาที่เมืองหลวง มีหรือตระกูลหลินจะตกอับเช่นนี้ได้” หวางฮูหยินหันไปมองคนบ้านรองในทันที ทำให้ทุกคนพลอยหันหน้าไปมองพวกเขาด้วย
“ฮูหยินอย่าได้เลอะเลือนไป” หลินเฉินปรามภรรยาของตนเสียงเบา
“เลอะเลือนอันใดกัน ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ นางกลับมาได้ไม่กี่วันตระกูลหลินก็ล่มจมในทันที แล้วนางล่ะเหตุใดถึงไม่ถูกจับกุมตัวมาด้วย ทุกคนในตระกูลหลินอยู่ที่นี่หมด เหตุใดลูกสาวลูกชายของบ้านรองถึงไม่อยู่ที่นี่ด้วยกัน”
คำพูดของหวางฮูหยินเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
“พี่สะใภ้เหตุใดถึงได้มาโยนความผิดใส่คนบ้านรองได้ล่ะเจ้าคะ ความผิดนี้เกิดที่ใครทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ลูกชายข้าอยู่ในกองทัพ เขาเองก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งนายร้อยเหมือนกัน คงเดินทางไปสมทบกับพวกเราที่ปลายทางเลย ส่วนลูกสาวของข้านางก็อยู่ข้างนอก ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ” เถียนฮูหยินไม่คิดว่าพี่สะใภ้ของนางจะเอ่ยถึงหลินซือเยว่ ทั้งที่สมควรให้นางอยู่เงียบ ๆ ในเรือนเฟยเฟิ่งต่อไป
“ได้ชื่อว่าคนตระกูลหลินเหมือนกัน น้องสะใภ้เจ้าจะยกเว้นลูกสาวตัวเองไม่ได้” ลูกกับหลานของนางถูกเนรเทศกันหมด เหตุใดเด็กปัญญาอ่อนนั่นถึงรอดล่ะ เรื่องนี้หวางฮูหยินรู้สึกว่านางไม่ได้รับความยุติธรรมแต่อย่างใด
ตึง ! ตึง !
เสียงดาบเคาะลงบนลูกกรงเหล็ก ทำให้ทุกคนเงียบเสียง นายทหารผู้หนึ่งเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องขัง “เหลือใครที่ยังไม่ถูกจับกุมมา พวกเจ้าอย่าได้โป้ปดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นโทษเป็นจะเปลี่ยนเป็นโทษตายได้ !”
หวางฮูหยินเงยหน้ามองสามี กลับพบว่าเขาส่ายหน้าให้นางเบา ๆ
“ไม่บอกก็ได้ ทหารเตรียมโบยทุกคนคนละยี่สิบไม้ !”
“ไม่นะ ไม่ ! ท่านแม่ท่านรีบบอกพวกเขาไปสิเจ้าคะ” หลินจื่อรั่วเกาะท่อนแขนมารดา ออกแรงเขย่าไปมาด้วยความกลัว นางเพิ่งจะหลุดพ้นจากการหมั้นหมายนั้นมา เหตุใดถึงได้ตกเคราะห์ลำบากเช่นนี้ ตั้งแต่ถูกคุมขังอยู่ที่สองคืน โจวฉีหมิงไม่ได้ส่งคนมาถามไถ่นางเลยสักครั้ง
เถียนฮูหยินจับมือหลินซูฮวาบุตรสาววัยสิบปีเอาไว้แน่น มองสบสายตากับหลินเต๋อผู้เป็นสามี ขอร้องเขาห้ามทุกคนไม่ให้เอ่ยถึงหลินซือเยว่
“เริ่มจากนางก่อน” นายทหารชี้นิ้วไปที่หลินจื่อรั่วเป็นคนแรก
“ไม่นะ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย !”
“หลินซือเยว่ ! นางเป็นลูกสาวของบ้านรอง นางพักอาศัยอยู่นอกจวนที่เรือนเฟยเฟิ่ง” มีหรือเถียนฮูหยินจะยอมให้บุตรสาวถูกโบย
“พี่สะใภ้ !” เถียนฮูหยินกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ เหตุใดไม่ยอมปล่อยลูกสาวผู้น่าสงสารของนางไป
“ไปเอาตัวคนมา !” นายทหารออกคำสั่งในทันที
เรือนเฟยเฟิ่ง
“ป้าเผิงใครกันที่อยากพบข้า”
“เห็นว่าเป็นคนของจวนแม่ทัพโจวเจ้าค่ะ หากคุณหนูไม่อยากพบข้าจะได้ไล่เขาไป”
หลินซือเยว่เตรียมการทุกอย่างพร้อมเอาไว้แล้ว นับจากที่ได้ยินข่าวเรื่องการเนรเทศ นางรู้ว่าตัวเองคงหลีกหนีไม่พ้นเป็นแน่ “ข้าอยากเจอเขา อยากรู้เหตุผลของคนผู้นั้น”
เผิงฉือ “คนผู้นั้น ใครหรือเจ้าคะ”
หลินซือเยว่ไม่ตอบ นางลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่น เดินออกไปยังห้องโถง พบบุรุษรูปร่างกำยำผู้หนึ่งนั่งรออยู่ เพียงเห็นนางเขาก็ลุกขึ้นกำหมัดคำนับ
“คุณหนูหลิน ข้าชื่อชุยเหลียงเป็นคนของคุณชายใหญ่ ผู้ที่เป็นคู่หมั้นของคุณหนูหลินขอรับ”
หลินซือเยว่ผายมือเชิญเขานั่ง “อีกประเดี๋ยวคงมีคนมาจับกุมตัวข้าไปเข้าคุก มีธุระอันใดก็รีบเอ่ยมาเถิด”
ชุยเหลียงไม่คาดว่าเขาจะมาเจอกับสตรีผู้มีบุคลิกเคร่งขรึม อีกทั้งยังดูงดงามถึงเพียงนี้ ไหนเด็กปัญญาอ่อนที่ว่านั่น
หลินซือเยว่เห็นเขามองพิจารณาตนเองนานเกินไป “ข้าหายดีแล้ว”
“เอ่อ...ข้าขออภัยขอรับ” ยิ่งไม่คิดว่านางจะล่วงรู้ความคิดของเขาด้วย “นี่ขอรับคุณชายใหญ่รู้ว่าท่านกำลังลำบาก จึงได้ฝากให้ข้านำตั๋วเงินมามอบให้”
ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงถูกวางไว้บนโต๊ะ แม้แต่เผิงฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินซือเยว่ยกตกใจตามไปด้วย “เหตุใดถึงให้ตั๋วเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ ไม่ได้เกี่ยวดองกันเสียหน่อย” ยิ่งสถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแต่งงาน
“คุณชายใหญ่บอกว่า แม้ไม่ได้จัดพิธีตามกำหนด แต่ว่าคุณหนูหลินก็ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น จึงไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ขอรับ”
หลินซือเยว่เคาะนิ้วบนตั๋วเงินเบา ๆ นางไม่อาจดูดวงชะตาผู้คนได้หากไม่ได้พบหน้ากัน และยิ่งไม่อาจรักษาโรคร้ายได้หากไม่ได้ลงมือตรวจร่างกายของคนผู้นั้น “ป้าเผิงรับตั๋วเงินนี่ไว้”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เผิงฉือรีบเก็บตั๋วเงินเข้าไว้ในสาบเสื้อทันที
“แต่ข้านั้นไม่อาจรับเงินของผู้อื่น โดยไม่ทำงานตอบแทนได้ ข้าพอมีความสามารถในรักษาเล็กน้อย พอจะไปดูอาการของคุณชายใหญ่ให้ได้ แต่ข้ามีเวลาไม่มากนัก เจ้านำทางไปเถิด”
“คุณหนูให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เผิงฉือรีบถามเกรงว่านางจะลืมตัวเองไป
“ป้าเผิงไม่ต้องตามไป คอยรับหน้าพวกทหารอยู่ที่นี่เป็นพอ”
ชุยเหลียงไม่คิดว่าการมอบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง จะได้รับการตอบแทนกลับเช่นนี้ ดวงตาเขามีแววสับสนและไม่เข้าใจ
“คนของทางการกำลังตามหาตัวข้า นี่เป็นโอกาสอันน้อยนิดของคุณชายเจ้า”
“เชิญตามข้ามาขอรับ”
ชุยเหลียงพาคนมาด้วยสองคน พวกเขาเดินทางด้วยม้า พอมีหลินซือเยว่ไปด้วยจึงไม่รู้จะเดินทางด้วยพาหนะใด
หลินซือเยว่ “ข้าขี่ม้าเป็น” แต่นี่จะเป็นครั้งแรกในโลกนี้ที่นางมีโอกาสได้ขี่ม้า
คนของชุยเหลียงสละม้าให้นางหนึ่งตัว เฝ้ามองดูสตรีตัวน้อยที่วาดขาขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นม้าสามตัว วิ่งตรงไปยังจวนแม่โจวอย่างรวดเร็ว ทิ้งบุรุษผู้หนึ่งให้ยืนหันซ้ายขวาอยู่ตามลำพัง
เมื่อเดินทางไปถึงจวนของแม่ทัพโจว บ่าวรับใช้เรือนของโจวจื่อถงกำลังวุ่นวายกันใหญ่ ชุยเหลียงรีบเข้าไปถาม ได้ความว่าโจวจื่อถงกระอักเลือดออกมาก้อนใหญ่ อีกทั้งยังหมดสติลงไปอีกด้วย
ชุยเหลียง “มีใครไปตามท่านหมอหรือยัง”
“มีแล้วขอรับ แต่ว่าวันนี้ท่านหมอเจินไม่อยู่ที่จวน เลยต้องไปตามหมอที่โรงหมอละแวกนี้ก่อน”
“พาข้าไปดูอาการของเขาเถอะ” หลินซือเยว่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงรีบบอกชุนเหลียงให้นำทางไป
ครั้นมาถึงห้องนอนของโจวจื่อถง ชุยเหลียงสั่งสาวใช้ให้ออกไปข้างนอกให้หมด เขาปิดประตูตามคำสั่งของหลินซือเยว่
บุรุษรูปงามบนเตียง ชะตายังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น หลินซินเยว่รีบจับชีพจรของเขาดู มีพลังสายหนึ่งแล่นวูบไปตามร่างกายของเขา ทำการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมากับอดีตกาล และค่อย ๆ ทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของนางเอง
“เจ้ามาคลายอาภรณ์ของเขาออกให้หมด ข้าจะฝังเข็มรักษาอาการให้”
ชุยเหลียง “...?” เพียงรู้สึกหนักใจที่ต้องเปิดเผยเรือนกายของผู้เป็นนาย ให้สตรีเช่นหลินซินเยว่ได้เห็น
“ตัวข้านั้นยังไม่คิดถือสา เหตุใดท่านต้องคิดมากไปด้วย อีกอย่างร่างกายผอมแห้งเพียงนี้มีอะไรให้ข้าดู”
“เอ่อ ขอรับ” ชุยเหลียงคิดว่าคำพูดนี้พอฟังขึ้นบ้าง รีบจัดการคลายอาภรณ์ให้โจวจื่อถง กำลังคิดจะหยุดมือแต่เสียงของหลินซือเยว่ก็ดังขึ้น “ถอดให้หมด”
มีเพียงผ้าผืนน้อยที่ปิดตรงกลางร่างของเขาเอาไว้ ชุยเหลียงจ้องนางตาไม่วาง ราวกับกลัวว่านางจะเอารัดเอาเปรียบผู้เป็นนายของตน ทว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเข็มทองจำนวนเกือบยี่สิบเล่ม ถูกปักลงไปบนร่างกายของโจวจื่อถงอย่างแม่นยำ รวมไปถึงท่อนขาของเขาด้วย ไม่แปลกใจที่นางให้เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด
หลังฝังเข็มไปแล้วหลินซือเยว่ให้เขานำกระดาษกับพู่กันมาให้นาง นางใช้เวลาไม่นานนักกระดาษสองสามแผ่นนั้น ก็เต็มไปด้วยรูปวาด และเทียบยาพร้อมวิธีการรักษา
“เจ้าให้คนเตรียมน้ำร้อนมาเถอะ หลังข้าดึงเข็มออกแล้ว จะมีของเสียไหลออกมาตามรูเข็ม เช็ดทำความสะอาดให้เขา แล้วหาเสื้อผ้าใหม่มาสวมใส่”
ชุยเหลียงรีบไปสั่งการสาวใช้ด้านนอก กลับเข้ามาเข็มบนตัวของโจวจื่อถงก็ถูกเก็บไปจนหมด ตัวเขาเองถูกหลินซือเยว่กวักมือให้เข้าไปหาใกล้ ๆ
“นี่คือวิธีการฝังเข็มรักษา ข้าวาดรูปประกอบและเขียนข้อระวังเอาไว้ให้แล้ว ส่วนนี่คือเทียบยาที่ต้องใช้ เวลากินยาข้าได้ระบุไว้ในนี้แล้วเหมือนกัน ส่วนเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่นั้น ข้าไม่อาจบังคับเจ้าได้”
ชุยเหลียงรับกระดาษไปถือไว้
หลินซือเยว่หันไปทางเตียงนอน ที่ตอนนี้สาวใช้กำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดให้โจวจื่อถง “หากเขาฟื้นขึ้นมาได้โปรดบอกเขาด้วย ว่าข้าหลินซือเยว่ขอบคุณในน้ำใจของคุณชายใหญ่มาก นับจากนี้ไปขอให้การหมั้นหมายของข้ากับเขา เป็นอันยกเลิกไปเถอะ ไม่ต้องไปส่งข้ากลับเองได้”
ชุยเหลียงกำลังยืนจ้องตัวอักษรบนกระดาษ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นแผ่นหลังของนางอีกแล้ว สาวใช้ด้านนอกเข้ามารายงาน ว่านางได้ขี่ม้ากลับเรือนไปแล้ว
9 : พบหน้าในคุก เมื่อควบม้ามาถึงเรือนเฟยเฟิ่ง หิมะที่หยุดตกไปก่อนหน้ากลับโปรยปรายลงมาอีกหน มีทหารมารออยู่ภายในห้องโถง เพื่อรอนางกลับมาจริง ๆ เผิงฉือถูกสั่งให้เตรียมห่อผ้าเอาไว้ล่วงหน้า หลินซือเยว่สั่งให้นางเย็บห่อผ้าแบบสมัยใหม่ เป็นเป้ผ้าขนาดใหญ่ใส่ของได้เยอะ แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือเผิงฉือกลับเตรียมเป้ของตัวเองเอาไว้ด้วย “คุณหนูไปไหนข้าไปด้วยเจ้าคะ” “ป้าเผิง การถูกเนรเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่อาจรู้ได้” “ข้าไม่กลัว ข้าเสียครอบครัวไปหมดแล้ว ที่มีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะคุณหนูนะเจ้าคะ หากไม่มีคุณหนูข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” เผิงฉือตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ป้าเผิงท่านคิดดีแล้วหรือ” “ข้าคิดดีแล้วเจ้าค่ะ” หลินซือเยว่ไม่อาจฝืนใจผู้อื่นได้ นางหันไปมองรอบกาย “แล้วหลินอ้ายล่ะ” “หลินอ้ายมีสัญญาซื้อขายตัวกับตระกูลหลิน ยังไงก็ต้องถูกเนรเทศไปกับตระกูลหลินเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันนี่แหละ” เสื้อกันหนาวอย่างอุ่นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ ผ้าห่มอย่าหนากับของใช้บางอ
10 : ออกเดินทางท่ามกลางหิมะ จวนแม่ทัพโจว หลังจากหลินซือเยว่จากไปแล้ว ช่วงดึกท่านหมอเจินได้เดินทางกลับมาพอดี เขาได้ตรวจดูอาการของโจวจื่อถง ปรากฏว่าร่างกายของชายหนุ่มดีขึ้นถึงสามส่วน ชุยเหลียงรีบนำกระดาษที่หลินซือเยว่ให้ไว้มอบให้เขาตรวจดู หลังจากนั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ท่านหมอเจินดวงตาฉายแววยินดีออกมา “นี่เป็นหมอเทวดาท่านไหนกัน” “ไม่ใช่หมอเทวดาที่ไหนหรอก เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น” “แล้วนางอยู่ที่ไหน ข้าต้องการหารือเรื่องรักษากับนาง” ชุยเหลียง “ท่านหมอเจินนี่หมายความว่า” “เจ้าโง่นัก อาการของคุณชายใหญ่ดีขึ้นหลังนางฝังเข็มให้ นั่นหมายความว่านางรักษาได้ผล แล้วรูปแบบการฝังเข็มเช่นนี้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าสามารถฝังเข็มรักษาแบบนี้ได้” ชุยเหลียงได้รับคำยืนยันเช่นนี้ เกิดนึกเสียดายในโอกาสรักษาของคุณชายใหญ่ จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านหมอเจินได้รับรู้ หลังฟังจบท่านหมอเจินมีเพียงคำพูดเดียว คือน่าเสียดายจริง ๆ แต่ว่าเขายังมีความหวังอยู่ เพราะหลินซือเยว่ได้แนะนำวิธีการรักษาไว้อย่างละเอียด เพ
11 : ช่วยจูฮูหยิน เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ทหารได้ต้อนให้คนในขบวนเดินทางต่อ ตอนนั้นบิดาของหลินซือเยว่ไปปลดทุกข์อยู่ รถม้าของนางจึงรั้งอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย ผ่านไปราวสองเค่อคนตระกูลหยางก็ร่นมาอยู่ตรงหน้าของพวกนาง เพราะมีพวกเขานั่งขวางหน้า รถม้าของบ้านรองจึงต้องหยุดตามไปด้วย “พี่ชายฮูหยินของพวกข้าไม่ไหวแล้ว ท่านโปรดหยุดพักก่อนเถอะ” นายทหารผู้หนึ่งเอ่ยขอร้องกับทหารที่คุ้มกันขบวน “ได้อย่างไร หากหยุดพัก วันนี้พวกเราไปไม่ถึงที่หมายแน่ พวกเจ้าอยากตายอยู่กลางหิมะนี่หรืออย่างไร” “เช่นนั้นหยุดพักสักครู่ได้หรือไม่” บุรุษผู้นี้คืออดีตแม่ทัพหยางห่าวอู๋ และผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น คือจูฮุ่ยชิวภรรยาเอกของเขา “ไม่ได้ ! รีบลุกขึ้นเร็วเข้า” “เจ้านี่มัน !” “ห่าวหรานอย่าก่อเรื่อง !” หยางห่าวหรานชะงักหลังได้ยินเสียงบิดา กำหมัดเข้าหากันแน่นกัดฟันเสียงดังกรอด หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงได้เอ่ยออกไป “พี่ชายท่านนี้มารดาของข้าป่วยหนัก ได้โปรดช่วยเหลือด้วยเถอะ” ขอร้องอย่างไรถึงเหมือนออกคำสั่งก็ไม่ปาน หลินซือเยว่นับนิ
12 : ไปไม่ถึงที่พัก สองพ่อลูกตระกูลหยาง อยู่ใกล้กับครอบครัวของหลินเต๋อมากที่สุด เขาได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านหม่าเอ่ยอย่างชัดเจน และได้ยินหลินซือเยว่ตอบโต้ คล้ายไม่สนใจไยดีผู้เป็นย่าของตนเอง “นางทำไม่ถูกจริง ๆ นางควรมอบยาให้ท่านย่าของนาง” หยางห่าวอู๋เอ่ยเบา ๆ กับบุตรชาย หยางห่าวหรานไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสตรีอายุสิบห้าสิบหกปีผู้นี้ จะหาญกล้าต่อกรกับคนในตระกูลได้ ทำให้เขาต้องหันกลับมามองนางเสียใหม่ “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” เขาก้มหน้าลงมองมารดาที่นอนลืมตาอยู่ข้างบิดา มองผ้าห่มหนาผืนหนึ่งที่ได้รับมาจากบนรถม้า จูฮูหยินขยับตัวเล็กน้อย “ข้าดีขึ้นแล้วล่ะยาคุณหนูหลินใช้ได้ดีมาก นางยังมอบให้ข้าติดตัวไว้ด้วย ผ้าห่มนี่นางก็ยกให้ข้า” ขวดยาสีขาวถูกหยิบออกมาจากสาบเสื้อ มอบให้สองพ่อลูกดู หยางห่าวหรานหยิบออกมาเปิดจุกขวด ดมกลิ่นยาที่อยู่ด้านใน “เป็นยาลดไข้จริงด้วย” “เจ้านอนพักต่อเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทางต่อ” หยางหาวอู๋ลูบเส้นผมของภรรยาอย่างเบามือ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ ก่อนเลื่อนตัวลงไปนอนบนพื้นด้านข้างกับภรรยา
13 : หยางห่าวหรานป่วยจนหมดสติ หลินซือเยว่เห็นจูฮูหยินเดินตรงมาทางตัวเอง ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก “คุณหนูหลินเจ้าช่วยไปดูลูกชายของข้าได้หรือไม่ เขาไม่สบายจนหมดสติไปแล้ว” มือไม้สั่นเทาไปหมดไม่รู้ว่าด้วยความหนาวเย็น หรือว่าความหวาดกลัวเรื่องความเป็นตายของบุตรชาย “พี่ฮุ่ยชิว” เถียนฮูหยินรีบลงมาจากรถม้า แล้วเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ หลินซือเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ท่านแม่ท่านนับญาติกับคนแปลกหน้าง่ายเกินไปไหม “เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะช่วยลูกชายของท่านป้าฮุ่ยชิวได้หรือไม่” ไม่ทันไรข้าก็มีป้าเพิ่มมาอีกคนแล้วรึ “ข้าขอไปดูก่อน ป้าเผิงเอากระเป๋าของข้ามาด้วย” “เจ้าค่ะคุณหนู” หยางห่าวอู๋ให้คนในตระกูลหยางเดินทางไปก่อน เขากับภรรยาอยู่รอเฝ้าลูกชายเอง คราวแรกไม่มีใครยอมขยับตัว ทหารที่คุ้มกันนับสิบคนจึงชักดาบออกจากฝัก เห็นดังนั้นพวกเขาไม่อาจสร้างปัญหา ให้แก่แม่ทัพกับรองแม่ทัพของตนเองได้ “ไม่ใช่ว่าข้าบอกแล้วรึว่าให้อยู่ดูคนป่วยได้แค่สองคน” จี๋ไห่ผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินเข้ามาขวางหน้าของหลินซือเยว่
14 : สวดส่งวิญญาณ ฮูหยินเฒ่าได้ยินว่าหลานสาวบ้านรองของตน กำลังจะทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ก็โมโหจนหน้าสั่น “นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้ารองกับเมียไม่คิดห้ามนางเลยรึ” “เห็นว่าเพราะคุณหนูรองอยู่อารามเต๋ามานาน เลยเรียนรู้เรื่องพิธีกรรมของเต๋ามาด้วย นางบอกว่าสามารถสวดส่งวิญญาณได้ขอรับ” พ่อบ้านหม่ารายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ เป็นสตรีในตระกูลใหญ่กลับต้องไปสวดส่งวิญญาณ ราวกับนักพรตเต๋าก็ไม่ปาน “เหลวไหลสิ้นดี !” หลินเฉินส่ายหน้าไปมา แต่พอมองสถานการณ์ในตอนนี้ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตรอดไปได้ เรื่องสมควรหรือไม่นั้น คงไม่สลักสำคัญอีกต่อไป “บุตรสาวน้องรองผู้นี้เรียนอะไรไม่เรียน ดันไปเรียนวิชาต้มตุ๋นมา น่าขายหน้าจริง ๆ” หวางฮูหยินเย้นหยันบ้านรองดัง ๆ ตั้งใจให้คนอื่นในตระกูลหลินได้ยิน “นั่นสิท่านแม่ พวกบ่าวไพร่ก็หูตามืดบอด ยอมทำตามไปได้” หลินจื่อรั่วไม่ถูกชะตากับหลินซือเยว่อยู่ก่อนหน้าแล้ว เหตุเพราะเรื่องแต่งงาน ท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจสมหวังได้ เป็นเพราะตัวซวยตัวนี้จริง ๆ บ่าวไพร่บางคนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ต่างก็เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย พวกเขาไม่
15 : จี๋ไห่ได้รับข่าวร้าย เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอฉือ จี๋ไห่ได้รับข่าวร้ายทันที อนุภรรยาที่รักของเขาคลอดยาก นางเจ็บท้องถึงสองวันสองคืน พอคลอดออกมาได้ กลับตกเลือดอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเอ่ยแนะนำให้มาหาหลินซือเยว่ นางรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจช่วยเหลืออนุภรรยาของเขาได้ จี๋ไห่ต้องหลบสายตาผู้คนมาหาหลินอ้าย ให้เขาส่งข้อความหาหลินซือเยว่ให้มาพบเขาที เหตุเพราะเหล่านักโทษต้องถูกคุม อยู่ในลานกว้างของวัดใหญ่ประจำอำเภอ ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เอง “เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญนางออกมาที” นอกจากใช้ป้ายชื่อเชิญหลินซือเยว่แล้ว ยังต้องการให้นายทหาร ได้เห็นป้ายผ่านทางนี้ด้วย “บอกว่าข้ารออยู่ด้านข้างวัดใหญ่ใต้ต้นพุทราป่า หลินอ้ายเหลือบมองป้ายชื่อเล็กน้อย ก่อนจะรับมาถือไว้แล้วหันหลังไปหาเผิงฉือ ให้นางไปรายงานเรื่องนี้กับหลินซือเยว่ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะเจ้าคะ คนแบบนั้นไม่คู่ควร” เผิงฉือไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร เขาไม่ได้เลวจนให้อภัยไม่ได้ ป้าเผิงเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า” หลินซือเยว่เอ่ยแล้วรอให
16 : ชายแดนเมืองเหลียง ซุนต้าหลงได้ขอกำลังทหารจากอำเภอฉือเพิ่ม เนื่องจากคนของเขาได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ล้มตายก็นับสิบกว่าคน ก่อนหน้าเขาได้ให้หมอประจำอำเภอ มารักษาเหล่าทหารคุ้มกันแล้ว แต่บางคนไม่สามารถเดินทางต่อได้อีกหลายวัน เขาจำต้องให้หมอรักษานักโทษที่บาดเจ็บ จากการต่อสู้กับโจรป่าด้วย ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้คงได้ตายกลางทางเสียก่อน หากตายเพราะเหตุสุดวิสัยคงไม่เป็นไร แต่เกิดตายเพราะเขาเพิกเฉยไม่รักษาอาการบาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องจะปิดบังเบื้องบนเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีนักโทษนับสิบคนที่บาดเจ็บหนัก เดินทางไกลต่อจากนี้ค่อนข้างอันตราย จึงเพิ่มรถม้าไร้หลังคาสามคันให้คนเหล่านั้นได้นั่งไป ขบวนนักโทษออกเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น อีกทั้งคนตระกูลหยาง ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตรวนอีกต่อไป ในแต่ละวันพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายโดยไร้อุปสรรคใด ทว่าหลังผ่านไปสองวัน คนบาดเจ็บหนักไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ซุนต้าหลงกลับไม่ยอมให้หมอที่ติดตามเขา มาดูอาการให้คนป่วย คนเจ็บหนักนั้นมีทั้งคนตระกูลหลินและตระกูลหยาง ญาติของพวกเขาต่
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา