ซุนต้าหลงได้ขอกำลังทหารจากอำเภอฉือเพิ่ม เนื่องจากคนของเขาได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ล้มตายก็นับสิบกว่าคน ก่อนหน้าเขาได้ให้หมอประจำอำเภอ มารักษาเหล่าทหารคุ้มกันแล้ว แต่บางคนไม่สามารถเดินทางต่อได้อีกหลายวัน เขาจำต้องให้หมอรักษานักโทษที่บาดเจ็บ จากการต่อสู้กับโจรป่าด้วย ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้คงได้ตายกลางทางเสียก่อน
หากตายเพราะเหตุสุดวิสัยคงไม่เป็นไร แต่เกิดตายเพราะเขาเพิกเฉยไม่รักษาอาการบาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องจะปิดบังเบื้องบนเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีนักโทษนับสิบคนที่บาดเจ็บหนัก เดินทางไกลต่อจากนี้ค่อนข้างอันตราย จึงเพิ่มรถม้าไร้หลังคาสามคันให้คนเหล่านั้นได้นั่งไป
ขบวนนักโทษออกเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น อีกทั้งคนตระกูลหยาง ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตรวนอีกต่อไป ในแต่ละวันพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายโดยไร้อุปสรรคใด ทว่าหลังผ่านไปสองวัน คนบาดเจ็บหนักไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ซุนต้าหลงกลับไม่ยอมให้หมอที่ติดตามเขา มาดูอาการให้คนป่วย
คนเจ็บหนักนั้นมีทั้งคนตระกูลหลินและตระกูลหยาง ญาติของพวกเขาต่างไปคุกเข่าขอร้องซุนต้าหลง แต่เขากลับทำเพียงสะบัดแขนเสื้อใส่ แล้วให้ทหารคุ้มกันไล่ออกไปให้พ้นสายตา หลินซือเยว่ทนเห็นคนตายต่อหน้าไม่ได้ นางให้เผิงฉือหยิบกระเป๋ายากับอุปกรณ์การรักษาไปกับนาง
“คุณหนูรองได้โปรดช่วยลูกชายของข้าด้วย” บ่าวหญิงชราที่อยู่รับใช้คนบ้านใหญ่ ถึงกับคุกเข่าขอร้องหลินซือเยว่
“คุณหนูหลินช่วยน้องชายข้าด้วย” บุรุษผู้นี้คำนับให้นาง เขาเป็นทหารของตระกูลหยาง จากนั้นคนอื่น ๆ ก็เข้ามาขอร้องนาง จนเสียงดังกลบกันไปหมด
หลินซือเยว่ปรายตามองพวกเขาแต่ละคน หากช่วยแค่คนดีคงไม่จบไม่สิ้น ช่วยก็ต้องช่วยทั้งหมด ใครจะดีเลวก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกัน “ลุกขึ้นเถอะ ข้าจะดูอาการให้พวกเขาเอง แต่ข้าไม่รับปากว่าจะช่วยได้มากน้อยเพียงใด” นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินไปดูบริเวณที่คนเจ็บพักอยู่
นางหายเข้าไปในนั้นราวสองเค่อ ก่อนกลับออกมาพร้อมกระดาษยื่นให้เผิงฉือ นำไปให้จี๋ไห่ มีหรือจี๋ไห่จะกล้าปฏิเสธ เพราะหลินซือเยว่นอกจากจะมอบเงินซื้อยารักษาแล้ว หนนี้นางยังมอบเงินให้เขาอีกด้วยยี่สิบตำลึง นี่ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย ไม่รับก็โง่แล้ว ตอนที่เอายากลับเขาก็ลักลอบเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
หลินซือเยว่บอกให้ญาติของผู้ป่วย ช่วยกันต้มยาสมุนไพรเหล่านี้ และแจกจ่ายให้ทุกคนได้ดื่ม จากนั้นก็สอนวิธีการทำแผลให้พวกเขา พร้อมกับมอบยากับผ้าพันแผลไว้ให้ กำชับให้เปลี่ยนผ้าใส่ยาทุกวัน พร้อมกับกินยาต้มจนกว่าอาการจะหายดี นางคำนวณเรื่องยาได้มามากพอ แม้ไม่ได้ดีขึ้นในทันตาแต่ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิมแน่
“พวกท่านจงทำเงียบ ๆ อย่าส่งเสียงดัง เป็นไปได้ก็ต้มยาล้างแผลยามฟ้ายังไม่สว่าง เข้าใจหรือไม่” คำกำชับนี้ค่อนข้างเคร่งเครียดและจริงจัง เหล่าญาติคนเจ็บทั้งหลายรีบผงกศีรษะรับทราบ
แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาทำเงียบ ๆ ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของคนในตระกูลไปได้ พวกเขาต่างสรรเสริญหลินซือเยว่ว่านางมีคุณธรรมช่วยเหลือผู้อื่น บางคนก็ว่ารถม้าของนางคงขนหยูกยาและเครื่องมือการรักษามาเยอะ ถึงได้สามารถแจกจ่ายยาให้คนเจ็บทั้งหมดนี้ได้
“ข้าว่านางไม่เห็นหัวข้ากับเจ้าแล้วล่ะเจ้าใหญ่ ให้ไปเรียกเจ้ารองกับเมียมาหาข้าเดี๋ยวนี้ !” ฮูหยินเฒ่าโกรธจนไม่รู้จะระบายออกอย่างไร หลานสาวบ้านรองของตน ไม่เคยไยดีตัวเองไม่มาทักถามความเป็นอยู่ กลับหน้าใหญ่ใจโตไปรักษาคนเจ็บพวกนั้น
“ท่านแม่เยว่เอ๋อร์ก็แค่รักษาคนเจ็บไปตามอาการ ข้าว่าเรื่องนี้ไม่ได้เลวร้ายอันใด อีกอย่างคนตระกูลหลินก็ได้รับความช่วยเหลือจากนางเหมือนกัน นางไม่ได้แยกแยะเสียหน่อย”
“แต่นางแบ่งปันของสำคัญให้คนนอก !” ความเห็นแก่ตัวของฮูหยินเฒ่านั้น ดูจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลินเฉินหันไปมองหน้าบุตรชายของตนเองเล็กน้อย
“ท่านย่าเยว่เอ๋อร์อยู่อารามเต๋ามาสิบปี ไม่มีใครอบรมสั่งสอนนาง ท่านย่าก็อย่าถือสานางเลยขอรับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเนรเทศ หากท่านเรียกท่านอารองมาสั่งสอนเรื่องนี้ คนอื่นจะหาว่าพวกเราไม่รู้จักสำเหนียกตนเองนะขอรับ” หลินจางเหว่ยได้รับสายตาขอร้องจากบิดา เขาจึงต้องเค้นหาเหตุผลขึ้นมาอ้าง
ยามนี้ท่านย่าของเขายังจะหาเรื่องเด็กรุ่นหลานอีก นี่ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่หรอกหรือ หลินจางเหว่ยไม่เหมือนมารดากับน้องสาว เขาค่อนข้างมองภาพรวม ได้ดีกว่าเหล่าสตรีเรือนหลัง
“พี่ใหญ่เหตุใดต้องเข้าข้างคนอื่นด้วย” หลินจื่อรั่วรู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย
“จื่อรั่วหากเจ้าไม่รู้จักสงบเสงี่ยม จะใช้ชีวิตที่ชายแดนได้อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีที่ถูกเนรเทศไปชายแดน ต้องทำอะไรบ้าง” หลินจางเหว่ยขึงตามองน้องสาว ที่ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองเมื่อถึงชายแดน
“พี่ใหญ่ !”
“พอเถอะ นี่มันยามใดแล้วทำไมถึงไม่สามัคคีกัน” หลินเฉินรู้จักนิสัยใจคอของบุตรชายบุตรสาวของตนเองดี คนหนึ่งฉลาดสุขุมรอบคอบ อีกคนยังไร้เดียงสาแต่ดื้อรั้นเป็นที่หนึ่ง ตอนแรกคิดว่าพอออกเรือนไปแล้ว คงทำให้หลินจื่อรั่วกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นได้ แต่ใครจะคิดว่าเคราะห์ร้ายมาเยือนกะทันหัน
สองพี่น้องต่างหันหน้าหนีกันไปคนละทาง กระทั่งฮูหยินเฒ่าก็สงบปากในทันใด
สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ หิมะตกน้อยลงแต่ยังมีอยู่ระหว่างการเดินทาง หลินซือเยว่ไม่กินอาหารจากทางการแล้ว นางให้เผิงฉือนำอาหารที่อยู่บนรถม้า ออกมาทำกินได้เลย ส่วนหยางห่าวหรานอาการหายดีแล้ว สามารถเดินทางร่วมกับทุกคนได้ ไม่ต้องนอนอยู่บนรถม้าอีกต่อไป
“คุณหนูหลินข้าต้องขอบใจเจ้ามาก” พอหายจากอาการเจ็บป่วย หน้าตาถูกเช็ดทำความสะอาด ผมเผ้าถูกมารดาช่วยหวีรวบ ทำให้หลินซือเยว่ได้เห็นใบหน้าเขาชัดเจนกว่าทุกวัน คิ้วหนาเข้มกำลังดี จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางเฉียบ ทว่าวาสนาเรื่องคู่ครองไม่สู้ดีนัก
“คุณหนูลิน” หยางห่าวหรานไม่คิดว่า แม่นางน้อยผู้นี้จะจ้องมองเขา ด้วยสายตาลุ่มลึกราวกับจะทะลุทะลวง เข้าไปในจิตวิญญาณของเขาได้
หลินซือเยว่รู้สึกตัวว่ามองเขาจนเกินงาม “ข้าขออภัยท่านด้วย”
“ดูสองคนนี้สิเหตุใดถึงเรียกแทนกันห่างเหินเช่นนั้น”
“ท่านป้าจู” หลินซือเยว่โค้งศีรษะให้นางหนึ่งที
“เยว่เอ๋อร์เจ้าก็เรียกว่าพี่ห่าวหรานสิ ห่าวรานเองก็เรียกน้องว่าเยว่เอ๋อร์ ข้าพูดถูกหรือไม่จินเยว่” จูฮูหยินหันไปหามารดาของหลินซือเยว่
“มิผิดเจ้าค่ะพี่ฮุ่ยชิว”
สองครอบครัวได้ทำการรู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ดีที่พวกเขาแนะนำตัวแค่ครอบครัวของหยางห่าวอู๋ หากให้แนะนำทั้งตระกูลคงไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
ตระกูลหลินนับสามสิบกว่าชีวิต ตอนนี้เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ฝ่ายตระกูลหยางนั้นเหลือเพียงสิบกว่าคน เหตุที่ตระกูลทั้งสองถูกเนรเทศน้อยคน เพราะทางการเอาผิดเฉพาะบ่าวไพร่ที่ใช้แซ่ของตระกูล ส่วนบ่าวไพร่คนไหนที่ไม่ได้แซ่ของตระกูล ก็จะถูกปล่อยตัวไป แม่นมของเถียนฮูหยินจึงรอดพ้นไปด้วย ฝ่ายคนในตระกูลที่แยกบ้านออกไปแล้ว มิมีความผิดเช่นเดียวกัน จำนวนคนจึงเหลือเพียงตระกูลละสิบยี่สิบคนเท่านั้น
กำแพงเมืองเหลียง
เมืองเหลียงเป็นเมืองชายแดนทิศเหนือของแคว้นจิ้น ซึ่งเป็นเขตแดนต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีข้าศึกจ้องจะโจมตีอยู่ทุกวัน กองทัพทหารชายแดนแห่งนี้จึงเข้มงวดเป็นอย่างมาก เมืองเหลียงเพิ่งสงบศึกได้เพียงห้าหกปีเท่านั้น เป็นช่วงที่ไม่สามารถผ่อนปรนได้แม้แต่น้อย
ธงประจำเมืองเหลียงเป็นรูปนกอินทรีสีโลหิตเข้ม กำลังโบกไสวอยู่บนกำแพง ด้านหน้าประตูทางเข้ามีแม่ทัพเหลียนเฉินจิ่นในวัยสี่สิบแปดปียืนรออยู่ แม่ทัพเหลียนรู้ว่านักโทษที่ถูกเนรเทศมานั้น อดีตคือแม่ทัพตระกูลหยางผู้เลื่องชื่อ แม้ไม่เคยได้พูดคุยกันมาก่อน แต่ไม่อาจประมาทฝีมือการหลบหนีของอีกฝ่ายได้ จึงมาดูแลการส่งมอบตัวนักโทษด้วยตนเอง
“ข้าคือรองแม่ทัพซุนต้าหลง ผู้นำคุ้มกันขบวนนักโทษมาส่งมอบให้ท่านแม่ทัพเหลียนขอรับ” ซุนต้าหลงยามอยู่ต่อหน้าพญาอินทรีเช่นแม่ทัพเหลียน เขาไม่มีท่าทางโอหังเลยสักนิด กำหมัดคำนับด้วยความนอบน้อม
หลินซือเยว่คิดว่า คนผู้นี้ช่างอยู่เป็น
“ลำบากรองแม่ทัพซุนแล้ว เชิญเข้าพักในจวนที่ข้าเตรียมไว้ให้ก่อนเถอะ” แม่ทัพเหลียนผายมือเชิญเขา จากนั้นมีคนนำทางทหารคุ้มกันนักโทษ ไปยังจวนที่พักของทางการ เป็นอันหมดหน้าที่ของพวกเขาแล้ว คงพักอยู่ที่เมืองเหลียงสองสามวันค่อยเดินทางกลับเหมืองหลวง
นักโทษทั้งหมดถูกต้อนเข้าไปในค่ายทหารเมืองเหลียง พวกเขาถูกคุมขังเอาไว้ในคุกทหาร แยกเป็นชายหญิง เพื่อรอคอยคำสั่ง ว่าใครได้รับหน้าที่ทำงานอะไรในค่ายแห่งนี้
“ท่านแม่ข้ากลัว” หลินจื่อรั่วตัวสั่นงันงก คุกทหารไม่เหมือนคุกในเมืองหลวง ทั้งสกปรกและกลิ่นเหม็นสาบรุนแรง
มารดาของนางทำได้เพียงแค่กอดบุตรสาวเอาไว้แน่น ๆ ฮูหยินเฒ่ายามนี้ได้แต่มองลูกสะใภ้กับหลานสาวด้วยสายตาเหม่อลอย บุตรชายทั้งสองกับหลานชายและเหลน ถูกแยกไปไว้อีกฝั่ง มีเขตรั้วกั้นกลางพร้อมทหารเฝ้ายาม ไม่สามารถผ่านไปมาหากันได้
จูฮูหยินกับคนตระกูลหยาง แทบจะมานั่งรวมตัวกับบ้านของเถียนฮูหยิน หลินซือเยว่แยกตัวออกมาจากทุกคน นางนอนพิงกำแพงคุกแล้วหลับตาลง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้นางไม่มีแรงมาคิดเรื่องอื่นในยามนี้ เผิงฉือเหมือนจะเข้าใจเรื่องการหลับนอนของนาง รีบหาผ้าห่มในกระเป๋าเป้มาคลุมตัวให้
จูฮูหยินมองการกระทำของเผิงฉือ แล้วหันกลับมามองสองแม่ลูกตระกูลหลิน มองเห็นสายตาแห่งความเสียใจของคนเป็นแม่ จึงเอื้อมมือไปจับมือของเถียนฮูหยินแล้วตบปลอบเบา ๆ
เถียนฮูหยินเอ่ยเสียงค่อย “เผิงฉือเลี้ยงเยว่เอ๋อร์มาเป็นสิบปี ข้าจะไปเทียบอันใดกับนางได้”
จูฮูหยินพยักหน้าลงคล้ายเข้าใจ นางไม่อาจถามไถ่ให้มากความได้
“ท่านแม่เราต้องอยู่ในคุกทหารนี่ไปตลอดชีวิตเลยรึ” คำถามของหลินซูฮวาทำให้สตรีหลายคนในห้องขังนึกหวาดผวา ต่างก็ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
จูฮูหยินย่อมรู้เรื่องนักโทษสตรีที่ถูกเนรเทศมาชายแดนดีกว่าใคร แววตาของนางเคร่งขรึมลงในทันที สตรีสูงวัยกับเด็ก ๆ คงให้ทำงานทั่วไปในค่าย ทว่าสตรีที่ยังสาวอยู่นั้นกลับมีชะตาเลวร้าย ต้องกลายเป็นของเล่นของเหล่าทหารในค่าย
17 : นางบำเรอในค่ายทหาร เช้าวันต่อมาทหารได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่ มามอบให้เหล่านักโทษที่เพิ่งมาใหม่ เป็นชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบมีปักป้ายชื่อของแต่ละคน พร้อมกับหน่วยที่พวกเขาต้องเข้าไปทำงาน บุรุษนั้นมีตั้งแต่เลี้ยงม้า ดูแลโรงฝึก ขนถ่ายอาวุธ หรือดูแลคลังเสบียง สตรีสูงวัยกับเด็กมีหน้าที่ทำครัวในหน่วยเสบียง ทว่าสตรีที่ยังสาวนั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นนางบำเรอให้แก่ทหารในค่ายจริง ๆ บุตรสาวอนุทั้งสองของหลินเฉินถูกจับแยกกับมารดา พวกนางขวัญเสียจนร้องไห้ วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของท่านย่าของพวกนาง สตรีที่ถูกนำไปเป็นนางบำเรอ ฝั่งตระกูลหลินมีจีหวังลี่ภรรยาของหลินจางเหว่ย อนุทั้งสองคนของหลินเฉิน หลินจื่อรั่ว แล้วก็หลินซือเยว่ ส่วนฝั่งตระกูลหยาง มีอยู่ราวสี่คน “ท่านพ่อข้าไม่ไป ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” หลังรู้ว่าตัวเองได้รับหน้าที่อันใด หลินจื่อรั่วก็กรีดเสียงร้องโวยวายดังลั่นค่ายทหาร “จื่อรั่ว !” หลินเฉินอยากจะเข้าไปช่วยบุตรสาวแทบตาย แต่ถูกหอกของนายทหารขวางเอาไว้ “ท่านพ่อ ! ปล่อยข้า !” ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา เตะเข้าที่ข้อพับเข่าของนาง แล้วสับสันมือลงไปบนต้นคอ ร่า
18 : แปดอักษรของผู้ตาย ยามอู่ (11.00-12.59) ผู้คนในค่ายทหารหลับนอนกันหมดแล้ว ภายในกระโจมเองก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตื่นขึ้นมาเห็นว่านางไม่อยู่ หลินซือเยว่จึงเลือกผงยานอนหลับมาโปรยในกระโจมเล็กน้อย พอให้พวกเขาหลับสนิทยาวนานกว่าเดิม ยามนี้วรยุทธ์นางยังไม่ก่อเกิด แต่ว่าวิชาตัวเบานั้นนางมีมาได้หลายเดือนแล้ว นางใช้วิชาทำนายชะตาล่วงหน้าควบคู่กับวิชาตัวเบา ในการหลบเลี่ยงเหล่าทหารเฝ้ายาม ไปจนถึงหน้าเรือนของแม่ทัพเหลียน นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ย่องเงียบตามหาไปเรื่อย ๆ จนได้รู้ว่าห้องของแม่ทัพเหลียนอยู่ตรงไหน ใช้ยาสลบที่พกติดตัวมาเพียงไม่กี่ห่อ ส่งผลให้ทหารยามหน้าห้องแม่ทัพเหลียน นอนหลับคอพับอยู่กับที่ แม่ทัพเหลียนลืมตาขึ้นในทันที หลังรู้สึกว่ามีใครบางคน ขึ้นมาบนเตียงนอนของตนเอง ทว่าช้าไปมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว “อย่าขยับ” เข็มเล่มหนึ่งถูกฝังลงบนจุดที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายตัวเองได้ หลินซือเยว่จึงเก็บมีดไว้ เดินไปจุดตะเกียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง “ท่านจงฟังให้ดี ๆ
19 : กำจัดวิญญาณร้าย “ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี “คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน “หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” “ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ “สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง “เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือด
20 : ข้าอยากทำงานที่โรงสมุนไพร รุ่งขึ้นนักโทษสตรีที่มาใหม่ ถูกเรียกมารวมตัวกันหน้ากระโจม ทุกคนต่างหวาดผวาว่าจะถูกสั่ง ให้ไปทำหน้าที่นางบำเรอวันนี้เลยหรือไม่ แต่ทหารที่มาแจ้งข่าวนั้น กลับบอกว่าพวกนางไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ให้ย้ายไปทำงานกับคนในตระกูลของตัวเอง เหล่าสตรีทั้งหลายพากันปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินซือเยว่ที่ยืนสัปหงกอยู่เพียงลำพัง คล้ายว่านางนอนเท่าใดก็ไม่อิ่มเสียที "พี่สะใภ้ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” หลินจื่อรั่วหันไปเขย่ามือจูหวังลี่แรง ๆ “คุณหนูรองเรื่องจริงเจ้าค่ะ” อนุหลิวหันมายิ้มอย่างดีใจ “เก็บของแล้วตามทหารไปยังที่พักใหม่ของพวกเจ้า” ทหารผู้นำข่าวดีมาบอก ตะโกนให้ทุกคนออกไปเก็บของของตัวเองได้ “เจ้าว่าคนไหนคือคุณหนูหลินที่ท่านแม่ทัพให้ดูแลดี ๆ นะ” เขาหันไปกระซิบกับทหารคนด้านข้าง “คุณหนูที่ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังนั่นไง” ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่ “คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่ “เจ้าเป็นใคร” “ข้านายกองลู่ ลู่เสี่ยวเฟิงขอรับ” เขากำหมัดคารวะหลินซือเยว่ด้วยค
21 : นายท่านเมี่ยวผู้นี้ร่ำรวยหรือไม่ ตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ต่างถูกเนรเทศมาอยู่ค่ายทหารเมืองเหลียงได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามวันแรกพวกเขาต่างได้รับคำสั่งให้ทำงานหนัก แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้น แม่ทัพเหลียนมีคำสั่งให้พวกเขา ทำงานตามความเหมาะสม และห้ามทหารในค่ายรังแกพวกเขาอีกด้วย แต่ใช่ว่าทหารทุกคนจะฟังคำสั่ง เมื่อรังแกพวกเจ้านายไม่ได้ ก็แอบทุบตีพวกบ่าวไพร่แทน พอรู้ถึงหูของแม่ทัพเหลียนทหารนายนั้นก็ถูกทำโทษในทันที จึงทำให้ทหารในค่ายไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาอีก เรือนพักแม่ทัพเหลียน แม่ทัพเหลียนกำลังต้อนรับสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งอยู่ในห้องรับรอง ทหารรับใช้รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขก “เหตุใดนายท่านเมี่ยวถึงได้มาหาข้าถึงค่ายทหารได้ล่ะ” คหบดีเมี่ยว เมี่ยวป๋อหลิน ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ชาดี ๆ” เอ่ยชมแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของชายชราแลดูไม่สดชื่น คล้ายมีบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ “นายท่านเมี่ยว มีอันใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ท่านกับข้าคบหากันมานับสิบปี อย่าได้เกรงใจไปเลย” คหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหลียง ไหนเลยจะเคยแบกหน
22 : นังแพศยา ! “เอาล่ะ ถึงแม้นางไม่คู่ควรให้ข้าช่วยเหลือ แต่ว่ายังมีผู้อื่นที่คู่ควรอยู่” นางเอ่ยเสร็จก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผายมือเหมือนเชิญใครสักคนให้มานั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปด้านหน้า “ดื่มน้ำชาก่อน” วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ก้มหน้าแลบลิ้นดื่มน้ำชาจากถ้วย แม้ลิ้นของนางจะยาวไปเสียหน่อย แต่หลินซือเยว่มองเป็นเรื่องปกติ “คุณหนูหลินเจ้าเอ่ยกับผู้ใด” เมี่ยวฮูหยินเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของนาง ราวกับว่านางกำลังนั่งดื่มชากับใครสักคนจริง ๆ หลินซือเยว่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที “ตรงหน้าของข้า มีวิญญาณสตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งนั่งอยู่ ข้าแค่มอบน้ำชาให้นางแก้กระหาย จากนั้นจะได้รู้กัน ว่าเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดฮูหยินรองของนายท่านเมี่ยวได้” “มีผี อ๊าย !” สาวใช้บางคนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกันหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงกกันไปหมด ฮูหยินรองที่อยู่บนเตียงเองก็หันหลังเข้าผนังห้อง ไม่กล้ามองมาทางนี้อีกเลย “นายท่านเมี่ยวฮูหยินรองมีอาก
23 : เตาอุ่นมือยี่สิบตำลึงสนใจหรือไม่ หลินซือเยว่ให้ทหารติดตามนางไปแค่คนเดียว คหบดีเมี่ยวไม่ได้กลัวว่านางจะหนี ลำพังความสามารถเช่นนาง มีหรือจะทำไม่ได้ ตระกูลหลินทั้งตระกูลอยู่ในค่ายทหาร ยากนักที่นางจะหลบหนีไปเพียงลำพัง เขาจึงให้นายกองลู่ติดตามนางไป “ดูเจ้ามีความสุขนะนายกองลู่” “ได้ติดตามคุณหนูหลินผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจะไม่สุขได้เล่า” นายกองลู่ถูกส่งมารับตัวหลินซือเยว่ที่จวนคหบดีเมี่ยว เขาจึงได้ทราบข่าวจากบ่าวไพร่ในจวน ว่าหลินซือเยว่คลี่คลายปัญหาในเรือนฮูหยินรองได้แล้ว แม้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเขาก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าทำงานสำเร็จเป็นพอ “เหตุใดหิมะถึงตกหนักอีกแล้วล่ะ ข้าว่าจะแวะไปซื้อกระดาษเหลืองเสียหน่อย” หลินซือเยว่บ่นหลังเห็นหิมะโปรยปรายลงมา นายกองลู่ตาโต กระดาษเหลือง ! “คุณหนูหลินท่านเคยคิดจะวาดยันต์ขายหรือไม่ ทหารในค่ายต้องควักเงินซื้อแน่ ๆ” “นายกองลู่ยันต์ของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ในทางนั้น อีกอย่างหากไม่ได้มีวาสนาต่อกันจริง ข้าไม่มีทางมอบยันต์ให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนั้น” ยกเว้นยามข้ายากจนข้นแค้น นายกองลู่คอตกใน
24 : ถูกลอบโจมตี ยามโฉ่ว (01.00-02.59) ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย “คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ “เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง “ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง “ขอรับ ๆ” ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น” สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน” สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอ
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา