ยามโฉ่ว (01.00-02.59)
ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย
“คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ
“เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด
นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง
“ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง
“ขอรับ ๆ”
ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก
เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน”
สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอยู่เลย”
หลินซือเยว่ปรายตามองเขาคล้ายเหยียดหยาม “ข้าไม่อยู่รอความตายหรอกนะ หากเจ้าอยากอยู่ก็อยู่ไป”
นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินไปรอนายกองลู่ที่หน้าประตู ที่เขาช้าเพราะว่าคนดูแลม้า ไม่ยอมทิ้งรถกับม้าของตัวเองไป นางจึงบอกไปว่าจะหาซื้อม้าตัวใหม่ และรถม้าคันใหญ่กว่าเดิมให้ เขาถึงได้ยอมตัดใจจากรถม้าได้
เซวียนหมิงยู่ได้ยินเช่นนั้น “เก็บของ สละม้าตามพวกเขาไป”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ มีคนกำลังจะเอ่ยแย้ง แต่เซวียนหมิงยู่ยกมือห้าม “นางเป็นสตรียังคิดหนีกลางพายุหิมะ แถมไม่เอาม้ากับรถม้าไปด้วย เจ้าว่าทำไมนางถึงทำเช่นนั้น” เขาฟังน้ำเสียงที่แสร้งดัดให้ทุ้มนั้นออกตั้งแต่แรก
บางคนลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ คุณชายผู้นั้นเป็นสตรีหรอกรึ สตรีคิดจะฝ่าพายุหิมะกลางดึก ไม่ใช่ปรารถนาอยากตายหรอกนะ แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดมาก นอกจากทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ด้านนอกทางขึ้นเขา หลินซือเยว่กำลังจัดยกหมวกขึ้นคลุมศีรษะ โชคดีที่นางซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีมา ทำให้สามารถป้องกันลมหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกายได้
“คุณหนูหลินท่านรออะไรอยู่รึ” นายกองลู่เห็นนางไม่เดินต่อจึงเอ่ยถาม
“รอพวกเขาอยู่” นางถือตะเกียงน้ำมันที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอาไว้ในมือ
ชั่วน้ำชาเดือด บุรุษเก้าคนก็ตามหลังออกมาติด ๆ พวกเขาเห็นแสงไฟจากด้านหน้า จึงรีบเดินไปหาในทันที แต่พอพวกเขาใกล้ถึง นางก็เดินเข้าไปในป่าด้านหลังต่อ
“ไม่รอกันเลย” ฮู่ตงหยางลอบบ่น เขาช่วยพยุงเซวียนหมิงยู่ให้เดินเร็วขึ้น
แต่พวกเขากลับพบว่ายามใดที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ นางก็จะหยุดเหมือนรอ ไม่ช้าก็สามารถเดินไปพร้อมกันได้
“นายท่านดูนั่น !” เสียงคนที่อยู่รั้งท้ายตะโกนขึ้น
ทุกคนรีบหันไปด้านหลัง เห็นพายุธนูไฟฝ่าสายหิมะไปยังบ้านร้างหลังนั้นไม่ขาดสาย ไม่ช้าบ้านร้างทั้งหลังก็ถูกไฟเผาไหม้ กระนั้นพวกนั้นเหมือนยังไม่พอใจ สาดธนูติดไฟตามมาอีกนับไม่ถ้วน
แววตาของเซวียนหมิงยู่ดำมืดลง ก่อนจะสั่งคนไปจับตัวของหลินซือเยว่เอาไว้
“บอกมาเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้น” ดาบเล่มยาวของสวีวั่งซูพาดมาที่คอของหลินซือเยว่
นางยิ้มเล็กน้อย “นี่ไม่เรียกเนรคุณหรอกรึ” นางดีดนิ้วเบา ๆ ดาบเล่มนั้นก็กระเด็นออกจากคอของนางไป
นายกองลู่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปห้ามพวกเขา “นายท่าน ๆ โปรดใจเย็น ๆ กันก่อนนะขอรับ คุณชายของข้ามีความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน เป็นคนของเสวียนเหมินขอรับ”
“เหลวไหลนางเป็นสตรี จะเป็นคนของเสวียนเหมินได้อย่างไร” คำพูดนี้สวีวั่งซูเป็นคนเอ่ยออกมา
หลินซือเยว่หันไปมองเขาแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าดูออกว่าข้าเป็นสตรี แต่กลับดูไม่ออกว่าข้า เป็นคนของเสวียนเหมินเช่นนั้นหรือ”
ถูกนางตอกหน้ากลับมาเช่นนี้ สวีวั่งซูเองก็จนใจอยู่เหมือนกัน “ก็ได้ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นคนของเสวียนเหมิน เช่นนั้นเจ้าพาพวกเรามาที่นี่ คิดจะทำอย่างไรต่อ หรือว่าต้องการฆ่าพวกเราให้ตายในกองหิมะนี่”
หลินซือเยว่เลิกคิ้วคล้ายเยาะเขา “เป็นข้าที่พาพวกเจ้ามานี่เอง พวกเจ้าหาได้เดินตามหลังข้ามาไม่” นางใช้วาจาเชือดเฉือนได้ฉกรรจ์ยิ่งนัก
เซวียนหมิงยู่ไม่เคยเห็นสตรีปากร้ายเช่นนี้มาก่อน เขาส่งสายตาให้สวีวั่งซูหยุดพูด มองนางที่เดินนำหน้าไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด “ตามนางไป”
“นายท่านเมื่อครู่จู่ ๆ ดาบของข้าก็กระเด็นออกมาเอง ข้าไม่รู้ว่าทำไม”
“นางไม่มีวรยุทธ์” เซวียนหมิงยู่ไม่สัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ของนาง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวภาพตรงหน้าของเขาก็พร่ามัว
“นายท่าน !” สวีวั่งซูกับฮู่ตงหยางรีบเข้ามาประคองคนละข้าง
พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าสามคนด้านหน้าหายตัวไปแล้ว
“องครักษ์สวีนางเข้าไปในโพรงตรงนั้น” องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยบอก เขามองตามทั้งสามไปจนเห็นว่า พวกเขาแหวกกองหิมะเข้าไปด้านข้าง
“ตามไป”
ทั้งหมดรีบตามรอยของนางไป หากช้ากว่านี้เกรงว่าหิมะจะตกหนักจนปิดทางเดิน ยิ่งพวกเขาไม่สามารถจุดคบเพลิงได้ ต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงของนางเท่านั้น เมื่อเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก็พบกับแสงสว่างอยู่ไกล ๆ พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง
หลินซือเยว่วางกระเป๋าลงพร้อมกับตั้งตะเกียงไว้กลางถ้ำ นางรอดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อ เห็นทหารสองนายออกไปตัดฟืนมากองหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะจุดอย่างไรไฟก็ไม่ติด เพราะไม้ฟื้นเต็มไปด้วยความชื้น
“อั่ก !” คนป่วยกระอักเลือดออกมาก้อนหนึ่ง ทุกคนดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก
หลินซือเยว่ “เจ้าไปจุดไฟ” นางบอกนายกองลู่
“ข้า ?”
“ใช่” นางส่งสายตาให้เขาไป มีหรือนายกองลู่จะกล้าขัด แต่ก่อนที่เขาจะไป หลินซือเยว่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา “นำกระดาษนี่เป็นเชื้อเพลิง” นี่ไม่ใช่กระดาษทั่วไป แต่ลงคาถาป้องกันไฟดับเอาไว้ด้วย หากจุดไฟด้วยกระดาษแผ่นนี้ ไฟดวงนั้นยากจะดับลงได้ เว้นเสียแต่ผู้ปลุกเสกจะร่ายคาถาดับไฟเอง
กองไฟถูกจุดด้วยมือของนายกองลู่ อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกประหลาดยิ่งนัก พวกเขากระทั่งใช้กำลังภายในจุดไฟก็ยังไม่ได้ เหตุใดคนธรรมดาคนหนึ่งถึงจุดขึ้นมาได้
“นายท่านหมดสติไปแล้ว ทำอย่างไรดี” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
องครักษ์คู่ใจของเซวียนหมิงยู่คุกเข่าลงตรงหน้าของผู้เป็นนาย
สวีวั่งซู “นายท่านข้าควรทำอย่างไรดี”
ฮู่ตงหยางหันไปทางหลินซือเยว่ เขามองกระเป๋าใบใหญ่ที่นางวางไว้ด้านข้างลำตัว
“แม่นางเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของเสวียนเหมิน เจ้าพอจะมีวิธีช่วยนายท่านของข้าหรือไม่”
หลินซือเยว่มองเขาสลับกับมองผู้ป่วย “ค่ารักษาของข้าราคาแพง เจ้าจ่ายไหวหรือไม่” นางแค่อยากลองหยั่งเชิงดู
ฮู่ตงหยาง “จ่ายไหวแน่นอน ขอเพียงเจ้ารักษานายท่านของข้าได้” ไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องก้มหัวขอร้องนางไปก่อน
“ข้าจะลองดูก็แล้วกัน” นางลุกขึ้นเดินไปหาคนป่วย นำตะเกียงมาวางใกล้ ๆ ยื่นให้คนของอีกฝ่ายถือไว้ “ส่องให้ข้าเห็นบาดแผลชัด ๆ”
เป็นแผลที่เริ่มเน่าเปื่อยขึ้นมา บริเวณที่ถูกดาบแทงนั้นอยู่เหนือหัวใจเล็กน้อย ช่างโชคดีเสียกระไร พิษที่ได้รับถูกยับยั้งด้วยยาสมุนไพรผงสีขาว ยาตัวนี้ยับยั้งพิษร้ายได้ก็จริง แต่ทำได้เพียงแค่สองสามวันเท่านั้น
“เจ้าโรยผงยานี่ได้กี่วันแล้ว”
สวีวั่งซู “สองวัน” นี่คือสิ่งที่เขากังวล ยาตัวนี้โรยซ้ำไม่ได้เพราะเขาใช้หมดไปแล้ว เดิมทีคาดว่าจะสามารถไปถึงจวนได้ทันเวลา ไม่คิดว่าจะถูกพายุหิมะถล่มใส่ จะไม่สามารถเดินทางต่อได้
“นายกองลู่เอากระเป๋าข้ามาที” นางไม่สนใจปิดบังตำแหน่งของลู่เสี่ยวเฟิงอีกต่อไป ไม่ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี
นายกองลู่ไม่เคยสงสัยในการกระทำของนาง เขาหยิบกระเป๋าของนางมายื่นให้ และรออยู่บริเวณใกล้ ๆ เผื่อว่านางจะเรียกใช้ตนเอง
“เจ้าเป็นทหารรึ” ฮู่ตงหยางถามเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
นายกองลู่ “ใช่ข้าเป็นทหารอยู่ที่ค่ายทหารเมืองเหลียง พอดีออกมาทำธุระในตัวเมือง ระหว่างทางกลับค่ายดันเจอพายุหิมะเข้าเสียก่อน เรื่องต่อจากนี้ก็อย่างที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ”
นายกองลู่เป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อย ไม่เคยมีวาสนาได้พบหน้าคนในจวนเหลียงอ๋องมาก่อน เขาจึงไม่รู้จักกลุ่มคนเหล่านี้
“นายกองลู่นำยาพวกนี้ไปต้ม” หลินซือเยว่หยิบหม้อใบเล็กออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับยาสมุนไพรแห้งกำหนึ่ง
“คุณหนูหลินนี่ท่านพกหม้อติดตัวไปไหนมาไหนด้วยรึ”
“หม้อนี่ไม่ใช่แค่ต้มสมุนไพร เอาไว้ต้มข้าวกินก็ได้ เจ้าก็รู้ว่าข้าเดินทางไกลตลอดหลายวัน เจ้าสิ่งนี้เลยติดอยู่ในกระเป๋า นับว่านายท่านผู้นี้โชคดีที่เจอข้า” นางกล่าวอ้างสรรพคุณตัวเองเกินจริงเล็กน้อย แต่เห็นสายตาจ้องจับผิด ขององครักษ์ทั้งสองแล้วอดยิ้มนิด ๆ ไม่ได้
“เอาสมุนไพรไปให้พวกเขาดูก่อน”
สวีวั่งซูกับฮู่ตงหยางไม่คิดว่าจะถูกนางล่วงรู้ความคิด แต่พวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบพิษของสมุนไพรก่อนจริง ๆ ชีวิตของท่านอ๋อง ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
สวีวั่งซูใช้เข็มเงินตรวจพิษ “ไม่มีพิษเจ้าเอาไปต้มได้”
นายกองลู่ส่ายหน้าให้พวกเขา “พวกเจ้าโชคดีที่เจอคุณหนูหลิน ไม่เพียงแต่ต้องขอบคุณนาง นี่อะไรยังมาสงสัยนางอีก ใช้ไม่ได้จริง ๆ” เขาต้มยาไปบ่นไปด้วย
ยามนี้หลินซือเยว่มีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าทุกที นางใช้มีผ่าตัดที่พกติดตัวล้างด้วยสุราต้มสุก แต่เนื่องจากนางพกติดตัวมาน้อย เลยต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้สุราหล่นหายมากเกินไป
“ข้าต้องเฉือนเนื้อที่ตายออกก่อน ถึงจะใช้ผงห้ามเลือดได้ โชคดีที่พิษไม่กระจายไปไหน กลับถูกกักไว้กับแผลที่เน่าเปื่อย นับว่าโรยยาได้ทันท่วงที เช่นนี้แค่เฉือนเนื้อตายออก แล้วรักษาแผลให้สะอาด กินยาขับพิษภายในช่วยก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ความกลัวในใจขององครักษ์ทั้งสองผ่อนคลายลงได้บ้าง
“แต่การเฉือนเนื้อคนทั้งเป็นนั้น” สวีวั่งซูรู้สึกว่ามันต้องเจ็บเจียนตายแน่ อีกอย่างท่านอ๋องของตนบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ขืนเฉือนเนื้อออกทั้งเป็นเช่นนี้ ไม่โหดร้ายเกินไปหรอกหรือ
หลินซือเยว่ “ข้าจะฝังเข็มให้รอบ ๆ บาดแผลมีอาการเหน็บชา เขาจะไม่รู้สึกเจ็บตอนเฉือนเนื้อร้ายออก แต่พอถอนเข็มออก อาการเจ็บปวดต้องมีเป็นธรรมดา”
ฮู่ตงหยาง “หากทำเช่นนั้นได้ย่อมดี เจ้าลงมือเถอะ”
สตรีที่เฉือนเนื้อตายของบุรุษออกเป็นชิ้น ๆ ตาของนางแทบไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย สีหน้าก็นิ่งเฉยราวกับนางกำลังเฉือนเนื้อเป็ดเนื้อไก่อยู่ก็ไม่ปาน ฮู่ตงหยางลอบส่งสายตาให้สวีวั่งซู คล้ายบอกว่าสตรีนางนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก อย่าได้ไว้วางใจนางแม้แต่นิดเดียว
หลินซือเยว่ย่อมล่วงรู้ความคิดของทั้งคู่ นางไม่ได้โกรธเคืองพวกเขา แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบเจอกัน ในวันเวลาที่ไม่ค่อยเป็นใจเท่าใดนัก นางทิ้งเศษเนื้อเน่าชิ้นสุดท้าย จากนั้นล้างแผลด้วยสุราต้ม โรยผงห้ามเลือด นำผ้าพันแผลมาพันเอาไว้อย่างหนาแน่น
“คุณหนูหลินยาต้มเสร็จแล้ว” นายกองลู่เอ่ยบอก
“เอาให้พวกเขา” นางหันไปทางฮู่ตงหยาง
นายกองลู่รีบยื่นหม้อยาพร้อมช้อนไปให้ “ไม่มีถ้วยพวกเจ้าใช้ช้อนตักเอาจากหม้อนะ”
หลินซือเยว่ “ป้อนเขาตอนนี้เลย ให้กินไปราวหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นสองชั่วยามค่อยป้อนเขาอีกที” นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็กลับไปทิ้งตัวลงนอนที่เดิม หนนี้นางหลับยาวไปจนถึงเช้าวันใหม่
25 : เจ้าคนสารเลว ! พายุหิมะได้ผ่านพ้นไป รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาเยือน หลินซือเยว่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม นางรู้สึกมีกำลังวังชามากขึ้น พลางนึกถึงตัวเองในหลายวันที่ผ่านมานี้ นางมีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าปรมาจารย์ในอดีต เพราะความที่เป็นคนสามโลก นางจึงเหมือนยืนอยู่กลางทางแยกสามทาง จิตวิญญาณยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้บางครั้งนางมีนิสัยเย็นชาเหมือนปรมาจารย์ แต่บางคราวก็มีอารมณ์ขันบ้างเล็กน้อยเหมือนคนยุคปัจจุบัน และยังมีอาการเหม่อลอยร่างกายไม่ขยับของเด็กปัญญาอ่อนอยู่ หวังว่าสักวันหนึ่งนางจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “คุณหนูหลินท่านตื่นแล้วหรือ พวกเราต้องรีบกลับค่ายแล้วล่ะ ดีไม่ดีตอนนี้คนที่นั่น อาจคิดว่าท่านหนีไปแล้วก็ได้” นายกองลู่ขาดการติดต่อกับทางค่ายทหารเมืองเหลียง เขาเป็นกังวลว่าแม่ทัพเหลียนจะส่งคนออกตามหา แล้วตนเองจะมีความผิดใหญ่โต “นี่เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเอง เจ้าวางใจเถอะเก็บของแล้วไปบอกคนขับรถม้า ว่าเราจะออกเดินทางด้วยเท้ากลับไปที่ค่ายกัน จากนั้นค่อยให้คนไปส่งเขากลับ แต่หากเขาอยากย้อนกลับไปที่เมืองเหลีย
26 : เก็บนางไว้ไม่ได้ ! องครักษ์ผู้หนึ่งไปล่าไก่ป่ามาได้ พอได้ต้มน้ำแกงไก่ให้ผู้เป็นนายได้ดื่ม ก่อนเที่ยงเซวียนหมิงยู่ก็ฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาได้ พอลงมาถึงทางแยกที่จะกลับไปยังเมืองเหลียง ส่วนอีกทางที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร ซึ่งมีระยะทางราวสองลี้เท่า ๆ กัน “คุณหนูหลินขอรับ ข้าคงต้องขอแยกตัวกับท่านตรงนี้” คนขับรถม้าเป็นคนของจวนคหบดีเมี่ยว เขามีหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางพาดดาบมาที่คอของเขา “ปิดปากเจ้าให้เงียบ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ชีวิตของเจ้าก็อย่าได้ถามหาอีกเลย” “ข้าน้อยมิกล้า ๆ” คนขับรถม้ารีบยกมือขึ้นโบกส่ายไปมา “เขาก็แค่คนขับรถม้า ชื่อแซ่ของพวกเจ้าเขายังไม่รู้จัก” หลินซือเยว่นึกเคืองคนเหล่านี้ “ไปได้แล้ว” ฮู่ตงหยางเก็บดาบ คนขับรถม้าก็โค้งคำนับให้หลินซือเยว่ จากนั้นก็เดินจากไปในทันที หลินซือเยว่หันมามองเซวียนหมิงยู่ คิ้วเฉียงดั่งคมดาบ ดวงตาดุจเหยี่ยว สันกรามคมชัด ใบหน้าดุจเทพเซียนลงมาจุติ คนผู้นี้พอได้ยืนตัวตรงแล้ว ความสูงคงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน นางเงยหน้ามองเขาจนเมื่อยคอไปหมด จึ
27 : สงครามไม่เกิดเร็ว ๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฤดูหนาว หลินเต๋อได้พบหน้าบุตรชายอีกครั้ง การทำงานในโรงเลี้ยงม้าจึงไม่ได้ยากลำบากอีกต่อไป เขากับบุตรชายและบ่าวตระกูลหลินบางคน ได้ทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดโรงม้า ส่วนพี่ชายกับบุตรชายของเขานั้นได้ทำหน้าที่ดูแลคลังอาวุธ “ซีฮันลำบากเจ้าแล้ว” หลินเต๋อเอ่ยกับบุตรชาย ที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากเขาในวัยหนุ่มเลย “ไม่ได้ลำบากอันใดหรอกท่านพ่อ ตอนอยู่เมืองหลู่ข้าก็ทำหน้าที่นายทหารชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว” “ได้ข่าวว่าที่นั่นเป็นกองทัพของแม่ทัพโจว ตอนที่น้องสาวของเจ้าจะได้แต่งงานกับคุณชายโจว ข้ายังคิดว่าอนาคตของเจ้า ต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ไหนเลยจะคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้” หลินเต๋อกวาดมูลม้าไปบ่นไป “เสียดายที่ข้าไม่ได้เจอหน้าน้องรอง” เอ่ยถึงน้องสาวผู้อาภัพคนนี้ หลินซีฮันมีสีหน้าหมองหม่นลง “นางไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แม่ทัพเหลียนผู้นี้นับว่าไม่เลว ให้สตรียังสาวทำงานหน่วยเสบียง เห็นแม่ของเจ้าบอกกับหลินอ้ายมา เยว่เอ๋อร์ได้ไปอยู่ที่โรงสมุนไพรกับเผิงฉือ อ้อ เผิงฉือคือคนที่เลี้ยงดูนางตอนอยู่อารามเต๋า”
28 : คืนส่งท้ายปี หลินอ้ายได้รับมอบหมายให้มาส่งข่าวที่โรงสมุนไพร ว่าทางตระกูลหลินได้รับอนุญาต ให้รวมตัวกันไหว้บรรพบุรุษในช่วงคืนส่งท้ายปีได้ ทหารส่วนใหญ่ต่างกลับไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัว เหลือเพียงบางส่วนที่ต้องอยู่ทำหน้าที่ กับเหล่านักโทษทั้งหลาย “ได้ข้าจะบอกคุณหนูให้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เผิงฉือมองหลินอ้ายที่ตอนนี้เนื้อตัวไม่ได้ผอมแห้งเหมือนอดีตอีกต่อไป เขากลับมีกล้ามเนื้อเหมือนทหารชั้นผู้น้อยขึ้นมาบ้าง “ข้าอยู่ในโรงเลี้ยงม้ากับนายท่านรอง งานหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก เงินที่คุณหนูมอบให้ข้า ข้าได้วานให้คนซื้อของกินของใช้มาให้ เอ่อ แต่ว่าเสื้อผ้าของนายท่านรองกับคุณชายใหญ่มีน้อย รวมถึงของท่านแม่กับน้องสาวของคุณหนูรอง เกรงว่าจะลำบากอยู่ไม่น้อย ท่านป้าเผิงว่าข้าควรบอกคุณหนูรองหรือไม่” หลินอ้ายรู้ว่าหลินซือเยว่มีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่เหตุใดนางถึงทำเหมือนไม่สนใจไยดีครอบครัวของตัวเอง เผิงฉือยิ้มบาง ๆ “คุณหนูของข้าลำบากอยู่ในอารามเต๋าตั้งสิบปี พวกเขาอยู่ที่นี่แค่สองสามเดือนเท่านั้น เฮอะ นี่เทียบกันได้ที่ไหน แต่เอาเถอะข้าจะบอกคุณหน
29 : ฉลองคืนข้ามปีด้วยกันครั้งแรก เสียงจุดประทัดจุดพลุดังขึ้น ท้องฟ้าสว่างไสวตามมา เหล่าบุรุษส่งเสียงให้ชนไหสุรากันอีกหน เถียนฮูหยินปรายตามองฮูหยินเฒ่า กำลังแจกจ่ายเกี๊ยวข้ามปีให้คนบ้านใหญ่ ความจริงเกี๊ยวยังพอเหลืออยู่บ้าง แต่นางกลับไม่ยอมแจกคนบ้านรอง “ท่านแม่มอบเกี๊ยวให้น้องรองกับซีฮันด้วยเถอะ” เป็นหลินเฉินที่เอ่ยขอกับมารดา ฮูหยินเฒ่ากลอกตาใส่บุตรชายคนโตเล็กน้อย จำใจให้เกี๊ยวแก่พวกเขาคนละหนึ่งชิ้น หลินเต๋อไม่กล้าแม้แต่จะกิน เขายัดเกี๊ยวเข้าปากของภรรยาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินเจ้ารีบกินเร็วเข้า” “ท่านพี่” เมื่อเกี๊ยวเข้าปากนางไปแล้ว มีหรือจะคายออกมาได้ หลินซีฮันแบ่งเกี๊ยวเป็นสองชิ้นน้อย ๆ มอบให้หลินซูฮวากับหลินซือเยว่คนละชิ้น “พวกเจ้ากินเถอะข้าไม่หิว” หลินซือเยว่ไม่รับ นางดันเกี๊ยวชิ้นนั้นกลับคืนเขาไป “ข้าไม่ได้อดอยากอย่างที่ท่านย่าเอ่ยมาจริง ๆ นั่นแหละ พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ” เพราะทุกคนมัวแต่สนใจเกี๊ยวในมือ กับเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลินซือเยว่ เมื่อนั่งไม่ได้ต้องยืนกินเกี๊ยวกันเช่นนี
30 : วันปีใหม่ คนบ้านรองตระกูลหลินนั้น รู้สึกเหมือนได้ฝันไป เมื่อคืนพวกเขาได้กินอาหารอย่างมีความสุข ได้หลับนอนในที่อุ่นสบาย หลินซูฮวาลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงนอน นางขยี้ตาแรง ๆ นึกว่าตาฝาดไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมาในกระโจมเหม็นอับเหมือนเช่นทุกวัน นางคลานลงจากเตียงอย่างตกใจ มองเห็นร่องรอยผ้าปูนอนที่ถูกพับเก็บอย่างดี “ซูฮวาเจ้าตื่นแล้วหรือ พี่สาวเจ้าเล่า” เถียนฮูหยินไม่ได้นอนหลับสบายมานานหลายเดือน จึงได้หลับลึกกว่าทุกคืนที่ผ่านมา “พี่รองกับป้าเผิงน่าจะตื่นแล้วเจ้าค่ะ” หลินซูฮวารีบปีนขึ้นไปบนเตียง “ท่านแม่พี่รองนางอยู่สุขสบายยิ่งนัก ทำไมนางไม่พาข้ากับท่านแม่มาอยู่ที่นี่ด้วย” เถียนฮูหยินขึงตามองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าพี่สาวของเจ้าสุขสบายรึ เช่นนั้นเจ้าลองถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไปอยู่ในอารามเต๋าตั้งแต่อายุห้าปีแทนนางดูสิ” หลินซูฮวาเพิ่งเคยเห็นมารดาตัวเองโกรธเช่นนี้ “ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว” เถียนฮูหยินจับมือบุตรสาวคนเล็กไว้ “ซูฮวาข้าไม่อยากให้เจ้าริษยาพี่สาวของเจ้า นางลำบากมาตลอดสิบปี ความลำบากของเจ้าแค่สามเดือน มีหรือจะเทียบนางได้ ยาม
31 : เทศกาลหยวนเซียว หลังเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไป การฉลองปีใหม่ได้สิ้นสุดลง ทุกคนกลับไปทำงานของตัวเองเหมือนเดิม ทว่าวันที่สิบห้าเดือนอ้าย เทศกาลหยวนเซียวก็มาเยือน หลินซือเยว่เคยเที่ยวงานเทศกาลหยวนเซียวที่อำเภอฝูมาก่อน ยามนั้นนางยังอยู่ในร่างเด็กสาว จึงไม่ได้รู้สึกสนุกสนานไปกับมันนัก แต่พอนึกถึงหลินซูฮวาขึ้นมา หากพาน้องสาวไปเที่ยวเทศกาลหยวนเซียวได้ ก็คงดีไม่น้อย “ไม่ดีแน่เจ้าค่ะ ลำพังคุณหนูไปคนเดียว ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะให้ไปไหม” เผิงฉือรีบปราม “ไม่ให้ไปหรอก” “เช่นนั้นคุณหนูยังคิดจะไปอีกหรือเจ้าคะ” เผิงฉือเสียงสูงอย่างตกใจ หลินซือเยว่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าจะหนีไป” “คุณหนู !” “หากหนีไปคงพาซูฮวาไปไม่ได้ ป้าเผิงเองก็ไปไม่ได้” “จะไปคนเดียวได้อย่างไร อันตรายนะเจ้าคะ ระยะทางตั้งสามสี่ลี้กว่าจะถึงตัวเมืองเหลียง” “ข้าจะขี่ม้าไป ป้าเผิงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หรือว่าท่านไม่เชื่อมือข้าว่างั้นเถอะ วรยุทธ์ที่ข้าฝึกฝนทุกวันนี้ ไม่เข้าตาท่านบ้างเลยหรือไร ฮึ ดูถูกข้าจริง ๆ” นางเหยียดปากพร้อมกอดอกอย่างไม่พอใจ “โถ่
32 : ค้างคืนจวนเหลียงอ๋อง เทศกาลหยวนเซียวปีนี้ ได้เกิดเรื่องร้ายขึ้น เรือของแม่ทัพเหลียนถูกคนลอบวางเพลิง คนร้ายต้องการสังหารเหลียงอ๋อง แต่ระหว่างต่อสู้กันอยู่นั้น เหลียงอ๋องเกิดทำให้สตรีนางหนึ่งตกลงไปในน้ำด้วย อีกทั้งยังอุ้มนางขึ้นฝั่งมา และขึ้นรถม้ากลับจวนเหลียงอ๋องไป มีบางคนเล่าให้เป็นเรื่องราวของวาสนาชะตารัก นี่ไม่ใช่ว่าเหลียงอ๋อง ต้องตบแต่งสตรีนางนั้นเข้าจวนหรอกหรือ เรือนรับรองจวนเหลียงอ๋อง หลินซือเยว่กำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ มีควันอุ่นลอยขึ้นด้านบนนางไม่เคยแช่น้ำที่ไหนสบายเท่านี้มาก่อน เดิมทีสาวใช้เหล่านั้น อยากเข้ามาช่วยนางผ่อนคลายด้วยการบีบนวด แต่นางไม่คุ้นเคยกับการอาบน้ำโดยมีผู้อื่นอยู่ด้วย จึงไล่พวกนางออกไปให้หมด พออาบน้ำเสร็จพวกนางก็เข้ามาช่วยสวมใส่เสื้อผ้าให้ พร้อมกับเช็ดผมให้จนแห้ง หลินซือเยว่นั่งรอจนเผลอหลับไป การทำผมให้แห้งในยุคนี้ ช่างเป็นเรื่องยากลำบากเสียจริง สายตานางมองไปที่เตียง พร้อมร่างกายที่วิงเวียนและทิ้งตัวลงนอน “ข้างนอกหิมะตกแล้ว” สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น “หิมะตก” หลินซือเยว่อยากกลอกตาใส่สภาพดินฟ้าอ
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา