26 : เก็บนางไว้ไม่ได้ ! องครักษ์ผู้หนึ่งไปล่าไก่ป่ามาได้ พอได้ต้มน้ำแกงไก่ให้ผู้เป็นนายได้ดื่ม ก่อนเที่ยงเซวียนหมิงยู่ก็ฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาได้ พอลงมาถึงทางแยกที่จะกลับไปยังเมืองเหลียง ส่วนอีกทางที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร ซึ่งมีระยะทางราวสองลี้เท่า ๆ กัน “คุณหนูหลินขอรับ ข้าคงต้องขอแยกตัวกับท่านตรงนี้” คนขับรถม้าเป็นคนของจวนคหบดีเมี่ยว เขามีหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางพาดดาบมาที่คอของเขา “ปิดปากเจ้าให้เงียบ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ชีวิตของเจ้าก็อย่าได้ถามหาอีกเลย” “ข้าน้อยมิกล้า ๆ” คนขับรถม้ารีบยกมือขึ้นโบกส่ายไปมา “เขาก็แค่คนขับรถม้า ชื่อแซ่ของพวกเจ้าเขายังไม่รู้จัก” หลินซือเยว่นึกเคืองคนเหล่านี้ “ไปได้แล้ว” ฮู่ตงหยางเก็บดาบ คนขับรถม้าก็โค้งคำนับให้หลินซือเยว่ จากนั้นก็เดินจากไปในทันที หลินซือเยว่หันมามองเซวียนหมิงยู่ คิ้วเฉียงดั่งคมดาบ ดวงตาดุจเหยี่ยว สันกรามคมชัด ใบหน้าดุจเทพเซียนลงมาจุติ คนผู้นี้พอได้ยืนตัวตรงแล้ว ความสูงคงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน นางเงยหน้ามองเขาจนเมื่อยคอไปหมด จึ
27 : สงครามไม่เกิดเร็ว ๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฤดูหนาว หลินเต๋อได้พบหน้าบุตรชายอีกครั้ง การทำงานในโรงเลี้ยงม้าจึงไม่ได้ยากลำบากอีกต่อไป เขากับบุตรชายและบ่าวตระกูลหลินบางคน ได้ทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดโรงม้า ส่วนพี่ชายกับบุตรชายของเขานั้นได้ทำหน้าที่ดูแลคลังอาวุธ “ซีฮันลำบากเจ้าแล้ว” หลินเต๋อเอ่ยกับบุตรชาย ที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากเขาในวัยหนุ่มเลย “ไม่ได้ลำบากอันใดหรอกท่านพ่อ ตอนอยู่เมืองหลู่ข้าก็ทำหน้าที่นายทหารชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว” “ได้ข่าวว่าที่นั่นเป็นกองทัพของแม่ทัพโจว ตอนที่น้องสาวของเจ้าจะได้แต่งงานกับคุณชายโจว ข้ายังคิดว่าอนาคตของเจ้า ต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ไหนเลยจะคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้” หลินเต๋อกวาดมูลม้าไปบ่นไป “เสียดายที่ข้าไม่ได้เจอหน้าน้องรอง” เอ่ยถึงน้องสาวผู้อาภัพคนนี้ หลินซีฮันมีสีหน้าหมองหม่นลง “นางไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แม่ทัพเหลียนผู้นี้นับว่าไม่เลว ให้สตรียังสาวทำงานหน่วยเสบียง เห็นแม่ของเจ้าบอกกับหลินอ้ายมา เยว่เอ๋อร์ได้ไปอยู่ที่โรงสมุนไพรกับเผิงฉือ อ้อ เผิงฉือคือคนที่เลี้ยงดูนางตอนอยู่อารามเต๋า”
28 : คืนส่งท้ายปี หลินอ้ายได้รับมอบหมายให้มาส่งข่าวที่โรงสมุนไพร ว่าทางตระกูลหลินได้รับอนุญาต ให้รวมตัวกันไหว้บรรพบุรุษในช่วงคืนส่งท้ายปีได้ ทหารส่วนใหญ่ต่างกลับไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัว เหลือเพียงบางส่วนที่ต้องอยู่ทำหน้าที่ กับเหล่านักโทษทั้งหลาย “ได้ข้าจะบอกคุณหนูให้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เผิงฉือมองหลินอ้ายที่ตอนนี้เนื้อตัวไม่ได้ผอมแห้งเหมือนอดีตอีกต่อไป เขากลับมีกล้ามเนื้อเหมือนทหารชั้นผู้น้อยขึ้นมาบ้าง “ข้าอยู่ในโรงเลี้ยงม้ากับนายท่านรอง งานหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก เงินที่คุณหนูมอบให้ข้า ข้าได้วานให้คนซื้อของกินของใช้มาให้ เอ่อ แต่ว่าเสื้อผ้าของนายท่านรองกับคุณชายใหญ่มีน้อย รวมถึงของท่านแม่กับน้องสาวของคุณหนูรอง เกรงว่าจะลำบากอยู่ไม่น้อย ท่านป้าเผิงว่าข้าควรบอกคุณหนูรองหรือไม่” หลินอ้ายรู้ว่าหลินซือเยว่มีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่เหตุใดนางถึงทำเหมือนไม่สนใจไยดีครอบครัวของตัวเอง เผิงฉือยิ้มบาง ๆ “คุณหนูของข้าลำบากอยู่ในอารามเต๋าตั้งสิบปี พวกเขาอยู่ที่นี่แค่สองสามเดือนเท่านั้น เฮอะ นี่เทียบกันได้ที่ไหน แต่เอาเถอะข้าจะบอกคุณหน
29 : ฉลองคืนข้ามปีด้วยกันครั้งแรก เสียงจุดประทัดจุดพลุดังขึ้น ท้องฟ้าสว่างไสวตามมา เหล่าบุรุษส่งเสียงให้ชนไหสุรากันอีกหน เถียนฮูหยินปรายตามองฮูหยินเฒ่า กำลังแจกจ่ายเกี๊ยวข้ามปีให้คนบ้านใหญ่ ความจริงเกี๊ยวยังพอเหลืออยู่บ้าง แต่นางกลับไม่ยอมแจกคนบ้านรอง “ท่านแม่มอบเกี๊ยวให้น้องรองกับซีฮันด้วยเถอะ” เป็นหลินเฉินที่เอ่ยขอกับมารดา ฮูหยินเฒ่ากลอกตาใส่บุตรชายคนโตเล็กน้อย จำใจให้เกี๊ยวแก่พวกเขาคนละหนึ่งชิ้น หลินเต๋อไม่กล้าแม้แต่จะกิน เขายัดเกี๊ยวเข้าปากของภรรยาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินเจ้ารีบกินเร็วเข้า” “ท่านพี่” เมื่อเกี๊ยวเข้าปากนางไปแล้ว มีหรือจะคายออกมาได้ หลินซีฮันแบ่งเกี๊ยวเป็นสองชิ้นน้อย ๆ มอบให้หลินซูฮวากับหลินซือเยว่คนละชิ้น “พวกเจ้ากินเถอะข้าไม่หิว” หลินซือเยว่ไม่รับ นางดันเกี๊ยวชิ้นนั้นกลับคืนเขาไป “ข้าไม่ได้อดอยากอย่างที่ท่านย่าเอ่ยมาจริง ๆ นั่นแหละ พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ” เพราะทุกคนมัวแต่สนใจเกี๊ยวในมือ กับเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลินซือเยว่ เมื่อนั่งไม่ได้ต้องยืนกินเกี๊ยวกันเช่นนี
30 : วันปีใหม่ คนบ้านรองตระกูลหลินนั้น รู้สึกเหมือนได้ฝันไป เมื่อคืนพวกเขาได้กินอาหารอย่างมีความสุข ได้หลับนอนในที่อุ่นสบาย หลินซูฮวาลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงนอน นางขยี้ตาแรง ๆ นึกว่าตาฝาดไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมาในกระโจมเหม็นอับเหมือนเช่นทุกวัน นางคลานลงจากเตียงอย่างตกใจ มองเห็นร่องรอยผ้าปูนอนที่ถูกพับเก็บอย่างดี “ซูฮวาเจ้าตื่นแล้วหรือ พี่สาวเจ้าเล่า” เถียนฮูหยินไม่ได้นอนหลับสบายมานานหลายเดือน จึงได้หลับลึกกว่าทุกคืนที่ผ่านมา “พี่รองกับป้าเผิงน่าจะตื่นแล้วเจ้าค่ะ” หลินซูฮวารีบปีนขึ้นไปบนเตียง “ท่านแม่พี่รองนางอยู่สุขสบายยิ่งนัก ทำไมนางไม่พาข้ากับท่านแม่มาอยู่ที่นี่ด้วย” เถียนฮูหยินขึงตามองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าพี่สาวของเจ้าสุขสบายรึ เช่นนั้นเจ้าลองถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไปอยู่ในอารามเต๋าตั้งแต่อายุห้าปีแทนนางดูสิ” หลินซูฮวาเพิ่งเคยเห็นมารดาตัวเองโกรธเช่นนี้ “ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว” เถียนฮูหยินจับมือบุตรสาวคนเล็กไว้ “ซูฮวาข้าไม่อยากให้เจ้าริษยาพี่สาวของเจ้า นางลำบากมาตลอดสิบปี ความลำบากของเจ้าแค่สามเดือน มีหรือจะเทียบนางได้ ยาม
31 : เทศกาลหยวนเซียว หลังเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไป การฉลองปีใหม่ได้สิ้นสุดลง ทุกคนกลับไปทำงานของตัวเองเหมือนเดิม ทว่าวันที่สิบห้าเดือนอ้าย เทศกาลหยวนเซียวก็มาเยือน หลินซือเยว่เคยเที่ยวงานเทศกาลหยวนเซียวที่อำเภอฝูมาก่อน ยามนั้นนางยังอยู่ในร่างเด็กสาว จึงไม่ได้รู้สึกสนุกสนานไปกับมันนัก แต่พอนึกถึงหลินซูฮวาขึ้นมา หากพาน้องสาวไปเที่ยวเทศกาลหยวนเซียวได้ ก็คงดีไม่น้อย “ไม่ดีแน่เจ้าค่ะ ลำพังคุณหนูไปคนเดียว ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะให้ไปไหม” เผิงฉือรีบปราม “ไม่ให้ไปหรอก” “เช่นนั้นคุณหนูยังคิดจะไปอีกหรือเจ้าคะ” เผิงฉือเสียงสูงอย่างตกใจ หลินซือเยว่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าจะหนีไป” “คุณหนู !” “หากหนีไปคงพาซูฮวาไปไม่ได้ ป้าเผิงเองก็ไปไม่ได้” “จะไปคนเดียวได้อย่างไร อันตรายนะเจ้าคะ ระยะทางตั้งสามสี่ลี้กว่าจะถึงตัวเมืองเหลียง” “ข้าจะขี่ม้าไป ป้าเผิงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หรือว่าท่านไม่เชื่อมือข้าว่างั้นเถอะ วรยุทธ์ที่ข้าฝึกฝนทุกวันนี้ ไม่เข้าตาท่านบ้างเลยหรือไร ฮึ ดูถูกข้าจริง ๆ” นางเหยียดปากพร้อมกอดอกอย่างไม่พอใจ “โถ่
32 : ค้างคืนจวนเหลียงอ๋อง เทศกาลหยวนเซียวปีนี้ ได้เกิดเรื่องร้ายขึ้น เรือของแม่ทัพเหลียนถูกคนลอบวางเพลิง คนร้ายต้องการสังหารเหลียงอ๋อง แต่ระหว่างต่อสู้กันอยู่นั้น เหลียงอ๋องเกิดทำให้สตรีนางหนึ่งตกลงไปในน้ำด้วย อีกทั้งยังอุ้มนางขึ้นฝั่งมา และขึ้นรถม้ากลับจวนเหลียงอ๋องไป มีบางคนเล่าให้เป็นเรื่องราวของวาสนาชะตารัก นี่ไม่ใช่ว่าเหลียงอ๋อง ต้องตบแต่งสตรีนางนั้นเข้าจวนหรอกหรือ เรือนรับรองจวนเหลียงอ๋อง หลินซือเยว่กำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ มีควันอุ่นลอยขึ้นด้านบนนางไม่เคยแช่น้ำที่ไหนสบายเท่านี้มาก่อน เดิมทีสาวใช้เหล่านั้น อยากเข้ามาช่วยนางผ่อนคลายด้วยการบีบนวด แต่นางไม่คุ้นเคยกับการอาบน้ำโดยมีผู้อื่นอยู่ด้วย จึงไล่พวกนางออกไปให้หมด พออาบน้ำเสร็จพวกนางก็เข้ามาช่วยสวมใส่เสื้อผ้าให้ พร้อมกับเช็ดผมให้จนแห้ง หลินซือเยว่นั่งรอจนเผลอหลับไป การทำผมให้แห้งในยุคนี้ ช่างเป็นเรื่องยากลำบากเสียจริง สายตานางมองไปที่เตียง พร้อมร่างกายที่วิงเวียนและทิ้งตัวลงนอน “ข้างนอกหิมะตกแล้ว” สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น “หิมะตก” หลินซือเยว่อยากกลอกตาใส่สภาพดินฟ้าอ
33 : เจ้ามักจะมาพร้อมกับคนร้าย ยามนี้เซวียนหมิงยู่สวมรัดเกล้าสีทอง อาภรณ์เป็นผ้าไหมสีม่วงตัดกับดำ ทุกอย่างบนเรือนร่างแลดูสูงส่ง รัศมีของราชวงศ์ยิ่งเปล่งประกาย จนนางหายใจติดขัด แอบก่นด่าปรมาจารย์ในใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตรึ เหตุใดข้าในตอนนี้ ถึงได้ถูกรัศมีผู้อื่นข่มได้เล่า “ท่านอ๋องข้ามาลาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยทั้งที่ตัวเองยังยืนอยู่ด้านนอกศาลา “เข้ามา” เซวียนหมิงยู่ส่งสายตาเกียจคร้านมองนาง ก็ได้ข้าเข้าไปก็ได้ ไม่ต้องมาทำตาขวางใส่ข้าเช่นนี้ หลินซือเยว่ก้าวขาขึ้นไปอยู่บนศาลาริมน้ำ นางนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเซวียนหมิงยู่อย่างไม่เกรงใจ ข้าเป็นคนในยุคปัจจุบัน ทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน หากคิดเช่นนี้ข้าก็จะสบายใจขึ้น “หลินซือเยว่” อืม ชื่อข้าเองแหละ นางรู้ว่าไม่อาจปิดบังสายตาจิ้งจอกของเขาได้แน่ เมื่อคืนยังอาศัยแสงสว่างน้อยนิดหลีกเลี่ยงได้ แต่ยามนี้ท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดดมากกว่าทุกวัน ไหนเลยจะหนีรอดสายตาเขาไปได้ “เจ้าไม่ประหลาดใจเช่นนี้ คงรู้จักข้าดีเหมือนกันล่ะสิ” เซวียนหมิงยู่หรี่ตาลงเล็กน้อย สต
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา