“ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี
“คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน
“หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้”
“ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้
“สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง
“เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือดหมาดำหรือจะสู้เลือดอดีตปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ วาดยันต์ทำลายล้างผีร้ายอย่างรวดเร็ว นำยันต์ที่วาดวางลงบนเศษกำไลหยกโลหิต แม้กำไลจะแตกไปแล้วแต่ยังไม่ถูกทำลาย ผีร้ายยังยึดติดไปไหนไม่ได้
หลินซือเยว่ปากท่องคาถามือประกบร่ายวิชา เหล่าผีร้ายรู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว พากันสร้างลมพายุขึ้นภายในห้อง โต๊ะเก้าอี้เคลื่อนตัวตามแรงลม แต่ถูกหลินซือเยว่ใช้พลังต้านทานเอาไว้ สิ่งของเหล่านั้นจึงไม่สามารถ ทำอันตรายคนที่อยู่ในห้องนี้ได้
นางร่ายคาถามากด้วยพลังเวท ก่อนชี้ปลายนิ้วไปที่ยันต์ทำลายล้าง ไม่ช้าเพลิงก็ลุกเผาไหม้ขึ้น เหล่าผีร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน เหมือนหลินซือเยว่ยังไม่สาแก่ใจ นางเพิ่มพลังแห่งเพลิงให้เผาไหม้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปกับตา วิญญาณร้ายสลายเป็นควันหายไปในอากาศ
“แม่ทัพเหลียนข้าจงใจเผาเพลิงให้มากกว่าปกติ คาดว่าเรือนของคนผู้นั้นคงถูกเผาไม่มากก็น้อย แต่วางใจได้ข้าจำกัดให้ไฟไหม้แค่รอบ ๆ ตัวคนผู้นั้น ไฟไม่อาจลามไปยังห้องหรือเรือนผู้อื่นได้” นางเอ่ยเป็นนัยให้รู้ ว่าคนร้ายยามนี้กำลังเจอกับภัยร้ายอยู่ ซึ่งหากอยู่ในเมืองเหลียงแห่งนี้ คงหาตัวได้ไม่ยากนัก
จวนแห่งหนึ่งในเมืองเหลียง
ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังถูกไฟไหม้ลามไปทั้งตัว ทำให้ภายในห้องที่เขาพักอาศัยถูกไฟไหม้ตามไปด้วย เป็นไฟอาคมที่ใช้น้ำดับไม่ได้ ผู้เฒ่ารีบวิ่งออกจากห้อง เพื่อหาแหล่งน้ำแล้วร่ายคาถาดับไฟ แต่กว่าจะดับได้เนื้อตัวก็ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่ง ซ้ำห้องที่พักอาศัยยังถูกไฟไหม้จนเกือบหมด
“ใครมันบังอาจทำลายอาคมข้า !” เลือดก้อนโตถูกพ่นออกมา หลังจากนั้นผู้เฒ่าคนนี้ก็หมดสติลงไป
ภายในห้องนอนของหยางเฉินฟู่ ทุกอย่างสงบลงความหนาวยะเยือกหายไป เหลือเพียงไออุ่นของเตียงเตา หลินซือเยว่บอกให้ทั้งคู่แก้มัดบุตรชายได้ พวกเขารีบพาร่างอันไร้กำลังของหยางเฉินฟู่ กลับไปวางนอนลงบนเตียง
เมิ่งฮูหยินรู้สึกไม่วางใจ “คุณหนูหลิน”
“ข้ากำจัดวิญญาณร้ายไปแล้ว”
“นับเป็นเรื่องดี ขอบคุณคุณหนูหลินมาก” เมิ่งฮูหยินรีบเอ่ยคำขอบคุณ แต่แววตาของนางยังเศร้าสลดอยู่
หลินซือเยว่หันไปมองคนบนเตียงนอน “คุณชายหยางถูกวิญญาณร้ายครอบงำมานับเดือน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายเลยผ่ายผอม ฮูหยินเชิญท่านหมอมารักษาอาการป่วยของคุณชายหยางเถิด”
เมิ่งฮูหยินหันไปมองหน้าสามีตนเองเล็กน้อย
“ข้ากำจัดภูตผีได้ แต่เรื่องการรักษานั้น ให้หมอที่เชี่ยวชาญทำเถอะ อีกอย่างข้าเป็นแค่นักโทษถูกเนรเทศมาชายแดน หากต้องเข้า ๆ ออก ๆ จวนแม่ทัพเหลียนทุกวัน คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก” นางคิดเผื่อเชื่อเสียงของแม่ทัพเหลียนด้วย
“ฮูหยินทำตามที่คุณหนูหลินบอกเถอะ”
“ได้เจ้าค่ะท่านพี่” เมิ่งฮูหยินหันไปบอกแม่นมให้คนไปตามท่านหมอ มาดูอาการของบุตรชายเป็นการเร่งด่วน
หลินซือเยว่เดินเข้าไปหาคนบนเตียงนอน นางล้วงหยิบยันต์รูปสามเหลี่ยมออกมาสองใบ ยัดใส่อกเสื้อของหยางเฉินฟู่
“ดวงวิญญาณค่อนข้างอ่อนแรง พกยันต์แคล้วคลาดกับยันต์รักษาโรคภัย ช่วยป้องกันไม่ให้ดวงวิญญาณหลุดลอย และยังเสริมพลังหยินหยางให้สมดุล ร่างกายแข็งแรงในเร็ววัน”
“ขอบคุณคุณหนูหลินมาก” ยามนี้แม่ทัพเหลียนเริ่มศรัทธาในหลักวิชาเต๋า เพราะได้เห็นพิธีการขับไล่สิ่งชั่วร้ายด้วยตัวเอง สีหน้าบุตรชายของเขายังมีเลือดฝาดปรากฏ ไม่ได้ซีดเผือดราวผีดิบเหมือนก่อนหน้า
“ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเดินเข้ามารายงาน
หลินซือเยว่หลบทางให้ท่านหมอได้จับชีพจรคนบนเตียง ท่านหมอใช้เวลาอยู่นาน ก่อนมีสีหน้าผ่อนคลายลง หันมาทางแม่ทัพเหลียน “ท่านแม่ทัพท่านได้หมอเทวดาที่ไหน มารักษาอาการให้คุณชายหยาง ชีพจรถึงได้เต้นเป็นปกติ เพียงแค่อ่อนแรงเท่านั้น ไม่ได้อันตรายเหมือนก่อนหน้า”
แม่ทัพเหลียนกับเมิ่งฮูหยินหันไปมองทางหลินซือเยว่เป็นสายตาเดียวกัน
“แม่นางน้อยผู้นี้รึ”
“ข้าไม่ใช่หมอ ข้าใช้หลักแห่งเต๋ามาขจัดสิ่งอัปมงคลเท่านั้น การรักษาหลังจากนี้เชิญท่านหมอรักษาได้ตามปกติ” ความรู้ด้านการรักษานางย่อมเป็นเลิศ เพียงแต่นางใช้พลังงานไปค่อนข้างมาก ยามนี้ง่วงนอนเต็มทน
“เช่นนั้นข้าคงต้องฝังเข็มให้คุณชายก่อน กินยาต้มควบคู่กันไปด้วย” ท่านหมอเอ่ยกับบิดามารดาของผู้ป่วย จากนั้นก็ส่งเทียบยาให้เมิ่งฮูหยิน ก่อนหันไปฝังเข็มให้หยางเฉินฟู่บนเตียง
เมิ่งฮูหยินส่งสายตาให้หลินซือเยว่ตามนางออกไปนอกห้อง ยื่นเทียบยาให้หลินซือเยว่ดู “คุณหนูหลินไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านหมอ เพียงแต่อยากมั่นใจว่าเทียบยานี้ ไม่มีอะไรผิดปกติเท่านั้น”
หลินซือเยว่รับเทียบยามาอ่านดู “เทียบยานี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแต่ร่างกายของคุณชายอ่อนแอ เพราะขาดสารอาหารมาหลายวัน เจ็ดวันแรกให้กินข้าวต้มรสอ่อน ๆ ไปก่อน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มพวกโสมบำรุงร่างกาย ทางที่ดีควรปรึกษากับท่านหมออีกทาง โสมบางตัวมีฤทธิ์ร้อน อาจไม่ถูกกับอาการป่วยของคุณชายหยาง”
“ขอบคุณคุณหนูหลินที่ชี้แนะ แม่นมให้คนไปซื้อยาตามนี้” เมิ่งฮูหยินยื่นเทียบยาให้แม่นมของตนเอง จากนั้นเชิญหลินซือเยว่เข้าไปในเรือนพักรับรอง
“หากข้าจะขอนอนพักที่นี่สักสองชั่วยาม พอจะเป็นไปได้ไหม” หลินซือเยว่เอ่ยออกไป พลันเห็นหัวคิ้วของเมิ่งฮูหยินขมวดเข้าหากันแน่ จึงรีบเอ่ยชี้แจง“ปกติข้ากำจัดวิญญาณร้ายครั้งละดวงสองดวง หนนี้ข้ากำจัดทีเดียวสิบเอ็ดดวง ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อน หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจ”
ได้ยินเหตุผลของนาง เมิ่งฮูหยินเป็นอันเข้าใจได้ในทันที “ได้แน่นอน คุณหนูหลินท่านนอนหลับพักผ่อนให้สบาย ข้าจะสั่งให้บ่าวไพร่ เตรียมอาหารให้ยามท่านตื่นนอน”
“ข้าไม่รบกวนท่านนานหรอก” นางเอ่ยเท่านั้นก็หมุนตัวเข้าไปในห้องนอน ปีนขึ้นเตียงแล้วหลับสนิทในทันที
เมิ่งฮูหยินอดตะลึงไม่ได้ นางเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นว่าหลินซือเยว่หลับไปแล้วจริง ๆ จึงได้ปิดประตูแล้วเดินออกไป ไม่วายกำชับสาวใช้ให้คอยดูแลอยู่หน้าประตูห้องนอน
นางเดินออกมายังห้องโถงของเรือนหลัก พบสามีกำลังนั่งทำหน้าดำทะมึนอยู่ ด้านข้างมีทหารนายหนึ่งคำนับรายงาน ครั้นเห็นนางเดินมา นายทหารผู้น้อยก็ขอตัวลาในทันที
“ฮูหยินคุณหนูหลินล่ะ” แม่ทัพเหลียนเงยหน้าขึ้นมาถาม
“นางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าคราวนี้ขับไล่วิญญาณผีร้ายไปถึงสิบเอ็ดดวง ร่างกายเลยอ่อนล้าต้องการพักผ่อน สักสองชั่วยาม นางหัวถึงหมอนก็หลับไปเลยเจ้าค่ะ”
“นางอายุเท่านี้แต่มากความสามารถเหลือเกิน คนของอารามเต๋านั้นดูแคลนไม่ได้จริง ๆ มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เลย คราวนี้โชคดียิ่งนักหากนางไม่เดือดร้อน คงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเรา”
“คงเป็นวาสนาของพวกเราเจ้าค่ะ ว่าแต่เมื่อครู่มีเรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าคะ ข้าเห็นท่านพี่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก”
“เฮอะ จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะ เรือนพี่สาวข้าเกิดไฟไหม้ ตอนนี้ทหารกำลังไปช่วยกันดับไฟอยู่ คนของข้ามารายงานว่าเรือนที่ไฟไหม้นั้น มีนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งอาศัยอยู่ ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ตอนนี้พี่สาวของข้ากำลังตามหมอมารักษาให้”
เมิ่งฮูหยินพอจะรู้สาเหตุของเรื่องไฟไหม้ นางจำคำพูดของหลินซือเยว่ได้ดี “นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ เหตุใดพี่สาวของท่านพี่ถึงได้มุ่งร้ายกับฟู่เอ๋อร์ของเราได้”
แม่ทัพเหลียนหลับตาลงแน่น ๆ พี่สาวของตนทำเช่นนี้เพราะรู้ว่าเขามีบุตรชายแค่คนเดียว หากไม่มีหยางฟู่เฉินสักคน ทรัพย์สมบัติ หรือกระทั่งตำแหน่งหน้าที่การงาน คงได้ยกให้แก่บุตรชายของนางเป็นแน่
ท่านพี่ท่านละโมบเกินไปแล้ว
สองชั่วยามผ่านไปหลินซือเยว่ได้ตื่นขึ้นมา ร่างกายของนางยังอ่อนเพลีย แต่ไม่มากเหมือนเช่นตอนก่อนนอน เมิ่งฮูหยินให้คนนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ รอกระทั่งนางกินอิ่มถึงได้ให้คนไปเชิญแม่ทัพเหลียนมา นางไม่สนใจว่าจวนแม่ทัพเหลียนจะจัดการกับคนมุ่งร้ายอย่างไร นางสนใจเพียงแค่ว่า แม่ทัพเหลียนผู้นี้จะรักษาคำพูดหรือไม่
“คุณหนูหลินข้าเพียงไม่เข้าใจ เจ้าช่วยเหลือตระกูลหลินข้าไม่ว่า แต่เหตุใดถึงต้องช่วยตระกูลหยางด้วยเล่า” แม่ทัพเหลียนเอ่ยในเรื่องที่ตนไม่เข้าใจ
หลินซือเยว่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้าหลินซือเยว่มีกฎอยู่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือข้า ไม่ช่วยคนเลว”
แม่ทัพเหลียนพลันยืดอกขึ้นตรงในทันที ไม่ช่วยคนเลวอย่างนั้นรึ นั่นหมายความว่าตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ไม่ใช่คนเลว แต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่
“ได้ข้าจะมอบงานที่เหมาะสมให้กับพวกเจ้าเอง”
“แม่ทัพเหลียนท่านไม่คิดว่านางบำเรอทหารในค่าย เป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรอกรึ หากตรองให้ดีวันใดวันหนึ่งตระกูลของท่าน หรือของผู้อื่นถูกคนให้ร้าย จนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นข้า ท่านลองตรองดูให้ดีก็แล้วกัน ยกเลิกได้ก็ยกเลิกเถอะ”
หลินซือเยว่ทิ้งคำพูดไว้ให้แม่ทัพเหลียนคิดเอาเอง จากนั้นนายทหารคนเดิมก็พานางขี่ม้ากลับเข้าค่ายไป พร้อมกับสั่งคนที่ดูแลกระโจมไม่ต้องให้นางทำงานอีก หลินซือเยว่จึงได้นอนหลับไปตลอดช่วงบ่าย
หลินจื่อรั่วที่ซักผ้าจนมือเปื่อย กลับมาในกระโจมเห็นอีกคนนอนหลับอย่างสบายใจ นางก็ไม่สบอารมณ์ในทันที แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจนาง เพราะแต่ละคนกำลังห่วงมือที่แห้งเหี่ยวจากการถูกน้ำเย็น ๆ ตลอดทั้งวัน
“หึ กลับมาหมดเรี่ยวแรงเช่นนี้ คงเจอศึกหนักมาล่ะสิท่า” นางทำได้เพียงแค่เอ่ยลอย ๆ เท่านั้น
20 : ข้าอยากทำงานที่โรงสมุนไพร รุ่งขึ้นนักโทษสตรีที่มาใหม่ ถูกเรียกมารวมตัวกันหน้ากระโจม ทุกคนต่างหวาดผวาว่าจะถูกสั่ง ให้ไปทำหน้าที่นางบำเรอวันนี้เลยหรือไม่ แต่ทหารที่มาแจ้งข่าวนั้น กลับบอกว่าพวกนางไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ให้ย้ายไปทำงานกับคนในตระกูลของตัวเอง เหล่าสตรีทั้งหลายพากันปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินซือเยว่ที่ยืนสัปหงกอยู่เพียงลำพัง คล้ายว่านางนอนเท่าใดก็ไม่อิ่มเสียที "พี่สะใภ้ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” หลินจื่อรั่วหันไปเขย่ามือจูหวังลี่แรง ๆ “คุณหนูรองเรื่องจริงเจ้าค่ะ” อนุหลิวหันมายิ้มอย่างดีใจ “เก็บของแล้วตามทหารไปยังที่พักใหม่ของพวกเจ้า” ทหารผู้นำข่าวดีมาบอก ตะโกนให้ทุกคนออกไปเก็บของของตัวเองได้ “เจ้าว่าคนไหนคือคุณหนูหลินที่ท่านแม่ทัพให้ดูแลดี ๆ นะ” เขาหันไปกระซิบกับทหารคนด้านข้าง “คุณหนูที่ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังนั่นไง” ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่ “คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่ “เจ้าเป็นใคร” “ข้านายกองลู่ ลู่เสี่ยวเฟิงขอรับ” เขากำหมัดคารวะหลินซือเยว่ด้วยค
21 : นายท่านเมี่ยวผู้นี้ร่ำรวยหรือไม่ ตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ต่างถูกเนรเทศมาอยู่ค่ายทหารเมืองเหลียงได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามวันแรกพวกเขาต่างได้รับคำสั่งให้ทำงานหนัก แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้น แม่ทัพเหลียนมีคำสั่งให้พวกเขา ทำงานตามความเหมาะสม และห้ามทหารในค่ายรังแกพวกเขาอีกด้วย แต่ใช่ว่าทหารทุกคนจะฟังคำสั่ง เมื่อรังแกพวกเจ้านายไม่ได้ ก็แอบทุบตีพวกบ่าวไพร่แทน พอรู้ถึงหูของแม่ทัพเหลียนทหารนายนั้นก็ถูกทำโทษในทันที จึงทำให้ทหารในค่ายไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาอีก เรือนพักแม่ทัพเหลียน แม่ทัพเหลียนกำลังต้อนรับสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งอยู่ในห้องรับรอง ทหารรับใช้รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขก “เหตุใดนายท่านเมี่ยวถึงได้มาหาข้าถึงค่ายทหารได้ล่ะ” คหบดีเมี่ยว เมี่ยวป๋อหลิน ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ชาดี ๆ” เอ่ยชมแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของชายชราแลดูไม่สดชื่น คล้ายมีบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ “นายท่านเมี่ยว มีอันใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ท่านกับข้าคบหากันมานับสิบปี อย่าได้เกรงใจไปเลย” คหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหลียง ไหนเลยจะเคยแบกหน
22 : นังแพศยา ! “เอาล่ะ ถึงแม้นางไม่คู่ควรให้ข้าช่วยเหลือ แต่ว่ายังมีผู้อื่นที่คู่ควรอยู่” นางเอ่ยเสร็จก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผายมือเหมือนเชิญใครสักคนให้มานั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปด้านหน้า “ดื่มน้ำชาก่อน” วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ก้มหน้าแลบลิ้นดื่มน้ำชาจากถ้วย แม้ลิ้นของนางจะยาวไปเสียหน่อย แต่หลินซือเยว่มองเป็นเรื่องปกติ “คุณหนูหลินเจ้าเอ่ยกับผู้ใด” เมี่ยวฮูหยินเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของนาง ราวกับว่านางกำลังนั่งดื่มชากับใครสักคนจริง ๆ หลินซือเยว่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที “ตรงหน้าของข้า มีวิญญาณสตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งนั่งอยู่ ข้าแค่มอบน้ำชาให้นางแก้กระหาย จากนั้นจะได้รู้กัน ว่าเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดฮูหยินรองของนายท่านเมี่ยวได้” “มีผี อ๊าย !” สาวใช้บางคนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกันหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงกกันไปหมด ฮูหยินรองที่อยู่บนเตียงเองก็หันหลังเข้าผนังห้อง ไม่กล้ามองมาทางนี้อีกเลย “นายท่านเมี่ยวฮูหยินรองมีอาก
23 : เตาอุ่นมือยี่สิบตำลึงสนใจหรือไม่ หลินซือเยว่ให้ทหารติดตามนางไปแค่คนเดียว คหบดีเมี่ยวไม่ได้กลัวว่านางจะหนี ลำพังความสามารถเช่นนาง มีหรือจะทำไม่ได้ ตระกูลหลินทั้งตระกูลอยู่ในค่ายทหาร ยากนักที่นางจะหลบหนีไปเพียงลำพัง เขาจึงให้นายกองลู่ติดตามนางไป “ดูเจ้ามีความสุขนะนายกองลู่” “ได้ติดตามคุณหนูหลินผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจะไม่สุขได้เล่า” นายกองลู่ถูกส่งมารับตัวหลินซือเยว่ที่จวนคหบดีเมี่ยว เขาจึงได้ทราบข่าวจากบ่าวไพร่ในจวน ว่าหลินซือเยว่คลี่คลายปัญหาในเรือนฮูหยินรองได้แล้ว แม้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเขาก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าทำงานสำเร็จเป็นพอ “เหตุใดหิมะถึงตกหนักอีกแล้วล่ะ ข้าว่าจะแวะไปซื้อกระดาษเหลืองเสียหน่อย” หลินซือเยว่บ่นหลังเห็นหิมะโปรยปรายลงมา นายกองลู่ตาโต กระดาษเหลือง ! “คุณหนูหลินท่านเคยคิดจะวาดยันต์ขายหรือไม่ ทหารในค่ายต้องควักเงินซื้อแน่ ๆ” “นายกองลู่ยันต์ของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ในทางนั้น อีกอย่างหากไม่ได้มีวาสนาต่อกันจริง ข้าไม่มีทางมอบยันต์ให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนั้น” ยกเว้นยามข้ายากจนข้นแค้น นายกองลู่คอตกใน
24 : ถูกลอบโจมตี ยามโฉ่ว (01.00-02.59) ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย “คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ “เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง “ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง “ขอรับ ๆ” ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น” สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน” สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอ
25 : เจ้าคนสารเลว ! พายุหิมะได้ผ่านพ้นไป รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาเยือน หลินซือเยว่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม นางรู้สึกมีกำลังวังชามากขึ้น พลางนึกถึงตัวเองในหลายวันที่ผ่านมานี้ นางมีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าปรมาจารย์ในอดีต เพราะความที่เป็นคนสามโลก นางจึงเหมือนยืนอยู่กลางทางแยกสามทาง จิตวิญญาณยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้บางครั้งนางมีนิสัยเย็นชาเหมือนปรมาจารย์ แต่บางคราวก็มีอารมณ์ขันบ้างเล็กน้อยเหมือนคนยุคปัจจุบัน และยังมีอาการเหม่อลอยร่างกายไม่ขยับของเด็กปัญญาอ่อนอยู่ หวังว่าสักวันหนึ่งนางจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “คุณหนูหลินท่านตื่นแล้วหรือ พวกเราต้องรีบกลับค่ายแล้วล่ะ ดีไม่ดีตอนนี้คนที่นั่น อาจคิดว่าท่านหนีไปแล้วก็ได้” นายกองลู่ขาดการติดต่อกับทางค่ายทหารเมืองเหลียง เขาเป็นกังวลว่าแม่ทัพเหลียนจะส่งคนออกตามหา แล้วตนเองจะมีความผิดใหญ่โต “นี่เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเอง เจ้าวางใจเถอะเก็บของแล้วไปบอกคนขับรถม้า ว่าเราจะออกเดินทางด้วยเท้ากลับไปที่ค่ายกัน จากนั้นค่อยให้คนไปส่งเขากลับ แต่หากเขาอยากย้อนกลับไปที่เมืองเหลีย
26 : เก็บนางไว้ไม่ได้ ! องครักษ์ผู้หนึ่งไปล่าไก่ป่ามาได้ พอได้ต้มน้ำแกงไก่ให้ผู้เป็นนายได้ดื่ม ก่อนเที่ยงเซวียนหมิงยู่ก็ฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาได้ พอลงมาถึงทางแยกที่จะกลับไปยังเมืองเหลียง ส่วนอีกทางที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร ซึ่งมีระยะทางราวสองลี้เท่า ๆ กัน “คุณหนูหลินขอรับ ข้าคงต้องขอแยกตัวกับท่านตรงนี้” คนขับรถม้าเป็นคนของจวนคหบดีเมี่ยว เขามีหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางพาดดาบมาที่คอของเขา “ปิดปากเจ้าให้เงียบ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ชีวิตของเจ้าก็อย่าได้ถามหาอีกเลย” “ข้าน้อยมิกล้า ๆ” คนขับรถม้ารีบยกมือขึ้นโบกส่ายไปมา “เขาก็แค่คนขับรถม้า ชื่อแซ่ของพวกเจ้าเขายังไม่รู้จัก” หลินซือเยว่นึกเคืองคนเหล่านี้ “ไปได้แล้ว” ฮู่ตงหยางเก็บดาบ คนขับรถม้าก็โค้งคำนับให้หลินซือเยว่ จากนั้นก็เดินจากไปในทันที หลินซือเยว่หันมามองเซวียนหมิงยู่ คิ้วเฉียงดั่งคมดาบ ดวงตาดุจเหยี่ยว สันกรามคมชัด ใบหน้าดุจเทพเซียนลงมาจุติ คนผู้นี้พอได้ยืนตัวตรงแล้ว ความสูงคงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน นางเงยหน้ามองเขาจนเมื่อยคอไปหมด จึ
27 : สงครามไม่เกิดเร็ว ๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฤดูหนาว หลินเต๋อได้พบหน้าบุตรชายอีกครั้ง การทำงานในโรงเลี้ยงม้าจึงไม่ได้ยากลำบากอีกต่อไป เขากับบุตรชายและบ่าวตระกูลหลินบางคน ได้ทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดโรงม้า ส่วนพี่ชายกับบุตรชายของเขานั้นได้ทำหน้าที่ดูแลคลังอาวุธ “ซีฮันลำบากเจ้าแล้ว” หลินเต๋อเอ่ยกับบุตรชาย ที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากเขาในวัยหนุ่มเลย “ไม่ได้ลำบากอันใดหรอกท่านพ่อ ตอนอยู่เมืองหลู่ข้าก็ทำหน้าที่นายทหารชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว” “ได้ข่าวว่าที่นั่นเป็นกองทัพของแม่ทัพโจว ตอนที่น้องสาวของเจ้าจะได้แต่งงานกับคุณชายโจว ข้ายังคิดว่าอนาคตของเจ้า ต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ไหนเลยจะคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้” หลินเต๋อกวาดมูลม้าไปบ่นไป “เสียดายที่ข้าไม่ได้เจอหน้าน้องรอง” เอ่ยถึงน้องสาวผู้อาภัพคนนี้ หลินซีฮันมีสีหน้าหมองหม่นลง “นางไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แม่ทัพเหลียนผู้นี้นับว่าไม่เลว ให้สตรียังสาวทำงานหน่วยเสบียง เห็นแม่ของเจ้าบอกกับหลินอ้ายมา เยว่เอ๋อร์ได้ไปอยู่ที่โรงสมุนไพรกับเผิงฉือ อ้อ เผิงฉือคือคนที่เลี้ยงดูนางตอนอยู่อารามเต๋า”
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา