“เอาล่ะ ถึงแม้นางไม่คู่ควรให้ข้าช่วยเหลือ แต่ว่ายังมีผู้อื่นที่คู่ควรอยู่” นางเอ่ยเสร็จก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผายมือเหมือนเชิญใครสักคนให้มานั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปด้านหน้า
“ดื่มน้ำชาก่อน”
วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ก้มหน้าแลบลิ้นดื่มน้ำชาจากถ้วย แม้ลิ้นของนางจะยาวไปเสียหน่อย แต่หลินซือเยว่มองเป็นเรื่องปกติ
“คุณหนูหลินเจ้าเอ่ยกับผู้ใด” เมี่ยวฮูหยินเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของนาง ราวกับว่านางกำลังนั่งดื่มชากับใครสักคนจริง ๆ
หลินซือเยว่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที “ตรงหน้าของข้า มีวิญญาณสตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งนั่งอยู่ ข้าแค่มอบน้ำชาให้นางแก้กระหาย จากนั้นจะได้รู้กัน ว่าเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดฮูหยินรองของนายท่านเมี่ยวได้”
“มีผี อ๊าย !” สาวใช้บางคนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกันหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงกกันไปหมด ฮูหยินรองที่อยู่บนเตียงเองก็หันหลังเข้าผนังห้อง ไม่กล้ามองมาทางนี้อีกเลย
“นายท่านเมี่ยวฮูหยินรองมีอาการเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ราวหนึ่งเดือนก่อน”
หัวคิ้วของหลินซือเยว่ขมวดเข้าหากันแน่น นั่นไม่ใช่เวลาเดียวกับที่นางทำลายนักพรตสายดำหรอกรึ นางหันไปหาวิญญาณตั้งครรภ์อีกหน
“เล่าเรื่องของเจ้ามา”
วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ “เดิมทีข้าเป็นสาวใช้ห้องข้างของฮูหยิน มีชื่อว่าเสี่ยงผิง ตอนนั้นฮูหยินรองเข้ามาภายหลัง นายท่านมาที่เรือนของข้ากับเรือนของนางเป็นประจำ ทุกคนต่างก็คิดว่าข้ากับนางต่างได้รับความโปรดปรานจากนายท่าน หากใครอุ้มท้องบุตรชายของนายท่านก่อน ต้องมีวาสนาดีกว่าผู้อื่น ข้ากลับตั้งท้องก่อนแต่ว่านางไม่มีแม้วี่แวว เรื่องมาเกิดขึ้นวันที่ท่านหมอบอกว่า ในท้องของข้าเป็นเด็กผู้ชายแน่นอน” เสี่ยวผิงหยุดเล่า เลื่อนมือลูบหน้าท้องนูนโตของตัวเองเบา ๆ
“นางวางแผนให้คนส่งจดหมายมาบอก ว่าบิดาข้ามาหาอยู่ที่ข้างจวน ข้ารู้ว่าบิดาคงไม่กล้าเข้ามาทางประตูใหญ่ จึงได้รีบไปหาท่านที่ประตูข้าง จากนั้นข้าก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ลืมตาขึ้นมาอีกทีข้าก็หมดลมหายใจไปแล้ว ร่างของข้าถูกโยนลงบ่อน้ำร้างแห่งหนึ่ง ข้ารู้ว่าเป็นนางเพราะเสียงพูดคุยของคนที่อยู่ด้านบนบ่อ นางบอกให้นักพรตทำการกักขังดวงวิญญาณของข้า ไม่ให้ข้าได้ไปผุดไปเกิด และไม่ให้ออกไปหลอกหลอนนางได้”
ทุกคนในห้องไม่รู้ว่าทำไมหลินซือเยว่ถึงเงียบ หากมีใครสักคนขัดขึ้น นางจะยกมือขึ้นปรามในทันที
“เสี่ยวผิงเจ้าต้องการสิ่งใด” และชื่อที่หลินซือเยว่ใช้เรียกวิญญาณอาฆาต ก็ทำให้ทุกคนส่งเสียงฮือฮาในทันที โดยเฉพาะคหบดีเมี่ยวและฮูหยิน
“คุณหนูหลินเจ้าเรียกชื่อผู้ใดออกมา” คหบดีเมี่ยวย่อมจำอนุภรรยาเช่นเสี่ยวผิงได้ จำถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับ เพราะจู่ ๆ นางก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งจดหมายสักฉบับก็ไม่มีไว้ให้ บางคนว่านางหนีไปเพราะทนความมักมากของเขาไม่ได้ แต่เขาไม่เคยเชื่อ สตรีอ่อนโยนน่ารักผู้นั้น มีหรือจะอยากไปจากเขา
หลินซือเยว่เหยียดปากใส่เล็กน้อย นางเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวผิงให้ทุกคนฟัง พอนางเล่าจบคหบดีเมี่ยวก็ทรุดตัวลงไปอยู่บนพื้นในทันที
“ท่านพี่” ฮูหยินของเขารีบพยุงเอาไว้ และเรียกแม่นมให้ช่วยพยุงอีกแรง
ชายชราที่บัดนี้เพิ่งรู้ว่าอนุภรรยาพร้อมลูกชายในท้อง ถูกคนชั่วสังหารอย่างโหดเหี้ยม อีกทั้งคนชั่วคนนั้น ยังได้รับความรักจากเขาอย่างท่วมท้น ไหนเลยเขาจะทนรับความจริงเรื่องนี้ไหว
“นังแพศยา !” ตรงเข้าไปกระชากฮูหยินรองออกมาจากเตียงนอน
บังคับให้นางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเก้าอี้
“ไม่เอา ! ไม่ !” ฮูหยินรองเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ไม่เข้าไปใกล้เก้าอี้ตัวนั้น
ยิ่งตอกย้ำให้ทุกคนเชื่อ บนเก้าอี้ตัวนั้นมีวิญญาณของเสี่ยวผิงนั่งอยู่
หลินซือเยว่ลุกจากเก้าอี้ ตรงไปหาฮูหยินรอง “เจ้าฆ่านางทำไม นางทำอะไรผิด ลูกชายในท้องของนางก็ยิ่งไม่ผิด”
เสี่ยวผิงได้ยินเช่นนั้นนางก็ลอยไปหาฮูหยินรองในทันที ดวงวิญญาณของนางยังอ่อนแรง ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของใครได้ ทำเพียงแค่สร้างภาพหวาดกลัวให้อีกฝ่าย “เจ้าฆ่าข้า เจ้าอย่าอยู่เลย !” มือยาว ๆ ของนางยื่นออกไป ทำท่าคล้ายจะบีบคอของอีกฝ่าย
หลินซือเยว่ คิดว่านางคงอยู่ใต้บ่อน้ำมานานหลายปี เลยไม่รู้วิธีหลอกหลอนผู้คน เดิมทีไม่ใช่คนจิตใจเลวร้ายอยู่แล้ว คิดแล้วก็นึกเอ็นดูวิญญาณดวงนี้ไม่น้อย
“เสี่ยวผิงเจ้ายะ...อย่าเข้ามา ใครใช้ให้เจ้ามีลูกก่อนข้า” นางเริ่มเสียสติจริง ๆ “ใครใช้เจ้ามีลูกผู้ชาย หากเจ้าคลอดลูกชาย แล้วนายท่านจะยังเหลียวแลข้าอีกรึ เจ้ามันสมควรตาย ฮ่า ๆ ๆ”
หลอกแค่นี้ก็ได้ผลแฮะ หลินซือเยว่เปิดประสบการณ์ใหม่อีกครั้ง
เพียะ ! คหบดีเมี่ยวตบฮูหยินรองไปฉาดหนึ่ง แต่นางกลับลอยหน้าลอยตากลับมาหัวเราะใส่
เพียะ ! เพียะ ! เพียะ ! ยิ่งตบอีกฝ่ายก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังไม่ยอมหยุด เมี่ยวฮูหยินเห็นสามีระบายความโกรธเต็มที่แล้ว จึงได้เข้าไปรั้งแขนของเขาเอาไว้ ลูบต้นแขนเขาเพื่อปลอบโยน
จากนั้นหลินซือเยว่ได้บอกที่อยู่ของบ่อน้ำแห่งนั้น และให้คหบดีเมี่ยวไปจัดการนำศพขึ้นมา นางจะช่วยสวดส่งวิญญาณให้เสี่ยวผิง และบุตรชายที่อยู่ในท้อง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามที่นางชี้แนะในทันที
“นางถูกขังอยู่ในนี้มาหลายปี เหตุใดจู่ ๆ ถึงหลุดพ้นออกมาได้” คำถามของคหบดีเมี่ยวทำให้หลินซือเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง แม้แต่เสี่ยวผิงเองก็ใคร่รู้ด้วยเหมือนกัน นางเอียงหน้ามองหลินซือเยว่
“ข้าคิดว่านักพรตสายดำที่นางจ้างมาทำพิธีให้ น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายคุณชายหยาง”
“เป็นเช่นนั้นรึ”
“ข้าดูวันเวลาแล้วตรงกัน เมื่อข้าทำลายนักพรตสายดำไป มนต์สะกดที่มันทำไว้ก่อนหน้าคงสลายตามไปด้วย เลยทำให้วิญญาณของนางหลุดออกมาได้ เคราะห์ดีที่นางยังอ่อนแรงไม่สามารถฆ่าคนได้ หากเป็นเช่นนั้นบางทีข้าต้องกำจัดวิญญาณของนาง แทนการสวดส่งวิญญาณไปปรโลก”
ได้ยินเช่นนี้คหบดีเมี่ยวก็เซถอยหลังเล็กน้อย “คุณหนูหลินข้าขอพบหน้านางได้หรือไม่”
“ไม่ได้หรอกนายท่านเมี่ยว ท่านไม่ใช่ร่างทรง ข้าเองก็ไม่มีน้ำตาวัวแก่ หากท่านอยากเอ่ยคำพูดใดต่อนาง เอ่ยผ่านข้าได้ นางยืนอยู่ด้านหน้าพวกท่านแล้ว” หลินซือเยว่หันไปด้านขวาของตัวเอง
คหบดีเมี่ยว “ผิงเอ๋อข้าผิดต่อเจ้า ต่อลูกของเรา ข้า...”
เสี่ยวผิง “ข้าไม่ถือโทษโกรธนายท่านหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่อยากให้นายท่านช่วยดูแลบิดามารดาของข้าด้วย”
หลินซือเยว่ถ่ายทอดทุกคำพูดของนางออกไป
คหบดีเมี่ยวรับปากนางทุกอย่าง กระทั่งเมี่ยวฮูหยินยังอยากสื่อสารกับสาวใช้ข้างห้องผู้นี้ หลัก ๆ คืออยากขอโทษที่ดูแลนางได้ไม่ดี จนเกิดเรื่องร้ายขึ้นเช่นนี้
เสี่ยวผิงไม่ผูกอาฆาตพยาบาทอีกต่อไป นางพร้อมเดินทางสู่ปรโลกแล้วจริง ๆ
หลินซือเยว่ช่วยสวดส่งวิญญาณให้นางตามที่เอ่ยไว้ ส่วนเรื่องการลงโทษคนทำผิดนั้น นางไม่อยากก้าวก่ายให้มากความ เรื่องในจวนของคหบดีเมี่ยว เกิดในจวนคงจบลงในจวน ผู้คนภายนอกคงไม่มีใครล่วงรู้ได้ เพียงแต่หลินซือเยว่คาดไม่ถึงว่าการทำงานคราวนี้ นางได้รับค่าจ้างถึงหนึ่งหมื่นตำลึงเลยทีเดียว
“นี่ไม่ใช่ว่ามากไปหรอกรึ” มือนางสั่นตาเป็นประกายวาวขึ้น ตั้งแต่นางมาอยู่ที่โรงสมุนไพร อารมณ์ของนางมีสีสันมากขึ้น เผิงฉือยังเคยบอกว่านางแสดงความรู้สึกเก่งกว่าเมื่อก่อน หลินซือเยว่เองยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
“คุณหนูหลินเจ้าได้ทำความดีครั้งใหญ่ หากเจ้าไม่เปิดเผยใบหน้าอันชั่วร้ายของนาง เกรงว่าตระกูลเมี่ยวของข้า คงได้ถูกนังอสรพิษวางแผนเล่นงานอีก” คหบดีเมี่ยวศรัทธาในตัวของนางแล้วจริง ๆ
“เจ้ารับไปเถอะ ได้ข่าวว่าตระกูลหลินกำลังตกที่นั่งลำบาก ตั๋วเงินนี้อาจเอาไว้ให้เจ้าได้ใช้จ่ายสะดวกขึ้น” เมี่ยวฮูหยินมองไกลไปถึงความยากลำบากของตระกูลลหลิน
“เช่นนั้นข้าจะรับไว้ด้วยความเต็มใจ แต่พวกท่านรับปากข้าได้หรือไม่ ว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่ข้ามาที่นี่ และรับตั๋วเงินพวกนี้ด้วย พวกท่านรู้ใช่ไหมว่าสถานะของข้าในตอนนี้ ไหนเลยจะสามารถครอบครองตั๋วเงินล้ำค่ามากเช่นนี้ได้”
ทั้งคู่อมยิ้มในทันที
คหบดีเมี่ยว “ข้ารับปากเจ้า”
“เช่นนั้นข้าขอไปเดินเล่นในเมืองเหลียงก่อนกลับได้หรือไม่ ข้าอยู่แต่ในค่ายเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
คหบดีเมี่ยวคิดครู่หนึ่ง อย่างไรนางก็เป็นนักโทษเนรเทศ แต่พอมองหน้าน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้ “เจ้าไปเดินเที่ยวเล่นได้ แต่เจ้าช่วยปลอมตัวหน่อยได้หรือไม่ เกิดเจอทหารที่จำเจ้าได้ ข้าที่พาเจ้าออกมาจะดูไม่ดีไปด้วย”
“ได้” นางรับปากในทันที เดินตามสาวใช้นางหนึ่งเข้าไปในห้อง แล้วเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษแทน
“คุณหนูหลินท่านช่างหล่อเหลายิ่งนัก” สาวใช้นางนั้นยังอดหน้าแดงไม่ได้
ระหว่างนั่งรถม้าออกจากจวนคหบดีเมี่ยว หลินซือเยว่ล้วงตั๋วเงินหมื่นตำลึงออกมาดู นางเฝ้าครุ่นคิดอยู่นาน เหตุใดนางต้องมอบครึ่งหนึ่งให้อารามเต๋า ที่มีเจ้าอาวาสความสามารถน้อยนิดเช่นนั้น อีกอย่างอารามไท่ผิงกวนก็อยู่ไกลแสนไกล ใครจะไปเติมน้ำมันตะเกียงธูปเทียนได้
หืม เบื้องบนที่ว่านั่น ไม่ใช่ตัวข้าในอดีตหรอกรึ ที่ตั้งกฎนี้ขึ้นมา
นางคิดได้เช่นนี้ก็หัวเราะออกมาดัง ๆ “โง่เขลามาได้ตั้งหลายปี ?!”
23 : เตาอุ่นมือยี่สิบตำลึงสนใจหรือไม่ หลินซือเยว่ให้ทหารติดตามนางไปแค่คนเดียว คหบดีเมี่ยวไม่ได้กลัวว่านางจะหนี ลำพังความสามารถเช่นนาง มีหรือจะทำไม่ได้ ตระกูลหลินทั้งตระกูลอยู่ในค่ายทหาร ยากนักที่นางจะหลบหนีไปเพียงลำพัง เขาจึงให้นายกองลู่ติดตามนางไป “ดูเจ้ามีความสุขนะนายกองลู่” “ได้ติดตามคุณหนูหลินผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจะไม่สุขได้เล่า” นายกองลู่ถูกส่งมารับตัวหลินซือเยว่ที่จวนคหบดีเมี่ยว เขาจึงได้ทราบข่าวจากบ่าวไพร่ในจวน ว่าหลินซือเยว่คลี่คลายปัญหาในเรือนฮูหยินรองได้แล้ว แม้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเขาก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าทำงานสำเร็จเป็นพอ “เหตุใดหิมะถึงตกหนักอีกแล้วล่ะ ข้าว่าจะแวะไปซื้อกระดาษเหลืองเสียหน่อย” หลินซือเยว่บ่นหลังเห็นหิมะโปรยปรายลงมา นายกองลู่ตาโต กระดาษเหลือง ! “คุณหนูหลินท่านเคยคิดจะวาดยันต์ขายหรือไม่ ทหารในค่ายต้องควักเงินซื้อแน่ ๆ” “นายกองลู่ยันต์ของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ในทางนั้น อีกอย่างหากไม่ได้มีวาสนาต่อกันจริง ข้าไม่มีทางมอบยันต์ให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนั้น” ยกเว้นยามข้ายากจนข้นแค้น นายกองลู่คอตกใน
24 : ถูกลอบโจมตี ยามโฉ่ว (01.00-02.59) ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย “คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ “เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง “ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง “ขอรับ ๆ” ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น” สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน” สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอ
25 : เจ้าคนสารเลว ! พายุหิมะได้ผ่านพ้นไป รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาเยือน หลินซือเยว่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม นางรู้สึกมีกำลังวังชามากขึ้น พลางนึกถึงตัวเองในหลายวันที่ผ่านมานี้ นางมีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าปรมาจารย์ในอดีต เพราะความที่เป็นคนสามโลก นางจึงเหมือนยืนอยู่กลางทางแยกสามทาง จิตวิญญาณยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้บางครั้งนางมีนิสัยเย็นชาเหมือนปรมาจารย์ แต่บางคราวก็มีอารมณ์ขันบ้างเล็กน้อยเหมือนคนยุคปัจจุบัน และยังมีอาการเหม่อลอยร่างกายไม่ขยับของเด็กปัญญาอ่อนอยู่ หวังว่าสักวันหนึ่งนางจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “คุณหนูหลินท่านตื่นแล้วหรือ พวกเราต้องรีบกลับค่ายแล้วล่ะ ดีไม่ดีตอนนี้คนที่นั่น อาจคิดว่าท่านหนีไปแล้วก็ได้” นายกองลู่ขาดการติดต่อกับทางค่ายทหารเมืองเหลียง เขาเป็นกังวลว่าแม่ทัพเหลียนจะส่งคนออกตามหา แล้วตนเองจะมีความผิดใหญ่โต “นี่เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเอง เจ้าวางใจเถอะเก็บของแล้วไปบอกคนขับรถม้า ว่าเราจะออกเดินทางด้วยเท้ากลับไปที่ค่ายกัน จากนั้นค่อยให้คนไปส่งเขากลับ แต่หากเขาอยากย้อนกลับไปที่เมืองเหลีย
26 : เก็บนางไว้ไม่ได้ ! องครักษ์ผู้หนึ่งไปล่าไก่ป่ามาได้ พอได้ต้มน้ำแกงไก่ให้ผู้เป็นนายได้ดื่ม ก่อนเที่ยงเซวียนหมิงยู่ก็ฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาได้ พอลงมาถึงทางแยกที่จะกลับไปยังเมืองเหลียง ส่วนอีกทางที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร ซึ่งมีระยะทางราวสองลี้เท่า ๆ กัน “คุณหนูหลินขอรับ ข้าคงต้องขอแยกตัวกับท่านตรงนี้” คนขับรถม้าเป็นคนของจวนคหบดีเมี่ยว เขามีหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางพาดดาบมาที่คอของเขา “ปิดปากเจ้าให้เงียบ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ชีวิตของเจ้าก็อย่าได้ถามหาอีกเลย” “ข้าน้อยมิกล้า ๆ” คนขับรถม้ารีบยกมือขึ้นโบกส่ายไปมา “เขาก็แค่คนขับรถม้า ชื่อแซ่ของพวกเจ้าเขายังไม่รู้จัก” หลินซือเยว่นึกเคืองคนเหล่านี้ “ไปได้แล้ว” ฮู่ตงหยางเก็บดาบ คนขับรถม้าก็โค้งคำนับให้หลินซือเยว่ จากนั้นก็เดินจากไปในทันที หลินซือเยว่หันมามองเซวียนหมิงยู่ คิ้วเฉียงดั่งคมดาบ ดวงตาดุจเหยี่ยว สันกรามคมชัด ใบหน้าดุจเทพเซียนลงมาจุติ คนผู้นี้พอได้ยืนตัวตรงแล้ว ความสูงคงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน นางเงยหน้ามองเขาจนเมื่อยคอไปหมด จึ
27 : สงครามไม่เกิดเร็ว ๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฤดูหนาว หลินเต๋อได้พบหน้าบุตรชายอีกครั้ง การทำงานในโรงเลี้ยงม้าจึงไม่ได้ยากลำบากอีกต่อไป เขากับบุตรชายและบ่าวตระกูลหลินบางคน ได้ทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดโรงม้า ส่วนพี่ชายกับบุตรชายของเขานั้นได้ทำหน้าที่ดูแลคลังอาวุธ “ซีฮันลำบากเจ้าแล้ว” หลินเต๋อเอ่ยกับบุตรชาย ที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากเขาในวัยหนุ่มเลย “ไม่ได้ลำบากอันใดหรอกท่านพ่อ ตอนอยู่เมืองหลู่ข้าก็ทำหน้าที่นายทหารชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว” “ได้ข่าวว่าที่นั่นเป็นกองทัพของแม่ทัพโจว ตอนที่น้องสาวของเจ้าจะได้แต่งงานกับคุณชายโจว ข้ายังคิดว่าอนาคตของเจ้า ต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ไหนเลยจะคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้” หลินเต๋อกวาดมูลม้าไปบ่นไป “เสียดายที่ข้าไม่ได้เจอหน้าน้องรอง” เอ่ยถึงน้องสาวผู้อาภัพคนนี้ หลินซีฮันมีสีหน้าหมองหม่นลง “นางไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แม่ทัพเหลียนผู้นี้นับว่าไม่เลว ให้สตรียังสาวทำงานหน่วยเสบียง เห็นแม่ของเจ้าบอกกับหลินอ้ายมา เยว่เอ๋อร์ได้ไปอยู่ที่โรงสมุนไพรกับเผิงฉือ อ้อ เผิงฉือคือคนที่เลี้ยงดูนางตอนอยู่อารามเต๋า”
28 : คืนส่งท้ายปี หลินอ้ายได้รับมอบหมายให้มาส่งข่าวที่โรงสมุนไพร ว่าทางตระกูลหลินได้รับอนุญาต ให้รวมตัวกันไหว้บรรพบุรุษในช่วงคืนส่งท้ายปีได้ ทหารส่วนใหญ่ต่างกลับไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัว เหลือเพียงบางส่วนที่ต้องอยู่ทำหน้าที่ กับเหล่านักโทษทั้งหลาย “ได้ข้าจะบอกคุณหนูให้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เผิงฉือมองหลินอ้ายที่ตอนนี้เนื้อตัวไม่ได้ผอมแห้งเหมือนอดีตอีกต่อไป เขากลับมีกล้ามเนื้อเหมือนทหารชั้นผู้น้อยขึ้นมาบ้าง “ข้าอยู่ในโรงเลี้ยงม้ากับนายท่านรอง งานหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก เงินที่คุณหนูมอบให้ข้า ข้าได้วานให้คนซื้อของกินของใช้มาให้ เอ่อ แต่ว่าเสื้อผ้าของนายท่านรองกับคุณชายใหญ่มีน้อย รวมถึงของท่านแม่กับน้องสาวของคุณหนูรอง เกรงว่าจะลำบากอยู่ไม่น้อย ท่านป้าเผิงว่าข้าควรบอกคุณหนูรองหรือไม่” หลินอ้ายรู้ว่าหลินซือเยว่มีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่เหตุใดนางถึงทำเหมือนไม่สนใจไยดีครอบครัวของตัวเอง เผิงฉือยิ้มบาง ๆ “คุณหนูของข้าลำบากอยู่ในอารามเต๋าตั้งสิบปี พวกเขาอยู่ที่นี่แค่สองสามเดือนเท่านั้น เฮอะ นี่เทียบกันได้ที่ไหน แต่เอาเถอะข้าจะบอกคุณหน
29 : ฉลองคืนข้ามปีด้วยกันครั้งแรก เสียงจุดประทัดจุดพลุดังขึ้น ท้องฟ้าสว่างไสวตามมา เหล่าบุรุษส่งเสียงให้ชนไหสุรากันอีกหน เถียนฮูหยินปรายตามองฮูหยินเฒ่า กำลังแจกจ่ายเกี๊ยวข้ามปีให้คนบ้านใหญ่ ความจริงเกี๊ยวยังพอเหลืออยู่บ้าง แต่นางกลับไม่ยอมแจกคนบ้านรอง “ท่านแม่มอบเกี๊ยวให้น้องรองกับซีฮันด้วยเถอะ” เป็นหลินเฉินที่เอ่ยขอกับมารดา ฮูหยินเฒ่ากลอกตาใส่บุตรชายคนโตเล็กน้อย จำใจให้เกี๊ยวแก่พวกเขาคนละหนึ่งชิ้น หลินเต๋อไม่กล้าแม้แต่จะกิน เขายัดเกี๊ยวเข้าปากของภรรยาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินเจ้ารีบกินเร็วเข้า” “ท่านพี่” เมื่อเกี๊ยวเข้าปากนางไปแล้ว มีหรือจะคายออกมาได้ หลินซีฮันแบ่งเกี๊ยวเป็นสองชิ้นน้อย ๆ มอบให้หลินซูฮวากับหลินซือเยว่คนละชิ้น “พวกเจ้ากินเถอะข้าไม่หิว” หลินซือเยว่ไม่รับ นางดันเกี๊ยวชิ้นนั้นกลับคืนเขาไป “ข้าไม่ได้อดอยากอย่างที่ท่านย่าเอ่ยมาจริง ๆ นั่นแหละ พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ” เพราะทุกคนมัวแต่สนใจเกี๊ยวในมือ กับเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลินซือเยว่ เมื่อนั่งไม่ได้ต้องยืนกินเกี๊ยวกันเช่นนี
30 : วันปีใหม่ คนบ้านรองตระกูลหลินนั้น รู้สึกเหมือนได้ฝันไป เมื่อคืนพวกเขาได้กินอาหารอย่างมีความสุข ได้หลับนอนในที่อุ่นสบาย หลินซูฮวาลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงนอน นางขยี้ตาแรง ๆ นึกว่าตาฝาดไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมาในกระโจมเหม็นอับเหมือนเช่นทุกวัน นางคลานลงจากเตียงอย่างตกใจ มองเห็นร่องรอยผ้าปูนอนที่ถูกพับเก็บอย่างดี “ซูฮวาเจ้าตื่นแล้วหรือ พี่สาวเจ้าเล่า” เถียนฮูหยินไม่ได้นอนหลับสบายมานานหลายเดือน จึงได้หลับลึกกว่าทุกคืนที่ผ่านมา “พี่รองกับป้าเผิงน่าจะตื่นแล้วเจ้าค่ะ” หลินซูฮวารีบปีนขึ้นไปบนเตียง “ท่านแม่พี่รองนางอยู่สุขสบายยิ่งนัก ทำไมนางไม่พาข้ากับท่านแม่มาอยู่ที่นี่ด้วย” เถียนฮูหยินขึงตามองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าพี่สาวของเจ้าสุขสบายรึ เช่นนั้นเจ้าลองถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไปอยู่ในอารามเต๋าตั้งแต่อายุห้าปีแทนนางดูสิ” หลินซูฮวาเพิ่งเคยเห็นมารดาตัวเองโกรธเช่นนี้ “ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว” เถียนฮูหยินจับมือบุตรสาวคนเล็กไว้ “ซูฮวาข้าไม่อยากให้เจ้าริษยาพี่สาวของเจ้า นางลำบากมาตลอดสิบปี ความลำบากของเจ้าแค่สามเดือน มีหรือจะเทียบนางได้ ยาม
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา