ยามอู่ (11.00-12.59)
ผู้คนในค่ายทหารหลับนอนกันหมดแล้ว ภายในกระโจมเองก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตื่นขึ้นมาเห็นว่านางไม่อยู่ หลินซือเยว่จึงเลือกผงยานอนหลับมาโปรยในกระโจมเล็กน้อย พอให้พวกเขาหลับสนิทยาวนานกว่าเดิม ยามนี้วรยุทธ์นางยังไม่ก่อเกิด แต่ว่าวิชาตัวเบานั้นนางมีมาได้หลายเดือนแล้ว
นางใช้วิชาทำนายชะตาล่วงหน้าควบคู่กับวิชาตัวเบา ในการหลบเลี่ยงเหล่าทหารเฝ้ายาม ไปจนถึงหน้าเรือนของแม่ทัพเหลียน นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ย่องเงียบตามหาไปเรื่อย ๆ จนได้รู้ว่าห้องของแม่ทัพเหลียนอยู่ตรงไหน ใช้ยาสลบที่พกติดตัวมาเพียงไม่กี่ห่อ ส่งผลให้ทหารยามหน้าห้องแม่ทัพเหลียน นอนหลับคอพับอยู่กับที่
แม่ทัพเหลียนลืมตาขึ้นในทันที หลังรู้สึกว่ามีใครบางคน ขึ้นมาบนเตียงนอนของตนเอง ทว่าช้าไปมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว “อย่าขยับ” เข็มเล่มหนึ่งถูกฝังลงบนจุดที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายตัวเองได้ หลินซือเยว่จึงเก็บมีดไว้ เดินไปจุดตะเกียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง
“ท่านจงฟังให้ดี ๆ ข้าเป็นคนตระกูลหลิน ที่กำลังจะถูกส่งไปเป็นนางบำเรอในค่ายทหารของท่าน แต่ว่าข้าไม่อยากเป็นนางบำเรอ รวมทั้งทุกคนที่มาพร้อมกับข้าด้วย” หลินซือเยว่หยุดเอ่ยแล้วมองแม่ทัพเหลียน ที่กำลังเดือดดาลอยู่ในใจ ดวงตากลอกกลิ้งไปด้านข้าง
“ไม่ต้องมองหาหรอก ทหารเฝ้ายามถูกข้าวางยาสลบไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ” นางเอ่ยพลางพาดขาไขว่ห้าง ท่าทางไม่สมกับเป็นสตรียุคโบราณเลยจริง ๆ ทำไงได้ข้ามาจากยุคปัจจุบันด้วยนี่ บางอย่างก็ติดนิสัยเดิมมา
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ข้าโตมาในอารามเต๋าจึงมีความสามารถพิเศษเล็กน้อย แม่ทัพเหลียนจุดหว่างคิ้วของท่านดำคล้ำเป็นร่องลึก ชะตาของบุตรชายกำลังแปดเปื้อนสิ่งสกปรก ยามนี้ร่างกายของเขากำลังซูบผอมลงไปเรื่อย ๆ หากเดาไม่ผิดข้าว่า ไม่เกินเดือนเขาคงเหลือแค่กระดูก”
แม่ทัพเหลียนส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ พยายามที่จะดันเข็มเล่มนั้นให้หลุดออกจากร่างกาย
“หากข้าถอนเข็มออก ท่านจะรับฟังหรือไม่ บอกไว้ก่อนว่าข้านั้น สามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องขยับตัวด้วยซ้ำ” หลินซือเยว่มองเห็นความเป็นพ่อในตัวเขา นางไม่กลัวเดินไปดึงเข็มเล่มนั้นออกแต่โดยดี
“เฮือก ! เจ้าไปฟังเรื่องลูกชายของข้ามาจากไหน ใครมันปากมากเช่นนี้”
อ้าว ข้านึกว่าท่านเชื่อข้าแล้วเสียอีก หลินซือเยว่หมดคำจะเอ่ย “นี่ท่านไม่อยากช่วยลูกชายเลยรึ”
“อยากสิ แต่ว่าเจ้า ไม่ใช่ยังเป็นเพียงแม่นางน้อยอยู่รึ เหตุใดจะสามารถปัดเป่าความชั่วร้าย ออกจากตัวลูกชายของข้าได้”
“น่ารำคาญ !”
ความสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบหกเซนติเมตร กับหน้าตาอันอ่อนเยาว์ของร่างนี้ แม้นางจะมีสีหน้าเคร่งขรึมของท่านปรมาจารย์ในอดีตกาล ก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนนับถือได้ในครั้งแรกที่เห็นหน้า
แม่ทัพเหลียนตะลึงไม่คิดว่าจะถูกเด็กสาวรุ่นลูกตวาดเข้าให้
“ข้าก็บอกอยู่ว่าโตมาในอารามเต๋ายังจะสงสัยข้าอีก เช่นนั้นท่านไปถามจี๋ไห่ดูก็แล้วกัน ว่าข้ามีความสามารถจริงหรือไม่ อ้อ ท่านอย่าเพิ่งให้คนส่งนักโทษสตรีไปเป็นนางบำเรอ ไม่เช่นนั้นข้าจะเผาเรือนท่านให้วอดวาย” นางโมโหแล้วจริง ๆ เปิดประตูแล้ววิ่งหายไปในความมืด
“เผาเรือนของข้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน !” แม่ทัพเหลียนวิ่งออกมาหน้าประตู เห็นทหารฝีมือดีของตนกองอยู่บนพื้นทั้งสองคน ดวงตาก็แข็งกร้าวขึ้นในทันที รีบเรียกหาคนที่อยู่นอกเรือนมาหามพวกเขาไปที่ห้อง และเรียกหมอมาดูอาการ
แม้แม่ทัพเหลียนต้องการลากตัวนางมาลงโทษเดี๋ยวนั้นเลย แต่คำทำนายของนางยังค้างคาใจเขาอยู่ เพื่อความไม่ประมาท ตอนเช้าจึงสั่งระงับเรื่องการทำงานนางบำเรอเอาไว้ก่อน และให้คนไปเรียกจี๋ไห่มาพบเขาที่เรือน จึงทำให้รู้เรื่องอนุภรรยาของจี๋ไห่ คลอดบุตรแล้วหมดสติไม่พื้นคืน ได้เทียบยาจากนางไปรักษาอาการจนฟื้นขึ้นมาได้
“ตามความเห็นของเจ้าเจ้าว่านางเป็นพวกหลอกลวงหรือไม่” แม่ทัพเหลียนยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้
จี๋ไห่เลยต้องเล่าเรื่องคำทำนายที่แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเคราะห์จากโจรฟ้า หรือหินถล่มทับเส้นทาง ทุกคนรอดมาได้ก็เพราะนาง
สีหน้าของแม่เหลียนไม่สู้ดีนัก จี๋ไห่คิดว่าเขาคงไม่เชื่อ “ท่านแม่ทัพเหลียนนางยังสามารถสวดส่งวิญญาณผู้ตายได้ด้วย กองไฟตรงอื่นดับหมด มีเพียงกองไฟในพิธีของนางที่ลุกโชน กระทั่งกระดาษเหลืองในมือของญาติผู้ตาย นางก็สามารถทำให้เผาไหม้ได้พร้อม ๆ กัน ตอนนั้นข้าขนลุกไปหมด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อขอรับ”
แม่ทัพเหลียนไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมาอีก ส่งสัญญาณมือให้คนพาจี๋ไห่กลับไป
ทหารหน้าเรือนเข้ามารายงานเรื่องสำคัญ “ท่านแม่ทัพบ่าวที่จวนมีเรื่องด่วนขอรับ”
“ให้เข้ามา”
หลังได้รับรายงานจากบ่าวในจวน แม่ทัพเหลียนใบหน้าตื่นตระหนกในทันที “เจ้าไปตามหาหลินซือเยว่ที่กระโจมนักโทษสตรีมาใหม่ แล้วพาไปที่จวนเดี๋ยวนี้ !” ตัดสินใจลองเชื่อนางดูสักครั้ง
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
พวกเขาไม่ต้องหาตัวให้วุ่นวาย หลินซือเยว่สะพายกระเป๋าเป้ของนาง ยืนรออยู่หน้ากระโจมก่อนหน้าแล้ว พอทหารเดินมาหยุดหน้ากระโจม นางก็เอ่ยขึ้น “ข้าหลินซือเยว่ นำทางไปเถอะ”
ทหารที่มาลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ แม่นางน้อยผู้นี้เหตุใดถึงได้รู้ล่วงหน้าได้
“พี่สะใภ้นางไปทำความผิดอะไรมา ถึงได้มีคนมาพาตัวนางไป” หลินจื่อรั่วมองตามหลังพวกเขาไปด้วยความสงสัย
“หรือว่ามีนายทหารขั้นสูงพึงพอใจในตัวของนาง เลยเรียกไปรับใช้เป็นการส่วนตัว” อนุจางเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“นี่นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรับใช้บุรุษมากหน้าหลายตา” อนุหลิวไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะโชคร้ายตรงไหน
“พวกท่านก็พูดไป บางทีเรื่องอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดก็ได้” จี่หวังลี่เอ่ยอย่างเลื่อนลอย
วันนี้พวกนางยังไม่ต้องทำงานเป็นนางบำเรอ แต่ก็มีงานซักล้างที่ต้องทำอยู่ คราวนี้หลินจื่อรั่วไม่สามารถให้ใครทำแทนได้อีกต่อไป เพราะมีคนคอยคุมพวกนางทำงานตลอดทั้งวัน
จวนแม่ทัพเหลียน
หลินซือเยว่ควบม้าตามหลังนายทหารมา นางดึงเชือกบังเหียนม้าให้หยุด ตรงหน้าประตูจวนแม่ทัพเหลียน ร่ายคาถาเปิดเนตรทิพย์เพื่อมองหาสิ่งอัปมงคล กลุ่มควันสีดำลอยออกมาจากเรือนหลังหนึ่งในจวน ไม่ใช่แค่วิญญาณดวงเดียว แต่มีนับสิบดวงเห็นจะได้ งานไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
“คุณหนูหลินเชิญทางนี้นี้ขอรับ” นายทหารนำทางคิดว่านางไม่กล้าเข้าจวน จึงหันกลับมาเรียกอีกที
หลินซือเยว่พยักหน้าลง ใช้เท้ากระทุ้งท้องม้าเบา ๆ ก้าวผ่านธรณีประตูจวนเข้าไปด้านใน ทั้งคู่เดินไปยังเรือนของเหลียนเฉินฟู่ บุตรชายคนโตของแม่ทัพเหลียน สถานการณ์ที่นี่เข้าขั้นร้ายแรง หากปล่อยไว้นานกว่านี้ อาจไม่เหลือแม้ลมหายใจ
“คุณหนูหลินเจ้ามาแล้ว” แม่ทัพเหลียนหันไปมองนางด้วยท่าทางขอความเห็นใจ
“ท่านพี่นางจะช่วยฟู่เอ๋อร์ได้อย่างไร” นี่เป็นคำพูดที่แลดูสิ้นหวังเหลือเกิน เมิ่งลี่หยางเป็นฮู่หยินคู่บุญคุณกรรมของแม่ทัพเหลียน นางทุกข์ระทมจากเรื่องบุตรชายคนโต จนใบหน้าซูบตอบดวงตาอิดโรย
“ฮูหยินนางนี่แหละ ที่จะช่วยฟู่เอ๋อร์ของเราได้” แม่ทัพเหลียนเอ่ยออกไปทั้งที่ตัวเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำ
หลินซือเยว่ไม่อยากเสียเวลา นางมองดูบุตรชายของแม่ทัพเหลียนที่น้ำลายฟูมปาก ดวงตาเลื่อนลอย ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวร้องไห้ ร่างกายผอมแห้งไร้จิตวิญญาณ ถูกมัดเอาไว้บนเก้าอี้กลางห้อง บ่าวไพร่หลายคนถูกทำร้าย จนพากันเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ภายในห้องเหมือนถูกพายุพัดถล่ม เครื่องเรือนกระจัดกระจายไปทุกทิศ หากเหลียนเฉินฟู่ไม่ถูกมัดไว้ เขาคงอาละวาดหนักกว่านี้เป็นแน่
“แม่ทัพเหลียนท่านให้บ่าวไพร่พวกนี้ ไปรักษาตัวก่อนเถอะ”
แม่ทัพเหลียนโบกมือให้ทหาร เข้ามาจัดการพาคนออกไป “คุณหนูหลินพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าลูกชายของข้าพบเจอสิ่งใดเข้า”
หลินซือเยว่มองประตูที่ถูกปิดลง ยามนี้มีเพียงสองสามีภรรยาตระกูลเหลียน กับแม่นมซึ่งเป็นคนของเมิ่งฮูหยิน บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกยิ่งนัก “ลูกชายของท่านถูกคนมุ่งร้าย บนตัวของเขามีดวงวิญญาณอาฆาตเกาะติดอยู่”
เมิ่งฮูหยินได้ยินก็แทบเป็นลม ดีที่แม่นมของนางประคองเอาไว้ทัน หลินซือเยว่ชี้ไปที่เก้าอี้ “ให้ฮูหยินนั่งบนเก้าอี้”
แม่นมรีบประคองเมิ่งฮูหยินไปนั่งลงบนเก้าอี้
“มันเป็นผู้ใดกัน บังอาจทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้กับลูกชายของข้า”
หลินซือเยว่ถอนหายใจเบา ๆ “เรื่องศัตรูคู่อาฆาตของท่าน มีเพียงท่านที่รู้ แต่ว่าคนที่สามารถพาดวงวิญญาณร้าย มาอยู่บนตัวของลูกชายท่านได้ ต้องมีสิ่งนำพามา ของสิ่งนั้นต้องยังอยู่บนตัวของเขา ก่อนเกิดเรื่องมีสิ่งของชิ้นไหนที่เขาเพิ่งได้รับมาหรือว่าให้พกติดกาย”
คำถามของหลินซือเยว่ทำให้สองสามีภรรยาต้องขบคิดหนัก แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ออก แม่นมของเมิ่งฮูหยินตบอกตัวเองเบา ๆ เหมือนนางคิดได้
“บ่าวรู้เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ท่านป้าของคุณชาย ได้นำกำไลหยกโลหิตมามอบให้ เอาไว้ป้องกันภัยอันตราย เห็นบอกว่าได้รับการปลุกเสกคาถาป้องกันสิ่งชั่วร้าย จากนักพรตเต๋าชื่อดังที่วัดฮุ่ยหยางเจ้าค่ะ”
“จริงด้วยข้าก็เพิ่งนึกออก คุณหนูหลินสิ่งนั้นคือกำไลหยกโลหิตบนข้อมือของฟู่เอ๋อร์” เมิ่งฮูหยินชี้ไปที่ข้อมือของบุตรชาย
ตอนแรกที่หลินซือเยว่มองไม่เห็น เพราะว่าแขนเสื้อของหยางเฉินฟู่ยาวปิดเอาไว้ นางเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วถอดกำไลออกจากข้อมือของหยางเฉินฟู่ เหล่าวิญญาณร้ายนับสิบดวงพุ่งเข้ามาหมายจะโจมตีนาง แต่พอแตะโดนตัวนาง กลับพากันกรีดร้องส่งเสียงโหยหวนออกมา
หลินซือเยว่ “ไม่เจียมตัว”
วิญญาณร้ายไม่กล้าเข้าใกล้นาง ทำได้เพียงแค่สร้างลมสร้างเสียงหวีดหวิวภายในห้อง แม่ทัพเหลียนก้าวไปปกป้องฮูหยินของตนเอง ดูเหมือนข้าวของในห้องกำลังเคลื่อนที่เองได้
“บังอาจ !” หลินซือเยว่รู้ว่าวิญญาณร้าย กำลังสร้างความปั่นป่วนให้นางอยู่
รีบหยิบยันต์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกมา มอบให้ทั้งสามคนพกติดตัวเอาไว้ จากนั้นนำไปติดไว้ที่หน้าผากของหยางเฉินฟู่ ร่ายคาถาปัดเป่าให้ทรงพลังเพิ่มขึ้น เพียงเท่านี้เหล่าวิญญาณร้ายก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้อีก
19 : กำจัดวิญญาณร้าย “ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี “คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน “หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” “ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ “สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง “เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือด
20 : ข้าอยากทำงานที่โรงสมุนไพร รุ่งขึ้นนักโทษสตรีที่มาใหม่ ถูกเรียกมารวมตัวกันหน้ากระโจม ทุกคนต่างหวาดผวาว่าจะถูกสั่ง ให้ไปทำหน้าที่นางบำเรอวันนี้เลยหรือไม่ แต่ทหารที่มาแจ้งข่าวนั้น กลับบอกว่าพวกนางไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ให้ย้ายไปทำงานกับคนในตระกูลของตัวเอง เหล่าสตรีทั้งหลายพากันปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินซือเยว่ที่ยืนสัปหงกอยู่เพียงลำพัง คล้ายว่านางนอนเท่าใดก็ไม่อิ่มเสียที "พี่สะใภ้ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” หลินจื่อรั่วหันไปเขย่ามือจูหวังลี่แรง ๆ “คุณหนูรองเรื่องจริงเจ้าค่ะ” อนุหลิวหันมายิ้มอย่างดีใจ “เก็บของแล้วตามทหารไปยังที่พักใหม่ของพวกเจ้า” ทหารผู้นำข่าวดีมาบอก ตะโกนให้ทุกคนออกไปเก็บของของตัวเองได้ “เจ้าว่าคนไหนคือคุณหนูหลินที่ท่านแม่ทัพให้ดูแลดี ๆ นะ” เขาหันไปกระซิบกับทหารคนด้านข้าง “คุณหนูที่ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังนั่นไง” ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่ “คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่ “เจ้าเป็นใคร” “ข้านายกองลู่ ลู่เสี่ยวเฟิงขอรับ” เขากำหมัดคารวะหลินซือเยว่ด้วยค
21 : นายท่านเมี่ยวผู้นี้ร่ำรวยหรือไม่ ตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ต่างถูกเนรเทศมาอยู่ค่ายทหารเมืองเหลียงได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามวันแรกพวกเขาต่างได้รับคำสั่งให้ทำงานหนัก แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้น แม่ทัพเหลียนมีคำสั่งให้พวกเขา ทำงานตามความเหมาะสม และห้ามทหารในค่ายรังแกพวกเขาอีกด้วย แต่ใช่ว่าทหารทุกคนจะฟังคำสั่ง เมื่อรังแกพวกเจ้านายไม่ได้ ก็แอบทุบตีพวกบ่าวไพร่แทน พอรู้ถึงหูของแม่ทัพเหลียนทหารนายนั้นก็ถูกทำโทษในทันที จึงทำให้ทหารในค่ายไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาอีก เรือนพักแม่ทัพเหลียน แม่ทัพเหลียนกำลังต้อนรับสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งอยู่ในห้องรับรอง ทหารรับใช้รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขก “เหตุใดนายท่านเมี่ยวถึงได้มาหาข้าถึงค่ายทหารได้ล่ะ” คหบดีเมี่ยว เมี่ยวป๋อหลิน ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ชาดี ๆ” เอ่ยชมแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของชายชราแลดูไม่สดชื่น คล้ายมีบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ “นายท่านเมี่ยว มีอันใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ท่านกับข้าคบหากันมานับสิบปี อย่าได้เกรงใจไปเลย” คหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหลียง ไหนเลยจะเคยแบกหน
22 : นังแพศยา ! “เอาล่ะ ถึงแม้นางไม่คู่ควรให้ข้าช่วยเหลือ แต่ว่ายังมีผู้อื่นที่คู่ควรอยู่” นางเอ่ยเสร็จก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผายมือเหมือนเชิญใครสักคนให้มานั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปด้านหน้า “ดื่มน้ำชาก่อน” วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ก้มหน้าแลบลิ้นดื่มน้ำชาจากถ้วย แม้ลิ้นของนางจะยาวไปเสียหน่อย แต่หลินซือเยว่มองเป็นเรื่องปกติ “คุณหนูหลินเจ้าเอ่ยกับผู้ใด” เมี่ยวฮูหยินเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของนาง ราวกับว่านางกำลังนั่งดื่มชากับใครสักคนจริง ๆ หลินซือเยว่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที “ตรงหน้าของข้า มีวิญญาณสตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งนั่งอยู่ ข้าแค่มอบน้ำชาให้นางแก้กระหาย จากนั้นจะได้รู้กัน ว่าเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดฮูหยินรองของนายท่านเมี่ยวได้” “มีผี อ๊าย !” สาวใช้บางคนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกันหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงกกันไปหมด ฮูหยินรองที่อยู่บนเตียงเองก็หันหลังเข้าผนังห้อง ไม่กล้ามองมาทางนี้อีกเลย “นายท่านเมี่ยวฮูหยินรองมีอาก
23 : เตาอุ่นมือยี่สิบตำลึงสนใจหรือไม่ หลินซือเยว่ให้ทหารติดตามนางไปแค่คนเดียว คหบดีเมี่ยวไม่ได้กลัวว่านางจะหนี ลำพังความสามารถเช่นนาง มีหรือจะทำไม่ได้ ตระกูลหลินทั้งตระกูลอยู่ในค่ายทหาร ยากนักที่นางจะหลบหนีไปเพียงลำพัง เขาจึงให้นายกองลู่ติดตามนางไป “ดูเจ้ามีความสุขนะนายกองลู่” “ได้ติดตามคุณหนูหลินผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจะไม่สุขได้เล่า” นายกองลู่ถูกส่งมารับตัวหลินซือเยว่ที่จวนคหบดีเมี่ยว เขาจึงได้ทราบข่าวจากบ่าวไพร่ในจวน ว่าหลินซือเยว่คลี่คลายปัญหาในเรือนฮูหยินรองได้แล้ว แม้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเขาก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าทำงานสำเร็จเป็นพอ “เหตุใดหิมะถึงตกหนักอีกแล้วล่ะ ข้าว่าจะแวะไปซื้อกระดาษเหลืองเสียหน่อย” หลินซือเยว่บ่นหลังเห็นหิมะโปรยปรายลงมา นายกองลู่ตาโต กระดาษเหลือง ! “คุณหนูหลินท่านเคยคิดจะวาดยันต์ขายหรือไม่ ทหารในค่ายต้องควักเงินซื้อแน่ ๆ” “นายกองลู่ยันต์ของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ในทางนั้น อีกอย่างหากไม่ได้มีวาสนาต่อกันจริง ข้าไม่มีทางมอบยันต์ให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนั้น” ยกเว้นยามข้ายากจนข้นแค้น นายกองลู่คอตกใน
24 : ถูกลอบโจมตี ยามโฉ่ว (01.00-02.59) ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย “คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ “เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง “ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง “ขอรับ ๆ” ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น” สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน” สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอ
25 : เจ้าคนสารเลว ! พายุหิมะได้ผ่านพ้นไป รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาเยือน หลินซือเยว่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม นางรู้สึกมีกำลังวังชามากขึ้น พลางนึกถึงตัวเองในหลายวันที่ผ่านมานี้ นางมีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าปรมาจารย์ในอดีต เพราะความที่เป็นคนสามโลก นางจึงเหมือนยืนอยู่กลางทางแยกสามทาง จิตวิญญาณยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้บางครั้งนางมีนิสัยเย็นชาเหมือนปรมาจารย์ แต่บางคราวก็มีอารมณ์ขันบ้างเล็กน้อยเหมือนคนยุคปัจจุบัน และยังมีอาการเหม่อลอยร่างกายไม่ขยับของเด็กปัญญาอ่อนอยู่ หวังว่าสักวันหนึ่งนางจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “คุณหนูหลินท่านตื่นแล้วหรือ พวกเราต้องรีบกลับค่ายแล้วล่ะ ดีไม่ดีตอนนี้คนที่นั่น อาจคิดว่าท่านหนีไปแล้วก็ได้” นายกองลู่ขาดการติดต่อกับทางค่ายทหารเมืองเหลียง เขาเป็นกังวลว่าแม่ทัพเหลียนจะส่งคนออกตามหา แล้วตนเองจะมีความผิดใหญ่โต “นี่เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเอง เจ้าวางใจเถอะเก็บของแล้วไปบอกคนขับรถม้า ว่าเราจะออกเดินทางด้วยเท้ากลับไปที่ค่ายกัน จากนั้นค่อยให้คนไปส่งเขากลับ แต่หากเขาอยากย้อนกลับไปที่เมืองเหลีย
26 : เก็บนางไว้ไม่ได้ ! องครักษ์ผู้หนึ่งไปล่าไก่ป่ามาได้ พอได้ต้มน้ำแกงไก่ให้ผู้เป็นนายได้ดื่ม ก่อนเที่ยงเซวียนหมิงยู่ก็ฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาได้ พอลงมาถึงทางแยกที่จะกลับไปยังเมืองเหลียง ส่วนอีกทางที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร ซึ่งมีระยะทางราวสองลี้เท่า ๆ กัน “คุณหนูหลินขอรับ ข้าคงต้องขอแยกตัวกับท่านตรงนี้” คนขับรถม้าเป็นคนของจวนคหบดีเมี่ยว เขามีหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางพาดดาบมาที่คอของเขา “ปิดปากเจ้าให้เงียบ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ชีวิตของเจ้าก็อย่าได้ถามหาอีกเลย” “ข้าน้อยมิกล้า ๆ” คนขับรถม้ารีบยกมือขึ้นโบกส่ายไปมา “เขาก็แค่คนขับรถม้า ชื่อแซ่ของพวกเจ้าเขายังไม่รู้จัก” หลินซือเยว่นึกเคืองคนเหล่านี้ “ไปได้แล้ว” ฮู่ตงหยางเก็บดาบ คนขับรถม้าก็โค้งคำนับให้หลินซือเยว่ จากนั้นก็เดินจากไปในทันที หลินซือเยว่หันมามองเซวียนหมิงยู่ คิ้วเฉียงดั่งคมดาบ ดวงตาดุจเหยี่ยว สันกรามคมชัด ใบหน้าดุจเทพเซียนลงมาจุติ คนผู้นี้พอได้ยืนตัวตรงแล้ว ความสูงคงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน นางเงยหน้ามองเขาจนเมื่อยคอไปหมด จึ
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา