ฮูหยินเฒ่าได้ยินว่าหลานสาวบ้านรองของตน กำลังจะทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ก็โมโหจนหน้าสั่น “นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้ารองกับเมียไม่คิดห้ามนางเลยรึ”
“เห็นว่าเพราะคุณหนูรองอยู่อารามเต๋ามานาน เลยเรียนรู้เรื่องพิธีกรรมของเต๋ามาด้วย นางบอกว่าสามารถสวดส่งวิญญาณได้ขอรับ” พ่อบ้านหม่ารายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ เป็นสตรีในตระกูลใหญ่กลับต้องไปสวดส่งวิญญาณ ราวกับนักพรตเต๋าก็ไม่ปาน
“เหลวไหลสิ้นดี !” หลินเฉินส่ายหน้าไปมา แต่พอมองสถานการณ์ในตอนนี้ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตรอดไปได้ เรื่องสมควรหรือไม่นั้น คงไม่สลักสำคัญอีกต่อไป
“บุตรสาวน้องรองผู้นี้เรียนอะไรไม่เรียน ดันไปเรียนวิชาต้มตุ๋นมา น่าขายหน้าจริง ๆ” หวางฮูหยินเย้นหยันบ้านรองดัง ๆ ตั้งใจให้คนอื่นในตระกูลหลินได้ยิน
“นั่นสิท่านแม่ พวกบ่าวไพร่ก็หูตามืดบอด ยอมทำตามไปได้” หลินจื่อรั่วไม่ถูกชะตากับหลินซือเยว่อยู่ก่อนหน้าแล้ว เหตุเพราะเรื่องแต่งงาน ท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจสมหวังได้ เป็นเพราะตัวซวยตัวนี้จริง ๆ
บ่าวไพร่บางคนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ต่างก็เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย พวกเขาไม่ได้สูญเสียคนในครอบครัวไป ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่พวกที่ตายไปสิบกว่าคนนั้น ญาติของเขาต้องยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด
หลินซือเยว่เห็นทหารลากศพพวกเดียวกันไปกองรวมกันไว้ตรงมุมหนึ่ง คล้ายไม่ได้สนใจมาขุดหลุมฝังศพใต้ต้นไม้ นางเห็นวิญญาณของคนตายแผ่ไอเย็นด้วยความเคียดแค้นออกมา จึงให้หลินอ้ายไปเรียกจี๋ไห่มาพบนาง
“เจ้าคู่ควรเรียกหาข้ารึ”
คำพูดแรกก็ทำให้หลินซือเยว่ก็ต้องกลอกตามองเขาตรง ๆ “เหตุใดไม่ให้คนขุดหลุมฝังศพให้พวกเขา” นางมองไปยังกองศพทหารนับสิบคน
“เสียเวลาเปล่า ๆ อย่างไรก็นำศพกลับไปไม่ได้”
“เจ้าเกียจคร้านเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวิญญาณของคนตายจะตามมาหลอกหลอนให้รึ”
นางแสยะยิ้มใส่จี๋ไห่ รอยยิ้มสยดสยองอยู่ไม่น้อย จี๋ไห่ถึงกับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที
“อากาศเย็นยะเยือกกว่าเดิมใช่หรือไม่ เพราะอะไรเจ้ารู้ไหม” หลินซือเยว่เห็นท่าทีหวาดกลัวของเขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “เหล่าวิญญาณคนตายพวกนั้น กำลังยืนอยู่รอบตัวของเจ้าอย่างไรล่ะ ดูไปแล้วพวกเขาคงจะตามติดเจ้าไปตลอดการเดินทางเป็นแน่ ทางที่ดีมอบหลุมฝังศพให้คนตายเสีย ข้าจะได้สวดส่งวิญญาณให้พวกเขาจากไปอย่างสงบสุข”
นางยังทำเป็นมองไม่เห็นเหล่าวิญญาณ เพราะนางไม่ต้องการฟังคำขอครั้งสุดท้ายจากพวกเขา คนตายมากเพียงนี้ หากให้อยู่รับฟังจนครบ คงไม่ได้เดินทางไปไหนต่อเป็นแน่
จี๋ไห่รู้สึกความหนาวเย็นผิดปกติตามติดตัวเขาจริง ๆ ไม่ว่าจะผิงไฟอย่างไรก็ไม่สามารถบรรเทาได้ สุดท้ายก็ต้องให้ลูกน้อง ไปขุดหลุมศพของทหารทั้งสิบกว่าคนนั้น ทำตามที่หลินซือเยว่บอกกล่าวแก่ทุกคน
“ป้าเผิงกระดาษเหลืองเราพอหรือไม่”
“น่าจะพอเจ้าค่ะคุณหนู โชคดีที่คุณหนูให้ข้านำติดกระเป๋ามาด้วย”
“เช่นนั้นไปบอกพวกเขา ว่าให้คนที่รู้ชื่อวันเดือนปีเกิดของคนตายมาหาข้า”
นางเขียนชื่อกับวันเดือนปีเกิดและวันตาย ลงบนกระดาษเหลืองด้วยนิ้วที่แต้มด้วยชาดสีแดง แต่ละศพจะได้รับมอบกระดาษสีเหลืองสองแผ่น แผ่นแรกให้พวกเขานำลงไปวางไว้ในหลุมศพ อีกแผ่นให้เอาไว้เผายามทำพิธีส่งวิญญาณ
ญาติคนตายเห็นเช่นนี้ รู้สึกราวกับได้รับการปลอบโยนขึ้นมา พวกเขารีบเข้าไปนั่งอยู่รอบ ๆ หลุมฝังศพของคนในครอบครัว ส่วนนายทหารที่ตายไปนั้น จี๋ไห่ให้ลูกน้องเป็นคนเผากระดาษเหลืองให้แทนญาติ
เสียงลมหวีดหวิวเปลวไฟที่ลุกโชน หิมะเริ่มตกหนักลงมาเรื่อย ๆ กองฟืนที่เผาไหม้อยู่ในตอนแรก กำลังจะดับมอด ทำให้บรรยากาศรอบข้างพรั่นสะพรึงเป็นอย่างมาก หลินซือเยว่รวบผมให้เป็นก้อนอยู่ด้านหลัง นำกระดิ่งอันเล็กที่พกติดกระเป๋าออกมา ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพใต้ต้นไม้ เผิงฉือคอยอยู่ด้านข้างเพื่ออำนวยความสะดวก นางดีดนิ้วทีเดียวเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าหิมะจะตกหนักเพียงใด ไม่อาจทำให้มันมอดดับลงไปได้
คนอื่นที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ต่างขยับเข้ามาล้อมวงรอบ ๆ ต้นไม้ เนื่องจากกองไฟจุดอื่นดับหมด เหลือเพียงกองไฟจุดนี้จุดเดียว พวกเขาจึงได้เห็นพิธีกรรมใต้ต้นไม้อย่างชัดเจน เถียนฮูหยินเห็นบุตรสาวยืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพ ใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่รู้ว่านางต้องพบเจอเรื่องราวใดมา ถึงได้กลายเป็นหินน้ำแข็งไปเช่นนี้
“ท่านแม่พี่รองดูน่ากลัว” หลินซูฮวากระตุกแขนเสื้อมารดาเบา ๆ
“ซูฮวานางแค่ทำพิธีกรรมของเต๋า ไม่เห็นจะน่ากลัวสักนิด”
หลินเต๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกลรู้สึกขมเฝื่อนในลำคอ เขาแยกแยะไม่ได้ว่าตรงหน้านี้ เป็นพิธีกรรมทางเต๋าจริงหรือหลอก แต่ไม่ว่าจะทางไหน บุตรสาวของเขาไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย เอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า
“ข้าคงทอดทิ้งนางนานเกินไป จนทำให้สติของนางวิปลาสไปเสียแล้ว”
หลินซูฮวา “?!”
เถียนฮูหยิน “?!”
เสียงสวดมนต์ส่งวิญญาณดังขึ้น พร้อมกับเสียงกระดิ่งที่คอยสั่นอยู่เป็นระยะ หลินซือเยว่ก้าวเดินไปรอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่ บทสวดของนางขับกล่อมเหล่าวิญญาณให้จิตใจสงบ ปล่อยวางเรื่องราวในโลกนี้ ฝีเท้าของนางเบาหวิวคล้ายดั่งล่องลอยได้ บทสวดทำนองเย็นยะเยือก สะท้านไปถึงจิตวิญญาณของผู้คน เมื่อนางวนรอบครบทุกหลุมฝังศพ กระดาษเหลืองในมือของเหล่าญาติ ฟุบ ! ไฟลุกไหม้ในทันที
“อ๊ะ ! ร้อน ๆ” พวกเขาต่างผงะด้วยความตกใจ แทบจะลุกวิ่งหนีไปเสียให้ได้
“ทุกท่านโปรดสงบ พิธีกรรมยังไม่เสร็จ” เสียงของเผิงฉือดังขึ้น คล้ายบอกว่านี่เหตุการณ์ปกติของการทำพิธีกรรม ทำให้คนที่ยืนล้อมวงอยู่วางใจลง ในใจเริ่มรู้สึกเลื่อมใสหลินซือเยว่ขึ้นกว่าเดิม
เสียงสวดมนต์หยุดลง พร้อมกับเสียงกระดิ่งที่สั่นครั้งสุดท้าย เสียงสีขาวสว่างจ้าพร้อมประตูปรโลกถูกเปิดออก ดูดดวงวิญญาณผู้ตายเข้าสู่ปรโลกไป จากนั้นก็ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
หลินซือเยว่สะบัดแขนเสื้อหันหลังกลับมา “พิธีเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนออกเดินทางต่อได้”
ญาติคนตายทำตามคำสั่งของหลินซือเยว่ พวกเขาเตรียมตัวออกเดินทางต่อในทันที แต่ซุนต้าหลงกลับไม่พอใจ เขายังบาดเจ็บที่ต้นแขน แม้ได้รับการทำแผลมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยากพักผ่อนเสียก่อน เขายังมีรถม้าอยู่สองคัน พอให้เป็นที่นอนหลับพักผ่อนได้ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่านักโทษทั้งหมด จะมีที่หลับนอนหรือไม่
“นางคิดว่านางเป็นใคร สั่งให้คนออกเดินทางอย่างนั้นรึ ข้างหน้ามืดมิดเช่นนั้น จะเดินไปหาความตายหรืออย่างไร”
จี๋ไห่ไม่ได้เล่าเรื่องพิธีสวดส่งวิญญาณ ที่กระดาษเหลืองถูกเผาไหม้ไปเอง ทั้งที่ไม่มีผู้ใดถือคบไฟแม้แต่คนเดียว ยามนั้นเขาเองยังตกตะลึง ท่วงทำนองเสียงสวดมนต์ส่งวิญญาณนั่น ช่างขลังจนเหมือนจริง
“ท่านรองแม่ทัพดูเหมือนทหารของเราจะได้รับบาดเจ็บ จนไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้แล้วขอรับ” นายพันหวงอี้รีบรายงาน “พวกตระกูลหยางก็ปลดโซ่ตรวนเองจนหมด”
“พวกมันจะแหกแถวหรืออย่างไร”
หวงอี้ส่ายหน้า “พวกเขาบอกว่าจะไม่หนี แต่จะขอตามคุณหนูหลินไปก่อนขอรับ”
“คุณหนูหลินไหนอีก” ซุนต้าหลงแทบจะขว้างปาข้าวของใส่คนตรงหน้า
“นางเป็นคุณหนูรองของนายท่านหลินเต๋อขอรับ นางคือคนที่สวดส่งวิญญาณให้คนตาย”
“เฮอะ” ซุนต้าหลงหมดคำจะเอ่ยได้อีก ทหารของตนได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้ มีหรือจะสู้กับพวกนักโทษทั้งหมดได้
จี๋ไห่กลอกตาไปมาราวกับคิดว่าควรเอ่ยในเรื่องที่ตนเองถูกกำชับมาดีหรือไม่ แต่ท่าทางกระสับกระส่ายของเขา ไม่ได้รอดพ้นสายตาของซุนต้าหลงไปได้
“เจ้ามีอะไรก็พูดมา อย่ามาอ้ำอึ้งแถวนี้ !”
“เรียนท่านรองแม่ทัพ ความจริงแล้วคุณหนูหลินผู้นั้นบอกข้า ให้มาแจ้งข่าวแก่ท่านด้วยขอรับ”
“เหตุใดไม่บอกตั้งแต่เนิ่น ๆ”
ท่านโมโหนางเช่นนั้น ข้าจะกล้าเอาคอไปพาดเขียงได้อย่างไร
“นางว่าอย่างไร”
“นางบอกว่าหากขืนอยู่ที่นี่ต่อจะเกิดอันตรายขึ้น ให้รีบย้ายออกจากที่แห่งนี้ไปให้เร็วที่สุดขอรับ”
“ฮึ นางคิดว่านางเป็นผู้รู้ฟ้ารู้ดินหรืออย่างไร ก็แค่สตรีเติบโตในอารามเต๋า ใช้วิชาต้มตุ๋นชาวบ้านไปเรื่อย”
“ท่านรองแม่ทัพ ข้ามีบางเรื่องอยากบอกท่าน” จี๋ไห่เกรงว่าหากไม่เอ่ยความจริงออกไป แล้วเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ชีวิตของเขา คงไม่อยู่ได้เห็นหน้าอนุภรรยาอีกครั้ง จึงได้เล่าเรื่องที่หลินซือเยว่เอ่ยถึงอนุภรรยาที่กำลังตั้งท้อง และเคราะห์ร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนาง
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าไม่ได้พูดกับคนอื่นจนนางไปได้ยินเข้า”
“ข้าไม่กล้าโป้ปดต่อท่านรองแม่ทัพขอรับ ข้าไม่เคยพูดคุยกับคนของข้าในระหว่างการเดินทางเลยขอรับ”
ซุนต้าหลงเริ่มคิดหนัก เขามองทุกคนกำลังเตรียมเดินทาง รู้สึกในใจพลันหวาดระแวงขึ้นมา หากพวกเขาไม่เชื่อฟังแล้วเดินทางตามหลินซือเยว่ เขาจะมีหน้าเป็นผู้คุ้มกันนักโทษได้อย่างไร เมื่อขัดขวางไม่ได้ก็ต้องปล่อยตามน้ำไป
“ไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทาง”
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ” จี๋ไห่นับว่าบรรลุจุดประสงค์ของตนแล้ว อำเภอข้างหน้านี้เป็นบ้านเกิดของอนุภรรยา ที่เขาเลี้ยงดูเอาไว้ จะได้รู้ข่าวคราวของนางว่ายามนี้มีเคราะห์จริงหรือไม่
ตระกูลหลินในตอนแรกไม่คิดออกเดินทางตามหลินซือเยว่ พวกเขาคิดว่านางหลอกลวงผู้คน เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเองเท่านั้น แต่พอเป็นคำสั่งจากซุนต้าหลงให้ทุกคนออกเดินทางได้ พวกเขากลับไม่มีเหตุผลให้โต้แย้งได้อีก เก็บของเตรียมออกเดินทางในทันที
หนึ่งเค่อต่อมา
ครืน !
หินที่อยู่ด้านบนภูเขาเกิดถล่มลงมาอย่างหนัก เหล่านักโทษพร้อมผู้คุม ต่างหันไปด้านหลังกันหมด หากพวกเขายังอยู่ที่เดิม เกรงว่าไม่ตายก็คงบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน บางคนถึงกับสวดภาวนาให้หลินซือเยว่ นางช่างทำนายฟ้าดินได้แม่นยำยิ่งนัก บางคนนึกถึงศพที่อยู่ตรงนั้น เพราะถูกฝังลงดินไปแล้วจึงไม่ต้องกลายเป็นศพใต้ซากหินถล่ม มิเช่นนั้นคงยากในการจะระบุตัวตนได้
“คุณหนูหลินผู้นี้ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก” เสียงเอ่ยขอบคุณของพวกเขา ดังแผ่วเบาในสายลม
มีเพียงหวางฮูหยินที่แสยะยิ้มเย้ยหยัน “นางก็แค่ดวงดีเท่านั้นแหละ” หลินจื่อรั่วเอ่ยเสริมขึ้น “ข้าก็คิดเหมือนกันกับท่านแม่เจ้าค่ะ”
ทว่าในใจของหลินเฉินกับฮูหยินเฒ่า กลับรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก หากยังอยู่ตรงนั้นต่อ คาดว่าเคราะห์คงหนักหนา ยิ่งกว่าตอนถูกโจรป่าปล้นเสียอีก
หลินซือเยว่ตอนนี้กลับมาอยู่ท้ายขบวนตามเดิม นางคงไม่อาจไปแย่งหน้าที่ของซุนต้าหลงได้ และไม่อยากอยู่กับคนตระกูลหลินอีกด้วย อีกทั้งบนรถม้ายังมีหยางห่าวหรานนอนรักษาตัวอยู่ รั้งท้ายขบวนเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว
15 : จี๋ไห่ได้รับข่าวร้าย เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอฉือ จี๋ไห่ได้รับข่าวร้ายทันที อนุภรรยาที่รักของเขาคลอดยาก นางเจ็บท้องถึงสองวันสองคืน พอคลอดออกมาได้ กลับตกเลือดอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเอ่ยแนะนำให้มาหาหลินซือเยว่ นางรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจช่วยเหลืออนุภรรยาของเขาได้ จี๋ไห่ต้องหลบสายตาผู้คนมาหาหลินอ้าย ให้เขาส่งข้อความหาหลินซือเยว่ให้มาพบเขาที เหตุเพราะเหล่านักโทษต้องถูกคุม อยู่ในลานกว้างของวัดใหญ่ประจำอำเภอ ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เอง “เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญนางออกมาที” นอกจากใช้ป้ายชื่อเชิญหลินซือเยว่แล้ว ยังต้องการให้นายทหาร ได้เห็นป้ายผ่านทางนี้ด้วย “บอกว่าข้ารออยู่ด้านข้างวัดใหญ่ใต้ต้นพุทราป่า หลินอ้ายเหลือบมองป้ายชื่อเล็กน้อย ก่อนจะรับมาถือไว้แล้วหันหลังไปหาเผิงฉือ ให้นางไปรายงานเรื่องนี้กับหลินซือเยว่ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะเจ้าคะ คนแบบนั้นไม่คู่ควร” เผิงฉือไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร เขาไม่ได้เลวจนให้อภัยไม่ได้ ป้าเผิงเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า” หลินซือเยว่เอ่ยแล้วรอให
16 : ชายแดนเมืองเหลียง ซุนต้าหลงได้ขอกำลังทหารจากอำเภอฉือเพิ่ม เนื่องจากคนของเขาได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ล้มตายก็นับสิบกว่าคน ก่อนหน้าเขาได้ให้หมอประจำอำเภอ มารักษาเหล่าทหารคุ้มกันแล้ว แต่บางคนไม่สามารถเดินทางต่อได้อีกหลายวัน เขาจำต้องให้หมอรักษานักโทษที่บาดเจ็บ จากการต่อสู้กับโจรป่าด้วย ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้คงได้ตายกลางทางเสียก่อน หากตายเพราะเหตุสุดวิสัยคงไม่เป็นไร แต่เกิดตายเพราะเขาเพิกเฉยไม่รักษาอาการบาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องจะปิดบังเบื้องบนเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีนักโทษนับสิบคนที่บาดเจ็บหนัก เดินทางไกลต่อจากนี้ค่อนข้างอันตราย จึงเพิ่มรถม้าไร้หลังคาสามคันให้คนเหล่านั้นได้นั่งไป ขบวนนักโทษออกเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น อีกทั้งคนตระกูลหยาง ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตรวนอีกต่อไป ในแต่ละวันพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายโดยไร้อุปสรรคใด ทว่าหลังผ่านไปสองวัน คนบาดเจ็บหนักไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ซุนต้าหลงกลับไม่ยอมให้หมอที่ติดตามเขา มาดูอาการให้คนป่วย คนเจ็บหนักนั้นมีทั้งคนตระกูลหลินและตระกูลหยาง ญาติของพวกเขาต่
17 : นางบำเรอในค่ายทหาร เช้าวันต่อมาทหารได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่ มามอบให้เหล่านักโทษที่เพิ่งมาใหม่ เป็นชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบมีปักป้ายชื่อของแต่ละคน พร้อมกับหน่วยที่พวกเขาต้องเข้าไปทำงาน บุรุษนั้นมีตั้งแต่เลี้ยงม้า ดูแลโรงฝึก ขนถ่ายอาวุธ หรือดูแลคลังเสบียง สตรีสูงวัยกับเด็กมีหน้าที่ทำครัวในหน่วยเสบียง ทว่าสตรีที่ยังสาวนั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นนางบำเรอให้แก่ทหารในค่ายจริง ๆ บุตรสาวอนุทั้งสองของหลินเฉินถูกจับแยกกับมารดา พวกนางขวัญเสียจนร้องไห้ วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของท่านย่าของพวกนาง สตรีที่ถูกนำไปเป็นนางบำเรอ ฝั่งตระกูลหลินมีจีหวังลี่ภรรยาของหลินจางเหว่ย อนุทั้งสองคนของหลินเฉิน หลินจื่อรั่ว แล้วก็หลินซือเยว่ ส่วนฝั่งตระกูลหยาง มีอยู่ราวสี่คน “ท่านพ่อข้าไม่ไป ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” หลังรู้ว่าตัวเองได้รับหน้าที่อันใด หลินจื่อรั่วก็กรีดเสียงร้องโวยวายดังลั่นค่ายทหาร “จื่อรั่ว !” หลินเฉินอยากจะเข้าไปช่วยบุตรสาวแทบตาย แต่ถูกหอกของนายทหารขวางเอาไว้ “ท่านพ่อ ! ปล่อยข้า !” ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา เตะเข้าที่ข้อพับเข่าของนาง แล้วสับสันมือลงไปบนต้นคอ ร่า
18 : แปดอักษรของผู้ตาย ยามอู่ (11.00-12.59) ผู้คนในค่ายทหารหลับนอนกันหมดแล้ว ภายในกระโจมเองก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตื่นขึ้นมาเห็นว่านางไม่อยู่ หลินซือเยว่จึงเลือกผงยานอนหลับมาโปรยในกระโจมเล็กน้อย พอให้พวกเขาหลับสนิทยาวนานกว่าเดิม ยามนี้วรยุทธ์นางยังไม่ก่อเกิด แต่ว่าวิชาตัวเบานั้นนางมีมาได้หลายเดือนแล้ว นางใช้วิชาทำนายชะตาล่วงหน้าควบคู่กับวิชาตัวเบา ในการหลบเลี่ยงเหล่าทหารเฝ้ายาม ไปจนถึงหน้าเรือนของแม่ทัพเหลียน นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ย่องเงียบตามหาไปเรื่อย ๆ จนได้รู้ว่าห้องของแม่ทัพเหลียนอยู่ตรงไหน ใช้ยาสลบที่พกติดตัวมาเพียงไม่กี่ห่อ ส่งผลให้ทหารยามหน้าห้องแม่ทัพเหลียน นอนหลับคอพับอยู่กับที่ แม่ทัพเหลียนลืมตาขึ้นในทันที หลังรู้สึกว่ามีใครบางคน ขึ้นมาบนเตียงนอนของตนเอง ทว่าช้าไปมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว “อย่าขยับ” เข็มเล่มหนึ่งถูกฝังลงบนจุดที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายตัวเองได้ หลินซือเยว่จึงเก็บมีดไว้ เดินไปจุดตะเกียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง “ท่านจงฟังให้ดี ๆ
19 : กำจัดวิญญาณร้าย “ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี “คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน “หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” “ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ “สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง “เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือด
20 : ข้าอยากทำงานที่โรงสมุนไพร รุ่งขึ้นนักโทษสตรีที่มาใหม่ ถูกเรียกมารวมตัวกันหน้ากระโจม ทุกคนต่างหวาดผวาว่าจะถูกสั่ง ให้ไปทำหน้าที่นางบำเรอวันนี้เลยหรือไม่ แต่ทหารที่มาแจ้งข่าวนั้น กลับบอกว่าพวกนางไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ให้ย้ายไปทำงานกับคนในตระกูลของตัวเอง เหล่าสตรีทั้งหลายพากันปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินซือเยว่ที่ยืนสัปหงกอยู่เพียงลำพัง คล้ายว่านางนอนเท่าใดก็ไม่อิ่มเสียที "พี่สะใภ้ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” หลินจื่อรั่วหันไปเขย่ามือจูหวังลี่แรง ๆ “คุณหนูรองเรื่องจริงเจ้าค่ะ” อนุหลิวหันมายิ้มอย่างดีใจ “เก็บของแล้วตามทหารไปยังที่พักใหม่ของพวกเจ้า” ทหารผู้นำข่าวดีมาบอก ตะโกนให้ทุกคนออกไปเก็บของของตัวเองได้ “เจ้าว่าคนไหนคือคุณหนูหลินที่ท่านแม่ทัพให้ดูแลดี ๆ นะ” เขาหันไปกระซิบกับทหารคนด้านข้าง “คุณหนูที่ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังนั่นไง” ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่ “คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่ “เจ้าเป็นใคร” “ข้านายกองลู่ ลู่เสี่ยวเฟิงขอรับ” เขากำหมัดคารวะหลินซือเยว่ด้วยค
21 : นายท่านเมี่ยวผู้นี้ร่ำรวยหรือไม่ ตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ต่างถูกเนรเทศมาอยู่ค่ายทหารเมืองเหลียงได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามวันแรกพวกเขาต่างได้รับคำสั่งให้ทำงานหนัก แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้น แม่ทัพเหลียนมีคำสั่งให้พวกเขา ทำงานตามความเหมาะสม และห้ามทหารในค่ายรังแกพวกเขาอีกด้วย แต่ใช่ว่าทหารทุกคนจะฟังคำสั่ง เมื่อรังแกพวกเจ้านายไม่ได้ ก็แอบทุบตีพวกบ่าวไพร่แทน พอรู้ถึงหูของแม่ทัพเหลียนทหารนายนั้นก็ถูกทำโทษในทันที จึงทำให้ทหารในค่ายไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาอีก เรือนพักแม่ทัพเหลียน แม่ทัพเหลียนกำลังต้อนรับสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งอยู่ในห้องรับรอง ทหารรับใช้รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขก “เหตุใดนายท่านเมี่ยวถึงได้มาหาข้าถึงค่ายทหารได้ล่ะ” คหบดีเมี่ยว เมี่ยวป๋อหลิน ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ชาดี ๆ” เอ่ยชมแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของชายชราแลดูไม่สดชื่น คล้ายมีบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ “นายท่านเมี่ยว มีอันใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ท่านกับข้าคบหากันมานับสิบปี อย่าได้เกรงใจไปเลย” คหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหลียง ไหนเลยจะเคยแบกหน
22 : นังแพศยา ! “เอาล่ะ ถึงแม้นางไม่คู่ควรให้ข้าช่วยเหลือ แต่ว่ายังมีผู้อื่นที่คู่ควรอยู่” นางเอ่ยเสร็จก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผายมือเหมือนเชิญใครสักคนให้มานั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปด้านหน้า “ดื่มน้ำชาก่อน” วิญญาณสตรีตั้งครรภ์ก้มหน้าแลบลิ้นดื่มน้ำชาจากถ้วย แม้ลิ้นของนางจะยาวไปเสียหน่อย แต่หลินซือเยว่มองเป็นเรื่องปกติ “คุณหนูหลินเจ้าเอ่ยกับผู้ใด” เมี่ยวฮูหยินเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของนาง ราวกับว่านางกำลังนั่งดื่มชากับใครสักคนจริง ๆ หลินซือเยว่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที “ตรงหน้าของข้า มีวิญญาณสตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งนั่งอยู่ ข้าแค่มอบน้ำชาให้นางแก้กระหาย จากนั้นจะได้รู้กัน ว่าเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดฮูหยินรองของนายท่านเมี่ยวได้” “มีผี อ๊าย !” สาวใช้บางคนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกันหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงกกันไปหมด ฮูหยินรองที่อยู่บนเตียงเองก็หันหลังเข้าผนังห้อง ไม่กล้ามองมาทางนี้อีกเลย “นายท่านเมี่ยวฮูหยินรองมีอาก
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา