หลินซือเยว่เห็นจูฮูหยินเดินตรงมาทางตัวเอง ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก
“คุณหนูหลินเจ้าช่วยไปดูลูกชายของข้าได้หรือไม่ เขาไม่สบายจนหมดสติไปแล้ว” มือไม้สั่นเทาไปหมดไม่รู้ว่าด้วยความหนาวเย็น หรือว่าความหวาดกลัวเรื่องความเป็นตายของบุตรชาย
“พี่ฮุ่ยชิว” เถียนฮูหยินรีบลงมาจากรถม้า แล้วเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
หลินซือเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ท่านแม่ท่านนับญาติกับคนแปลกหน้าง่ายเกินไปไหม
“เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะช่วยลูกชายของท่านป้าฮุ่ยชิวได้หรือไม่”
ไม่ทันไรข้าก็มีป้าเพิ่มมาอีกคนแล้วรึ
“ข้าขอไปดูก่อน ป้าเผิงเอากระเป๋าของข้ามาด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หยางห่าวอู๋ให้คนในตระกูลหยางเดินทางไปก่อน เขากับภรรยาอยู่รอเฝ้าลูกชายเอง คราวแรกไม่มีใครยอมขยับตัว ทหารที่คุ้มกันนับสิบคนจึงชักดาบออกจากฝัก เห็นดังนั้นพวกเขาไม่อาจสร้างปัญหา ให้แก่แม่ทัพกับรองแม่ทัพของตนเองได้
“ไม่ใช่ว่าข้าบอกแล้วรึว่าให้อยู่ดูคนป่วยได้แค่สองคน” จี๋ไห่ผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินเข้ามาขวางหน้าของหลินซือเยว่
“ข้ามีความรู้เรื่องการรักษาเล็กน้อย” หลินซือเยว่ตอบเขาเสียงแข็ง
“ไม่ได้ !”
“จุดหว่างคิ้วของเจ้าดำคล้ำ จุ๊ ๆ อนุภรรยานอกเรือนของเจ้าช่างมีวาสนาดียิ่ง เด็กในท้องนางดูเหมือนจะเป็นเพศชาย ทว่าจุดหว่างคิ้วของเจ้านี้ อาจทำให้การคลอดครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก”
“เจ้า !” จี๋ไห่ผงะตกใจไปด้านหลัง ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างของเขาก็พลอยตกใจตามไปด้วย เพราะเรื่องที่จี๋ไห่เลี้ยงอนุภรรยากำลังตั้งท้องอยู่นอกเรือนนั้น พวกเขาต่างก็ได้ยินตอนที่จี๋ไห่เมาแล้วเผลอพูดออกมา
“อย่ามาพูดเหลวไหล !”
“นายท่านได้โปรดเชื่อเถอะ คุณหนูของข้าเติบโตในอารามเต๋า นางได้เรียนรู้ศาสตร์ทำนายดวงชะตามาจากท่านเจ้าอาวาสที่นั่น เรื่องที่นางทำนายล้วนแต่เป็นจริงทั้งนั้น” เผิงฉือกล้าที่จะประกาศความสามารถของหลินซือเยว่ต่อหน้าทุกคน
“ข้าไม่เชื่อ !”
“เจ้าไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า แต่อย่ามาขวางทางของข้า” หลินซือเยว่ลอบเหยียดนิ้วเบา ๆ จี๋ไห่กับลูกน้องกลับเกิดบางอย่างขึ้น เพียงแค่ขยับหรือพูด ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่
หลินซือเยว่เหยียดนิ้วเบา ๆ อาการพวกนั้นก็หายไป แต่หากใครกล้าเข้ามานางก็จะจัดการพวกเขาในทันที จี๋ไห่เริ่มรู้สึกไม่ดี เขายกมือห้ามไม่ให้คนอื่น ๆ เข้าไปใกล้ คนตระกูลหยางหรือแม้แต่ครอบครัวของหลินเต๋อ ไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้ มีเพียงจี๋ไห่กับลูกน้องที่เริ่มหนาวสั่นอยู่ในอก
“พาเขาขึ้นรถม้าเถอะ ตรงนี้พื้นเย็นเกินไป” นางเหลือบเห็นว่าบิดามารดาของเขานั้น มีโซ่ตรวนอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง จึงหันไปทางบิดาของตนเอง “ท่านพ่อวานท่านมาช่วยทางนี้หน่อย”
หลินเต๋อสะดุ้งไม่คิดว่าจะถูกบุตรสาวคนโต้ไหว้วาน “ดะได้” เข้าไปช่วยพยุงคนสลบอย่างเก้ ๆ กัง ๆ หลินอ้ายทนดูไม่ได้รีบเข้าไปช่วยอีกแรง
เมื่อนำคนป่วยขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว หลินซือเยว่ขึ้นไปอยู่บนรถม้ากับเขาแค่สองคน อีกทั้งยังปิดผ้าม่านลงอีกด้วย บุพการีของทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากัน อย่างไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาดี
เผิงฉือจำต้องอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจ “อากาศด้านนอกหนาวเย็นเจ้าค่ะ คุณหนูต้องรักษาคนป่วยในที่อบอุ่น เมื่อครู่ข้าได้นำเตาอุ่นมือของคุณหนูเข้าไปไว้บนรถม้าแล้ว อีกทั้งยังมีตะเกียงน้ำมันเพิ่มแสงสว่างอีกด้วย บนรถม้าคงอุ่นขึ้นไม่น้อย”
“เช่นนี้นี่เอง” จูฮูหยินยิ้มพร้อมก้มศีรษะไปทางเถียนฮูหยินเล็กน้อย ซึ่งอีกฝ่ายก็น้อมศีรษะลงตามไปด้วย
“ชีวิตของฮูหยินข้าได้บุตรสาวของนายท่านรองช่วยเหลือไว้ มาคราวนี้เป็นบุตรชายของข้าอีก โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” หยางห่าวอู๋ประสานฝ่ามือตรงหน้าของหลินเต๋อ
“มิกล้า ๆ ทราบมาว่าท่านคือแม่ทัพหยาง” หลินเต๋อรีบคารวะกลับอย่างเกรงใจ “บุตรสาวของข้ามีความรู้เพียงน้อยนิด ท่านก็อย่าได้มั่นใจว่านางจะรักษาได้เลย ขนาดข้าเองก็ยังไม่มั่นใจ”
“หืม” หยางห่าวอู๋นึกแปลกใจ ก่อนจะนึกออกว่าก่อนหน้านี้ คนข้างกายของหลินซือเยว่พูดว่านางอยู่อารามเต๋ามาก่อน จึงหันไปทางเผิงฉือ “คุณหนูหลินอยู่อารามเต๋ากับเจ้ารึ”
เผิงฉือไม่คิดว่าจะถูกเอ่ยถามเช่นนี้ ได้แต่มองบิดามารดาตัวจริงของหลินซือเยว่ก่อน เห็นเพียงพวกเขาทำหน้าสลดเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ห้ามปรามตนแต่อย่างใด จึงหันกลับมาทางผู้ถาม “เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ คุณหนูอยู่อารามเต๋าจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้วยครั้งนี้มีเรื่องให้ต้องกลับมาที่เมืองหลวง จึงได้ลงจากอารามไท่ผิงกวนมา ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้”
จูฮูหยินเห็นสีหน้าของเถียนฮูหยินมิสู้ดีนัก มารดาที่ไหนจะส่งบุตรสาวไปอยู่อารามเต๋า คงมีเรื่องอะไรซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน จึงรีบดึงแขนเสื้อของสามีเอาไว้ “อย่างไรก็ต้องขอบคุณพวกท่านมาก บุญคุณครั้งนี้หากมีโอกาส ข้ากับท่านพี่จะต้องได้ตอบแทนพวกท่านอย่างแน่นอน”
“พี่ชุ่ยฮิวอย่าได้เกรงใจไปเลย”
จากนั้นบรรยากาศก็คลายความอึดอัดใจลง พวกเขายืนล้อมกันเป็นวงกลม เพื่อรับไออุ่นจากเตาอุ่นมือของเผิงฉือ เสียงพูดคุยเงียบลง เพื่อรอคอยข่าวจากคนบนรถม้า
“ป้าเผิงสุราต้ม” เสียงในรถม้าดังออกมา
เผิงฉือรีบเดินอ้อมไปหลังรถม้า แล้วรื้อกระเป๋าของตัวเองออกมา หยิบขวดสุราต้มออกมายื่นเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็หาของที่หลินซือเยว่ร้องขอส่งยื่นให้
ราวสองเค่อหลินซือเยว่ก็เปิดม่านรถม้าออกมา สีหน้าของนางนิ่งเฉยดังเดิม ยากจะคาดเดาเรื่องราวได้
“ข้าเฉือนหน้าที่ตายออก ล้างด้วยสุราต้ม แล้วใส่ยารักษาแผลสดให้ไปใหม่ ให้ยาเม็ดลดไข้ไปแล้ว ตอนนี้คงได้แต่ภาวนา ให้เขามีใจสู้จึงผ่านพ้นไปได้”
“ข้าขอไปดูห่าวหรานได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านป้าท่านขึ้นไปเฝ้าลูกชายของท่านบนรถม้าเถอะเจ้าค่ะ หากมีอาการตัวร้อนหนาวสั่น ให้รีบเรียกข้านะเจ้าคะ” หลินซือเยว่ถูกมารดาแนะนำสตรีผู้นี้ว่าท่านป้า นางจึงต้องสมยอมตามน้ำไป
“ได้ ๆ ข้าเรียกเจ้าว่าเยว่เอ๋อร์เหมือนแม่เจ้าได้หรือไม่”
“....” หลินซือเยว่เหมือนต้องคิดอยู่อึดใจใหญ่ “ได้เจ้าค่ะ”
“ฮูหยินรีบขึ้นไปดูห่าวหรานเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่” จูฮูหยินรีบปีนขึ้นรถม้าอย่างดีใจ ครั้นบุตรชายสีหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาด ริมฝีปากไม่เขียวช้ำเหมือนก่อนหน้า นางจึงยกฝ่ามือขึ้นลูบดวงหน้าของเขาเบา ๆ
“ในเมื่อรักษาเสร็จแล้ว ก็รีบเดินทางต่อ” จี๋ไห่เดินมาตะคอกใส่พวกเขา
หยางห่าวอู๋กับคนบ้านรองตระกูลหลิน ต่างหันไปทางเขาพร้อมสายตาสาปส่ง ก่อนที่หลินซือเยว่จะมองเห็นไอเลือดสีแดงฉาน ปรากฏอยู่ด้านหน้าไกล ๆ ดวงตาของนางคล้ายมีแสงบางอย่างวาบผ่าน
“ท่านเอ่ยถูกแล้ว รีบเดินทางเถิด คนพวกนั้นเจอเคราะห์หนักเข้าแล้ว”
ทุกคน “?!”
เคราะห์หนักอันใดของเจ้าา ?
หลินซือเยว่ให้จูฮูหยินอยู่เฝ้าบุตรชายบนรถม้า จากนั้นก็พากันเร่งเดินทางต่อในทันที จี๋ไห่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ เพราะตอนที่หลินซือเยว่กล่าวคำว่าเคราะห์หนักนั้น แววตาของนางนิ่งลึกเป็นอย่างมาก และเรื่องที่นางทำนายเรื่องอนุภรรยานอกเรือน เขากลับรู้สึกปล่อยวางไม่ลงเสียแล้ว
ใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็รู้ซึ้งถึงคำว่าเคราะห์หนักที่หลินซือเยว่ทายทักไว้ ขบวนเนรเทศที่ล่วงหน้ามาก่อน ถูกโจรป่าลอบทำร้ายระหว่างทาง ทหารล้มตายไปเกือบครึ่ง นักโทษเองก็ล้มตายไปหลายคน ส่วนคนเจ็บนั้นก็นอนรอความตายจากภัยหนาวกันอยู่
หยางห่าวอู๋รีบวิ่งเข้าไปหาหยางชุน เพราะนอกจากจะเป็นรองแม่ทัพของตนแล้ว เขายังเป็นน้องชายจากอนุภรรยาของบิดาอีกด้วย “หยางชุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เหนื่อยมากเกินไป เลยต้องนั่งพักเสียหน่อย” หยางชุนเห็นพี่ชายมองข้อมือ ที่ไร้โซ่ตรวนของตนจึงรีบเอ่ย “โจรป่ามากันเกือบร้อยคน ข้าแย่งดาบพวกมันมาได้ เลยปลดโซ่ตรวนให้คนของเรา เพื่อที่จะได้ต่อสู้ได้สะดวก ยังดีที่พวกมันไม่สนใจเด็กสตรีคนชรา เอาแต่ของมีค่าบนรถม้าไป”
“เฮอะ บนรถม้าจะมีสิ่งมีค่าได้อย่างไร” หยางห่าวอู๋ไม่เข้าใจ นำหน้าขบวนมีคนถือธงของคุกหลวงนำทางอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นเหล่านักโทษกำลังเดินทางอยู่
หยางชุนมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเบา ๆ “ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกมันมุ่งหน้าไปที่รถม้าของซุนต้าหลง แล้วยึดเอาลังไม้ที่อยู่ในนั้นไปทั้งหมด”
สีหน้าของหยางห่าวอู๋เริ่มเข้มขึ้น เขามองเห็นว่าหน้าขบวนนั้น มีรถม้าขนเสบียงอยู่หลายส่วน เนื่องจากบางจุดระหว่างทาง อาจต้องพักอยู่นอกเมืองเอง แต่พอมาคิดดูแล้วรถม้าพวกนั้น กลับมีหลายคันจนเกินไป อีกทั้งยังมีคนคุ้มกันอยู่คันละสี่คน ซึ่งดูไปแล้วก็คงผิดปกติจริง ๆ
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา แค่เจ้ากับคนของเราปลอดภัยก็พอแล้ว” หยางห่าวอู๋ตบบ่าน้องชายเบา ๆ
หยางชุนมองฝ่าแสงไฟจากคบเพลิงไปด้านหลังพี่ชาย “พี่ใหญ่แล้วห่าวหรานล่ะ”
“อยู่บนรถม้าของคนตระกูลหลิน ฮูหยินก็อยู่ดูแลบนนั้น”
“รถม้าคนตระกูลหลิน ?”
“ฮูหยินไปขอร้องคนบ้านรองของตระกูลหลิน”
“นับว่ายังมีเรื่องดีอยู่ นางช่วยพี่สะใภ้ได้ก็ต้องช่วยห่าวหรานได้”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น แล้วทางนี้ซุนต้าหลงจะเอาอย่างไรต่อ”
“เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ให้หมอที่พามาด้วยดูแลอาการอยู่ เห็นว่าอาจต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อน”
“จะพักได้อย่างไร สองข้างทางมีแต่หิมะเช่นนี้”
“ให้ทำอย่างไรได้ ไม่มีที่ให้ไปแล้ว ทั้งมืดและมองไม่เห็นทางเช่นนี้”
หลินซือเยว่ที่กำลังยืนมองศพคนตายนับสิบ แววตาของนางเย็นยะเยือก จำเป็นต้องเปิดผนึกเนตรทิพย์ เพื่อสอดส่องดวงวิญญาณเหล่านั้น เป็นไปอย่างที่นางคิดจริง ๆ พวกเขายึดติดกับครอบครัว ไม่อาจเดินทางสู่ปรโลกได้ด้วยตัวเอง จำต้องมีคนนำทาง
“หืม” หางตานางกระตุก มองท้องฟ้ากับเมฆหมอกยามค่ำคืน หายนะยังไม่จบสิ้น หากยังอยู่ตรงนี้ต่อไป หนนี้เป็นภัยจากธรรมชาติ
“ป้าเผิงไปบอกครอบครัวของคนที่ตาย ว่าข้าจะสวดส่งวิญญาณของพวกเขาให้ จงให้พวกเขาไปขุดหลุมไว้ใต้ต้นไม้นั่น” นางชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง ให้ฝังไว้ที่เดียวกันแต่แยกศพละหลุม วันข้างหน้าหากใครรอดชีวิตกลับมาได้ ก็กลับมาขุดกระดูกกลับไปไว้ในสุสานของตระกูล”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อคำพูดของเผิงฉือถูกเอ่ยออกไป เหล่าครอบครัวของคนตายก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา แม้ไม่ได้คาดหวังอันใดมากนัก เพราะเผิงฉือบอกเพียงแค่ว่าคุณหนูของนางเติบโตในอารามเต๋า ไม่ได้เป็นนักพรตแต่อย่างใด แต่มีความสามารถในการสวดส่งวิญญาณได้
พวกเขาไม่มีทางเลือกจึงพากันไปขุดหลุมรอบ ๆ โคนต้นไม้ แล้วนำศพลงไปไว้ในนั้น แต่ละคนต่างก็หาไม้มาแกะสลักชื่อแบบสั้น ๆ ของคนตายปักไว้ เผื่อวันข้างหน้าได้มีโอกาสกลับมา ขุดศพกลับไปไว้ที่สุสานของตระกูล
“ปล่อยนางทำไป” หลังได้รับรายงานเรื่องนี้ ซุนต้าหลงก็แค่นหยามออกมาคำหนึ่ง ในยามนี้แล้วยังมีคนอยากใช้วิชาหลอกลวงนักโทษอยู่ “โง่เขลานัก ถูกนางหลอกยังไม่รู้ตัว”
จี๋ไห่ที่กำลังจะเอ่ยขอให้นายทหาร ที่ล้มตายนับสิบคนได้ร่วมพิธีสวดวิญญาณ เป็นอันต้องหุบปากลงในทันที เขาเดินกลับไปประจำตำแหน่งที่ท้ายขบวนตามเดิม
14 : สวดส่งวิญญาณ ฮูหยินเฒ่าได้ยินว่าหลานสาวบ้านรองของตน กำลังจะทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ก็โมโหจนหน้าสั่น “นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้ารองกับเมียไม่คิดห้ามนางเลยรึ” “เห็นว่าเพราะคุณหนูรองอยู่อารามเต๋ามานาน เลยเรียนรู้เรื่องพิธีกรรมของเต๋ามาด้วย นางบอกว่าสามารถสวดส่งวิญญาณได้ขอรับ” พ่อบ้านหม่ารายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ เป็นสตรีในตระกูลใหญ่กลับต้องไปสวดส่งวิญญาณ ราวกับนักพรตเต๋าก็ไม่ปาน “เหลวไหลสิ้นดี !” หลินเฉินส่ายหน้าไปมา แต่พอมองสถานการณ์ในตอนนี้ จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตรอดไปได้ เรื่องสมควรหรือไม่นั้น คงไม่สลักสำคัญอีกต่อไป “บุตรสาวน้องรองผู้นี้เรียนอะไรไม่เรียน ดันไปเรียนวิชาต้มตุ๋นมา น่าขายหน้าจริง ๆ” หวางฮูหยินเย้นหยันบ้านรองดัง ๆ ตั้งใจให้คนอื่นในตระกูลหลินได้ยิน “นั่นสิท่านแม่ พวกบ่าวไพร่ก็หูตามืดบอด ยอมทำตามไปได้” หลินจื่อรั่วไม่ถูกชะตากับหลินซือเยว่อยู่ก่อนหน้าแล้ว เหตุเพราะเรื่องแต่งงาน ท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจสมหวังได้ เป็นเพราะตัวซวยตัวนี้จริง ๆ บ่าวไพร่บางคนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ต่างก็เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย พวกเขาไม่
15 : จี๋ไห่ได้รับข่าวร้าย เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอฉือ จี๋ไห่ได้รับข่าวร้ายทันที อนุภรรยาที่รักของเขาคลอดยาก นางเจ็บท้องถึงสองวันสองคืน พอคลอดออกมาได้ กลับตกเลือดอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเอ่ยแนะนำให้มาหาหลินซือเยว่ นางรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจช่วยเหลืออนุภรรยาของเขาได้ จี๋ไห่ต้องหลบสายตาผู้คนมาหาหลินอ้าย ให้เขาส่งข้อความหาหลินซือเยว่ให้มาพบเขาที เหตุเพราะเหล่านักโทษต้องถูกคุม อยู่ในลานกว้างของวัดใหญ่ประจำอำเภอ ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เอง “เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญนางออกมาที” นอกจากใช้ป้ายชื่อเชิญหลินซือเยว่แล้ว ยังต้องการให้นายทหาร ได้เห็นป้ายผ่านทางนี้ด้วย “บอกว่าข้ารออยู่ด้านข้างวัดใหญ่ใต้ต้นพุทราป่า หลินอ้ายเหลือบมองป้ายชื่อเล็กน้อย ก่อนจะรับมาถือไว้แล้วหันหลังไปหาเผิงฉือ ให้นางไปรายงานเรื่องนี้กับหลินซือเยว่ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะเจ้าคะ คนแบบนั้นไม่คู่ควร” เผิงฉือไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร เขาไม่ได้เลวจนให้อภัยไม่ได้ ป้าเผิงเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า” หลินซือเยว่เอ่ยแล้วรอให
16 : ชายแดนเมืองเหลียง ซุนต้าหลงได้ขอกำลังทหารจากอำเภอฉือเพิ่ม เนื่องจากคนของเขาได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ล้มตายก็นับสิบกว่าคน ก่อนหน้าเขาได้ให้หมอประจำอำเภอ มารักษาเหล่าทหารคุ้มกันแล้ว แต่บางคนไม่สามารถเดินทางต่อได้อีกหลายวัน เขาจำต้องให้หมอรักษานักโทษที่บาดเจ็บ จากการต่อสู้กับโจรป่าด้วย ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้คงได้ตายกลางทางเสียก่อน หากตายเพราะเหตุสุดวิสัยคงไม่เป็นไร แต่เกิดตายเพราะเขาเพิกเฉยไม่รักษาอาการบาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องจะปิดบังเบื้องบนเอาไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีนักโทษนับสิบคนที่บาดเจ็บหนัก เดินทางไกลต่อจากนี้ค่อนข้างอันตราย จึงเพิ่มรถม้าไร้หลังคาสามคันให้คนเหล่านั้นได้นั่งไป ขบวนนักโทษออกเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น อีกทั้งคนตระกูลหยาง ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตรวนอีกต่อไป ในแต่ละวันพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายโดยไร้อุปสรรคใด ทว่าหลังผ่านไปสองวัน คนบาดเจ็บหนักไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ซุนต้าหลงกลับไม่ยอมให้หมอที่ติดตามเขา มาดูอาการให้คนป่วย คนเจ็บหนักนั้นมีทั้งคนตระกูลหลินและตระกูลหยาง ญาติของพวกเขาต่
17 : นางบำเรอในค่ายทหาร เช้าวันต่อมาทหารได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่ มามอบให้เหล่านักโทษที่เพิ่งมาใหม่ เป็นชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบมีปักป้ายชื่อของแต่ละคน พร้อมกับหน่วยที่พวกเขาต้องเข้าไปทำงาน บุรุษนั้นมีตั้งแต่เลี้ยงม้า ดูแลโรงฝึก ขนถ่ายอาวุธ หรือดูแลคลังเสบียง สตรีสูงวัยกับเด็กมีหน้าที่ทำครัวในหน่วยเสบียง ทว่าสตรีที่ยังสาวนั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นนางบำเรอให้แก่ทหารในค่ายจริง ๆ บุตรสาวอนุทั้งสองของหลินเฉินถูกจับแยกกับมารดา พวกนางขวัญเสียจนร้องไห้ วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของท่านย่าของพวกนาง สตรีที่ถูกนำไปเป็นนางบำเรอ ฝั่งตระกูลหลินมีจีหวังลี่ภรรยาของหลินจางเหว่ย อนุทั้งสองคนของหลินเฉิน หลินจื่อรั่ว แล้วก็หลินซือเยว่ ส่วนฝั่งตระกูลหยาง มีอยู่ราวสี่คน “ท่านพ่อข้าไม่ไป ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” หลังรู้ว่าตัวเองได้รับหน้าที่อันใด หลินจื่อรั่วก็กรีดเสียงร้องโวยวายดังลั่นค่ายทหาร “จื่อรั่ว !” หลินเฉินอยากจะเข้าไปช่วยบุตรสาวแทบตาย แต่ถูกหอกของนายทหารขวางเอาไว้ “ท่านพ่อ ! ปล่อยข้า !” ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา เตะเข้าที่ข้อพับเข่าของนาง แล้วสับสันมือลงไปบนต้นคอ ร่า
18 : แปดอักษรของผู้ตาย ยามอู่ (11.00-12.59) ผู้คนในค่ายทหารหลับนอนกันหมดแล้ว ภายในกระโจมเองก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตื่นขึ้นมาเห็นว่านางไม่อยู่ หลินซือเยว่จึงเลือกผงยานอนหลับมาโปรยในกระโจมเล็กน้อย พอให้พวกเขาหลับสนิทยาวนานกว่าเดิม ยามนี้วรยุทธ์นางยังไม่ก่อเกิด แต่ว่าวิชาตัวเบานั้นนางมีมาได้หลายเดือนแล้ว นางใช้วิชาทำนายชะตาล่วงหน้าควบคู่กับวิชาตัวเบา ในการหลบเลี่ยงเหล่าทหารเฝ้ายาม ไปจนถึงหน้าเรือนของแม่ทัพเหลียน นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ย่องเงียบตามหาไปเรื่อย ๆ จนได้รู้ว่าห้องของแม่ทัพเหลียนอยู่ตรงไหน ใช้ยาสลบที่พกติดตัวมาเพียงไม่กี่ห่อ ส่งผลให้ทหารยามหน้าห้องแม่ทัพเหลียน นอนหลับคอพับอยู่กับที่ แม่ทัพเหลียนลืมตาขึ้นในทันที หลังรู้สึกว่ามีใครบางคน ขึ้นมาบนเตียงนอนของตนเอง ทว่าช้าไปมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว “อย่าขยับ” เข็มเล่มหนึ่งถูกฝังลงบนจุดที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายตัวเองได้ หลินซือเยว่จึงเก็บมีดไว้ เดินไปจุดตะเกียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง “ท่านจงฟังให้ดี ๆ
19 : กำจัดวิญญาณร้าย “ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี “คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน “หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” “ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ “สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง “เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือด
20 : ข้าอยากทำงานที่โรงสมุนไพร รุ่งขึ้นนักโทษสตรีที่มาใหม่ ถูกเรียกมารวมตัวกันหน้ากระโจม ทุกคนต่างหวาดผวาว่าจะถูกสั่ง ให้ไปทำหน้าที่นางบำเรอวันนี้เลยหรือไม่ แต่ทหารที่มาแจ้งข่าวนั้น กลับบอกว่าพวกนางไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ให้ย้ายไปทำงานกับคนในตระกูลของตัวเอง เหล่าสตรีทั้งหลายพากันปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินซือเยว่ที่ยืนสัปหงกอยู่เพียงลำพัง คล้ายว่านางนอนเท่าใดก็ไม่อิ่มเสียที "พี่สะใภ้ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” หลินจื่อรั่วหันไปเขย่ามือจูหวังลี่แรง ๆ “คุณหนูรองเรื่องจริงเจ้าค่ะ” อนุหลิวหันมายิ้มอย่างดีใจ “เก็บของแล้วตามทหารไปยังที่พักใหม่ของพวกเจ้า” ทหารผู้นำข่าวดีมาบอก ตะโกนให้ทุกคนออกไปเก็บของของตัวเองได้ “เจ้าว่าคนไหนคือคุณหนูหลินที่ท่านแม่ทัพให้ดูแลดี ๆ นะ” เขาหันไปกระซิบกับทหารคนด้านข้าง “คุณหนูที่ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังนั่นไง” ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่ “คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่ “เจ้าเป็นใคร” “ข้านายกองลู่ ลู่เสี่ยวเฟิงขอรับ” เขากำหมัดคารวะหลินซือเยว่ด้วยค
21 : นายท่านเมี่ยวผู้นี้ร่ำรวยหรือไม่ ตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ต่างถูกเนรเทศมาอยู่ค่ายทหารเมืองเหลียงได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามวันแรกพวกเขาต่างได้รับคำสั่งให้ทำงานหนัก แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้น แม่ทัพเหลียนมีคำสั่งให้พวกเขา ทำงานตามความเหมาะสม และห้ามทหารในค่ายรังแกพวกเขาอีกด้วย แต่ใช่ว่าทหารทุกคนจะฟังคำสั่ง เมื่อรังแกพวกเจ้านายไม่ได้ ก็แอบทุบตีพวกบ่าวไพร่แทน พอรู้ถึงหูของแม่ทัพเหลียนทหารนายนั้นก็ถูกทำโทษในทันที จึงทำให้ทหารในค่ายไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาอีก เรือนพักแม่ทัพเหลียน แม่ทัพเหลียนกำลังต้อนรับสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งอยู่ในห้องรับรอง ทหารรับใช้รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขก “เหตุใดนายท่านเมี่ยวถึงได้มาหาข้าถึงค่ายทหารได้ล่ะ” คหบดีเมี่ยว เมี่ยวป๋อหลิน ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ชาดี ๆ” เอ่ยชมแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของชายชราแลดูไม่สดชื่น คล้ายมีบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ “นายท่านเมี่ยว มีอันใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ท่านกับข้าคบหากันมานับสิบปี อย่าได้เกรงใจไปเลย” คหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหลียง ไหนเลยจะเคยแบกหน
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา