‘ผมเข้าใจพี่ฝนนะฮะ แต่แม่คงไม่ได้คิดแบบนั้น’
‘เรื่องแม่นะ ช่างเถอะ พี่ขอแค่ตรีกับหลานโมกข์เข้าใจพี่ก็พอ’
‘ผมเรียนจบแล้วจะรีบหางานทำ แบ่งเบาภาระพี่ฝนนะฮะ’
‘ไม่ต้องๆ พี่ดูแลตัวเองได้ แค่โมกข์ไม่อายที่มีพี่อย่างพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว’
‘ทำไมผมต้องอายด้วยเล่า พี่สาวผมทั้งสวยทั้งเก่ง ผมน่ะ ภูมิใจในตัวพี่ฝนนะ’
‘อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะกัน’
‘แน่นอนครับ!’
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า รมิดาตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ห้องของเธอมีฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องครัว รวมทั้งเครื่องซักผ้าขนาดเล็กและตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยน้ำดื่มและขนมของว่างที่แจกในห้องประชุม ตั้งแต่ทำงานในตำแหน่งเลขา เธอไม่ได้อดยากหิวโหยเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าความหิวมันทรมานเพียงใด ยิ่งขนมพวกนี้เธอไม่เคยมีเงินซื้อกินเอง ลำพังแค่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ลำบากแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อขนมมากิน
วันหยุดซึ่งนานๆ จะมีสักทีเพราะเจ้านายของเธอเป็นคนบ้างาน นอกจากงานที่บริษัทแล้วยังมีกิจการส่วนตัวหลายอย่าง หลายครั้งที่เธอต้องตามเขาไปหลายที่ ต้องท่องจำข้อมูลต่างๆ บันทึกตารางงานอย่างชัดเจน และยังต้องพัฒนาตัวเองเพื่อตามเขาให้ทันอีก ถึงเขาจะเป็นเจ้านายปากร้าย แต่เมื่อเธอทำงานผิดพลาด เขาก็พร้อมจะสอนงานให้เธอเข้าใจ จนเธอแอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาไม่ต่อสัญญาจ้างเธอทำงานอีกห้าปี เธอก็มีทักษะการทำงานที่ยอดเยี่ยมไปสมัครงานที่อื่นได้ แต่...คงไม่สามารถหาเงินเดือนครึ่งแสนแบบนี้ แถมมีห้องพักฟรีไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟแบบนี้ได้ที่ไหน โมกข์เหลืออีกปีเดียวก็จบ แต่เธอยังต้องดูแลน้องกายอีก ภาระไม่จบสิ้นแบบนี้ เธอถึงได้รักเงินมากอย่างไรล่ะ
รมิดาร้องเพลงพลางทำความสะอาดห้องไปด้วย หากไม่ถูกเรียกกระทันหันเธอคงทำความสะอาดห้องเสร็จและนอนแผ่หราไปนานแล้ว แต่เอาเถอะ เพื่อของกินแสนอร่อย เธอทำได้เสมอ โดยเฉพาะของอร่อยที่ไม่ต้องเสียเงิน ส่วนที่ได้เห็นอะไรวับๆ แวบๆ ของท่านประธาน ก็คิดเสียว่าเป็นอาหารตาก็แล้วกัน
ไม่รู้ว่ารมิดาคิดไปเองหรือเปล่า ท่าทางบอสดูแปลกๆ ชอบกล หรือเขาจะหาเรื่องจับผิดไม่อยากต่อสัญญาจ้างงานกับเธออีก ช่วงนี้ไม่เห็นมีนัดกับสาวๆ ที่ไหน ปกติเธอต้องทำตารางนัดสับรางรถไฟฟ้ามหานคร รวมทั้งส่งดอกไม้และของขวัญให้ผู้หญิงของเขา หรือเขาจะหมายตาผู้หญิงคนใหม่เลยเคลียร์ของเก่าในสต็อก
มือเรียวหยิบขนมส่งเข้าปาก แล้วเปิดโน้ตบุ๊กอ่านสรุปการประชุม กล่องข้อความในเฟซบุ๊กก็เด้งข้อความของเพื่อนรักขึ้นมาทันที
ไลลา : กระเป๋ามือสองมาแล้ว คัดมาให้กับมือ อย่างสวย
ฝนในเดือนมีนา : จัดมาคุณเพื่อน
ไลลา : ชุดสูทที่ให้หาก็ได้มาแล้วนะ
ฝนในเดือนมีนา : น่ารักที่สุด
ไลลา : เงินเดือนก็เยอะ ทำไมซื้อแต่ของมือสอง ลงทุนอีกหน่อยซื้อของมือหนึ่งไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ
ฝนในเดือนมีนา : ภาระเยอะ ก็รู้นี่น่า ประหยัดเงิน5บาท 10 บาท ก็เอา
ไลลา : แกเป็นลูกค้าฉันก็จริง แต่ก็ไม่อยากเห็นแกประหยัดจนกดดันตัวเองขนาดนี้
ฝนในเดือนมีนา : ขอบใจ ก็มีแต่แกที่คบฉันมาถึงทุกวันนี้
ไลลา : นี่ก็พูดเกินไป คิดมากจัง
ฝนในเดือนมีนา : คิดถึงแกไง
ไลลา : ไม่ต้องมาทำปากหวานใส่ เสื้อผ้ากระเป๋าจะให้แกร๊ปไปส่งให้นะ จะให้ส่งที่ไหนบอกมาด้วย
ฝนในเดือนมีนา : ส่งมาที่คอนโดนี่แหละ ฝากที่นิติคอนโดเหมือนเดิม
ไลลา : ตามนั้น อยากได้อะไรอีกไหม
ฝนในเดือนมีนา : เอาตัวแกมาได้ไหม
ไลลา : โอ๊ย! หลอนไม่ต้องมาทำเป็นจีบฉัน ไปเล่นที่อื่นไป
ฝนในเดือนมีนา : ไม่เล่นกับแกแล้วจะเล่นกับใคร ยังไงก็ส่งยอด+เลขบัญชีมาด้วย
ไลลา : จ้า ฉันไปขายของก่อนนะ แกดูแลตัวเองด้วย
ฝนในเดือนมีนา : ขอบใจจ้า
รมิดากัดขนมพลางเปิดดูรูปกระเป๋าและชุดสูทผู้หญิงที่เธอฝากไลลา-เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมหาซื้อให้ เธอไม่มีเวลาออกไปหาซื้อเสื้อผ้าเอง และที่สำคัญ เธอทนเห็นราคาที่ป้ายเสื้อไม่ได้ ทำงานข้างกายหัสวีร์ เสื้อผ้าหน้าผมต้องดูดี ซื้อของมือหนึ่งไม่ได้ก็ต้องอาศัยมือสองมือสาม หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา และเริ่มอ่านสรุปการประชุมอีกครั้ง วันหยุดของเธอมีค่าเกินกว่าจะคิดเรื่องไร้สาระ และเผื่อให้ได้ต่อสัญญางานอีกห้าปี เธอต้องเป็นเลขาสมบูรณ์แบบที่เขาต้องรู้สึกว่าขาดเธอไม่ได้!
หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า “คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ” “เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น “วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ” “ค่ะๆ” ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้
ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่ เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คื
รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์ เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอ
รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน “ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” “ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ” “คุณรมิดา” “รับทราบค่ะบอส” แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทา
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมว
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่