Share

ตอนที่6. เก็บเพชรได้

ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก

            หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู  หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่

            เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี  อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย  พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง  และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA  ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ  แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ  แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คือแม่ของหัสดินแถมมีลูกกันเร็วอีกต่างหาก หากไม่เพราะหน้าตาเขาลูกครึ่งชัดเจนคนอื่นต้องเข้าใจว่าเขากับหัสดินเป็นพี่น้องคลานตามกันมา

            พ่อขัดใจปู่มาสองครั้ง แต่รอบที่สองแม่ของหัสดินแม้ไม่ได้แต่งงานออกหน้าออกตาแต่ก็จดทะเบียนสมรส คราวนี้ผลการขัดใจปู่และครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบของพ่อทำให้ปู่มาลงที่เขา หมายมั่นให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ที่ปู่เลือก สร้างครอบครัวสุดแสนเพอร์เฟค  ตอนนี้หวยเลยมาลงคนที่คนเป็นหลานอย่างเขาที่ปู่หมายตาว่าที่หลานสะใภ้  ทั้งที่เขามีผู้หญิงที่คบหากันอยู่

            ‘หาผู้หญิงไทยไม่ได้แล้วหรือไงไปคว้าแหม่มฝรั่งที่ไหนมาเป็นแฟน’

            ‘ปู่แค่ไม่รู้จักคาเรน เธอเป็นดารานางแบบชื่อดังเลยนะ’

          ‘พวกเต้นกินรำกินไม่อะไรดีหรอก สู้ผู้หญิงที่ปู่เลือกให้ไม่ได้ ชาติตระกูลก็ดี ฐานะก็ดี เหมาะสมกับหลานปู่ทุกอย่าง’

            ‘ปู่นี่หัวโบราณจริงๆ ยุคนี้แล้วยังจะมาวุ่นวายเรื่องชีวิตคู่ของเด็กๆ อีก’

          ‘ก็รุ่นนี้แหละที่ให้กำเนิดพวกเอ็งทั้งหลาย เงินทองที่หาก็อยากให้พวกเอ็งได้ใช้กันสุขสบายไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไปใช้’

          หัสวีร์ไม่เข้าใจความคิดของปู่ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่เข้าใจ เขาคบคาเรนได้สองปี แต่ก็ไม่เหมือนคนคบกันเท่าไหร่ จะเรียกคู่ขาก็ไม่ได้เพราะความสัมพันธ์มันมากกว่านั้น คงเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาพูดคุยได้เกือบทุกเรื่อง เป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง อาจเพราะเธอเองก็ยังไม่พร้อมจะเปิดตัวใครเป็นแฟนหรือคนรัก สถานะของทั้งสองจึงดำเนินไปอย่างคลุมเครือ จนกระทั่งวันที่เขารำคาญใจเพราะปู่พยายามนัดให้เขาไปดูตัวและมาระบายเรื่องนี้กับคาเรน หลังจากนั้นเขาก็พูดกับเธอ

            ‘แต่งงานกับผม’

          ‘คะ?’

          ‘แต่งงานกับผม’

            เขาพูดซ้ำประโยคเดิมสีหน้าจริงจัง คาเรนจ้องมองเขาครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าเขาพูดจริงเธอจึงหลุดหัวเราะพรืดออกมา

            ‘เฮ้! ผมพูดจริงนะ เราสองคนเข้ากันได้ดีขนาดนี้ แต่งงานกันอยู่ด้วยกันต้องไปรอดแน่ๆ’

          ‘คุณคิดแบบนั้นหรือคะ’

            ‘ใช่’

          ‘คุณชอบฉัน?’

          ‘ใช่’

            ‘คุณรักฉัน’

          คราวนี้หัสวีร์นิ่งงันไป หญิงสาวหัวเราะขยับตัวนั่งบนตักแล้วยกมือลูบใบหน้าเขาเบาๆ

            ‘ให้ตายสิ คุณขอฉันแต่งงานทั้งที่คุณไม่มั่นใจว่ารักฉันหรือเปล่า คุณทำได้ยังไงกันนะ’

            ‘ผมชอบเวลาที่อยู่กับคุณ และผมยอมรับว่าผมไม่รู้จักความรักดีพอจึงไม่อยากพูดออกไป’

          ‘ไรอันคะ คุณพ่อของฉันป่วย ท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ฉันเคลียร์งานในเมืองไทยหมดแล้วก็จะบินกลับบ้านไปดูแลท่านค่ะ’

            ‘มีอะไรให้ผมช่วยบ้าง’ เขาถามจากใจจริง เธอเป็นมากกว่าคู่ขาหรือเพื่อนร่วมเตียง แม้เขาจะซื้อข้าวของเครื่องประดับแพงๆ ให้เธอจนนับไม่ถ้วน แต่หากเธอมีเรื่องเดือดร้อน เขายินดีช่วยเต็มที่

            ‘ฉันต้องการเวลาค่ะ’  หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม ‘ถ้าฉันกลับมาแล้วคุณยังยืนยันว่าต้องการแต่งงานกับฉัน ถึงเวลานั้น ฉันจะเป็นเจ้าสาวให้คุณเองค่ะ’

            ‘ได้ ผมจะรอ’

            ครั้งนั้นเขารับปากคาเรน เขาไม่ได้ไปส่งเธอที่สนามบิน เพราะคาเรนไม่ต้องการให้เป็นข่าว เขาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง เธอก็เป็นดาราดัง ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมเป็นเป้าสายตาคนอื่นเสมอ รมิดาเลขาข้างกายจึงเป็นคนที่ถูกเรียกใช้งานและทำหน้าที่ไปส่งคาเรนแทนเขา ผ่านมาเกือบสองปี เขาติดต่อเธอเรื่อยๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต และทุกครั้งจะมีรมิดาคอยเตือนเขาเสมอ วันสำคัญ วันพิเศษ ส่งของขวัญและคอยถามเรื่องอาการเจ็บป่วยของพ่อคาเรนปั

            ถ้าพูดว่าคาเรนเป็นผู้หญิงที่เขาสนิทที่สุด คนที่สนิทและใกล้ชิดเขามากกว่าใครก็ควรจะเป็นรมิดา เลขาจอมขี้เหนียว ตระกละ หิวเงินเป็นที่สุด

            แค่คิดถึงเธอ มุมปากของหัสวีร์ก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

            แรกๆ เธอประหม่า เวลาทำงานกับเขาก็ตัวเกร็งเพราะไม่มั่นใจในการทำงานของตัวเอง แต่เธอเป็นคนที่มีความพยายาม หัวไว สอนอะไรนิดหน่อยก็ทำได้ เธอจัดการเอกสารภาษาอังกฤษได้แต่ แต่เวลาพูด เธอพูดไม่คล่องขาดความมั่นใจ เขาเคยตำหนิเธอและหลังจากนั้น ก็เห็นว่าหลังเลิกงานเธอจะเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์เพื่อฝึกฝนทักษะการพูด  รมิดาเป็นคนที่มีผลการเรียนดีแต่จบจากมหาวิทยาลัยธรรมดาทำให้ขาดความน่าสนใจ ครั้งนั้นเขามีตัวเลือกเยอะ แต่เขาชอบสายตาท้าทายของเธอ ตอนนั้นเขายังคิดว่าเธอจะทำงานไม่ผ่านโปรฯด้วยซ้ำ แต่สามเดือนแรกก็เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนมีความอดทนเพียงพยายามมาก  ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองในฐานะประธานบริษัทรุ่นที่สาม ไม่ใช่เพียงแค่เดินเข้ามานั่งเล่นในห้องผู้บริหารเท่านั้น  เขาอยู่ทำงานจนดึก เธอก็ทำงานอยู่กับเขาด้วย เขาหยิบใบประวัติของเธอมาอ่านและรู้ว่าที่พักเธออยู่ไกลที่ทำงาน และฐานะของเธอค่อนข้างยากจน เขาจึงเพิ่มเงินพิเศษให้นอกเหนือจากเงินOT และเมื่อรู้ว่ามีห้องปล่อยให้เช่าที่คอนโดของเขา เขาก็จองไว้ให้เธอเข้ามาอยู่ที่นั้น

            ‘ถือว่าเป็นสวัสดิการของพนักงานที่ทำงานกับผม’

            ‘ถ้าอย่างนั้น...ก็ได้ค่ะ’

            ‘แต่ตัวให้ดีๆหน่อย เสื้อผ้าหน้าผมก็ให้มันดูดี ผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะซื้อเสื้อผ้าตลาดนัดมาใส่หรือเปล่า แต่เอาให้มันดูดีหน่อยเพราะคุณก็เหมือนเป็นหน้าตาของผมด้วย’

            ‘ค่ะ’

          ‘บุคลิกก็ต้องดีด้วย อย่านั่งหลังโก้ง เวลาเดินก็ให้มันสง่า’

          ‘ค่ะ’

          ผ่านมาสี่ปีกว่าๆ เลขาของเขาสมบูรณ์แบบ คุยกับชาวต่างชาติไม่มีท่าทีเก้ๆกังๆ เสื้อผ้าที่สวมเป็นของแบรนเนมแท้แต่เขารู้ว่ามันเป็นของมือสอง เพราะรมิดาเป็นคนขี้เหนียว แม้แต่ขนมของว่างเหลือก็ยังหยิบกลับไปกินหน้าตาเฉย  ท่าทางการเดินการเข้าสังคมหรือแม้แต่การถือแก้วเครื่องดื่ม เขาสอนเธอเองมากับมือ  แล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่าเขาเป็นคนเจียระไนเพชรเม็ดนี้ได้อย่างไร

           

           

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status