หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
“คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ”
“เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น
“วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ”
“ค่ะๆ”
ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ แต่แอบกัดฟันอยู่ในที เลขาหรือคนรับใช้ งานของเธอมันแทบไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัวของเขา ทว่าเมื่อเสียงปิ๊ง!ดังขึ้น รมิดาก็ฉีกยิ้มหวานเดินเข้ามาไปห้องทำงานของท่านประธานที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊กตรงหน้า
“บอสค่ะ ชุดสูทมาแล้วค่ะ”
“อืม” หัสวีร์รับคำในลำคอ ปลายนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดรัวๆ และปิดท้ายด้วยการกดปุ่มEnter จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกมาจากโต๊ะทำงานแล้วกางแขนออก
รวิดาเดินเข้าไปถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก นึกถึงตอนที่ตัวเองต้องเลี้ยงน้องชายแทนแม่ที่วันๆ แทบไม่ทำงานทำการ เธอต้องสอนน้องตัดแต่ติดกระดุมเม็ดแรกเลยทีเดียว แต่นี้...เธอทำเพราะหน้าที่ เธอไม่รู้ว่าเลขาคนอื่นต้องทำเรื่องพวกนี้ไหม แต่เพื่อแลกกับเงินเดือนครึ่งแสน รวิดายินดีทำอย่างยิ่ง แค่คิดยอดเงินในบัญชี ก็ทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
หัสวีร์หลุบตามองเลขาสาว ทำงานกันมาหลายปี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่ารมิดากลั้นยิ้มอยู่ และรู้ว่ายัยเลขาคนนี้มียิ้มหลายระดับ แต่เรื่องนั้นมันช่างเถอะ แค่เปลี่ยนเสื้อนอกให้เขาก็อารมณ์ดีขนาดนี้เลยหรือไงนะ
“บอสอยากเปลี่ยนเนคไทไหมคะ” รมิดาถามหลังจากถอดสูทตัวนอกออกแล้ว
“แล้วคุณคิดว่ายังไง”
“เนทไทของทาง GUCCIดีไหมคะ เรียบแต่หรูเพิ่มภูมิฐานเหมาะกับการติดต่องานประสานงานเพิ่มภาพลักษณ์ของผู้บริหารค่ะ”
“คุณไปหยิบมา”
“ค่ะ”
รมิดาอดยิ้มไม่ได้ การที่เจ้านายรับฟังความเห็นของลูกน้องมันก็ต้องน่าดีใจอยู่แล้ว ในห้องทำงานสุดหรูหราอลังการ มีห้องเล็กอยู่ซ่อนอยู่ จะเรียกว่าเล็กก็ไม่เล็ก มันกว้างกว่าห้องในบ้านแม่ของเธออีก ในห้องนั้นมีห้องน้ำที่สามารถอาบน้ำได้ ตู้สำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้ และมีลู่วิ่งออกกำลังกาย เธอเดินไปเลือกเนคไทได้เส้นที่ถูกใจแล้วเดินกลับมาหาเจ้านาย เธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กแต่เมื่อยืนใกล้เขาแล้วก็กลายเป็นคนตัวเตี้ยไปทันที มือเรียวถอดเนคไทเส้นเดิมออกแล้วผูกเส้นใหม่ให้ด้วยชำนาญ เพื่อรับหน้าที่นี้ เธอยอมลงทุนซื้อเนคไทมาหัดผูกเลยทีเดียว
“ทางโรงพยาบาลแจ้งผลตรวจสุขภาพประจำปีของคุณสุภาวดีมาแล้วค่ะ ความดัน น้ำตาลในเลือดรวมทั้งหัวใจทุกอย่างปกติค่ะ เหลือแค่เรื่องอาการนอนหลับไม่สนิท แต่คุณหมอไม่อยากให้กินยานอนหลับค่ะ”
“อืม” หัสวีร์ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ เขาปรายมองเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งของเลขาแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พูด
“ในทางการแพทย์แผนไทย บอกว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับเกิดจากธาตุไฟในร่างกายมีมากเกินไปทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้นอนไม่หลับ แนะนำให้ใช้ สมุนไพรที่มีรสขม เย็น จืด มาปรุงเป็นอาหารเพื่อรับประทานค่ะ เช่น สะเดาน้ำปลาหวาน ต้มจืดมะระ มะระขี้นกผัดไข่ แกงขี้เหล็ก หรือผักต้มจิ้มน้ำพริก ส่วนเครื่องดื่มสมุนไพรแนะนำเป็นน้ำใบบัวบก น้ำแตงโม น้ำมะระขี้นก
และเพิ่มการออกกำลังกายง่ายๆ ก็ช่วยให้หลับสบายไม่ต้องพึ่งยานอนหลับได้ค่ะ”
“ประจบสอพลอ”
รมิดาเลิกคิ้วเล็กน้อย แทนที่จะโกรธแต่เธอกลับยิ้มออกมา
“คุณสุภาวดีเป็นแม่ของท่านประธานนี่ค่ะ การที่ดิฉันประจบเอาใจก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว” รมิดายิ้มกว้าง ถูกจับได้ก็ต้องยืดอกรับ
“ผมนึกว่ามีแต่คนอยากเป็นลูกสะใภ้ของแม่ผมถึงอยากเอาอกเอาใจท่าน” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก้มมองดูคนตัวเตี้ยกว่าจัดเสื้อของเขาให้เข้าที่
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ แต่ตำแหน่งเลขาก็ห่วงใยได้นี่ค่ะ คุณสุภาวดียังเคยฝากรังนกมาให้ดิฉันเลยนี่ค่ะ”
“นั้นเพราะแม่ฉันไม่กินต่างหากล่ะ” เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา “อีกอย่างคุณก็มีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของผมให้คุณแม่ทราบอยู่แล้วด้วย”
“บอสค่ะ เรนนี่มีเจ้านายคนเดียวค่ะ” หญิงสาวทำสีหน้าจริงจัง “ส่วนคุณสุภาวดีนั้นเรียกว่าทำด้วยความเคารพ”
“คุณนี่มัน” คราวนี้ประธานหนุ่มถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ
“อ้อ! คุณรสรินโทรมาขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดค่ะ”
“รสริน?” หัสวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าให้บริษัทของเราค่ะ”
“อ่อ... คุณส่งอะไรไปล่ะ”
“ช่อดอกไม้ตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีพร้อมสร้อยข้อมือจากCartierค่ะ”
“ทำไมต้องเที่ยงคืน?”
“แสดงว่าเราใส่ใจและเฝ้ารอวันสำคัญของอีกฝ่ายไงคะ”
“เพ้อเจ้อ”
“แต่คุณรสรินชอบมากนะคะ”
“เธอรู้ได้ไงว่าเขายังไม่หลับไม่นอน”
“อัพไอจีสตอรี่อยู่แสดงว่ายังไม่หลับค่ะ”
“ไร้สาระ” เขาโคลงศีรษะไปมา แต่ปกติก็ให้เลขาจัดการเรื่องไร้สาระแบบนี้เสมอ เขาเลิกคิ้วอย่างเพิ่งนึกได้
“วันเกิดคุณล่ะ”
“วันเกิดดิชั้น...” รมิดาชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “มีอะไรเหรอคะ”
“คุณอยากได้อะไรล่ะ”
“บอสจะให้หรือคะ”
ดวงตากลมโตมีแวววิบวับทำให้คนมองรู้สึกใจหวิวแปลกๆ ชอบกล หรือเขาต้องหาเวลาไปเช็กสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล
“แค่ต่อสัญญาจ้างงานอีกห้าปีก็เป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วค่ะ”
รมิดายิ้มกริ่ม เธอต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สามเดือนสุดท้ายสมบูรณ์แบบ และเขาต้องต่อสัญญางานกับเธอให้ได้’
หัสวีร์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “คุณยังจำได้ใช่ไหม สัญญาจ้างงานห้าปี ห้ามมีสามี ห้ามมีลูก...”
“ผมต้องการคนที่ทุ่มเทให้งานมากที่สุด...” รมิดาเอ่ยต่อโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “ดิฉันจำได้ค่ะ”
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่” เขาถามแล้วหันไปมองเงาเลื่อนลางที่กระจกหน้าต่างห้องทำงานของตน
“ยี่สิบหกค่ะ”
“สัญญางานอีกห้าปีคุณก็สามสิบเอ็ดเลยนะ”
“ค่ะ” เธอทำตาปริบๆ
“คุณไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวจริงๆเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
รมิดาตอบรวดเร็ว ‘ไม่มีลูกของตัวเอง แต่ตอนนี้ก็เลี้ยงหลานเหมือนลูกอยู่แล้ว’
“ตั้งใจทำหน้าที่ของคุณให้ดีก็พอ”
“ค่ะ” รมิดายิ้มแล้วถอยออกมาเล็กน้อย “เรียบร้อยแล้วค่ะบอส”
“อืม” เขาพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกมา รมิดาก้าวตามหลัง แต่เจ้าของร่างสูงเดินไปที่ประตูแล้วชะงักไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา
“วันนี้คุณไม่ได้ต้องไป”
“คะ?” รมิดาแปลกใจ ปกติเขาให้เธอตามไปทุกงานยกเว้นขึ้นห้องกับผู้หญิงนั้นแหละ เอ๊? หรือว่า
เหมือนจะเข้าใจความคิดของเลขาสาว หัสวีร์ยกมือขึ้นดีดหน้าผากไปเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ไปเตรียมตัว” เขาพูดขึ้น “คุณไปสิงคโปร์กับผม”
“ค่ะ”
“จัดกระเป๋าเดินทางให้ผม” เขาพูดแล้วหมุนตัวเดินออกไป
รมิดาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายเปลี่ยนใจรวดเร็วแบบนี้ และเพื่อให้ได้สัญญาจ้างงานอีกห้าปี เขาสั่งอะไรเธอก็ทำ
ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่ เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คื
รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์ เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอ
รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน “ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” “ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ” “คุณรมิดา” “รับทราบค่ะบอส” แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทา
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมวุ
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
หัสดินแทบจะทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ที่เวลานี้มีคนเข้ามากันมากหน้าหลายตา เขารู้ดีว่านี่เป็นการระดมกำลังคนเต็มที่เพื่อตามหาทายาทตระกูลศาตนันท์ ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารวิศถูกลักพาตัวเขาก็รีบขับรถกลับมาที่บ้านทันที เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจึงเห็นรมิดานั่งอยู่กับแม่ของเขา “เป็นไงบ้าง” หัสดินถามพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าซีดด้วยความเป็นห่วง “ทุกคนกำลังออกติดตามคุณหนูรวิศอยู่ลูก” ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างแล้วจับแตะหลังมือของพี่สะใภ้ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่สิ รู้ว่าเป็นห่วงแต่เชื่อใจพี่วีร์และคนในครอบครัวของเราเถอะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดได้ง่าย” รมิดาพยายามยิ้มแต่ยิ้มได้ยากเต็มที ใครจะคิดว่าลูกอยู่ในสายตาแท้ๆ ยังถูกคนอุ้มขึ้นรถตู้ได้ง่ายดายขนาดนี้ ทันทีที่เกิดเรื่อง หัสวีร์สั่งการให้คนออกติดตามทันที เขาให้คนขับรถส่งเธอกลับมารอฟังข่าวที่บ้าน ส่วนตัวเขาเร่งติดตามรถคนนั้นไป และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเตรียมการไว้ดี เพราะมีการเปลี่ยนรถตู้ ทำให้คลาดกันจนได้ เธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญใดๆ ต้องตั้งสติและเตรียมตัวให้พร้อม
หญิงสาวสวมชุดสูทเข้ารูปเรียบหรูตัดเย็บประณีตจากห้องเสื้อ ‘ไลลา’ เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยและถือไอแพดเดินเข้ามาในห้องผู้จัดการ แต่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นมีเจ้าของร่างของท่านประธานบริษัทนั่งอยู่ก่อนแล้ว “ท่านประธานนั่งผิดที่หรือว่ามาจับผิดการทำงานของดิฉันคะ” หัสวีร์ได้ยินแล้วก็ไม่อาจตีหน้าเคร่งครึมได้ไหว มุมปากยกยิ้มแล้วตบที่ตักของตน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินเข้าไปแล้วนั่งบนตักแกร่งของประธานบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟ “พี่แค่เป็นห่วงว่าฝนจะทำงานไหวไหมเลยมาดู” หัสวีร์กอดภรรยาไว้หลวมๆ “มีใครรังแกหรือเปล่า” “ใครจะกล้ารังแกภรรยาคุณหัสวีร์ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วจุ๊บแก้มเขาเร็วๆ ไปหนึ่งที “ขอบคุณที่ให้ฝนมาทำงานด้วยนะคะ” “อะไรที่ฝนอยากทำพี่ก็จะสนับสนุน แต่จำไว้อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” เขาพูดแล้ววางมือบนหน้าท้องของหญิงสาว “เมื่อไหร่ลูกจะมานะ” “ใจร้อนจัง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือไปฉุดชายหนุ่มให้ลุกจากเก้าอี้ทำงานของเธอ “คราวที่แล้วพี่ยังไม่ทันเตรียมตัวเล
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช