หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
“คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ”
“เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น
“วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ”
“ค่ะๆ”
ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ แต่แอบกัดฟันอยู่ในที เลขาหรือคนรับใช้ งานของเธอมันแทบไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัวของเขา ทว่าเมื่อเสียงปิ๊ง!ดังขึ้น รมิดาก็ฉีกยิ้มหวานเดินเข้ามาไปห้องทำงานของท่านประธานที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊กตรงหน้า
“บอสค่ะ ชุดสูทมาแล้วค่ะ”
“อืม” หัสวีร์รับคำในลำคอ ปลายนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดรัวๆ และปิดท้ายด้วยการกดปุ่มEnter จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกมาจากโต๊ะทำงานแล้วกางแขนออก
รวิดาเดินเข้าไปถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก นึกถึงตอนที่ตัวเองต้องเลี้ยงน้องชายแทนแม่ที่วันๆ แทบไม่ทำงานทำการ เธอต้องสอนน้องตัดแต่ติดกระดุมเม็ดแรกเลยทีเดียว แต่นี้...เธอทำเพราะหน้าที่ เธอไม่รู้ว่าเลขาคนอื่นต้องทำเรื่องพวกนี้ไหม แต่เพื่อแลกกับเงินเดือนครึ่งแสน รวิดายินดีทำอย่างยิ่ง แค่คิดยอดเงินในบัญชี ก็ทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
หัสวีร์หลุบตามองเลขาสาว ทำงานกันมาหลายปี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่ารมิดากลั้นยิ้มอยู่ และรู้ว่ายัยเลขาคนนี้มียิ้มหลายระดับ แต่เรื่องนั้นมันช่างเถอะ แค่เปลี่ยนเสื้อนอกให้เขาก็อารมณ์ดีขนาดนี้เลยหรือไงนะ
“บอสอยากเปลี่ยนเนคไทไหมคะ” รมิดาถามหลังจากถอดสูทตัวนอกออกแล้ว
“แล้วคุณคิดว่ายังไง”
“เนทไทของทาง GUCCIดีไหมคะ เรียบแต่หรูเพิ่มภูมิฐานเหมาะกับการติดต่องานประสานงานเพิ่มภาพลักษณ์ของผู้บริหารค่ะ”
“คุณไปหยิบมา”
“ค่ะ”
รมิดาอดยิ้มไม่ได้ การที่เจ้านายรับฟังความเห็นของลูกน้องมันก็ต้องน่าดีใจอยู่แล้ว ในห้องทำงานสุดหรูหราอลังการ มีห้องเล็กอยู่ซ่อนอยู่ จะเรียกว่าเล็กก็ไม่เล็ก มันกว้างกว่าห้องในบ้านแม่ของเธออีก ในห้องนั้นมีห้องน้ำที่สามารถอาบน้ำได้ ตู้สำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้ และมีลู่วิ่งออกกำลังกาย เธอเดินไปเลือกเนคไทได้เส้นที่ถูกใจแล้วเดินกลับมาหาเจ้านาย เธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กแต่เมื่อยืนใกล้เขาแล้วก็กลายเป็นคนตัวเตี้ยไปทันที มือเรียวถอดเนคไทเส้นเดิมออกแล้วผูกเส้นใหม่ให้ด้วยชำนาญ เพื่อรับหน้าที่นี้ เธอยอมลงทุนซื้อเนคไทมาหัดผูกเลยทีเดียว
“ทางโรงพยาบาลแจ้งผลตรวจสุขภาพประจำปีของคุณสุภาวดีมาแล้วค่ะ ความดัน น้ำตาลในเลือดรวมทั้งหัวใจทุกอย่างปกติค่ะ เหลือแค่เรื่องอาการนอนหลับไม่สนิท แต่คุณหมอไม่อยากให้กินยานอนหลับค่ะ”
“อืม” หัสวีร์ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ เขาปรายมองเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งของเลขาแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พูด
“ในทางการแพทย์แผนไทย บอกว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับเกิดจากธาตุไฟในร่างกายมีมากเกินไปทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้นอนไม่หลับ แนะนำให้ใช้ สมุนไพรที่มีรสขม เย็น จืด มาปรุงเป็นอาหารเพื่อรับประทานค่ะ เช่น สะเดาน้ำปลาหวาน ต้มจืดมะระ มะระขี้นกผัดไข่ แกงขี้เหล็ก หรือผักต้มจิ้มน้ำพริก ส่วนเครื่องดื่มสมุนไพรแนะนำเป็นน้ำใบบัวบก น้ำแตงโม น้ำมะระขี้นก
และเพิ่มการออกกำลังกายง่ายๆ ก็ช่วยให้หลับสบายไม่ต้องพึ่งยานอนหลับได้ค่ะ”
“ประจบสอพลอ”
รมิดาเลิกคิ้วเล็กน้อย แทนที่จะโกรธแต่เธอกลับยิ้มออกมา
“คุณสุภาวดีเป็นแม่ของท่านประธานนี่ค่ะ การที่ดิฉันประจบเอาใจก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว” รมิดายิ้มกว้าง ถูกจับได้ก็ต้องยืดอกรับ
“ผมนึกว่ามีแต่คนอยากเป็นลูกสะใภ้ของแม่ผมถึงอยากเอาอกเอาใจท่าน” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก้มมองดูคนตัวเตี้ยกว่าจัดเสื้อของเขาให้เข้าที่
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ แต่ตำแหน่งเลขาก็ห่วงใยได้นี่ค่ะ คุณสุภาวดียังเคยฝากรังนกมาให้ดิฉันเลยนี่ค่ะ”
“นั้นเพราะแม่ฉันไม่กินต่างหากล่ะ” เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา “อีกอย่างคุณก็มีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของผมให้คุณแม่ทราบอยู่แล้วด้วย”
“บอสค่ะ เรนนี่มีเจ้านายคนเดียวค่ะ” หญิงสาวทำสีหน้าจริงจัง “ส่วนคุณสุภาวดีนั้นเรียกว่าทำด้วยความเคารพ”
“คุณนี่มัน” คราวนี้ประธานหนุ่มถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ
“อ้อ! คุณรสรินโทรมาขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดค่ะ”
“รสริน?” หัสวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าให้บริษัทของเราค่ะ”
“อ่อ... คุณส่งอะไรไปล่ะ”
“ช่อดอกไม้ตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีพร้อมสร้อยข้อมือจากCartierค่ะ”
“ทำไมต้องเที่ยงคืน?”
“แสดงว่าเราใส่ใจและเฝ้ารอวันสำคัญของอีกฝ่ายไงคะ”
“เพ้อเจ้อ”
“แต่คุณรสรินชอบมากนะคะ”
“เธอรู้ได้ไงว่าเขายังไม่หลับไม่นอน”
“อัพไอจีสตอรี่อยู่แสดงว่ายังไม่หลับค่ะ”
“ไร้สาระ” เขาโคลงศีรษะไปมา แต่ปกติก็ให้เลขาจัดการเรื่องไร้สาระแบบนี้เสมอ เขาเลิกคิ้วอย่างเพิ่งนึกได้
“วันเกิดคุณล่ะ”
“วันเกิดดิชั้น...” รมิดาชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “มีอะไรเหรอคะ”
“คุณอยากได้อะไรล่ะ”
“บอสจะให้หรือคะ”
ดวงตากลมโตมีแวววิบวับทำให้คนมองรู้สึกใจหวิวแปลกๆ ชอบกล หรือเขาต้องหาเวลาไปเช็กสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล
“แค่ต่อสัญญาจ้างงานอีกห้าปีก็เป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วค่ะ”
รมิดายิ้มกริ่ม เธอต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สามเดือนสุดท้ายสมบูรณ์แบบ และเขาต้องต่อสัญญางานกับเธอให้ได้’
หัสวีร์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “คุณยังจำได้ใช่ไหม สัญญาจ้างงานห้าปี ห้ามมีสามี ห้ามมีลูก...”
“ผมต้องการคนที่ทุ่มเทให้งานมากที่สุด...” รมิดาเอ่ยต่อโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “ดิฉันจำได้ค่ะ”
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่” เขาถามแล้วหันไปมองเงาเลื่อนลางที่กระจกหน้าต่างห้องทำงานของตน
“ยี่สิบหกค่ะ”
“สัญญางานอีกห้าปีคุณก็สามสิบเอ็ดเลยนะ”
“ค่ะ” เธอทำตาปริบๆ
“คุณไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวจริงๆเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
รมิดาตอบรวดเร็ว ‘ไม่มีลูกของตัวเอง แต่ตอนนี้ก็เลี้ยงหลานเหมือนลูกอยู่แล้ว’
“ตั้งใจทำหน้าที่ของคุณให้ดีก็พอ”
“ค่ะ” รมิดายิ้มแล้วถอยออกมาเล็กน้อย “เรียบร้อยแล้วค่ะบอส”
“อืม” เขาพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกมา รมิดาก้าวตามหลัง แต่เจ้าของร่างสูงเดินไปที่ประตูแล้วชะงักไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา
“วันนี้คุณไม่ได้ต้องไป”
“คะ?” รมิดาแปลกใจ ปกติเขาให้เธอตามไปทุกงานยกเว้นขึ้นห้องกับผู้หญิงนั้นแหละ เอ๊? หรือว่า
เหมือนจะเข้าใจความคิดของเลขาสาว หัสวีร์ยกมือขึ้นดีดหน้าผากไปเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ไปเตรียมตัว” เขาพูดขึ้น “คุณไปสิงคโปร์กับผม”
“ค่ะ”
“จัดกระเป๋าเดินทางให้ผม” เขาพูดแล้วหมุนตัวเดินออกไป
รมิดาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายเปลี่ยนใจรวดเร็วแบบนี้ และเพื่อให้ได้สัญญาจ้างงานอีกห้าปี เขาสั่งอะไรเธอก็ทำ
ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่ เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คื
รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์ เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอ
รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน “ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” “ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ” “คุณรมิดา” “รับทราบค่ะบอส” แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทา
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมวุ
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
หัสดินถอดผ้ากั้นเปื้อนแล้วเดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับร่างของเพรียวบางที่คุ้นเคย วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดกระโปรงเรียบร้อยตามแบบฉบับเลขาสาวข้างกายพี่ชายของเขา แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีอ่อน ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าทำให้ดูอ่อนวัยราวเด็กสาววัยรุ่น “เรนนี่” “คุณดิน” รมิดาเดินเข้ามาใกล้ไม่อาจเก็บความร้อนรนไว้ได้ “คุณดินรู้เรื่องคุณหัสวีร์แข่งรถหรือเปล่าคะ” “เอ่อ...” ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง หัสดินได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเชิญให้เธอเดินตามเขาไปนั่งในห้องผู้จัดการร้าน ซึ่งก็เป็นห้องทำงานของเขา แต่เขาชอบการทำอาหารมากกว่าจึงอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ “นั่งก่อนครับ” หญิงสาวจำใจนั่งที่เก้าอี้ หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย “พี่วีร์ไม่ให้ผมบอกเรนนี่” “แต่ฉันต้องรู้เรื่องนี้” มือเล็กกำแน่น “เรนนี่” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณก็รู้ว่าพี่ชายผมขับรถแข่งมาก่อน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้เข้าแข่งขันแต่ก็ไม่เคยห่างสนามแข่งเลย” “ฉันเป็นห่วงคุณวีร์ รู้ว่าเขาเก่งก็ยังเป็นห่วง” “เพราะเ
“ทำไมต้องแบบนี้ด้วยค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ “แล้วไม่รังเกียจเหรอคะ ฉัน...ทำตัวแบบนั้นแลกเงิน” “มันขึ้นอยู่กับว่า คุณทำไปเพื่ออะไรต่างหาก” นาธานยักไหล่ “ให้ผมช่วยคุณนะครับ” รมิดาจำไม่ได้เลยว่าชีวิตเธอเคยมีใครพูดแบบนี้ไหม ความหวั่นไหวเกิดขึ้นในอก เธอไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาแต่เพราะรู้ว่าหัวใจต้องการอะไร เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ต่อให้เธอเป็นสาวแกร่งแค่ไหนก็เถอะ “ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้” “ครับ” นาธานยิ้มจากใจจริง “ผมแค่อยากให้คุณฝนรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณฝน แล้วก็...ไม่เคยเห็นคุณฝนเป็นสิ่งของที่ใช้เดิมพันในสนามแข่ง” “คุณพูดเรื่องอะไรคะ เดิมพันอะไร แข่งอะไร” “อ้าว ...นี่หัสวีร์ไม่ได้บอกคุณฝนเหรอครับ เขาท้าแข่งรถกับผม ถ้าผมแพ้ต้องไปจากชีวิตคุณ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอรำพึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัสวีร์จะทำแบบนั้น “คุณฝน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมอยากบอกคุณว่าผมจริงใจกับคุณ และคุณมีค่ามากกว่าเป็นของเดิมพัน” เสียงสูดลมหายใจลึกดังขึ้
ปกติรมิดาไม่ใช่คนชอบเข้าวัดทำบุญ ผิดกับพี่ลาวัลย์ที่ทำบุญแทบทุกวันพระ ถ้าเธอจะทำบุญเธอก็เลือกที่มันหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่บริจาคเงินที่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์มากกว่าวัด แต่วันนี้ธาตรีโทรมาชวนไปไหว้พระถวายสังฆทานก่อนที่น้องโมกข์จะเข้ารับการผ่าตัด รมิดากลับไม่ปฏิเสธและยังให้น้องชายช่วยเตรียมของสังฆทานให้ด้วย ลาวัลย์แปลกใจที่เห็นน้องสาวมาทำบุญที่วัด แต่ก็ดีใจที่เห็นรมิดามาพร้อมกัน รมิดาไม่อยากให้หลานลำบากจึงเรียกแท็กซี่มารับ และเดินทางไปวัดที่ไม่ไกลบ้านนัก ตลอดการถวายสังฆทาน กรวดน้ำและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว สามพี่น้องและหนึ่งหลานตัวน้อยก็ตั้งใจไปปล่อยท่าท่าน้ำของวัด ซึ่งธาตรีไปซื้อปลาหน้าเขียงมาปล่อย “ผมศึกษามาดีแล้ว ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง ที่วัดนี้เหมาะกับปลาหมอที่สุด” “ปล่อยปลา โมกข์จะปล่อยปลา” “ตรีพาหลานไปปล่อยปลา ระวังหลานตกน้ำด้วย” “ทราบแล้วครับ” ธาตรีจูงมือหลานไปที่ท่าน้ำแล้วค่อยๆ เทถุงพลาสติกที่มีปลาหมออยู่สิบกว่าตัวลงน้ำ ลาวัลย์มาที่วัดน
“ทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น ที่แท้ก็จับผู้ชายรวยนั้นแหละ” “อย่าเสียงดังไป ยังไงก็เป็นผู้หญิงของท่านประธาน” “หึหึ” รมิดาได้ยินทุกอย่างแต่ก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินเลี่ยงออกมานั่งพักผ่อนที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ เธอไม่สูบบุหรี่แต่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ทำให้เธอได้ผ่อนคลายจากการงานเคร่งเครียด เมื่อครั้งที่ทำงานใหม่ๆ เธอก็แอบปาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืนในตอนนั้นเธอไม่กล้าโต้ตอบ กลัวจะไม่ผ่านโปรฯ กลัวจะไม่ได้ทำงานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ นอกจากไลลาเพื่อนสนิทแล้วเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาสังคมที่ทำงานที่เจออยู่ แต่เพราะต้องกอดตำแหน่งนี้ให้นานที่สุด เธอจึงอดทนและอดทนจนกลายเป็นด้านชากับคำนินทาเหล่านี้ เลขาสาวหยิบถุงกระดาษใบน้อยวางบนตักแล้วเปิดถุงหยิบเอาแซนวิชกับน้ำผลไม้ออกมา มันเป็นของว่างที่เสิร์ฟในห้องประชุม หลังประชุมเสร็จมีของว่างเหลืออยู่หลายชุด และเหมือนเดิม เธอหยิบของเหลือใส่ถุงมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ช่วงนี้หัสวีร์ยุ่งกับเรื่องอะไรไม่รู้ เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ที่จะไปคาดคั้นเขา แม้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหม
คนมาชอบนั่งร้านเหล้า วันนี้ต้องมานั่งเฝ้าพี่ชายต่างแม่ที่ดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า หัสดินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว แยกแก้วเหล้าออกจากมือพี่ชาย “เป็นอะไรไปเนี้ย” น้องชายบ่นแล้ววางแก้วเหล้าห่างมือพี่ชาย “ไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเรนนี่เหรอ อยู่คอนโดเดียวกันน่าจะมีเวลาคุยกันนี่” ข่าวซุบซิบในบริษัทมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เรื่องระหว่างประธานบริษัทกับเลขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แน่นอนว่ามันกระทบถึงตำแหน่งการงาน ทุกคนจึงได้แต่แสร้งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ “อื้ม” หรือเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป รมิดาเป็นฝ่ายวางตัวได้เย็นชาห่างเหิน เธอทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติไม่มีบกพร่อง ที่เพิ่มขึ้นก็คือเขากับเธอเดินทางไปกลับพร้อมกัน และความสัมพันธ์ยามค่ำคืน เขารั้งเธอไว้ในอยู่บนเตียงเดียวกันจน แต่ก่อนเขาตื่น เธอก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเฉียบกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายร่างเป็นเลขาผู้แสนเย็นชาอีกครั้ง “คือ...” หัสดินอึกอักแล้วรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่ต้องถามเรื่องพวกนี้ “พี่กับ