มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
‘ได้เดิมตามฝัน จะมีอะไรเป็นของตัวเอง ชอบอิสระ ไม่พึ่งพาใคร ไม่ง้อใคร รวยด้วยลำแข็ง เก่ง แกร่ง เสน่ห์แรง เกินต้าน สวยมากจนน่าขยี้ หาเงินเก่ง หาเงินดุ เงินคือสามีที่เรารักที่สุด...’หญิงสาวถึงกับสำลักเครื่องดื่มสีสวยที่กำลังยกขึ้นจิบ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้หันมามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าของมือเรียวโบกมือไปมาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาซับมุมปากแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเอง“เงินคือสามีที่รักที่สุด” รมิดาพึมพำอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ มันเป็นหน้าแฟนเพจเวบดูดวงเพจหนึ่งที่เธอเลื่อนอ่านฆ่าเวลา แม้ไม่ใช่คนชอบดูดวงชะตาแต่ถ้าเจอก็อดอ่านไม่ได้ เธอเป็นสาวราศีมีน และหมอดูท่านนี้ก็ทำนายได้โดนใจเป็นที่สุดสำหรับรมิดาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน หญิงสาวนึกขำเมื่อเห็นภาพใบหน้าตนเองฉีกยิ้มหวานแล้วพูดว่า ‘ภูมิใจที่ได้ทำงานที่บริษัทในเครือศาตนันท์กรุ๊ฟ’ ซึ่งความจริงแล้ว เพราะเงินเดือนที่สูงกว่าบริษัทอื่นรวมทั้งค่าล่วงเวลาทำให้เธอกัดฟันทำงานที่นี่ต่างหากต้องเรียกว่า ‘ฟาดฟันเพื่อให้ได้ทำงานที่นี่เลยต่างหากล่ะ’หญิงสาวในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้น
มุมหนึ่งของห้องพักสุดหรูคือที่ออกกำลังกายของชายหนุ่มเจ้าของห้อง กระสอบทรายที่แขวนอยู่แกว่งไปมาตามแรงหมัดที่กระแทกใส่ เหงื่อเกาะพราวบนแผงอกกำยำมีรอยสักมังกรใหญ่ยักษ์ที่เวลานี้เปลือยเปล่าเห็นกล้ามท้องเป็นมัด จังหวะเต้นฟุตเวิร์คที่สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับผงกศีรษะยอมรับความสามารถของพี่ชายต่างมารดาคนนี้ “ใส่นวมแล้วมาต่อยกันสักหมัดสองหมัดสิ” “อย่ามาหลอกเลย” คนถูกชวนส่ายหน้าไปมา “หมัดสองหมัดมีที่ไหน” ชายหนุ่มซัดหมัดหนักๆ ออกไปอีกหมัดก่อนยุติการซ้อม เขายื่นมือไปรับผ้าขนหนูจาก น้องชายแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียง “ออกกำลังกายให้เหงื่อมันออกเสียบ้างจะได้เลิกบ่นว่านอนไม่หลับเสียที” หัสวีร์พูดแล้วเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ “เอาแต่พึ่งยานอนหลับมันจะไม่ดีกับสุขภาพ” “เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้กินยานอนหลับแล้วล่ะ” หัสดินเดินไปหยิบน้ำแร่จากตู้เย็นแล้วเดินกลับมาหาพี่ชายคนละแม่ “ใครกล้ากวนใจพี่ชายผม หรือไม่ได้คุยกับคาเรน” หัสดินพูดพลางหัวเราะร่วน ถือขวดน้ำแร่แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ แม้เป็นพี่น้องต่างมารดา
รมิดาเห็นเจ้านายหันหลังเดินไปแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาเปลือยแผ่นอกแบบนี้ แต่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ปากตัวเองไวเท่าความคิด ท่านประธานเป็นคนจำพวกปากร้ายและร้ายไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทำงานกันมา เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ไร้ความปรานี แรกทีเดียวเธอออกจะแปลกใจในเงือนไขต่างๆ ก่อนเซ็นสัญญาทำงาน แต่เมื่อทำงานด้วยกัน เธอจึงรู้ว่าเขาไม่มีแค่ธุรกิจของครอบครัวที่ดูแลอยู่ แต่มีธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขาทำให้ต้อง ‘เก็บข้อมูล’ไว้เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของเงินเดือนที่สูงกว่าอื่นๆ หากนับรวมกับเงินล่วงเวลาแล้ว เฉลี่ยต่อเดือนเธอได้เงินเดือนห้าหมื่นบาทเลยทีเดียว นี่แหละ เหตุผลที่เธอต้องเกาะงานที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องเจอเจ้านายปากร้ายแค่ไหนก็ตาม “มีมัฟฟินก็ต้องมีกาแฟ” หัสดินพูดขึ้นอย่างนึกได้ เดินไปที่เครื่องชงกาแฟแคปซูล “ของเรนนี่เอาลาเต้เหมือนเดิมนะครับ” “ขอบคุณค่ะ” คงมีแค่เวลาแบบนี้ที่เธอไม่ต้องเอาอกเอาใจใคร หัสดินเป็นน้องชายหัสวีร์ อายุห่างกันสามปี และนิสัยตรงกันข้ามกันอย
‘ผมเข้าใจพี่ฝนนะฮะ แต่แม่คงไม่ได้คิดแบบนั้น’ ‘เรื่องแม่นะ ช่างเถอะ พี่ขอแค่ตรีกับหลานโมกข์เข้าใจพี่ก็พอ’ ‘ผมเรียนจบแล้วจะรีบหางานทำ แบ่งเบาภาระพี่ฝนนะฮะ’ ‘ไม่ต้องๆ พี่ดูแลตัวเองได้ แค่โมกข์ไม่อายที่มีพี่อย่างพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว’ ‘ทำไมผมต้องอายด้วยเล่า พี่สาวผมทั้งสวยทั้งเก่ง ผมน่ะ ภูมิใจในตัวพี่ฝนนะ’ ‘อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะกัน’ ‘แน่นอนครับ!’ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า รมิดาตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ห้องของเธอมีฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องครัว รวมทั้งเครื่องซักผ้าขนาดเล็กและตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยน้ำดื่มและขนมของว่างที่แจกในห้องประชุม ตั้งแต่ทำงานในตำแหน่งเลขา เธอไม่ได้อดยากหิวโหยเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าความหิวมันทรมานเพียงใด ยิ่งขนมพวกนี้เธอไม่เคยมีเงินซื้อกินเอง ลำพังแค่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ลำบากแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อขนมมากิน วันหยุดซึ่งนานๆ จะมีสักทีเพราะเจ้านายของเธอเป็นคนบ้างาน นอกจากงานที่บริษัทแล้วยังมีกิจการส่วนตัวหลายอย่าง หลายครั้งที่เธอต้องตามเขาไปหลายที่ ต
หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า “คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ” “เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น “วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ” “ค่ะๆ” ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้
ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่ เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คื
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
หัสดินแทบจะทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ที่เวลานี้มีคนเข้ามากันมากหน้าหลายตา เขารู้ดีว่านี่เป็นการระดมกำลังคนเต็มที่เพื่อตามหาทายาทตระกูลศาตนันท์ ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารวิศถูกลักพาตัวเขาก็รีบขับรถกลับมาที่บ้านทันที เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจึงเห็นรมิดานั่งอยู่กับแม่ของเขา “เป็นไงบ้าง” หัสดินถามพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าซีดด้วยความเป็นห่วง “ทุกคนกำลังออกติดตามคุณหนูรวิศอยู่ลูก” ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างแล้วจับแตะหลังมือของพี่สะใภ้ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่สิ รู้ว่าเป็นห่วงแต่เชื่อใจพี่วีร์และคนในครอบครัวของเราเถอะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดได้ง่าย” รมิดาพยายามยิ้มแต่ยิ้มได้ยากเต็มที ใครจะคิดว่าลูกอยู่ในสายตาแท้ๆ ยังถูกคนอุ้มขึ้นรถตู้ได้ง่ายดายขนาดนี้ ทันทีที่เกิดเรื่อง หัสวีร์สั่งการให้คนออกติดตามทันที เขาให้คนขับรถส่งเธอกลับมารอฟังข่าวที่บ้าน ส่วนตัวเขาเร่งติดตามรถคนนั้นไป และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเตรียมการไว้ดี เพราะมีการเปลี่ยนรถตู้ ทำให้คลาดกันจนได้ เธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญใดๆ ต้องตั้งสติและเตรียมตัวให้พร้อม
หญิงสาวสวมชุดสูทเข้ารูปเรียบหรูตัดเย็บประณีตจากห้องเสื้อ ‘ไลลา’ เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยและถือไอแพดเดินเข้ามาในห้องผู้จัดการ แต่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นมีเจ้าของร่างของท่านประธานบริษัทนั่งอยู่ก่อนแล้ว “ท่านประธานนั่งผิดที่หรือว่ามาจับผิดการทำงานของดิฉันคะ” หัสวีร์ได้ยินแล้วก็ไม่อาจตีหน้าเคร่งครึมได้ไหว มุมปากยกยิ้มแล้วตบที่ตักของตน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินเข้าไปแล้วนั่งบนตักแกร่งของประธานบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟ “พี่แค่เป็นห่วงว่าฝนจะทำงานไหวไหมเลยมาดู” หัสวีร์กอดภรรยาไว้หลวมๆ “มีใครรังแกหรือเปล่า” “ใครจะกล้ารังแกภรรยาคุณหัสวีร์ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วจุ๊บแก้มเขาเร็วๆ ไปหนึ่งที “ขอบคุณที่ให้ฝนมาทำงานด้วยนะคะ” “อะไรที่ฝนอยากทำพี่ก็จะสนับสนุน แต่จำไว้อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” เขาพูดแล้ววางมือบนหน้าท้องของหญิงสาว “เมื่อไหร่ลูกจะมานะ” “ใจร้อนจัง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือไปฉุดชายหนุ่มให้ลุกจากเก้าอี้ทำงานของเธอ “คราวที่แล้วพี่ยังไม่ทันเตรียมตัวเล
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช