มุมหนึ่งของห้องพักสุดหรูคือที่ออกกำลังกายของชายหนุ่มเจ้าของห้อง กระสอบทรายที่แขวนอยู่แกว่งไปมาตามแรงหมัดที่กระแทกใส่ เหงื่อเกาะพราวบนแผงอกกำยำมีรอยสักมังกรใหญ่ยักษ์ที่เวลานี้เปลือยเปล่าเห็นกล้ามท้องเป็นมัด จังหวะเต้นฟุตเวิร์คที่สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับผงกศีรษะยอมรับความสามารถของพี่ชายต่างมารดาคนนี้
“ใส่นวมแล้วมาต่อยกันสักหมัดสองหมัดสิ”
“อย่ามาหลอกเลย” คนถูกชวนส่ายหน้าไปมา “หมัดสองหมัดมีที่ไหน”
ชายหนุ่มซัดหมัดหนักๆ ออกไปอีกหมัดก่อนยุติการซ้อม เขายื่นมือไปรับผ้าขนหนูจาก น้องชายแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียง
“ออกกำลังกายให้เหงื่อมันออกเสียบ้างจะได้เลิกบ่นว่านอนไม่หลับเสียที” หัสวีร์พูดแล้วเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ “เอาแต่พึ่งยานอนหลับมันจะไม่ดีกับสุขภาพ”
“เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้กินยานอนหลับแล้วล่ะ” หัสดินเดินไปหยิบน้ำแร่จากตู้เย็นแล้วเดินกลับมาหาพี่ชายคนละแม่ “ใครกล้ากวนใจพี่ชายผม หรือไม่ได้คุยกับคาเรน”
หัสดินพูดพลางหัวเราะร่วน ถือขวดน้ำแร่แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ แม้เป็นพี่น้องต่างมารดา แต่ทั้งคู่สนิทกันมาก ซึ่งก่อนจะมาสนิทกันได้ขนาดนี้ก็ผ่านอะไรมากมาย เพราะแม่ของเขาเป็นเมียเก็บของคุณชาคริต-พ่อของเขาเอง
หัสวีร์เลิกคิ้วเล็กน้อย รับขวดน้ำแร่จากหัสดินมาดื่ม ทั้งสองไม่ใช่พี่น้องแม่เดียวกัน แม่ของเขาเป็นเมียหลวง กล้ำกลืนฝืนทนที่รู้ว่าสามีแสนเจ้าชู้มีลูกกับเมียเก็บทั้งที่สัญญาไว้แล้วว่าจะมีลูกกับนางเพียงคนเดียว อาจเพราะได้ลูกชายพ่อเลยอยากให้เป็นพี่น้องกันจึงตั้งชื่อคล้องกัน หัสวีร์-หัสดิน ศาตนันท์
“ถ้าพี่ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” หัสดินยิ้ม พอเข้าใจปัญหาระหว่างหัสวีร์กับคาเรน-สาวสวยที่พี่ชายคบอยู่ “ผมโทรหาเรนนี่นะ วันนี้เอามัฟฟินมาให้เรนนี่ชิม”
“เดี๋ยว” หัสวีร์ขมวดคิ้ว “นี่นายมาหาฉันเพราะอยากเจอเลขาของฉันหรอกเหรอ”
“ก็มาหาพี่ด้วยไง” หัสดินยกมือลูบท้ายทอยแก้เขิน “แต่พี่ไม่กินขนมนี่ก็ต้องหาคนที่ช่วยชิมขนมของผมได้”
“แถวบ้านไม่มีคนกินหรือไง” หัสวีร์เค้นเสียงไม่พอใจในลำคอ
“ก็ผมมาหาพี่ แล้วเรนนี่ก็พักที่เดียวกับพี่ ก็เท่ากับว่าผมมาที่เดียวได้เจอทั้งสองคนไง” หัสดินยิ้มทะเล้นแล้วหยิบสมาร์ทโฟนกดเบอร์เลขาสาวของพี่ชาย
“คุณเรนนี่” หัสดินกรอกเสียงทักทายไปทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “ว่างไหมครับ เชิญที่ห้องพี่ไรอันหน่อย อ้อ!ไม่ใช่เรื่องงานครับ ได้ครับ อีกสิบนาทีเจอกันครับ”
หัสวีร์ที่นั่งใกล้ๆ ได้ยินแล้วก็กลอกตามองบน เขาเองก็ได้ชื่อว่าเป็นคาสโนว่าแต่ไม่ชอบทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ผู้หญิงแบบนี้
หัสวีร์ ศาตนันท์คือชื่อจริงตามบัตรประชาชน ส่วนชื่อเล่นที่คนในครอบครัวเรียกคือ ‘วีร์’ ซึ่งเท่าที่จำได้มีแค่พ่อกับแม่ที่เรียก ส่วน ‘ไรอัน’ เป็นอีกชื่อที่ใช้อยู่เมืองนอก เขาเรียนโรงเรียนประจำที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบสองจนจบระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ห้าปีก่อนเขากลับมาอยู่เมืองไทยแบบถาวรเพื่อดูแลกิจการของครอบครัวต่อจากบิดา เดิมที่พ่อเลือกเลขาไว้ให้ แต่เขารู้สึกเหมือนมีพี่เลี้ยงหรือไม่ก็คนของพ่อที่ตามประกบเขาและรายงานกับพ่ออีกที แม้ว่าพ่อจะส่งมอบบริษัทให้เขาบริหารจัดการต่อแต่ไม่ได้หมายความว่าวางมือจากทุกอย่าง สิ่งที่เขาดูแลอยู่เป็นหนึ่งในหลายสิบกิจการของตระกูล คราวนั้นเขายื่นคำขาดหากเขาไม่ได้เลือกเลขาด้วยตัวเองก็จะไม่ทำงานที่บริษัทของตระกูล ทีแรกก็คิดว่ามันจะง่าย แต่กลายเป็นยุ่งยากขึ้น มีผู้สมัครเข้ามาตำแหน่งเลขาเขาเป็นร้อย ทั้งที่เขาตั้งเงื่อนไขยุ่งยาก และรู้ว่าบางคนหวังเป็นมากกว่าเลขา จนกระทั่งได้เจอกับนักศึกษาสาวที่รวบผมเป็นหางม้าคนนั้น ท่าทางไม่ใช่เด็กฝากของใคร ไม่ใช่เด็กเส้นที่แอบหวังตำแหน่งว่าที่ภรรยาในอนาคตและที่สำคัญ ดูร้ายๆ แบบที่รับมือเขาได้
โปรไฟล์ของรมิดาไม่ได้เลิศหรูอะไร จบจากมหาวิทยาลัยเปิดด้วยเกรดเฉลี่ยยอดเยี่ยม ความสามารถพิเศษซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น แต่เธอมีความพยายามและพยายามอย่างมากที่จะทำงานให้ดีเยี่ยม ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากสามเดือนแรกแล้ว เธอแทบไม่เคยทำงานผิดพลาดเลย และแน่นอนว่า เธอเป็นคนที่ผิดแล้วยอมรับผิด แก้ไขและปรับปรุง อาจเพราะความจนที่ทำให้เธอต้องดิ้นรนมากกว่าคนอื่น
‘ชื่อจริงรมิดา แล้วมีชื่อสั้นๆให้เรียกไหม?’
‘หมายถึงชื่อเล่นหรือคะ?’ หญิงสาวถามกลับแต่ไม่รอคำตอบ เธอก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน ‘ชื่อฝนค่ะ’
‘ฝน?’
‘ค่ะ เกิดเดือนมีนาแต่วันที่เกิดมีฝนตก แม่เลยตั้งชื่อเล่นว่าฝนค่ะ’
‘ชื่อเชยชะมัดเรียกผมว่าไรอัน ส่วนผมจะเรียกคุณว่าเรนนี่’
‘คะ?’
เขาพูดไปตามที่คิด ยัยหางม้าหน้านิ่งแต่แววตาคุกรุ่นขึ้นมานิดๆ เขาชอบท่าทางไม่ยอมคนแบบนี้ เหมาะที่จะทำงานกับเขาที่สุด และเธอก็พิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานกับเขามาถึง4ปี9เดือน และช่วงนี้ที่เธอคงต้องพยายามต่อสัญญางานกับเขาอีก แต่เธอจะยังทำตามเงื่อนไขของเขาได้หรือเปล่า
เสียงกริ่งหน้าห้องทำให้หัสดินดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินผ่านหัสวีร์ เจ้าของห้องส่ายหน้าไปมาแล้วลุกขึ้นยืน ไม่กี่นาทีต่อมารมิดาในชุดเสื้อลำลองสีม่วงอ่อน ใบหน้าแต้มแต่งมาบางๆ และยังคงรวบผมเป็นหางม้าเหมือนวันแรกที่ได้พบกัน
“ขอโทษที่เรียกตัวมานะครับ” หัสดินยิ้มกว้างแล้วเชิญไปนั่งที่เก้าอี้ในห้องครัวที่มีเครื่องครัวครบครันแต่เจ้าของห้องแทบไม่เคยใช้อะไรเลย “ผมทำมัฟฟินมา คุณช่วยชิมหน่อยสิ”
“ขอบคุณค่ะ” รมิดายิ้มน้อยๆ แต่แววตาเธอเป็นประกาย ถ้าพูดเรื่องของกิน แววตาเธอจะเหมือนเด็กเล็กๆ น่าเอ็นดูเหลือเกิน
“ผมทำสูตรเอง วิจารณ์ได้เต็มที่เลย ชิ้นนี้เป็นมิฟฟินมะม่วง ใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนชิ้นนี้มัฟฟินข้าวโอ๊ต ชิ้นนี้มัฟฟินราสป์เบอร์รีโยเกิร์ต และชิ้นนี้มัฟฟินช็อกโกแลตรำข้าวโอ๊ต เป็นสูตรมัฟฟินคลีน แคลอรีต่ำสำหรับสาวๆ ที่กลัวอ้วน”
“หน้าตาน่ากินทุกชิ้นเลยค่ะ” รมิดายิ้มแล้วปรายตาไปทางเจ้าของห้องที่เดินเปลือยแผ่นอกอวดรอยสักมังกรตัวใหญ่ “สวัสดีค่ะบอส”
“ไม่ได้ทำงาน ไม่ต้องเรียกบอสก็ได้” หัสวีร์พูดแล้วมองไปยังโต๊ะกินข้าว สีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที “หน้าตาไม่เห็นน่ากิน”
หัสดินอ้าปากอยากจะด่าแต่ก็ทำได้แค่ทำปากขมุบขมิบ “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ มีผู้หญิงอยู่ตรงนี้ก็หัดเกรงใจบ้าง”
“เกรงใจทำไม นี่ห้องฉัน” หัสวีร์ยักไหล่แล้วเดินกลับไปห้องตัวเอง
รมิดาเห็นเจ้านายหันหลังเดินไปแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาเปลือยแผ่นอกแบบนี้ แต่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ปากตัวเองไวเท่าความคิด ท่านประธานเป็นคนจำพวกปากร้ายและร้ายไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทำงานกันมา เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ไร้ความปรานี แรกทีเดียวเธอออกจะแปลกใจในเงือนไขต่างๆ ก่อนเซ็นสัญญาทำงาน แต่เมื่อทำงานด้วยกัน เธอจึงรู้ว่าเขาไม่มีแค่ธุรกิจของครอบครัวที่ดูแลอยู่ แต่มีธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขาทำให้ต้อง ‘เก็บข้อมูล’ไว้เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของเงินเดือนที่สูงกว่าอื่นๆ หากนับรวมกับเงินล่วงเวลาแล้ว เฉลี่ยต่อเดือนเธอได้เงินเดือนห้าหมื่นบาทเลยทีเดียว นี่แหละ เหตุผลที่เธอต้องเกาะงานที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องเจอเจ้านายปากร้ายแค่ไหนก็ตาม “มีมัฟฟินก็ต้องมีกาแฟ” หัสดินพูดขึ้นอย่างนึกได้ เดินไปที่เครื่องชงกาแฟแคปซูล “ของเรนนี่เอาลาเต้เหมือนเดิมนะครับ” “ขอบคุณค่ะ” คงมีแค่เวลาแบบนี้ที่เธอไม่ต้องเอาอกเอาใจใคร หัสดินเป็นน้องชายหัสวีร์ อายุห่างกันสามปี และนิสัยตรงกันข้ามกันอย
‘ผมเข้าใจพี่ฝนนะฮะ แต่แม่คงไม่ได้คิดแบบนั้น’ ‘เรื่องแม่นะ ช่างเถอะ พี่ขอแค่ตรีกับหลานโมกข์เข้าใจพี่ก็พอ’ ‘ผมเรียนจบแล้วจะรีบหางานทำ แบ่งเบาภาระพี่ฝนนะฮะ’ ‘ไม่ต้องๆ พี่ดูแลตัวเองได้ แค่โมกข์ไม่อายที่มีพี่อย่างพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว’ ‘ทำไมผมต้องอายด้วยเล่า พี่สาวผมทั้งสวยทั้งเก่ง ผมน่ะ ภูมิใจในตัวพี่ฝนนะ’ ‘อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะกัน’ ‘แน่นอนครับ!’ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า รมิดาตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ห้องของเธอมีฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องครัว รวมทั้งเครื่องซักผ้าขนาดเล็กและตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยน้ำดื่มและขนมของว่างที่แจกในห้องประชุม ตั้งแต่ทำงานในตำแหน่งเลขา เธอไม่ได้อดยากหิวโหยเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าความหิวมันทรมานเพียงใด ยิ่งขนมพวกนี้เธอไม่เคยมีเงินซื้อกินเอง ลำพังแค่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ลำบากแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อขนมมากิน วันหยุดซึ่งนานๆ จะมีสักทีเพราะเจ้านายของเธอเป็นคนบ้างาน นอกจากงานที่บริษัทแล้วยังมีกิจการส่วนตัวหลายอย่าง หลายครั้งที่เธอต้องตามเขาไปหลายที่ ต
หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า “คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ” “เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น “วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ” “ค่ะๆ” ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้
ถ้าจะพูดว่าเก็บเพชรในตมได้ ก็ไม่เกินไปนัก หัสวีร์ในชุดสูทเรียบหรู หลังการเซ็นชื่อลงนามรวมทุนทางธุรกิจจะเป็นงานเลี้ยงรับรอง และเวลานี้เขากำลังนั่งดื่มไวน์รสเลิศอยู่กับผู้ร่วมธุรกิจมูลค่านับร้อยล้าน แต่สายตาของเขากลับติดตามเจ้าของเรือนร่างในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายที่ยืนสนทนากับลูกค้าต่างชาติอยู่ เพชรในตม คำนี้ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับนิยามเลขาคนเก่งของเขา รมิดาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเลิศเลอ เธอมมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้ารูปไข่ เขายังจำวันที่เธอมาเป็นเลขาวันแรกๆ ได้ดี อันที่จริง เขามีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอ แต่เพราะความใจกล้าหน้าตายที่ไม่หลบตาเขาทำให้เขาชี้นิ้วเลือกเธอเป็นเลขาข้างตัว และอันที่จริง เขาประชดพ่อด้วย พ่อเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และที่จริงที่สุดเขาไม่ได้อยากมาทำงานบริษัทของพ่อ แต่เพราะแต่สุขภาพของพ่อไม่ดีนัก ความดื้อและหัวรั้นซึ่งถ่ายทอดมาทางDNA ผู้ชายในตระกูลเขามาทรงเดียวกันหมด พ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่ปู่ย่าคัดค้านเพราะไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ แม่ก็ไม่เอ็นจอยกับการเป็นสะใภ้คนไทยเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างหลังจากเขาอายุได้แค่ขวบเศษ แค่พริบตาพ่อก็มีผู้หญิงคนใหม่คื
รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์ เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอ
รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน “ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” “ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ” “คุณรมิดา” “รับทราบค่ะบอส” แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทา
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให