Share

ตอนที่7 รำคาญสายตา

รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้  ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว  เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง  ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว  หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง

            ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์

            เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอใส่แต่เสื้อผ้ามือสองหรือของพี่สาว เติบโตมาท่ามกลางเสียงนินทาว่าคนอย่างเธอไม่มีวันได้ดี ถ้าไม่เป็นสก็อตก็คงท้องไม่มีพ่อเหมือนพี่สาว บ้าผู้ชายเหมือนแม่  ยิ่งถูกตราหน้าว่าชีวิตไม่มีวันได้ดี เธอยิ่งถีบตัวเองออกมาจากปลักที่คนดูถูกดูแคลน

            ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่หัสวีร์เลือกเธอเป็นเลขาทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน แต่เธอก็ดีใจและตอบแทนเขาด้วยการทำงานอย่างสุดกำลัง แม้จะถูกเขาพูดจาแรงๆ ใส่หลายครั้ง แต่เธอก็อดทนผ่านมาได้  ผ่านมาสี่ปีเก้าเดือน ใกล้จะหมดสัญญาแล้ว เธอได้แต่หวังว่าเขาจะต่อสัญญาจ้างงาน น้องชายเธอเรียนอีกแค่ปีเดียวและยังโมกข์ที่มีโรคประจำตัวอีก เธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยไม่สนใจคนในครอบครัว แม้ครอบครัวเธอจะเต็มไปด้วยคนมีแผลใจก็ตาม

            “กินให้มันน้อยๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นคิดว่าผมเลี้ยงดูคนทำงานด้วยไม่ดี”

            “ใครจะไปคิดแบบนั้นได้ล่ะค่ะ”  รมิดายิ้มให้เขา “ตั้งแต่ทำงานกับบอส น้ำหนักฉันขึ้นมาตั้งสองกิโล”

            “น้ำหนักขึ้น? ผมไม่เห็นส่วนใหญ่ของคุณดูใหญ่ขึ้นเลยสักนิด”

            คำพูดสบประมาทแบบนี้ไม่ได้ยินเป็นครั้งแรก สำหรับรมิดาแล้วมันเหมือนคำหยอกล้อเสียมากกว่า

            “เอาเป็นว่า บอสดูแลลูกน้องดีมากค่ะ ถ้าฉันไม่ได้ทำงานกับบอสคงไม่มีโอกาสได้เดินทางไปไหนมาไหน ได้นั่งเครื่องบิน ได้พักโรงแรมหรูและยังกินของอร่อยอีกด้วย”

            “นี่ถ้าอยู่เมืองไทย เธอคงห่ออาหารกลับบ้านสินะ”

            “แน่นอนค่ะ”  เธอพยักหน้ารับด้วยความภูมิใจ

            หัสวีร์คร้านจะต่อปากต่อคำกับเลขา นับวันเธอยิ่งเถียงเก่ง เมื่อก่อนเขาว่าอะไรไปเธอก็เอาแต่เม้มปากแน่นจนเขานึกว่าเธอจะกัดริมฝีปากแตกจนเลือดออกแล้ว  ความสัมพันธ์ของเขากับเธอคือเจ้านายกับเลขา แต่บางครั้งที่เธอทำงานเกินหน้าที่ จัดการเรื่องส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าเขาจ่ายค่าตอบแทนให้เสมอ ดูเหมือนเลขาของเขาจะรักเงินและของกินเป็นชีวิตจิตใจ  แต่กระนั้นมีเส้นบางๆ ที่เขามองไม่เห็น เหมือนจะสนิทแต่ไม่สนม ไม่เหมือนเวลาที่เธอพูดคุยกับหัสดิน-น้องชายของเขา  มันดูเป็นธรรมชาติไปเสียทุกอย่าง จนเหมือนภาพของทั้งสองคนมันแหย่ตาเขาจนน่ารำคาญทุกครั้งไป

            “บอสคะ”

            เขาเลิกคิ้วแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม คืนนี้เธอสวมชุดเดรสกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำ แต่ละชุดของเธอเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมแต่มือสอง แบบเรียบง่ายที่เธอประยุกต์ใส่ได้หลายงาน ทรงผมก็ทำเองรวมทั้งแต่งหน้า เรื่องไหนที่เธอทำเองได้ล้วนทำเองไม่ยอมเสียเงินให้คนอื่น  เขาที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือต้องมาอยู่กับยัยขี้เหนียวที่เก็บทุกบาททุกสตางค์ คิดแล้วก็ตลกตัวเองไม่น้อย

            “ว่าไง”  เขาถามหลังจากที่เธอนิ่งไม่พูดต่อ

            “พรุ่งนี้มีนัดคุยกับทีมงานตอนเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง เที่ยวบินเราออกบ่ายสามโมง มีเวลาว่างนิดหน่อย ฉันขอแวะไปซื้อของได้ไหมคะ”

            “ซื้อของ? คนอย่างเธอจะซื้ออะไร เห็นกว่าจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าแต่ละทีอย่างกับจะกรีดเลือดกรีดเนื้อออกมา”

            “บอสก็พูดเกินไป” เธอกัดฟันฉีกยิ้มให้เขา “แค่ซื้อของไปฝากหลานค่ะ”

            “หลาน? นอกจากมีน้องชายแล้วยังมีหลานอีกเหรอ”

            “มีสิค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “หลานของฉันชื่อน้องโมกข์ค่ะ อายุห้าขวบแล้ว”

            “บ้านเธอก็จนขนาดนั้นยังกล้ามีลูกได้นะ”

            รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้าหวาน เธอไม่อยากเล่าเรื่องดราม่าเรียกความสงสารจากใคร เอ่อ...ถ้าไม่จำเป็นนะน่ะ

            “ก็เพราะแบบนี้ไงคะ ฉันถึงเต็มใจทำงานกับบอสแม้จะมีเงื่อนไขห้ามท้องห้ามมีสามี เพราะฉันอยากตั้งตัวให้ได้เสียก่อน”

            “เธอนี่มันจริงๆเลย อยากต่อสัญญางานขนาดนี้เลยเหรอ”

            “บอสไม่เคยได้ยินหรือคะ  ทุกวันนี้ใครมีงานประจำทำต้องกอดให้แน่นเลยค่ะ”

            ‘ถ้าได้เกาะขาบอสไปอีกห้าปี จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง’

            “เอาเถอะ ซื้อที่สนามบินก็ได้นี่ ร้านขายของฝากของที่ระลึกเยอะแยะไป ปกติเวลาเดินทางกับผม คุณก็ซื้อที่ร้าน Duty Freeไม่ใช่เหรอ”

            “ก็...ถ้าซื้อร้านข้างนอกมันถูกกว่านี่คะ”

            ‘นั้นไง เลขาขี้เหนียวของผม’

            “งั้นก็เอาบัตรของผมไปซื้อ”

            “ไม่ได้หรอกค่ะ ของนั้นมันของฉันทั้งนั้น แล้วก็มีผงปรุงรสที่คุณหัสดินฝากซื้อด้วย”

            “ผงปรุงรส? ผงปรุงรสอะไร นี่คุณสนิทกับหัสดินมากขนาดฝากซื้อของให้กันด้วยเหรอ”

            “ผงปรุงรสก็ผงปรุงรสเวลาทำอาหารไงคะ”  เธอทำแววตาไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้จัก แต่ก็อาจจะจริง คนอย่างเขาจะไปรู้เรื่องในครัวได้อย่างไรกัน “แล้วเรื่องบอสกับฉันมาประชุมงานเซ็นสัญญาที่นี่คนทั้งบริษัทก็รู้ คุณหัสดินก็เลยฝากฉันซื้อของค่ะ”

            “เอาเถอะ จะซื้ออะไรก็ซื้อ มาขึ้นเครื่องให้ทันก็พอ”

            “รับทราบ ขอบคุณค่ะบอส”

            “วันนี้คุณทำได้ดีมาก”  หัสวีร์เอ่ยชมเลขาที่ปั้นมากับมือ “พูดจาก็ไม่ติดๆขัดๆ เหมือนเมื่อก่อน เวลาพรีเซนต์งานก็ทำหน้าที่ได้ดี ตระเตรียมเอกสารศึกษาข้อมูลมาดี”

            “ขอบคุณค่ะ”  เธอนอมรับคำชมด้วยความเต็มใจ “ฉันเก่งขนาดนี้ หวังว่าบอสจะรับฉันไว้พิจารณาต่อสัญญางานอีกห้าปีนะคะ”

            ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ่มต่ำอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก

            “ไม่คิดว่าผมเบื่อหน้าคุณบ้างเหรอ”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status