รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง
ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์
เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอใส่แต่เสื้อผ้ามือสองหรือของพี่สาว เติบโตมาท่ามกลางเสียงนินทาว่าคนอย่างเธอไม่มีวันได้ดี ถ้าไม่เป็นสก็อตก็คงท้องไม่มีพ่อเหมือนพี่สาว บ้าผู้ชายเหมือนแม่ ยิ่งถูกตราหน้าว่าชีวิตไม่มีวันได้ดี เธอยิ่งถีบตัวเองออกมาจากปลักที่คนดูถูกดูแคลน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่หัสวีร์เลือกเธอเป็นเลขาทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน แต่เธอก็ดีใจและตอบแทนเขาด้วยการทำงานอย่างสุดกำลัง แม้จะถูกเขาพูดจาแรงๆ ใส่หลายครั้ง แต่เธอก็อดทนผ่านมาได้ ผ่านมาสี่ปีเก้าเดือน ใกล้จะหมดสัญญาแล้ว เธอได้แต่หวังว่าเขาจะต่อสัญญาจ้างงาน น้องชายเธอเรียนอีกแค่ปีเดียวและยังโมกข์ที่มีโรคประจำตัวอีก เธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยไม่สนใจคนในครอบครัว แม้ครอบครัวเธอจะเต็มไปด้วยคนมีแผลใจก็ตาม
“กินให้มันน้อยๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นคิดว่าผมเลี้ยงดูคนทำงานด้วยไม่ดี”
“ใครจะไปคิดแบบนั้นได้ล่ะค่ะ” รมิดายิ้มให้เขา “ตั้งแต่ทำงานกับบอส น้ำหนักฉันขึ้นมาตั้งสองกิโล”
“น้ำหนักขึ้น? ผมไม่เห็นส่วนใหญ่ของคุณดูใหญ่ขึ้นเลยสักนิด”
คำพูดสบประมาทแบบนี้ไม่ได้ยินเป็นครั้งแรก สำหรับรมิดาแล้วมันเหมือนคำหยอกล้อเสียมากกว่า
“เอาเป็นว่า บอสดูแลลูกน้องดีมากค่ะ ถ้าฉันไม่ได้ทำงานกับบอสคงไม่มีโอกาสได้เดินทางไปไหนมาไหน ได้นั่งเครื่องบิน ได้พักโรงแรมหรูและยังกินของอร่อยอีกด้วย”
“นี่ถ้าอยู่เมืองไทย เธอคงห่ออาหารกลับบ้านสินะ”
“แน่นอนค่ะ” เธอพยักหน้ารับด้วยความภูมิใจ
หัสวีร์คร้านจะต่อปากต่อคำกับเลขา นับวันเธอยิ่งเถียงเก่ง เมื่อก่อนเขาว่าอะไรไปเธอก็เอาแต่เม้มปากแน่นจนเขานึกว่าเธอจะกัดริมฝีปากแตกจนเลือดออกแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับเธอคือเจ้านายกับเลขา แต่บางครั้งที่เธอทำงานเกินหน้าที่ จัดการเรื่องส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าเขาจ่ายค่าตอบแทนให้เสมอ ดูเหมือนเลขาของเขาจะรักเงินและของกินเป็นชีวิตจิตใจ แต่กระนั้นมีเส้นบางๆ ที่เขามองไม่เห็น เหมือนจะสนิทแต่ไม่สนม ไม่เหมือนเวลาที่เธอพูดคุยกับหัสดิน-น้องชายของเขา มันดูเป็นธรรมชาติไปเสียทุกอย่าง จนเหมือนภาพของทั้งสองคนมันแหย่ตาเขาจนน่ารำคาญทุกครั้งไป
“บอสคะ”
เขาเลิกคิ้วแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม คืนนี้เธอสวมชุดเดรสกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำ แต่ละชุดของเธอเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมแต่มือสอง แบบเรียบง่ายที่เธอประยุกต์ใส่ได้หลายงาน ทรงผมก็ทำเองรวมทั้งแต่งหน้า เรื่องไหนที่เธอทำเองได้ล้วนทำเองไม่ยอมเสียเงินให้คนอื่น เขาที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือต้องมาอยู่กับยัยขี้เหนียวที่เก็บทุกบาททุกสตางค์ คิดแล้วก็ตลกตัวเองไม่น้อย
“ว่าไง” เขาถามหลังจากที่เธอนิ่งไม่พูดต่อ
“พรุ่งนี้มีนัดคุยกับทีมงานตอนเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง เที่ยวบินเราออกบ่ายสามโมง มีเวลาว่างนิดหน่อย ฉันขอแวะไปซื้อของได้ไหมคะ”
“ซื้อของ? คนอย่างเธอจะซื้ออะไร เห็นกว่าจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าแต่ละทีอย่างกับจะกรีดเลือดกรีดเนื้อออกมา”
“บอสก็พูดเกินไป” เธอกัดฟันฉีกยิ้มให้เขา “แค่ซื้อของไปฝากหลานค่ะ”
“หลาน? นอกจากมีน้องชายแล้วยังมีหลานอีกเหรอ”
“มีสิค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “หลานของฉันชื่อน้องโมกข์ค่ะ อายุห้าขวบแล้ว”
“บ้านเธอก็จนขนาดนั้นยังกล้ามีลูกได้นะ”
รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้าหวาน เธอไม่อยากเล่าเรื่องดราม่าเรียกความสงสารจากใคร เอ่อ...ถ้าไม่จำเป็นนะน่ะ
“ก็เพราะแบบนี้ไงคะ ฉันถึงเต็มใจทำงานกับบอสแม้จะมีเงื่อนไขห้ามท้องห้ามมีสามี เพราะฉันอยากตั้งตัวให้ได้เสียก่อน”
“เธอนี่มันจริงๆเลย อยากต่อสัญญางานขนาดนี้เลยเหรอ”
“บอสไม่เคยได้ยินหรือคะ ทุกวันนี้ใครมีงานประจำทำต้องกอดให้แน่นเลยค่ะ”
‘ถ้าได้เกาะขาบอสไปอีกห้าปี จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง’
“เอาเถอะ ซื้อที่สนามบินก็ได้นี่ ร้านขายของฝากของที่ระลึกเยอะแยะไป ปกติเวลาเดินทางกับผม คุณก็ซื้อที่ร้าน Duty Freeไม่ใช่เหรอ”
“ก็...ถ้าซื้อร้านข้างนอกมันถูกกว่านี่คะ”
‘นั้นไง เลขาขี้เหนียวของผม’
“งั้นก็เอาบัตรของผมไปซื้อ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ของนั้นมันของฉันทั้งนั้น แล้วก็มีผงปรุงรสที่คุณหัสดินฝากซื้อด้วย”
“ผงปรุงรส? ผงปรุงรสอะไร นี่คุณสนิทกับหัสดินมากขนาดฝากซื้อของให้กันด้วยเหรอ”
“ผงปรุงรสก็ผงปรุงรสเวลาทำอาหารไงคะ” เธอทำแววตาไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้จัก แต่ก็อาจจะจริง คนอย่างเขาจะไปรู้เรื่องในครัวได้อย่างไรกัน “แล้วเรื่องบอสกับฉันมาประชุมงานเซ็นสัญญาที่นี่คนทั้งบริษัทก็รู้ คุณหัสดินก็เลยฝากฉันซื้อของค่ะ”
“เอาเถอะ จะซื้ออะไรก็ซื้อ มาขึ้นเครื่องให้ทันก็พอ”
“รับทราบ ขอบคุณค่ะบอส”
“วันนี้คุณทำได้ดีมาก” หัสวีร์เอ่ยชมเลขาที่ปั้นมากับมือ “พูดจาก็ไม่ติดๆขัดๆ เหมือนเมื่อก่อน เวลาพรีเซนต์งานก็ทำหน้าที่ได้ดี ตระเตรียมเอกสารศึกษาข้อมูลมาดี”
“ขอบคุณค่ะ” เธอนอมรับคำชมด้วยความเต็มใจ “ฉันเก่งขนาดนี้ หวังว่าบอสจะรับฉันไว้พิจารณาต่อสัญญางานอีกห้าปีนะคะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ่มต่ำอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่คิดว่าผมเบื่อหน้าคุณบ้างเหรอ”
รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน “ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” “ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ” “คุณรมิดา” “รับทราบค่ะบอส” แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทา
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมว
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 14.นิ้วนางข้างซ้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนอย่างรมิดาจะได้ใส่แหวนแต่งงานด้วย ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องสัญญาในการทำงานกับหัสวีร์ แต่เพราะเธอไม่เคยเชื่อใจเรื่องพวกนี้ แม่ก็ยุให้หาจับผู้ชายรวยๆ เป็นสามี ส่วนพี่สาวก็ถูกผู้ชายหลอก เธอไม่อยากอยู่ในวังวนแบบนี้ ทางเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจก็คือการมีเงินในบัญชี ซึ่งตอนนี้...เธอมีเงินหลักล้านในบัญชี ‘ผมไม่จ่ายที่เดียวหมดหรอกนะ เผื่อคุณหนีสัญญา’ รมิดาจำได้ว่าเขาพูดชัดเจนขณะที่ลงชื่อในสัญญาฉบับนั้นและเขาเก็บไว้หนึ่งชุด เธอเห็นเขาโยนเอกสารใส่ตู้เซฟในห้องพักของเขา ‘แหวนนั่นนะ ใส่ให้มันชินนิ้วไว้ก็ดี’ ‘บอสไม่อยากให้คนอื่นรู้ไม่ใช่เหรอคะ’ ‘ก็คุณพูดเองนี่ว่าคุณใส่อะไรก็เหมือนของปลอม ให้คุณใส่แหวนแต่งงานก็ไม่มีใครเชื่อหรอก’ หญิงสาวยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้นดู คนขี้งกอย่างเธอทำทุกอย่างเพื่อเงินได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาค่าเทอมและค่ายาให้น้องโมกข์ได้หรือไม่ นี่เธอควรฉลองดีไหมนะ ฉลองที่มีเงินในบัญชีหลักล้านเสียที นั้นสิ
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 15. ยัยเลขาบ้า! “ใคร...อ่อ...ท่านประธานพันล้านนี่เอง” เสียงอ้อแอทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มขมวดคิ้วที่เห็นสภาพของเลขาสาวในขณะนี้ "เธอ...เป็นอะไร เปิดประตูให้ผมเข้าไปเดี๋ยวนี้” “แค่เป็นเจ้านาย ก็สั่งเอาสั่งเอาได้เหรอ” พูดไม่จบประโยคดีก็ได้ยินเสียงเรอออกมา มือเล็กยกขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะคิกคัก หัสวีร์ได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดนั้นชัดเจน แต่ไม่คิดเอามาใส่ใจในเวลานี้ ประตูแง้มเล็กน้อยแค่โผล่ใบหน้าหวานแดงก่ำ เขาใช้แรงไม่มากก็ดันประตูให้เปิดกว้างเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน รมิดาไม่ทันตั้งตัวก็เซถอยหลังจวนเจียนจะล้มแต่ฝ่ามือแกร่งโอบแผ่นหลังเธอไว้ได้ทันในขณะที่มือเรียวเล็กยื่นไปหาหลักยึดเหนี่ยวทำให้เกี่ยวคอของเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็ถือกล่องขนม “ท่าน...ประธาน...” “เป็นอะไรของคุณ” เขาขมวดคิ้วงุนงง ไม่เคยเห็นรมิดาเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากจนเขาได้กลิ่น...กลิ่น... “คุณดื่มเหล้า?” “ม่ายยยย” รมิดาหัวเราะร่วนพยายามทร