รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน
“ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ”
“คุณรมิดา”
“รับทราบค่ะบอส”
แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทางบอสของเธอจะชอบดาราสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย การเห็นเขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อยและพิถีพิถันเลือกคบผู้หญิงมีระดับ กลับทำให้เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
หัสวีร์ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่รมิดาคิด เขากลับมาที่ห้องพักสุดหรูแล้วสั่งรูมเซอร์วิชนำเครื่องดื่มมาบริการ
“ผิดหวังหรือไง” เขาพูดยิ้มๆ แล้วถอดเสื้อสูทตัวนอก รมิดายื่นมือไปรับอย่างเคยชิน เมื่อก่อนเธอผูกเนคไทไม่เป็น ก็แน่ล่ะ เธอจะไปเคยผูกได้อย่างไร ทุกวันที่ผูกเนคไทเป็นก็เพราะบอสสอน
‘ฝึกไว้ เผื่อคุณต้องช่วยผม’
รมิดาจำได้ เขายกเนคไทให้เธอหนึ่งเส้น เธอฝึกผูกอยู่นานนับสัปดาห์จนผูกได้ดี เธอยังจำไปสอนน้องชายอยู่เลย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองร่างเพรียวบางเก็บเนคไทและเสื้อสูทของเขาไว้ที่ตู้เสื้อผ้า เขาชี้นิ้วไปที่รองเท้า อนุญาตให้เธอใส่รองเท้าสลิปเปอร์ในห้องของเขาได้ สีหน้าเธอผ่อนคลายเมื่อไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง
“รินไวน์ให้ผม” เขาสั่งหลังจากเอนกายลงบนโซฟาหรู แล้วยกเท้าพาดไปที่โต๊ะเตี้ยตรงหน้า เลขาสาวจัดการให้ตามสั่งแล้วส่งแก้วไวน์ให้เขา
“ถ้าคุณอยากดื่มก็รินเองได้เลย”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันเดินกลับห้องไม่ถูก”
เสียงหัวเราะทุ่มต่ำดังในความเงียบ เขาเปิดแค่โคมไฟในห้องทำให้แสงสลัวนวลตาและชวนผ่อนคลาย
“บอสมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ” รมิดาถามหลังจากเติมไวน์ให้เขาอีกแก้ว
“หน้าผมบอกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาปรายตามองเธอเล็กน้อย
“ทำงานกับบอสมาหลายปี ก็พอดูออกค่ะ” เธอตอบไปตามตรงแล้วนั่งที่เก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้าม
ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้ม เขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ความจริงอยากดื่มอะไรที่มันแรงกกว่านี้แต่พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก เขาไม่อยากให้สิ่งที่ทุมเทมาต้องสูญเปล่าเพราะเมาค้าง
“คุณคงพอรู้เรื่องยุ่งเหยิงในครอบครัวผมบ้าง”
รมิดาแค่ยิ้มน้อย แน่นอนว่าเธอรู้เพียงแต่มันเป็นเรื่องของเจ้านาย เธอเป็นลูกน้องไม่อาจก้าวก่ายได้ เช่นเดียวกับเขาที่แม้ปากร้ายวิจารณ์เรื่องในครอบครัวเธอแต่ก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามแต่อย่างใด
“กลับไปครั้งนี้ปู่จะนัดให้ผมไปดูตัวเจ้าสาว” เขามองเหม่อไปยังวิวด้านนอกของชั้นที่ยี่สิบ ทิวทัศน์แสงสียามราตรีทำให้เขาคิดว่าตัวเองเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ “ผมไม่ชอบที่ถูกเจ้ากี้เจ้าการเรื่องชีวิตคู่”
เลขาสาวได้แต่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่กล้าเอ่ยปากขัดแม้ในใจมีคำถามมากมาย
“พ่อผมทำเรื่องไว้เยอะ คราวนี้ปู่เลยคาดหวังว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ปู่เลือกให้”
“แต่บอสคบกับคุณคาเรนไม่ใช่หรือคะ” คราวนี้เธออดถามไม่ได้จริงๆ คาเรนเป็นดารานางแบบชื่อดัง โปรโฟล์ยอดเยี่ยมแทบไม่มีข่าวเสียเลยสักนิด เธอไม่รู้ว่าระดับความสัมพันธ์ของบอสกับดาราสาวเรียกว่าอะไร แต่เธอมั่นใจว่าคาเรนไม่เหมือนคู่ขาคนอื่นๆ ของบอส
“ผมเคยขอคาเรนแต่งงาน แต่เธอยังไม่พร้อม ส่วนปู่ผมก็ยิ่งไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ ก็เพราะเรื่องแม่ของผมที่สุดท้ายก็หย่ากับพ่อทั้งที่ผมเกิดได้ไม่กี่เดือน ปู่ผมเลยฝั่งใจไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติที่เข้ากับธรรมเนียมไทยไม่ได้”
แหม...ใครจะไปคิดว่าคนรวยก็มีความทุกข์แบบคนรวย รมิดาได้แต่พูดกับตัวเองในใจ และทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี
“ก่อนที่คาเรนจะกลับไปสวีเดน ผมเคยบอกว่าจะรอเธอ แต่สองปีมานี่ คุณก็เห็นว่าปู่ย่าวุ่นวายกับการส่งผู้หญิงมาหาผมที่บริษัทตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าผมยังไม่แต่งงานกับใครสักคนก็คงถูกรบกวนอยู่แบบนี้”
“แล้วบอสปรึกษาเรื่องนี้กับคุณคาเรนหรือยังคะ”
เขายักไหล่แล้วดื่มไวน์จนหมดแก้ว
“พูดแล้ว แต่พ่อของคาเรนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ และไม่พร้อมจะแต่งงาน เธอยังพูดให้ผมไปหาผู้หญิงคนใหม่อยู่เลย”
‘พูดไปแล้วก็น่าน้อยใจ คนอย่างหัสวีร์ถูกผู้หญิงทิ้งเหรอเนี้ย’
“แต่บอสก็อยากจะรอคุณคาเรนใช่ไหมคะ”
“ใช่ ผมอยากรักษาคำพูดตัวเอง”
ถึงเขาเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ คาสโนว่าเรียกพี่ แต่เขาเป็นคนรักษาคำพูด แน่นอนว่าเขามีพ่อเป็นต้นแบบที่ไม่ดีเอาเสียเลย แม้เขาจะไม่โตมาโดยมีแม่อยู่ใกล้ๆ แต่เท่าที่เขาเห็นจากพฤติกรรมเจ้าชู้ของพ่อแล้ว เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ขอเป็นแบบพ่อก็คือคนไม่รักษาคำพูด ผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเขาต้องเคลียร์ใจกันชัดเจน ไม่ให้มีปัญหาผิดใจเพราะคำพูด
“แล้ว..ถ้าบอสแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองเลือก คุณปู่ของบอสจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตบอสหรือคะ”
อาจเพราะเขาระบายความในใจ เธอจึงกล้าเอ่ยปากถามไป
“ก็ถ้าผมแต่งงานแล้ว ปู่คงเข้ามาทำอะไรไม่ได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ต้องส่งผู้หญิงมาให้ผมดูตัวอีก”
นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าเป็นในนิยายก็คงจ้างผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ รอจนกว่านางเอกตัวจริงจะกลับมา”
“หือ? คุณพูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ! ไม่มีอะไรค่ะ ฉันก็ปากไม่ดีพูดไปไม่ทันคิด” เธอตบปากตัวเองเบาๆ เป็นการลงโทษ
หัสวีร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนทำให้รมิดาลุกขึ้นยืนตามเขา
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ...ถ้างั้นฉันกลับห้องแล้วนะคะ เจอกันตอนเช้าค่ะ”
หญิงสาวเปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เดินออกมาอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ท่านประธานหนุ่มหล่อรินไวน์ให้ตัวเองแล้วยกแก้วขึ้นดื่มพลางกดโทรศัพท์มือถือโทรหาน้องชายต่างมารดา
“ว่าไงพี่วีร์ เที่ยงคืนแล้วไม่หลับไม่นอนหรือไง” น้ำเสียงงัวเงียตอบรับ
“มีเรื่องปรึกษา”
“หูย ระดับท่านประธานโทรมาปรึกษาเลยนะเนี้ย” หัสดินที่นอนอยู่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที
“ฉันว่าจะหาผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ ปู่จะได้เลิกยุ่งดูตงดูตัวเสียที”
“หา!”
“ทำไม นายคิดว่าไง”
“เคยเห็นแต่ในซีรีย์ พี่จะเอาจริงเหรอ”
“เออ ถ้ามันเป็นทางออกให้ปู่เลิกยุ่งกับฉัน ฉันยอมจ่าย”
“หาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยมันไม่ยากหรอก แต่ตอนจะเลิกนะ ผู้หญิงจะยอมไปง่ายๆหรือเปล่า”
“เรื่องนั้น...ฉันก็คิดอยู่ ต้องหามืออาชีพที่รับมือปู่และหย่าได้ทันทีที่คาเรนกลับมา”
“คุณสมบัติที่พี่พูดมา ผมนึกออกอยู่คนเดียว”
“ใคร”
“เรนนี่ไง”
“ใครนะ!”
“ก็คุณรมิดา เลขาคนเก่งของพี่ไง" หัสดินคิดว่าพี่ชายไม่เข้าใจที่เขาพูดไปจึงอธิบายเพิ่ม "ถ้าเป็นเรนนี่คงรับมือกับปู่และทุกปัญหาได้แน่นอน และถ้าพี่ต้องการหย่า เธอก็คงไม่สร้างปัญหาแน่นอน”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”
“ก็เรนนี่ไม่ชอบพี่ คือผมหมายถึงเธอไม่ได้ชอบแบบชู้สาว ถ้าเธอชอบพี่จริงคงทนเห็นพี่ไปกับผู้หญิงคนอื่นไม่รู้ตั้งกี่คน แถมยังต้องคอยเอาใจผู้หญิงของพี่อีกสารพัด แล้วเธอก็ไม่มีความคิดอย่างแต่งงานด้วย ไม่งั้นจะยอมรับเงื่อนไขของพี่แล้วทำงานด้วยกันได้ไงตั้งเกือบห้าปี”
"นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผู้หญิงพวกนั้นก็เคยบ่นนี่นะ"
"พี่นี่ถอดแบบพ่อมาหรือไง" น้องชายต่างมารดาบ่น "เอาเป็นว่าผมเสนอ ส่วนเรนนี่จะสนองไหม พี่ไปถามเอาเอง"
ปลายนิ้วกดตัดสัญญาณไปแล้วจมกับความคำพูดของหัสดิน ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุดยิ่งกว่าแม่ก็เลขาขี้เหนียวที่ะรักเงินเป็นที่สุดของเขา แต่เรื่องนี้มันเหมือนนิยายน้ำเน่าไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเธอรับบทเป็นภรรยาประธานพันล้านของเขาได้ไหมนะ
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมว
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 14.นิ้วนางข้างซ้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนอย่างรมิดาจะได้ใส่แหวนแต่งงานด้วย ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องสัญญาในการทำงานกับหัสวีร์ แต่เพราะเธอไม่เคยเชื่อใจเรื่องพวกนี้ แม่ก็ยุให้หาจับผู้ชายรวยๆ เป็นสามี ส่วนพี่สาวก็ถูกผู้ชายหลอก เธอไม่อยากอยู่ในวังวนแบบนี้ ทางเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจก็คือการมีเงินในบัญชี ซึ่งตอนนี้...เธอมีเงินหลักล้านในบัญชี ‘ผมไม่จ่ายที่เดียวหมดหรอกนะ เผื่อคุณหนีสัญญา’ รมิดาจำได้ว่าเขาพูดชัดเจนขณะที่ลงชื่อในสัญญาฉบับนั้นและเขาเก็บไว้หนึ่งชุด เธอเห็นเขาโยนเอกสารใส่ตู้เซฟในห้องพักของเขา ‘แหวนนั่นนะ ใส่ให้มันชินนิ้วไว้ก็ดี’ ‘บอสไม่อยากให้คนอื่นรู้ไม่ใช่เหรอคะ’ ‘ก็คุณพูดเองนี่ว่าคุณใส่อะไรก็เหมือนของปลอม ให้คุณใส่แหวนแต่งงานก็ไม่มีใครเชื่อหรอก’ หญิงสาวยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้นดู คนขี้งกอย่างเธอทำทุกอย่างเพื่อเงินได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาค่าเทอมและค่ายาให้น้องโมกข์ได้หรือไม่ นี่เธอควรฉลองดีไหมนะ ฉลองที่มีเงินในบัญชีหลักล้านเสียที นั้นสิ
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 15. ยัยเลขาบ้า! “ใคร...อ่อ...ท่านประธานพันล้านนี่เอง” เสียงอ้อแอทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มขมวดคิ้วที่เห็นสภาพของเลขาสาวในขณะนี้ "เธอ...เป็นอะไร เปิดประตูให้ผมเข้าไปเดี๋ยวนี้” “แค่เป็นเจ้านาย ก็สั่งเอาสั่งเอาได้เหรอ” พูดไม่จบประโยคดีก็ได้ยินเสียงเรอออกมา มือเล็กยกขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะคิกคัก หัสวีร์ได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดนั้นชัดเจน แต่ไม่คิดเอามาใส่ใจในเวลานี้ ประตูแง้มเล็กน้อยแค่โผล่ใบหน้าหวานแดงก่ำ เขาใช้แรงไม่มากก็ดันประตูให้เปิดกว้างเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน รมิดาไม่ทันตั้งตัวก็เซถอยหลังจวนเจียนจะล้มแต่ฝ่ามือแกร่งโอบแผ่นหลังเธอไว้ได้ทันในขณะที่มือเรียวเล็กยื่นไปหาหลักยึดเหนี่ยวทำให้เกี่ยวคอของเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็ถือกล่องขนม “ท่าน...ประธาน...” “เป็นอะไรของคุณ” เขาขมวดคิ้วงุนงง ไม่เคยเห็นรมิดาเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากจนเขาได้กลิ่น...กลิ่น... “คุณดื่มเหล้า?” “ม่ายยยย” รมิดาหัวเราะร่วนพยายามทร
แม้จะพักที่เดียวกัน แต่รมิดาไม่ได้ออกจากคอนโดพร้อมเจ้านาย แต่เช้านี้เธอได้รับข้อความที่ส่งมาทางไลน์ ‘รอที่ประตูทางออก’ หลังจากตื่นขึ้นมา รมิดาไม่แปลกใจที่ตัวเองสวมแค่ชุดชั้นใน ปกติเธอนอนคนเดียวบางคืนก็ใส่แค่บราเซียกับกางเกงขาสั้น นอนไม่เปิดแอร์เพราะอยากประหยัดค่าไฟ ถึงจะได้ฟรีค่าห้องแต่ค่าน้ำค่าไฟเธอจ่ายเองนี่นะ แรกทีเดียวเธอก็ไม่คิดอะไร ปวดหัวนิดหน่อยเพราะอาการเมาค้างแต่พอกินกาแฟดำก็บรรเทาได้มาก แต่ที่เธอตกใจก็คือกล่องขนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างขวดเหล้าสาโท นี่มันกล่องขนมจากร้านคุณหัสดิน หรือคุณหัสดินเข้ามาห้องเธอ เจอสภาพเธอกลายเป็นขี้เมา แล้วปกติคุณหัสดินไม่เคยมาที่ห้องเธอเลย ตลอดเวลาทำงานมาเกือบห้าปี เวลาที่คุณหัสดินหิ้วขนมของกินมาให้ชิมจะเรียกเธอไปที่ห้องของหัสวีร์เสมอ แล้วยิ่งเห็นหมายเลขโทรเข้าที่เธอไม่ได้รับสายนี่อีก โอ๊ย! เธอทำอะไรรั่วๆใส่เจ้านายไปหรือเปล่านะ เสียงแตรรถทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง รถเก๋งคันหรูจอดเทียบทางเดิน รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วใช้ความมั่นที่เวลานี้เหลือน้อยนิดเปิดประตูรถด้านหลัง “ข้างหน้าสิ! ผมไม่