รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน
“ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ”
“คุณรมิดา”
“รับทราบค่ะบอส”
แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทางบอสของเธอจะชอบดาราสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย การเห็นเขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อยและพิถีพิถันเลือกคบผู้หญิงมีระดับ กลับทำให้เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
หัสวีร์ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่รมิดาคิด เขากลับมาที่ห้องพักสุดหรูแล้วสั่งรูมเซอร์วิชนำเครื่องดื่มมาบริการ
“ผิดหวังหรือไง” เขาพูดยิ้มๆ แล้วถอดเสื้อสูทตัวนอก รมิดายื่นมือไปรับอย่างเคยชิน เมื่อก่อนเธอผูกเนคไทไม่เป็น ก็แน่ล่ะ เธอจะไปเคยผูกได้อย่างไร ทุกวันที่ผูกเนคไทเป็นก็เพราะบอสสอน
‘ฝึกไว้ เผื่อคุณต้องช่วยผม’
รมิดาจำได้ เขายกเนคไทให้เธอหนึ่งเส้น เธอฝึกผูกอยู่นานนับสัปดาห์จนผูกได้ดี เธอยังจำไปสอนน้องชายอยู่เลย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองร่างเพรียวบางเก็บเนคไทและเสื้อสูทของเขาไว้ที่ตู้เสื้อผ้า เขาชี้นิ้วไปที่รองเท้า อนุญาตให้เธอใส่รองเท้าสลิปเปอร์ในห้องของเขาได้ สีหน้าเธอผ่อนคลายเมื่อไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง
“รินไวน์ให้ผม” เขาสั่งหลังจากเอนกายลงบนโซฟาหรู แล้วยกเท้าพาดไปที่โต๊ะเตี้ยตรงหน้า เลขาสาวจัดการให้ตามสั่งแล้วส่งแก้วไวน์ให้เขา
“ถ้าคุณอยากดื่มก็รินเองได้เลย”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันเดินกลับห้องไม่ถูก”
เสียงหัวเราะทุ่มต่ำดังในความเงียบ เขาเปิดแค่โคมไฟในห้องทำให้แสงสลัวนวลตาและชวนผ่อนคลาย
“บอสมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ” รมิดาถามหลังจากเติมไวน์ให้เขาอีกแก้ว
“หน้าผมบอกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาปรายตามองเธอเล็กน้อย
“ทำงานกับบอสมาหลายปี ก็พอดูออกค่ะ” เธอตอบไปตามตรงแล้วนั่งที่เก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้าม
ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้ม เขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ความจริงอยากดื่มอะไรที่มันแรงกกว่านี้แต่พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก เขาไม่อยากให้สิ่งที่ทุมเทมาต้องสูญเปล่าเพราะเมาค้าง
“คุณคงพอรู้เรื่องยุ่งเหยิงในครอบครัวผมบ้าง”
รมิดาแค่ยิ้มน้อย แน่นอนว่าเธอรู้เพียงแต่มันเป็นเรื่องของเจ้านาย เธอเป็นลูกน้องไม่อาจก้าวก่ายได้ เช่นเดียวกับเขาที่แม้ปากร้ายวิจารณ์เรื่องในครอบครัวเธอแต่ก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามแต่อย่างใด
“กลับไปครั้งนี้ปู่จะนัดให้ผมไปดูตัวเจ้าสาว” เขามองเหม่อไปยังวิวด้านนอกของชั้นที่ยี่สิบ ทิวทัศน์แสงสียามราตรีทำให้เขาคิดว่าตัวเองเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ “ผมไม่ชอบที่ถูกเจ้ากี้เจ้าการเรื่องชีวิตคู่”
เลขาสาวได้แต่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่กล้าเอ่ยปากขัดแม้ในใจมีคำถามมากมาย
“พ่อผมทำเรื่องไว้เยอะ คราวนี้ปู่เลยคาดหวังว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ปู่เลือกให้”
“แต่บอสคบกับคุณคาเรนไม่ใช่หรือคะ” คราวนี้เธออดถามไม่ได้จริงๆ คาเรนเป็นดารานางแบบชื่อดัง โปรโฟล์ยอดเยี่ยมแทบไม่มีข่าวเสียเลยสักนิด เธอไม่รู้ว่าระดับความสัมพันธ์ของบอสกับดาราสาวเรียกว่าอะไร แต่เธอมั่นใจว่าคาเรนไม่เหมือนคู่ขาคนอื่นๆ ของบอส
“ผมเคยขอคาเรนแต่งงาน แต่เธอยังไม่พร้อม ส่วนปู่ผมก็ยิ่งไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ ก็เพราะเรื่องแม่ของผมที่สุดท้ายก็หย่ากับพ่อทั้งที่ผมเกิดได้ไม่กี่เดือน ปู่ผมเลยฝั่งใจไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติที่เข้ากับธรรมเนียมไทยไม่ได้”
แหม...ใครจะไปคิดว่าคนรวยก็มีความทุกข์แบบคนรวย รมิดาได้แต่พูดกับตัวเองในใจ และทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี
“ก่อนที่คาเรนจะกลับไปสวีเดน ผมเคยบอกว่าจะรอเธอ แต่สองปีมานี่ คุณก็เห็นว่าปู่ย่าวุ่นวายกับการส่งผู้หญิงมาหาผมที่บริษัทตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าผมยังไม่แต่งงานกับใครสักคนก็คงถูกรบกวนอยู่แบบนี้”
“แล้วบอสปรึกษาเรื่องนี้กับคุณคาเรนหรือยังคะ”
เขายักไหล่แล้วดื่มไวน์จนหมดแก้ว
“พูดแล้ว แต่พ่อของคาเรนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ และไม่พร้อมจะแต่งงาน เธอยังพูดให้ผมไปหาผู้หญิงคนใหม่อยู่เลย”
‘พูดไปแล้วก็น่าน้อยใจ คนอย่างหัสวีร์ถูกผู้หญิงทิ้งเหรอเนี้ย’
“แต่บอสก็อยากจะรอคุณคาเรนใช่ไหมคะ”
“ใช่ ผมอยากรักษาคำพูดตัวเอง”
ถึงเขาเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ คาสโนว่าเรียกพี่ แต่เขาเป็นคนรักษาคำพูด แน่นอนว่าเขามีพ่อเป็นต้นแบบที่ไม่ดีเอาเสียเลย แม้เขาจะไม่โตมาโดยมีแม่อยู่ใกล้ๆ แต่เท่าที่เขาเห็นจากพฤติกรรมเจ้าชู้ของพ่อแล้ว เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ขอเป็นแบบพ่อก็คือคนไม่รักษาคำพูด ผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเขาต้องเคลียร์ใจกันชัดเจน ไม่ให้มีปัญหาผิดใจเพราะคำพูด
“แล้ว..ถ้าบอสแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองเลือก คุณปู่ของบอสจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตบอสหรือคะ”
อาจเพราะเขาระบายความในใจ เธอจึงกล้าเอ่ยปากถามไป
“ก็ถ้าผมแต่งงานแล้ว ปู่คงเข้ามาทำอะไรไม่ได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ต้องส่งผู้หญิงมาให้ผมดูตัวอีก”
นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าเป็นในนิยายก็คงจ้างผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ รอจนกว่านางเอกตัวจริงจะกลับมา”
“หือ? คุณพูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ! ไม่มีอะไรค่ะ ฉันก็ปากไม่ดีพูดไปไม่ทันคิด” เธอตบปากตัวเองเบาๆ เป็นการลงโทษ
หัสวีร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนทำให้รมิดาลุกขึ้นยืนตามเขา
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ...ถ้างั้นฉันกลับห้องแล้วนะคะ เจอกันตอนเช้าค่ะ”
หญิงสาวเปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เดินออกมาอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ท่านประธานหนุ่มหล่อรินไวน์ให้ตัวเองแล้วยกแก้วขึ้นดื่มพลางกดโทรศัพท์มือถือโทรหาน้องชายต่างมารดา
“ว่าไงพี่วีร์ เที่ยงคืนแล้วไม่หลับไม่นอนหรือไง” น้ำเสียงงัวเงียตอบรับ
“มีเรื่องปรึกษา”
“หูย ระดับท่านประธานโทรมาปรึกษาเลยนะเนี้ย” หัสดินที่นอนอยู่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที
“ฉันว่าจะหาผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ ปู่จะได้เลิกยุ่งดูตงดูตัวเสียที”
“หา!”
“ทำไม นายคิดว่าไง”
“เคยเห็นแต่ในซีรีย์ พี่จะเอาจริงเหรอ”
“เออ ถ้ามันเป็นทางออกให้ปู่เลิกยุ่งกับฉัน ฉันยอมจ่าย”
“หาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยมันไม่ยากหรอก แต่ตอนจะเลิกนะ ผู้หญิงจะยอมไปง่ายๆหรือเปล่า”
“เรื่องนั้น...ฉันก็คิดอยู่ ต้องหามืออาชีพที่รับมือปู่และหย่าได้ทันทีที่คาเรนกลับมา”
“คุณสมบัติที่พี่พูดมา ผมนึกออกอยู่คนเดียว”
“ใคร”
“เรนนี่ไง”
“ใครนะ!”
“ก็คุณรมิดา เลขาคนเก่งของพี่ไง" หัสดินคิดว่าพี่ชายไม่เข้าใจที่เขาพูดไปจึงอธิบายเพิ่ม "ถ้าเป็นเรนนี่คงรับมือกับปู่และทุกปัญหาได้แน่นอน และถ้าพี่ต้องการหย่า เธอก็คงไม่สร้างปัญหาแน่นอน”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”
“ก็เรนนี่ไม่ชอบพี่ คือผมหมายถึงเธอไม่ได้ชอบแบบชู้สาว ถ้าเธอชอบพี่จริงคงทนเห็นพี่ไปกับผู้หญิงคนอื่นไม่รู้ตั้งกี่คน แถมยังต้องคอยเอาใจผู้หญิงของพี่อีกสารพัด แล้วเธอก็ไม่มีความคิดอย่างแต่งงานด้วย ไม่งั้นจะยอมรับเงื่อนไขของพี่แล้วทำงานด้วยกันได้ไงตั้งเกือบห้าปี”
"นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผู้หญิงพวกนั้นก็เคยบ่นนี่นะ"
"พี่นี่ถอดแบบพ่อมาหรือไง" น้องชายต่างมารดาบ่น "เอาเป็นว่าผมเสนอ ส่วนเรนนี่จะสนองไหม พี่ไปถามเอาเอง"
ปลายนิ้วกดตัดสัญญาณไปแล้วจมกับความคำพูดของหัสดิน ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุดยิ่งกว่าแม่ก็เลขาขี้เหนียวที่ะรักเงินเป็นที่สุดของเขา แต่เรื่องนี้มันเหมือนนิยายน้ำเน่าไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเธอรับบทเป็นภรรยาประธานพันล้านของเขาได้ไหมนะ
เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”“งั้นก็ไม่ต้องกิน”“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่ “พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”“แล้วงานใหม่พี่
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมวุ
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 14.นิ้วนางข้างซ้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนอย่างรมิดาจะได้ใส่แหวนแต่งงานด้วย ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องสัญญาในการทำงานกับหัสวีร์ แต่เพราะเธอไม่เคยเชื่อใจเรื่องพวกนี้ แม่ก็ยุให้หาจับผู้ชายรวยๆ เป็นสามี ส่วนพี่สาวก็ถูกผู้ชายหลอก เธอไม่อยากอยู่ในวังวนแบบนี้ ทางเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจก็คือการมีเงินในบัญชี ซึ่งตอนนี้...เธอมีเงินหลักล้านในบัญชี ‘ผมไม่จ่ายที่เดียวหมดหรอกนะ เผื่อคุณหนีสัญญา’ รมิดาจำได้ว่าเขาพูดชัดเจนขณะที่ลงชื่อในสัญญาฉบับนั้นและเขาเก็บไว้หนึ่งชุด เธอเห็นเขาโยนเอกสารใส่ตู้เซฟในห้องพักของเขา ‘แหวนนั่นนะ ใส่ให้มันชินนิ้วไว้ก็ดี’ ‘บอสไม่อยากให้คนอื่นรู้ไม่ใช่เหรอคะ’ ‘ก็คุณพูดเองนี่ว่าคุณใส่อะไรก็เหมือนของปลอม ให้คุณใส่แหวนแต่งงานก็ไม่มีใครเชื่อหรอก’ หญิงสาวยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้นดู คนขี้งกอย่างเธอทำทุกอย่างเพื่อเงินได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาค่าเทอมและค่ายาให้น้องโมกข์ได้หรือไม่ นี่เธอควรฉลองดีไหมนะ ฉลองที่มีเงินในบัญชีหลักล้านเสียที นั้นสิ
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 15. ยัยเลขาบ้า! “ใคร...อ่อ...ท่านประธานพันล้านนี่เอง” เสียงอ้อแอทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มขมวดคิ้วที่เห็นสภาพของเลขาสาวในขณะนี้ "เธอ...เป็นอะไร เปิดประตูให้ผมเข้าไปเดี๋ยวนี้” “แค่เป็นเจ้านาย ก็สั่งเอาสั่งเอาได้เหรอ” พูดไม่จบประโยคดีก็ได้ยินเสียงเรอออกมา มือเล็กยกขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะคิกคัก หัสวีร์ได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดนั้นชัดเจน แต่ไม่คิดเอามาใส่ใจในเวลานี้ ประตูแง้มเล็กน้อยแค่โผล่ใบหน้าหวานแดงก่ำ เขาใช้แรงไม่มากก็ดันประตูให้เปิดกว้างเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน รมิดาไม่ทันตั้งตัวก็เซถอยหลังจวนเจียนจะล้มแต่ฝ่ามือแกร่งโอบแผ่นหลังเธอไว้ได้ทันในขณะที่มือเรียวเล็กยื่นไปหาหลักยึดเหนี่ยวทำให้เกี่ยวคอของเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็ถือกล่องขนม “ท่าน...ประธาน...” “เป็นอะไรของคุณ” เขาขมวดคิ้วงุนงง ไม่เคยเห็นรมิดาเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากจนเขาได้กลิ่น...กลิ่น... “คุณดื่มเหล้า?” “ม่ายยยย” รมิดาหัวเราะร่วนพยายามทร
แม้จะพักที่เดียวกัน แต่รมิดาไม่ได้ออกจากคอนโดพร้อมเจ้านาย แต่เช้านี้เธอได้รับข้อความที่ส่งมาทางไลน์ ‘รอที่ประตูทางออก’ หลังจากตื่นขึ้นมา รมิดาไม่แปลกใจที่ตัวเองสวมแค่ชุดชั้นใน ปกติเธอนอนคนเดียวบางคืนก็ใส่แค่บราเซียกับกางเกงขาสั้น นอนไม่เปิดแอร์เพราะอยากประหยัดค่าไฟ ถึงจะได้ฟรีค่าห้องแต่ค่าน้ำค่าไฟเธอจ่ายเองนี่นะ แรกทีเดียวเธอก็ไม่คิดอะไร ปวดหัวนิดหน่อยเพราะอาการเมาค้างแต่พอกินกาแฟดำก็บรรเทาได้มาก แต่ที่เธอตกใจก็คือกล่องขนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างขวดเหล้าสาโท นี่มันกล่องขนมจากร้านคุณหัสดิน หรือคุณหัสดินเข้ามาห้องเธอ เจอสภาพเธอกลายเป็นขี้เมา แล้วปกติคุณหัสดินไม่เคยมาที่ห้องเธอเลย ตลอดเวลาทำงานมาเกือบห้าปี เวลาที่คุณหัสดินหิ้วขนมของกินมาให้ชิมจะเรียกเธอไปที่ห้องของหัสวีร์เสมอ แล้วยิ่งเห็นหมายเลขโทรเข้าที่เธอไม่ได้รับสายนี่อีก โอ๊ย! เธอทำอะไรรั่วๆใส่เจ้านายไปหรือเปล่านะ เสียงแตรรถทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง รถเก๋งคันหรูจอดเทียบทางเดิน รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วใช้ความมั่นที่เวลานี้เหลือน้อยนิดเปิดประตูรถด้านหลัง “ข้างหน้าสิ! ผมไม่
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
หัสดินถอดผ้ากั้นเปื้อนแล้วเดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับร่างของเพรียวบางที่คุ้นเคย วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดกระโปรงเรียบร้อยตามแบบฉบับเลขาสาวข้างกายพี่ชายของเขา แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีอ่อน ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าทำให้ดูอ่อนวัยราวเด็กสาววัยรุ่น “เรนนี่” “คุณดิน” รมิดาเดินเข้ามาใกล้ไม่อาจเก็บความร้อนรนไว้ได้ “คุณดินรู้เรื่องคุณหัสวีร์แข่งรถหรือเปล่าคะ” “เอ่อ...” ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง หัสดินได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเชิญให้เธอเดินตามเขาไปนั่งในห้องผู้จัดการร้าน ซึ่งก็เป็นห้องทำงานของเขา แต่เขาชอบการทำอาหารมากกว่าจึงอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ “นั่งก่อนครับ” หญิงสาวจำใจนั่งที่เก้าอี้ หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย “พี่วีร์ไม่ให้ผมบอกเรนนี่” “แต่ฉันต้องรู้เรื่องนี้” มือเล็กกำแน่น “เรนนี่” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณก็รู้ว่าพี่ชายผมขับรถแข่งมาก่อน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้เข้าแข่งขันแต่ก็ไม่เคยห่างสนามแข่งเลย” “ฉันเป็นห่วงคุณวีร์ รู้ว่าเขาเก่งก็ยังเป็นห่วง” “เพราะเ
“ทำไมต้องแบบนี้ด้วยค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ “แล้วไม่รังเกียจเหรอคะ ฉัน...ทำตัวแบบนั้นแลกเงิน” “มันขึ้นอยู่กับว่า คุณทำไปเพื่ออะไรต่างหาก” นาธานยักไหล่ “ให้ผมช่วยคุณนะครับ” รมิดาจำไม่ได้เลยว่าชีวิตเธอเคยมีใครพูดแบบนี้ไหม ความหวั่นไหวเกิดขึ้นในอก เธอไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาแต่เพราะรู้ว่าหัวใจต้องการอะไร เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ต่อให้เธอเป็นสาวแกร่งแค่ไหนก็เถอะ “ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้” “ครับ” นาธานยิ้มจากใจจริง “ผมแค่อยากให้คุณฝนรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณฝน แล้วก็...ไม่เคยเห็นคุณฝนเป็นสิ่งของที่ใช้เดิมพันในสนามแข่ง” “คุณพูดเรื่องอะไรคะ เดิมพันอะไร แข่งอะไร” “อ้าว ...นี่หัสวีร์ไม่ได้บอกคุณฝนเหรอครับ เขาท้าแข่งรถกับผม ถ้าผมแพ้ต้องไปจากชีวิตคุณ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอรำพึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัสวีร์จะทำแบบนั้น “คุณฝน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมอยากบอกคุณว่าผมจริงใจกับคุณ และคุณมีค่ามากกว่าเป็นของเดิมพัน” เสียงสูดลมหายใจลึกดังขึ้
ปกติรมิดาไม่ใช่คนชอบเข้าวัดทำบุญ ผิดกับพี่ลาวัลย์ที่ทำบุญแทบทุกวันพระ ถ้าเธอจะทำบุญเธอก็เลือกที่มันหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่บริจาคเงินที่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์มากกว่าวัด แต่วันนี้ธาตรีโทรมาชวนไปไหว้พระถวายสังฆทานก่อนที่น้องโมกข์จะเข้ารับการผ่าตัด รมิดากลับไม่ปฏิเสธและยังให้น้องชายช่วยเตรียมของสังฆทานให้ด้วย ลาวัลย์แปลกใจที่เห็นน้องสาวมาทำบุญที่วัด แต่ก็ดีใจที่เห็นรมิดามาพร้อมกัน รมิดาไม่อยากให้หลานลำบากจึงเรียกแท็กซี่มารับ และเดินทางไปวัดที่ไม่ไกลบ้านนัก ตลอดการถวายสังฆทาน กรวดน้ำและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว สามพี่น้องและหนึ่งหลานตัวน้อยก็ตั้งใจไปปล่อยท่าท่าน้ำของวัด ซึ่งธาตรีไปซื้อปลาหน้าเขียงมาปล่อย “ผมศึกษามาดีแล้ว ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง ที่วัดนี้เหมาะกับปลาหมอที่สุด” “ปล่อยปลา โมกข์จะปล่อยปลา” “ตรีพาหลานไปปล่อยปลา ระวังหลานตกน้ำด้วย” “ทราบแล้วครับ” ธาตรีจูงมือหลานไปที่ท่าน้ำแล้วค่อยๆ เทถุงพลาสติกที่มีปลาหมออยู่สิบกว่าตัวลงน้ำ ลาวัลย์มาที่วัดน
“ทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น ที่แท้ก็จับผู้ชายรวยนั้นแหละ” “อย่าเสียงดังไป ยังไงก็เป็นผู้หญิงของท่านประธาน” “หึหึ” รมิดาได้ยินทุกอย่างแต่ก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินเลี่ยงออกมานั่งพักผ่อนที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ เธอไม่สูบบุหรี่แต่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ทำให้เธอได้ผ่อนคลายจากการงานเคร่งเครียด เมื่อครั้งที่ทำงานใหม่ๆ เธอก็แอบปาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืนในตอนนั้นเธอไม่กล้าโต้ตอบ กลัวจะไม่ผ่านโปรฯ กลัวจะไม่ได้ทำงานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ นอกจากไลลาเพื่อนสนิทแล้วเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาสังคมที่ทำงานที่เจออยู่ แต่เพราะต้องกอดตำแหน่งนี้ให้นานที่สุด เธอจึงอดทนและอดทนจนกลายเป็นด้านชากับคำนินทาเหล่านี้ เลขาสาวหยิบถุงกระดาษใบน้อยวางบนตักแล้วเปิดถุงหยิบเอาแซนวิชกับน้ำผลไม้ออกมา มันเป็นของว่างที่เสิร์ฟในห้องประชุม หลังประชุมเสร็จมีของว่างเหลืออยู่หลายชุด และเหมือนเดิม เธอหยิบของเหลือใส่ถุงมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ช่วงนี้หัสวีร์ยุ่งกับเรื่องอะไรไม่รู้ เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ที่จะไปคาดคั้นเขา แม้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหม
คนมาชอบนั่งร้านเหล้า วันนี้ต้องมานั่งเฝ้าพี่ชายต่างแม่ที่ดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า หัสดินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว แยกแก้วเหล้าออกจากมือพี่ชาย “เป็นอะไรไปเนี้ย” น้องชายบ่นแล้ววางแก้วเหล้าห่างมือพี่ชาย “ไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเรนนี่เหรอ อยู่คอนโดเดียวกันน่าจะมีเวลาคุยกันนี่” ข่าวซุบซิบในบริษัทมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เรื่องระหว่างประธานบริษัทกับเลขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แน่นอนว่ามันกระทบถึงตำแหน่งการงาน ทุกคนจึงได้แต่แสร้งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ “อื้ม” หรือเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป รมิดาเป็นฝ่ายวางตัวได้เย็นชาห่างเหิน เธอทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติไม่มีบกพร่อง ที่เพิ่มขึ้นก็คือเขากับเธอเดินทางไปกลับพร้อมกัน และความสัมพันธ์ยามค่ำคืน เขารั้งเธอไว้ในอยู่บนเตียงเดียวกันจน แต่ก่อนเขาตื่น เธอก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเฉียบกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายร่างเป็นเลขาผู้แสนเย็นชาอีกครั้ง “คือ...” หัสดินอึกอักแล้วรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่ต้องถามเรื่องพวกนี้ “พี่กับ