เจ้าหลานตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้าด้วยความคิดถึง เพราะเจอน้าคนนี้ทีไร น้องโมกข์ เด็กชายวัย 5 ขวบ จะได้กินของอร่อยๆ เสมอ
“เห็นแก่ของกินเหมือนใครเนี่ย”
เสียงของธาตรีบ่นหลานชายตัวน้อยที่ทำเอารมิดาค้อนขวับเข้าให้
“นายว่าใคร” รมิดากลับจากสิงคโปร์ก็ยุ่งเรื่องเคลียร์เอกสารต่างๆ เพิ่งจะได้มีวันหยุดหอบเอาของกินของฝากและซื้อของใช้เข้ามาบ้านมาให้ด้วย
“ผมจะว่าใครได้นอกจากพี่สาวคนดีของผม” ธาตรียักคิ้วหลิวตาให้ “ก็พี่สาวผมน่ะสิ เห็นแก่ของกินเป็นที่สุด”
“ทำไม! ถ้าฉันเห็นแก่ของกินแล้วผิดตรงไหน มันก็ของดีๆ ทั้งนั้น” เธอชี้ให้ดูของที่อยู่ในถุง
“ของนะมันดีอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมเห็นแก่ของกินเป็นใหญ่ของพี่ฝนนี่มันถ่ายทอดไปถึงหลานโมกข์นะครับ”
“งั้นก็ไม่ต้องกิน”
“ได้เหรอ ผมช่วยหิ้วลงจากรถแท็กซี่เลยนะ” นานทีปีหนพี่สาวสุดขี้เหนียวจะยอมควักเงินนั่งรถแท็กซี่ แต่เพราะวันนี้พี่สาวคนรองซื้อของเข้าบ้านมาเยอะและยังมีของฝากอีกด้วย ไม่อยากนั้นไม่มีวันที่คนอย่างรมิดาจะยอมเสียเงินค่าเดินทางด้วยแท็กซี่
“พอแล้วพอแล้ว อย่าเถียงกันเลย” ลาวัลย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจังเลยนะ วันนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากัน สามคน”
“แล้วงานใหม่พี่เป็นไงบ้างคะ เหนื่อยหรือเปล่า” รมิดาถามพี่สาวแล้วยกแก้วน้ำที่หลายชายอุตส่าห์บรรจงรินให้ดื่มอย่างเอาอกเอาใจ
“ประจบเก่งนะเรา” ธาตรีส่ายหน้าไปมาแล้วช่วยพี่ลาวัลย์เก็บข้าวของที่พี่รมิดาหิ้วมาเข้าไปเก็บในครัว
“ก็พอทำได้ พี่เองก็ไม่อยากเป็นภาระให้น้องๆ” ลาวัลย์พูดยิ้มๆ เธอไปทำงานที่ร้านเสริมสวยได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่ก่อนก็เคยทำแต่พอตั้งท้องก็แพ้ท้องหนักจนทำงานไม่ไหว หลังคลอดก็ไม่มีใครช่วยเลี้ยงลูก มีน้องสาวอย่างรมิดาที่ทำงานส่งเงินมาเลี้ยงครอบครัวและน้องชายอย่างธาตรีที่ช่วยเลี้ยงหลาน เธอรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นภาระของน้องๆ
“ภาระที่ไหนกันเล่า พี่น้องกันแท้ๆ”
รมิดาลูบผมหลานชาย เด็กคนนี้ไม่มีพ่อแต่ก็ยังมีเธอและธาตรีที่รักและเอ็นดูแกมาก
“พี่ลาวัลย์ไม่ใช่ภาระหรอก คนที่เป็นภาระน่าจะเป็นแม่ของเรามากกว่า”
“ไม่เอาสิยัยฝน อย่าพูดถึงแม่แบบนั้น” ลาวัลย์ปราบน้องสาว
“ทำไม เราพูดถึงคนที่ ไม่รับผิดชอบไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ มันจะบาปกรรมมันเสียเปล่าๆ ฝนมีงานการทำที่ดีก็ดีแล้ว ยังไงก็อย่าโหมงานหนักจนไม่สบายเอาล่ะ”
“อย่างฝนน่ะ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ รุ่นนี้แล้ว”
“พูดแบบนี้เห็นล้มมาหลายรายแล้วนะ พี่ก็ดูแลตัวเองเถอะ” ธาตรีบ่นพี่สาวคนรอง
“อุ้ย! ดีใจจัง น้องชายเป็นห่วงขนาดนี้” รมิดาดีดตัวลุกขึ้นแล้วยื่นมือยีผมของน้องชาย “นายก็ เหมือนกัน ตั้งใจเรียนไม่ต้องไปเป็นไรเดอร์ขับรถรับจ้างแล้วนะ พี่เลี้ยงเราจนจบแน่นอน”
“นั่นมันรายได้ผมเลยนะเนี่ย”
“ปีสี่แล้วเดี๋ยวก็ไปฝึกงานแล้วล่ะ” พี่ลาวัลย์พูดขึ้นเพราะกลัวน้องสาวจะบ่นน้องชายมากไป สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรก็ทำเหมือนทะเลาะกันทุกที ทั้งที่ทั้งสองรักและห่วงใยซึ่งกันและกันมาก
“พี่อยากให้นายตั้งใจเรียน พอเรียนจบแล้ว นายก็หางานทำมาเลี้ยงพี่สาวที่แสนดีไง”
“ถามผมไหมว่าว่าอยากพี่หรือเปล่า”
“พี่สาวคนเดียวเลี้ยงไม่ได้เหรอ” รมิดาอ้อนน้องชายแต่อีกฝ่ายทำท่าขนลุก “ถ้าฉันไม่แต่งงาน ฉันจะอยู่กับนายนี่แหละ”
“พูดเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้”
ลาวัลย์ส่ายหน้าไปมา ตอนนี้เธอไปทำงานที่ร้านเสริมสวยแล้ว ส่วนน้องโมกข์ บางวันก็เอาไปทำงานด้วย โชคดีที่เจ้าของร้านใจดี และลูกชายก็เป็นเด็กดี ไม่ไปไหนก็มีแต่คนรักและเอ็นดู
“วันนี้บ้านเงียบไปหรือเปล่า” รมิดาถามพลางมองไปรอบตัว “แม่ไม่อยู่เหรอ”
“เล่นไพ่” ธาตรีชิงตอบขึ้นมาก่อน ไม่อยากให้พี่สาวเสียงดังนัก แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะแม่เดินออกมาจากห้องนอนพอดี
“ไม่มีรายได้แล้วยังจะไปเล่นทำไม” รมิดาบ่นเพราะไม่เห็นว่าแม่เดินมาจากด้านหลัง
“มันเรื่องของฉัน!” คราวนี้เป็นเสียงแม่ที่ดังขึ้นมา “แกเป็นลูกกล้าว่าแม่แบบนี้เหรอ”
“แม่... เงินไม่ได้งอกง่ายๆ เหมือนต้นหญ้านะ แล้วก็ไม่ได้หล่นมาจากฟ้าเหมือนฝนด้วย”
“แกก็หาผัวรวยๆ สิ อ้อ! อย่าเป็นเหมือนพี่สาวแกนะ รวยไม่จริงแถมไข่ทิ้งให้เลี้ยงอีก” นิ้วเหี่ยวย่นของแม่จิ้มหน้าผากของรมิดา
“พูดว่าหนูอะไรก็ได้ แต่อย่าพูดให้เด็กได้ยิน” รมิดาเตือนสติแม่
“กล้าสอนฉันเราะ!”
“แม่ทำไม่ถูกนี่น่า แล้วเงินมันกไม่ได้งอกขึ้นมาจากดิน จะใช้อะไรก็ก็คิดให้ดีหน่อย”
“ทำไม! พวกแกสามคนเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้หรือไง แล้วยังไงแกก็เลยจะมาสั่งสอนฉันน่ะ”
“ก็แม่ทำไม่ถูก หนูก็ต้องพูดสิ ลูกที่ดีพ่อแม่ทำผิด ก็ต้องบอกกันเป็นธรรมดา”
“อย่างแกเนี่ยนะเรียกลูกให้ดี”
“ถ้าหนูไม่ดี แม่จะมีอยู่ไม่กินวันนี้เหรอ เป็นคนอื่นเขาทิ้งไปแล้ว ใครจะมาแบกภาระไว้แบบนี้”
“เออๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันคลอดแกออกมาได้ยังไงเนี่ย ไม่ได้ดั่งใจสักคน หน้าตาดีเสียเปล่าจับผู้ชายรวยๆ ก็ไม่ได้ ให้ไปทำงานเกาหลีเหมือนคนอื่นก็ไม่ไป อีพี่มันก็โง่ถูกผู้ชายหลอก ไอ้น้องก็เชื่อฟังแต่พี่สาว ฉันเนี้ยเป็นหัวหลักหัวตอของบ้านจริงๆ”
“แม่” รมิดาอ่อนใจกับแม่เหลือเกิน
แม่ปรายตามองลูกสาวอย่างดูแคลน “พูดก็พูดเถอะ แกเป็นเลขาแบบไหนเจ้านายถึงให้เงินเดือนเยอะนัก ไหนจะมีคอนโดให้อยู่ หิ้วไปต่างประเทศ นี่มันเป็นเลขาจริงๆ หรือเป็นเมียเก็บ ยังไงก็รู้จักระวังตัวด้วยอย่าให้ท้องเหมือนพี่สาวแก”
“แม่จะออกไปข้างนอกใช่ไหม” ลาวัลย์รีบเข้ามาขวางแล้วล้วงมือหยิบเงินในกระเป๋ากางเกงส่งให้แม่ “หนูมีอยู่สามร้อย แม่เอาไปก่อนนะ”
แม่มองธนบัตรสีแดงยับๆ สามใบที่ลูกสาวยัดใส่มือ เอาเถอะ ยังพอได้ต่อทุนดีกว่าไม่ได้อะไรเลย รมิดายอมจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่างแต่ไม่ยอมให้นางแตะต้องเงินแม้แต่บาทเดียว
ลาวัลย์กลัวน้องจะทะเลาะกับแม่จึงรีบดันแม่ออกไปด้านนอก รมิดาอ้าปากแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรประตูบ้านก็ปิดลงแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าครอบครัวเธอเละเทะขนาดนี้ แต่สามพี่น้องก็ยังรักใคร่กันดี ตอนเด็กๆ พี่ลาวัลย์เป็นคนเสียสละทุกอย่าง เรียนจบแค่ม.3ก็ทำงานเลี้ยงน้องๆ ส่วนเธอหัวดีสอบชิงทุนมาตลอดจึงได้เรียนจบปริญญาตรี ส่วนน้องชายก็เดินตามรอยเท้าเธอ แม้ว่าพี่สาวจะถูกชาวบ้านนินทาเรื่องท้องไม่มีพ่อ แต่น้องโมกข์เป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อเขาเติบโตขึ้นเสียงว่าร้ายต่างๆ ก็หายไป ตอนนี้คนที่เป็นเสาหลักและเดอะแบกของบ้านก็คือรมิดา
“ฝนบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าอย่าให้เงินแม่”
“ถ้าไม่ให้ แม่ก็พูดจาไม่ดีแบบนี้อีก บางทีพี่ก็คิดว่า เงินที่จ่ายไปแลกกับความสบายหูเลย” ลาวัลย์พูดยิ้มๆ
“พี่ลาวัลย์” รมิดาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พี่สาวเธอเป็นคนดีขนาดนี้ ไม่น่าถูกผู้ชายหลอกได้เลยแถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย เพราะผู้ชายคนนั้นไม่หลอหย่ากับเมียแล้วแท้ๆ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการที่พี่ลาวัลย์ตัดสินใจเก็บเด็กในท้องและตัดใจไม่ติดต่อผู้ชายคนนั้นอีก รมิดาเห็นหลานชายช่วยแม่หยิบของออกจากถุงก็ยื่นมือไปคว้าเด็กน้อยมานั่งบนตัก
“น้ำหนักเท่าไหร่แล้วเนี่ย อีกหน่อยน้าฝนก็อุ้มไม่ขึ้นแล้วนะ”
เด็กชายหัวเราะอย่างมีความสุข ไหน
“ไปโรงเรียนแล้วมีอะไรมาอวดน้าบ้าง คุณครูสอนอะไรบ้างคะ”
รมิดาถามหลานชายตัวน้อยนี่ก็เหมือนกัน ยิ่งโตยิ่งหล่อ อีกหน่อยสาวๆ ติดตรึมแน่
“สอนร้องเพลงภาษาอังกฤษครับ”
“ว้าวเก่งจัง ร้องให้น้าฟังซิ ถ้าร้องเพราะเดี๋ยวนะให้เงินสิบบาท”
“สิบบาท!” ธาตรีที่นิ่งเงียบมานานค่อยพูดขึ้น เขาไม่กล้าพูดกล้าเถียงแม่เหมือนรมิดา
เด็กชายโมกข์ยืนขึ้นแล้วกำมือเลียนแบบไมค์โครโฟน ทำกระแอมไอเหมือนคนประกวดร้องเพลงที่เคยดูในโทรทัศน์“เพื่อเงินสิบบาทเลยนะเนี้ย”“ร้องดีเดี๋ยวน้าให้ยี่สิบบาท” รมิดาหยิบแบงค์ยี่สิบโบกไปมา ธาตรีนั่งข้างพี่สาวแล้วตบมือเชียร์หลานชาย“นี่ไม่ได้ง่ายๆนะ น้าฝนไม่ได้ควักเงินออกมาง่ายๆเชียว”“นายตรี!” รมิดาแยกเขี้ยวใส่“ตั้งใจฟังสิ หลานจะร้องเพลงแล้ว” ลาวัลย์พูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย เด็กชายจึงส่งเสียงร้องเพลงที่ได้เรียนออกมา“เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี” โมกข์โยกตัวประกอบเพลง “เฮช ไอ เจ เค”คราวนี้สามคนพี่น้องประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก็จริงนะ เพลงภาษาอังกฤษจริงๆ“พี่สาวผมได้เสียเงินยี่สิบบาท ฮ่าๆๆ” ธาตรีหัวเราะร่า โมกข์เห็นน้าสาวกับน้าชายหัวเราะก็ยิ่งเต้นส่ายเอวไปมารมิดามองพี่สาวแล้วตบหลังมือเบาๆ “เรื่องยาของน้องโมกข์เป็นยังไง”เห็นโมกข์ร่าเริงแบบนี้ แต่เด็กน้อยเป็นโรค G6PD คือโรคขาดเอ็นไซม์ G6PD ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยตำแหน่งยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเพศ ดังนั้น โรคนี้จึงอยู่ติดตัว ไปตลอดชีวิต และอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ การขาดเอ็นไซน์นี้ จึงทำให
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 11. อยากอุ้มเหลนแล้ว คฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ในบ่ายวันนี้ หลานชายสองคนผู้สืบทอดกิจการศาตนันท์กำลังนั่งจิบน้ำชาในสวนหย่อมอันแสนรื่นรมย์ของคฤหาสน์ แต่ใบหน้าของหัสวีร์บึ้งตึงเพราะความอดทนของเขากำลังจะหมดลง “ถ้าไม่ชอบหนูลิลลี่ก็ลองดูหนูมิ้นต์ก็ได้ ลูกหลานเพื่อนปู่ชาติตระกูลดี รับรองว่า...” “พอเถอะครับปู่” หัสวีร์พูดขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ อุตส่าห์กลับมาบ้านทั้งที ปู่ก็ยังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ “ปู่ไม่เบื่อหรือครับ พูดเรื่องพวกนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าผม” “เบื่อสิ” ปู่ทำหน้าเบื่อหน่ายจริงๆ หัสดินกลั้นหัวเราะแล้วตัดเค้กชิ้นขนาดพอดีส่งให้ปู่กับย่า “เค้กน้ำผึ้งครับ เป็นเค้กนึ่งนะครับเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักษาสุขภาพ กินกับน้ำชาเข้ากันมากเลย” คุณย่ารับจานเค้กมาแล้วตัดกินคำเล็กๆ แล้วพยักหน้ารับ “อร่อย ตาดินทำขนมอร่อยขึ้นทุกวัน” “ถ้าทำขนมไม่อร่อยก็ไปปิดร้านดีกว่า เสียชื่อเชฟเปล่าๆ” หัสวีร์ไม่ชอบกินขนมจึงไปไม่สนใจแม้น้องชายต่างแม่จะตัดแบ่งให้เขาด้วย “ปู่ไม่หาเมียให้ไอ้ดินบ้างล่ะ ทำไมว
“ฮัชเช่ย!”ใครนินทาฉันนะ!รมิดารู้สึกคันจมูกยุกยิก มือเรียวยื่นไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจมูก ‘ไม่รู้คนคิดถึงหรือคนนินทา’ เธอบ่นขณะนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง“ไม่สบายหรือไง”เสียงดุๆ ของท่านประธานดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวสาวรีบเช็ดจมูกแล้วพูดขึ้น“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไรคันจมูกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นภูมิแพ้” รมิดาพูดแล้วฉีกยิ้มด้วยความมั่นใจ“นั่นสิ อย่างเธอจะเป็นอะไรได้ อดทนยิ่งกว่าวัว”รมิดาได้ฟังก็หน้านิ่งรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ทว่าในใจตรงข้าม จะว่าไปเขาพูดแค่นี้ยังนับว่า ‘เบา’มาก ช่วงที่เธอมาทำงานกับเขาใหม่ๆ ทำอะไรไม่ทันหรือไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ เธอเคยถูกเขาตวาดจนแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำก็หลายครั้ง เขาเป็นคนปากร้ายแต่เฉพาะกับเรื่องงานที่เขาเข้มงวดเท่านั้น แต่กับสาวๆ ของเขา ถ้าคนไหน ‘ล้ำเส้น’หัสวีร์มองสีหน้าของเลขา จากที่ทำงานด้วยกันมาเกือบห้าปี เขารู้ดีว่าเธอคงก่นด่าเขาในใจ แต่เธอมักเก็บทุกความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆนั้น เขานึกถึงคำพูดของหัสดิน ‘มีแต่เรนนี่ที่รับมือพี่ชายของผมไหว’ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากนั้น ช่วงที่เธอทำงานสามเดือนแรก เธอโดนเขาทั้งด่
รมิดาใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันในการร่างสัญญาการทำงานเป็นภรรยาของหัสวีร์ อันที่จริงเธอใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เงินสิบล้านทำให้เธอไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการทำงานชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเองก็คงเชื่อใจและไว้ใจเธอถึงได้ยอมจ้างเธอจดทะเบียนสมรสแบบนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เธอที่เสียเปรียบ เพราะเขาก็เองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเหมือนกัน เธอจึงทำร่างสัญญาให้รัดกุมที่สุด หัสวีร์เองก็ใช้เวลาอ่านเอกสารที่เธอทำให้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เซ็นชื่อโดยมีหัสดินที่ถูกโทรตามตัวมาเป็นพยานอย่างกระทันหัน “เอาจริงด้วย” หัสดินอ่านสัญญาแล้วลงนามลงไป “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสเลยเถอะ แค่เอาบัตรประชาชนไป อ้อ ทะเบียนบ้านไปคัดเอาที่สำนักงานเขตก็ได้” “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือคะ” รมิดาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง “ไม่อยากใช้เงินหรือไง” หัสวีร์ลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปสำนักงานเขตแค่สิบห้านาที ตอนนี้พยานก็มีก็ลากไปด้วยจะได้ทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย” “ใช่ๆ ทำทุกอย่างให้เสร็จแล้วก็ปาร์ตี้ฉลอง” “ฉลองบ้าบออะไร” หั
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 14.นิ้วนางข้างซ้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนอย่างรมิดาจะได้ใส่แหวนแต่งงานด้วย ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องสัญญาในการทำงานกับหัสวีร์ แต่เพราะเธอไม่เคยเชื่อใจเรื่องพวกนี้ แม่ก็ยุให้หาจับผู้ชายรวยๆ เป็นสามี ส่วนพี่สาวก็ถูกผู้ชายหลอก เธอไม่อยากอยู่ในวังวนแบบนี้ ทางเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจก็คือการมีเงินในบัญชี ซึ่งตอนนี้...เธอมีเงินหลักล้านในบัญชี ‘ผมไม่จ่ายที่เดียวหมดหรอกนะ เผื่อคุณหนีสัญญา’ รมิดาจำได้ว่าเขาพูดชัดเจนขณะที่ลงชื่อในสัญญาฉบับนั้นและเขาเก็บไว้หนึ่งชุด เธอเห็นเขาโยนเอกสารใส่ตู้เซฟในห้องพักของเขา ‘แหวนนั่นนะ ใส่ให้มันชินนิ้วไว้ก็ดี’ ‘บอสไม่อยากให้คนอื่นรู้ไม่ใช่เหรอคะ’ ‘ก็คุณพูดเองนี่ว่าคุณใส่อะไรก็เหมือนของปลอม ให้คุณใส่แหวนแต่งงานก็ไม่มีใครเชื่อหรอก’ หญิงสาวยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้นดู คนขี้งกอย่างเธอทำทุกอย่างเพื่อเงินได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาค่าเทอมและค่ายาให้น้องโมกข์ได้หรือไม่ นี่เธอควรฉลองดีไหมนะ ฉลองที่มีเงินในบัญชีหลักล้านเสียที นั้นสิ
สัมพันธ์ลับ(รัก)ประธานพันล้าน ตอนที่ 15. ยัยเลขาบ้า! “ใคร...อ่อ...ท่านประธานพันล้านนี่เอง” เสียงอ้อแอทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มขมวดคิ้วที่เห็นสภาพของเลขาสาวในขณะนี้ "เธอ...เป็นอะไร เปิดประตูให้ผมเข้าไปเดี๋ยวนี้” “แค่เป็นเจ้านาย ก็สั่งเอาสั่งเอาได้เหรอ” พูดไม่จบประโยคดีก็ได้ยินเสียงเรอออกมา มือเล็กยกขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะคิกคัก หัสวีร์ได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดนั้นชัดเจน แต่ไม่คิดเอามาใส่ใจในเวลานี้ ประตูแง้มเล็กน้อยแค่โผล่ใบหน้าหวานแดงก่ำ เขาใช้แรงไม่มากก็ดันประตูให้เปิดกว้างเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน รมิดาไม่ทันตั้งตัวก็เซถอยหลังจวนเจียนจะล้มแต่ฝ่ามือแกร่งโอบแผ่นหลังเธอไว้ได้ทันในขณะที่มือเรียวเล็กยื่นไปหาหลักยึดเหนี่ยวทำให้เกี่ยวคอของเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็ถือกล่องขนม “ท่าน...ประธาน...” “เป็นอะไรของคุณ” เขาขมวดคิ้วงุนงง ไม่เคยเห็นรมิดาเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากจนเขาได้กลิ่น...กลิ่น... “คุณดื่มเหล้า?” “ม่ายยยย” รมิดาหัวเราะร่วนพยายามทร
แม้จะพักที่เดียวกัน แต่รมิดาไม่ได้ออกจากคอนโดพร้อมเจ้านาย แต่เช้านี้เธอได้รับข้อความที่ส่งมาทางไลน์ ‘รอที่ประตูทางออก’ หลังจากตื่นขึ้นมา รมิดาไม่แปลกใจที่ตัวเองสวมแค่ชุดชั้นใน ปกติเธอนอนคนเดียวบางคืนก็ใส่แค่บราเซียกับกางเกงขาสั้น นอนไม่เปิดแอร์เพราะอยากประหยัดค่าไฟ ถึงจะได้ฟรีค่าห้องแต่ค่าน้ำค่าไฟเธอจ่ายเองนี่นะ แรกทีเดียวเธอก็ไม่คิดอะไร ปวดหัวนิดหน่อยเพราะอาการเมาค้างแต่พอกินกาแฟดำก็บรรเทาได้มาก แต่ที่เธอตกใจก็คือกล่องขนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างขวดเหล้าสาโท นี่มันกล่องขนมจากร้านคุณหัสดิน หรือคุณหัสดินเข้ามาห้องเธอ เจอสภาพเธอกลายเป็นขี้เมา แล้วปกติคุณหัสดินไม่เคยมาที่ห้องเธอเลย ตลอดเวลาทำงานมาเกือบห้าปี เวลาที่คุณหัสดินหิ้วขนมของกินมาให้ชิมจะเรียกเธอไปที่ห้องของหัสวีร์เสมอ แล้วยิ่งเห็นหมายเลขโทรเข้าที่เธอไม่ได้รับสายนี่อีก โอ๊ย! เธอทำอะไรรั่วๆใส่เจ้านายไปหรือเปล่านะ เสียงแตรรถทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง รถเก๋งคันหรูจอดเทียบทางเดิน รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วใช้ความมั่นที่เวลานี้เหลือน้อยนิดเปิดประตูรถด้านหลัง “ข้างหน้าสิ! ผมไม่
‘ได้เดิมตามฝัน จะมีอะไรเป็นของตัวเอง ชอบอิสระ ไม่พึ่งพาใคร ไม่ง้อใคร รวยด้วยลำแข็ง เก่ง แกร่ง เสน่ห์แรง เกินต้าน สวยมากจนน่าขยี้ หาเงินเก่ง หาเงินดุ เงินคือสามีที่เรารักที่สุด...’หญิงสาวถึงกับสำลักเครื่องดื่มสีสวยที่กำลังยกขึ้นจิบ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้หันมามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าของมือเรียวโบกมือไปมาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาซับมุมปากแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเอง“เงินคือสามีที่รักที่สุด” รมิดาพึมพำอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ มันเป็นหน้าแฟนเพจเวบดูดวงเพจหนึ่งที่เธอเลื่อนอ่านฆ่าเวลา แม้ไม่ใช่คนชอบดูดวงชะตาแต่ถ้าเจอก็อดอ่านไม่ได้ เธอเป็นสาวราศีมีน และหมอดูท่านนี้ก็ทำนายได้โดนใจเป็นที่สุดสำหรับรมิดาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน หญิงสาวนึกขำเมื่อเห็นภาพใบหน้าตนเองฉีกยิ้มหวานแล้วพูดว่า ‘ภูมิใจที่ได้ทำงานที่บริษัทในเครือศาตนันท์กรุ๊ฟ’ ซึ่งความจริงแล้ว เพราะเงินเดือนที่สูงกว่าบริษัทอื่นรวมทั้งค่าล่วงเวลาทำให้เธอกัดฟันทำงานที่นี่ต่างหากต้องเรียกว่า ‘ฟาดฟันเพื่อให้ได้ทำงานที่นี่เลยต่างหากล่ะ’หญิงสาวในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้น